ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
- พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
ดำ อ.2380/2564
แดง อ.1432/2567
ผู้กล่าวหา
- แน่งน้อย อัศวกิตติกร ประธาน ศชอ. (ประชาชน)
ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
- พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
หมายเลขคดี
ดำ อ.2380/2564
แดง อ.1432/2567
ผู้กล่าวหา
- แน่งน้อย อัศวกิตติกร ประธาน ศชอ.
ความสำคัญของคดี
“ไมค์” ภาณุพงศ์ จาดนอก นักศึกษาและนักกิจกรรมกลุ่ม "ราษฎร" ชาวระยอง ถูกแน่งน้อย อัศวกิตติกร ประธานศูนย์ช่วยเหลือทางกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิดทางสังคมออนไลน์ (ศชอ.) แจ้งความดำเนินคดี กรณีเมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2563 ภาณุพงศ์โพสต์ตั้งคำถามต่อรัชกาลที่ 10 พร้อมติดแท็ก #ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ในกิจกรรม #ราษฎรสาส์น โดยภาณุพงศ์ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 และศาลไม่ให้ประกันหลังอัยการยื่นฟ้อง กระทั่งภาณุพงศ์ถูกขังได้ 62 วัน ศาลจึงให้ประกันในคดีนี้ แต่ภาณุพงศ์ก็ยังคงไม่ได้รับอิสรภาพ เนื่องจากยังไม่ได้รับการประกันในคดีอื่นอีกหลายคดี
ทั้งนี้ กิจกรรม #ราษฎรสาส์น ซึ่งจัดโดยกลุ่มประชาชนปลดแอก ได้เชิญชวนประชาชนให้ร่วมกันเขียนจดหมายถึงกษัตริย์ โดยมีนักกิจกรรมร่วมเขียนจดหมายยืนยันข้อเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ภายหลังกิจกรรมมีแกนนำ "ราษฎร" ถึง 5 ราย ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โดยมีประชาชนที่เห็นต่างในประเด็นดังกล่าวเป็นผู้เข้าแจ้งความ
กรณีดังกล่าวสะท้อนปัญหาสำคัญประการหนึ่งของการบังคับใช้มาตรา 112 ที่ใครก็ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ โดยไม่ต้องเป็นผู้เสียหายเองเหมือนกับข้อหาหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา ทำให้กฎหมายมาตรานี้ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการกลั่นแกล้งกลุ่มคนที่เห็นต่าง
ทั้งนี้ กิจกรรม #ราษฎรสาส์น ซึ่งจัดโดยกลุ่มประชาชนปลดแอก ได้เชิญชวนประชาชนให้ร่วมกันเขียนจดหมายถึงกษัตริย์ โดยมีนักกิจกรรมร่วมเขียนจดหมายยืนยันข้อเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ภายหลังกิจกรรมมีแกนนำ "ราษฎร" ถึง 5 ราย ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โดยมีประชาชนที่เห็นต่างในประเด็นดังกล่าวเป็นผู้เข้าแจ้งความ
กรณีดังกล่าวสะท้อนปัญหาสำคัญประการหนึ่งของการบังคับใช้มาตรา 112 ที่ใครก็ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ โดยไม่ต้องเป็นผู้เสียหายเองเหมือนกับข้อหาหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา ทำให้กฎหมายมาตรานี้ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการกลั่นแกล้งกลุ่มคนที่เห็นต่าง
พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี
วิวัฒน์ ศิริชัยสุทธิกร พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 บรรยายคำฟ้องโดยสรุปว่า
เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2563 จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของเพจเฟซบุ๊ก ‘ภาณุพงศ์ จาดนอก’ ที่มีผู้ติดตามจำนวนกว่า 9 หมื่นคน ได้นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ โดยการโพสต์ข้อความว่า ‘คุณคิดว่า คุณยืนบนซากปรักหักพังของประชาธิปไตย หรือศพของประชาชน แล้วคุณจะสง่างามหรอ … #ประชาสาส์น #ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์’ (ระบุชื่อของรัชกาลที่ 10)
ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ดูหมิ่น ทำให้พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเสื่อมเสียพระเกียรติ ชื่อเสียง ทรงถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง ทั้งยังเป็นการดูหมิ่นสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักของประเทศไทย และเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนชาวไทย โดยการโพสต์ของจำเลยดังกล่าวทำให้บุคคลทั่วไปที่พบเห็นเข้ามากดไลค์ 6.1 พันคน มีความคิดเห็น 232 รายการ และแชร์ 150 ครั้ง
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ. 2380/2564 ลงวันที่ 23 ก.ย. 2564)
เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2563 จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของเพจเฟซบุ๊ก ‘ภาณุพงศ์ จาดนอก’ ที่มีผู้ติดตามจำนวนกว่า 9 หมื่นคน ได้นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ โดยการโพสต์ข้อความว่า ‘คุณคิดว่า คุณยืนบนซากปรักหักพังของประชาธิปไตย หรือศพของประชาชน แล้วคุณจะสง่างามหรอ … #ประชาสาส์น #ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์’ (ระบุชื่อของรัชกาลที่ 10)
ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ดูหมิ่น ทำให้พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเสื่อมเสียพระเกียรติ ชื่อเสียง ทรงถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง ทั้งยังเป็นการดูหมิ่นสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักของประเทศไทย และเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนชาวไทย โดยการโพสต์ของจำเลยดังกล่าวทำให้บุคคลทั่วไปที่พบเห็นเข้ามากดไลค์ 6.1 พันคน มีความคิดเห็น 232 รายการ และแชร์ 150 ครั้ง
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ. 2380/2564 ลงวันที่ 23 ก.ย. 2564)
ความคืบหน้าของคดี
-
วันที่: 25-01-2021นัด: แจ้งข้อกล่าวหาเวลา 14.00 น. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ภาณุพงศ์ จาดนอก พร้อมทนายความ เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ตามหมายเรียกที่ออกโดย พ.ต.อ.ทองศูนย์ อุ่นวงค์ รองผู้บังคับการ บก.ปอท. ลงวันที่ 18 ม.ค. 2564
พ.ต.ต.ณัฐพนธ์ สุวรรณรงค์ และ ร.ต.อ.บูรฉัตร ฉัตรประยูร พนักงานสอบสวนจากกองกำกับการ 3 บก.ปอท. แจ้งข้อกล่าวหาว่า เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2563 แน่งน้อย อัศวกิตติกร ได้มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีต่อผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “ภาณุพงศ์ จาดนอก” ซึ่งเมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2563 บัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าวได้โพสต์ข้อความว่า “#คุณคิดว่า คุณยืนบนซากปรักหักพังของประชาธิปไตย หรือศพของประชาชนแล้วคุณจะสง่างามหรอ #ประชาสาส์น #ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” (โดยระบุชื่อของกษัตริย์ในโพสต์ดังกล่าว)
พนักงานสอบสวนกล่าวหาว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีเนื้อหากล่าวหา ใส่ความพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 10) มีลักษณะเป็นการหมิ่นประมาทและดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อพระมหากษัตริย์และสถาบันพระมหากษัตริย์ และมีเจตนามุ่งหมายเพื่อให้ประชาชนที่เข้ามาอ่าน เกิดความรู้สึกดูหมิ่น เกลียดชังพระมหากษัตริย์และสถาบันพระมหากษัตริย์ และจากการสืบสวนน่าเชื่อว่าภาณุพงศ์เป็นผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าว
พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาภาณุพงศ์ใน 2 ข้อหา ได้แก่ หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) ภาณุพงศ์ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และขอให้การเพิ่มเติมเป็นหนังสือภายใน 30 วัน
แต่พนักงานสอบสวนแจ้งว่าคณะทำงานที่ปรึกษากฎหมายของ บก.ปอท. มีคำสั่งให้ยื่นคำให้การเพิ่มเติมทั้งสองคดีเป็นหนังสือภายใน 15 วัน ภาณุพงศ์จึงแสดงความประสงค์ขอดูคำสั่งฉบับดังกล่าว แต่พนักงานสอบสวนไม่นำมาแสดงอ้างว่าเป็นคำสั่งภายใน ภาณุพงศ์จึงให้การไว้ในคำให้การดังนี้
"ข้าฯ ได้ร้องขอให้พนักงานสอบสวนนำคำสั่งของคณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายของ บก.ปอท. มาให้ดูแล้วแต่พนักงานสอบสวนปฏิเสธไม่นำมาให้ข้าดูในวันนี้ โดยอ้างว่าเป็นคำสั่งภายใน ข้าฯ จึงขอยืนยันให้การเพิ่มเติมเป็นหนังสือภายใน 30 วัน เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงในราชอาณาจักร มีอัตราโทษสูงและมีข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก ผู้ต้องหาจึงมีสิทธิที่จะได้รับการสอบสวนต่อสู้คดีอย่างเต็มที่และเป็นธรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 134 วรรคสอง และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR)"
ภาณุพงศ์ขอให้การเพิ่มเติมด้วยว่าขอให้พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกเลขาธิการพระราชวังมาสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นดังนี้
1. ในหลวงรัชกาลที่ 10 ได้เคยมีพระราชดำรัสสั่งไม่ให้ใช้มาตรา 112 จริงหรือไม่ ทรงมีพระราชดำรัสเมื่อใด มีข้อเท็จจริงรายละเอียดอย่างไร ปัจจุบันยังมีพระราชดำรัสไม่ให้ใช้อยู่หรือไม่
2. ในหลวงรัชกาลที่ 10 ได้มอบอำนาจให้ผู้กล่าวหาในคดีนี้มาแจ้งความร้องทุกข์หรือกล่าวโทษหรือไม่
3. ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงรู้สึกว่าข้อความตามที่ข้าฯ ถูกกล่าวหานั้นพระองค์รู้สึกถูกดูหมิ่น หมิ่นประมาทหรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย หรือไม่ ด้วยเหตุผลใด
ภาณุพงศ์ให้การต่อว่า เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้กล่าวหาในคดีนี้ เมื่อครั้งผู้ต้องหาดำรงตำแหน่งประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดระยอง
หลังจากการสอบสวน พนักงานสอบสวนได้ให้ภาณุพงศ์พิมพ์ลายนิ้วมือและลงบันทึกประจำวัน ก่อนปล่อยตัว โดยไม่มีการควบคุมตัวไว้ และจะนัดหมายให้มาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป
จากการสืบค้นพบว่า แน่งน้อย อัศวกิตติกร เป็นอดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งจังหวัดพิษณุโลกของพรรครวมพลังประชาชาติไทย มีตำแหน่งเป็นประธานของศูนย์ช่วยเหลือทางกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิดทางสังคมออนไลน์ (ศชอ.) ซึ่งเป็นกลุ่มเฟซบุ๊กที่มีการดำเนินการไปแจ้งความดำเนินคดีข้อหามาตรา 112 ต่อนักกิจกรรมหรือผู้แสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ในพื้นที่ต่างๆ
ในวันนี้ภาณุพงศ์เข้ารับทราบข้อกล่าวหาพร้อม “ลูกเกด” ชลธิชา แจ้งเร็ว ซึ่งถูกนพดล พรหมภาสิต เลขาธิการ ศชอ. แจ้งความ กรณีที่ชลธิชาโพสต์จดหมายถึงรัชกาลที่ 10 วิจารณ์การใช้จ่ายงบประมาณของสถาบันกษัตริย์ และเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2563 เช่นเดียวกัน
(อ้างอิง: บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา กก.3 บก.ปอท. ลงวันที่ 25 ม.ค. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/25530) -
วันที่: 23-09-2021นัด: ส่งตัวให้อัยการ (ฟ้อง)เวลา 09.00 น. ที่กองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (กก.3 บก.ปอท.) ภาณุพงศ์เดินทางไปพบพนักงานสอบสวนตามที่พนักงานสอบสวนมีหนังสือนัดหมายมาว่า จะนำตัวไปพบพนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5
ก่อนหน้านี้พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนเสร็จสิ้น และส่งสำนวนคดีให้กับพนักงานอัยการ เมื่อภาณุพงศ์ได้รับการประกันตัวในคดี #ม็อบ2สิงหา เรียกร้องให้ปล่อยเพื่อนเรา บริเวณด้านหน้า บก.ตชด.ภาค 1 เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2564 พนักงานสอบสวนจึงได้มีหนังสือลงวันที่ 16 ก.ย. 2564 นัดส่งตัวภาณุพงศ์ให้อัยการในวันนี้
ภายหลังภาณุพงศ์เข้าพบอัยการในช่วงเช้า อัยการมีคำสั่งฟ้องคดี และนำตัวไปส่งฟ้องต่อศาลอาญาในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 โดยทนายความได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างพิจารณาคดี วางหลักประกันเป็นเงินสด 200,000 บาท
ทั้งนี้ ในท้ายคำฟ้องอัยการไม่ได้คัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวภาณุพงศ์ระหว่างพิจารณาคดี ระบุให้อยู่ในดุลพินิจของศาล แต่ขอให้ศาลนับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ต่อจากอีก 3 คดีที่ภาณุพงศ์ตกเป็นจำเลยอยู่ด้วย ได้แก่ คดี #เยาวชนปลดแอก เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2563 ของศาลอาญา, คดี #saveวันเฉลิม ที่ระยอง เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2563 ของศาลแขวงระยอง และคดีม็อบมุ้งมิ้ง หน้ากองทัพบก เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2563 ของศาลแขวงดุสิต
ต่อมา ‘ชนาธิป เหมือนพะวงศ์’ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ระบุว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่า พฤติการณ์แห่งคดีมีความร้ายแรง คดีมีอัตราโทษสูง หากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว มีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยจะไปกระทำผิดตามที่ถูกฟ้องอีก หรือหลบหนีได้ จึงไม่อนุญาต ให้ยกคำร้อง”
ทำให้ภาณุพงศ์ถูกควบคุมตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทันที นับเวลาที่ภาณุพงศ์ได้รับอิสรภาพออกจากเรือนจำอำเภอธัญบุรีเพียง 8 วันเท่านั้น
คดีนี้นับเป็นคดีมาตรา 112 คดีที่ 3 ของภาณุพงศ์ที่อัยการฟ้องคดีต่อศาล โดยคดีแรกคือคดีชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ซึ่งหลังอัยการยื่นฟ้องต่อศาลอาญา ศาลไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว จนภาณุพงศ์ถูกขังอยู่ถึง 86 วัน ก่อนได้รับการประกันตัวโดยมีเงื่อนไข ส่วนคดีที่ 2 คือคดีแต่งครอปท็อปเดินพารากอน
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ. 2380/2564 ลงวันที่ 23 ก.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/35553) -
วันที่: 24-09-2021นัด: ยื่นประกันครั้งที่ 2ทนายความเข้ายื่นคำร้องต่อศาลอาญาเพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราวภาณุพงศ์เป็นครั้งที่ 2 โดยวางเงินสดจำนวน 100,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์ เป็นหลักประกัน พร้อมยื่นคำร้องโดยสรุป ดังนี้
1. ภาณุพงศ์เป็นจำเลยในคดีการชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ซึ่งมีความผิดฐานเดียวกันกับที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้ และเป็นผู้ต้องหาในคดีชุมนุม #ม็อบ2สิงหา เรียกร้องให้ปล่อยตัวกลุ่มทะลุฟ้า หน้า บก.ตชด. ภาค 1 ต่อมาศาลทั้ง 2 ศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยระบุว่าไม่มีเหตุที่จะไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 นอกจากนี้ ศาลยังได้กำหนดเงื่อนไขการประกันตัวให้จำเลย ซึ่งภาณุพงศ์ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดยไม่ได้หลบหนี หรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือไปก่อเหตุร้ายภยันตรายประการอื่นแต่อย่างใด
2. ภาณุพงศ์เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกมาโดยตลอด ไม่เคยแสดงพฤติการณ์หลบหนี อีกทั้งคดีนี้โจทก์ก็ไม่ได้คัดค้านประกันตัวแต่อย่างใด นอกจากนี้ จำเลยเป็นเพียงบุคคลธรรมดา เป็นนักศึกษา ไม่ได้มีอิทธิพลหรือความสามารถที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานได้ และมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอน
3. หากศาลเห็นสมควรกำหนดเงื่อนไขใดที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี จำเลยยินดีจะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนด โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อดิศร จันทรสุข อดีตรองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะเป็นผู้รับรองและดูแลให้จำเลยปฏิบัติตามคำสั่งของศาล
4. จำเลยเป็นเพียงบุคคลที่ถูกโจทก์ฟ้องกล่าวหาว่ากระทำความผิดเท่านั้น ยังไม่มีการพิจารณาพิพากษาของศาลจนถึงที่สุดว่าเป็นผู้กระทำผิด ในคดีข้อหาทางการเมืองคดีอื่น เช่น คดีของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) แม้ศาลชั้นต้นจะได้พิพากษาแล้วว่าจำเลยได้กระทำความผิดลงโทษจำคุกจำเลย ศาลอุทธรณ์ก็ได้โปรดอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว
5. จำเลยยังคงเป็นผู้ถูกกล่าวหา ยังไม่ถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิด จึงต้องได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights – ICCPR) และรัฐธรรมนูญของไทย
6. สำหรับประเด็นคำว่า “ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น” หมายความว่าอย่างไร แนวคิดในการป้องกันเหตุอันตรายที่จะเกิดขึ้นนั้นมาจากกฎหมาย Bail Reform Act of 1984 ของประเทศสหรัฐ ซึ่งกำหนดให้มีการคุมขังระหว่างพิจารณาเพื่อป้องกันอันตรายต่อชุมชน (danger to the community) อย่างไรก็ตาม กฎหมาย Bail Reform Act ไม่ได้ให้ความหมายของคำว่า “Danger to the Community” แต่ได้กำหนดปัจจัย (Factors) หลายประการที่ศาลจะต้องพิจารณาว่าจะให้ประกันหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่เป็นการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการใช้กำลังทางกายภาพต่อบุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นทั้งสิ้น ไม่ใช่ความผิดทางการเมือง หรือความมั่นคงของรัฐที่รัฐเป็นผู้เสียหาย นอกจากนี้ รัฐต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดแจ้งและน่าเชื่อถือมาแสดงว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นจะไปก่อให้เกิดอันตรายต่อบุคคลอื่นหรือสังคม ไม่ใช่หน้าที่ของศาลที่จะไปคาดหมายเช่นนั้นเอง และไม่ใช่หน้าที่ของผู้ต้องหาหรือจำเลยที่จะพิสูจน์ตนเอง
7. เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้มีแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดการคดีในสถานการณ์แพร่ระบาด ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของประธานศาลฎีกา โดยกำหนดให้ขยายโอกาสในการเข้าถึงสิทธิที่จะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว และเพื่อไม่ให้เป็นการเพิ่มความแออัดในเรือนจำ ผู้ต้องหาหรือจำเลยซึ่งไม่เคยถูกคุมขังมาก่อน หรือจำเลยที่เคยได้รับการปล่อยชั่วคราวมาก่อน หรือจำเลยซึ่งมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี แม้ยังไม่มีการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกา หรือยังไม่ได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์หรือฎีกา ศาลอาจพิจารณาอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม ในเวลา 12.00 น. เทวัญ รอดเจริญ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา มีคำสั่งไม่ให้ประกันตัว โดยระบุว่า “ศาลเคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยระบุเหตุผลไว้อย่างชัดแจ้งแล้ว กรณียังไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว”
ทำให้ภาณุพงศ์ต้องถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ต่อไป
(อ้างอิง: คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ. 2380/2564 ลงวันที่ 24 ก.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/35616) -
วันที่: 26-10-2021นัด: ยื่นประกันครั้งที่ 3ทนายความเข้ายื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวภาณุพงศ์ในคดีนี้เป็นครั้งที่ 3 รวมทั้งคดีชุมนุมสาดสี-ปาไข่ หน้า ม.พัน 4 รอ. เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2563 ซึ่งอัยการเพิ่งยื่นฟ้องต่อศาล โดยใช้ตำแหน่ง ส.ส.พรรคก้าวไกล เป็นหลักประกัน
เวลา 15.10 น. พลีส เทอดไทย ผู้พิพากษาหัวหน้าแผนกคดียาเสพติด มีคำสั่งยกคำร้องทั้ง 2 คดี โดยในคดีนี้ ระบุในคำสั่งว่า ศาลเคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยระบุผลไว้ชัดแจ้งแล้ว
ทำให้ภาณุพงศ์ยังคงถูกคุมขังในเรือนจำต่อไป หลังถูกขังมาแล้ว 33 วัน
(อ้างอิง: คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ. 2380/2564 ลงวันที่ 26 ต.ค. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/36989) -
วันที่: 28-10-2021นัด: ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่ให้ประกันที่ศาลอาญา รัชดาฯ ทนายความเข้ายื่นคำร้องอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวของศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ เนื่องจากคำสั่งไม่อนุญาตปล่อยตัวภาณุพงศ์ชั่วคราวของศาลอาญา ไม่มีเหตุตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 จึงเป็นคําสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ระบุเหตุผลเช่นเดียวกับคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวครั้งที่ผ่านมา โดยคำร้องอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์กลับคําสั่งศาลชั้นต้นและมีคําสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหา เพื่อที่ผู้ต้องหาจะได้มีโอกาสต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งได้มีโอกาสกลับไปศึกษาต่อ ไม่เป็นภาระแก่ผู้ต้องหาและครอบครัวเกินสมควร
(อ้างอิง: คำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ. 2380/2564 ลงวันที่ 28 ต.ค. 2564) -
วันที่: 30-10-2021นัด: ฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ทนายความเข้ารับทราบคำสั่งศาลอุทธรณ์ ตามที่ยื่นคำร้องอุทธรณ์ไป โดยศาลอุทธรณ์มีคำสั่งลงวันที่ 29 ต.ค. 2564 ไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวภาณุพงศ์เช่นกัน ระบุในคำสั่งว่า "พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า ข้อหาที่จําเลยถูกกล่าวหามีอัตราโทษสูง การกระทําที่จําเลยถูกกล่าวหามีลักษณะเป็นการใช้ข้อความอับมิบังควร กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว จําเลยอาจจะก่อให้เกิดอันตรายหรือความเสียหายประการอื่น และน่าเชื่อว่าจําเลยอาจจะหลบหนี คําสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวชอบแล้ว ให้ยกคําร้อง" โดยมีเพียงลายเซ็นของผู้พิพากษาที่มีคำสั่ง ไม่มีชื่อ-นามสกุลกำกับ
(อ้างอิง: คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำที่ อ. 2380/2564 ลงวันที่ 29 ต.ค. 2564) -
วันที่: 01-11-2021นัด: สอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานเวลา 09.30 น. พนักงานอัยการโจทก์ ภาณุพงศ์ และทนายจําเลย มาศาล หลังศาลออกนั่งพิจารณาคดี ทนายจําเลยแถลงต่อศาลว่า เนื่องจากจำเลยถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร นับตั้งแต่วันที่ 23 ก.ย. 2564 จนถึงปัจจุบัน และถูกคุมตัวที่แดนกักโรคตามมาตรการของเรือนจําเป็นเวลา 28 วัน ทําให้ทนายไม่สามารถปรึกษาคดี ส่งพยานเอกสารหรือพยานวัตถุให้จําเลยอ่านหรือตรวจสอบ รวมถึงไม่มีโอกาสในการแสวงหาพยานหลักฐานมาต่อสู้คดีได้ จึงขอเลื่อนวันนัดตรวจพยานหลักฐานออกไปอีกสักนัดหนึ่ง
ด้านพนักงานอัยการโจทก์แถลงไม่คัดค้าน
ต่อมา ศาลมีคำสั่งเลื่อนนัดสอบคำให้การ ตรวจพยานหลักฐาน และกําหนดวันนัดสืบพยาน ไปเป็นวันที่ 8 ธ.ค. 2564 เวลา 09.00 น. ระบุเหตุผลว่า เห็นว่าจําเลยยังไม่มีโอกาสได้ปรึกษาแนวทางการต่อสู้คดีกับทนายจําเลย เนื่องจากถูกควบคุมตัวที่แดนกักโรคตามมาตรการของทางเรือนจํา เพื่อให้โอกาสจําเลยได้ต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ จึงอนุญาตให้เลื่อนคดีตามที่ทนายจำเลยขอ ทั้งนี้ ศาลมีคำสั่งให้เบิกภาณุพงศ์มาศาลในนัดหน้าด้วย
ทั้งนี้ ภาณุพงศ์ถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หลังอัยการยื่นฟ้องคดีนี้และศาลไม่ให้ประกัน มาจนถึงวันนี้เป็นเวลารวม 40 วันแล้ว
(อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ. 2380/2564 ลงวันที่ 1 พ.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/37298) -
วันที่: 03-11-2021นัด: ยื่นประกันครั้งที่ 4ที่ ศาลอาญา รัชดาฯ ทนายความเข้ายื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว 15 นักกิจกรรมและประชาชน ในคดีทางการเมือง รวมทั้งภาณุพงศ์ในคดีนี้ด้วย ซึ่งเป็นการยื่นประกันครั้งที่ 4
เวลา 16.50 น. อรรถการ ฟูเจริญ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา มีคำสั่งยกคำร้องทุกฉบับ ให้เหตุผลคล้ายกัน โดยในคดีนี้ระบุว่า “ศาลนี้และศาลอุทธรณ์เคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยระบุเหตุผลไว้ชัดแจ้งแล้ว กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม”
(อ้างอิง: คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวและคำสั่ง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.2380/2564 ลงวันที่ 3 พ.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/37463) -
วันที่: 23-11-2021นัด: ยื่นประกันครั้งที่ 5หลังศาลอาญามีคำสั่งไม่ถอนประกันภาณุพงศ์ในคดีชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร เมื่อ 22 พ.ย. 2564 เช้าวันต่อมาทนายความได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวภาณุพงศ์ในคดีนี้อีกครั้ง ระบุเหตุผลว่า ความผิดที่ถูกกล่าวหายังเป็นเพียงข้อกล่าวหา ยังไม่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด และไม่ได้มีความร้ายแรงจนถึงชีวิต นอกจากนี้จำเลยยังเดินทางไปตามนัดหมายของตำรวจและเจ้าหน้าที่ศาลเสมอ อีกทั้งโจทก์ก็ยังไม่คัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวด้วย
ต่อมาในวันเดียวกัน เวลาประมาณ 17.00 น. ศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวภาณุพงศ์ในคดีนี้ โดยได้มีรายละเอียดในคำสั่งว่า
“พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เหตุที่ศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยเรื่อยมามีสาเหตุหลักมาจากเกรงว่าจำเลยจะก่อเหตุร้ายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 108 /1 (3)
ทั้งนี้กฎหมายไทยบัญญัติลงโทษทางอาญาในความผิดต่อความมั่นคง แม้จะมิได้มีการใช้ความรุนแรง ด้วยต้องถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นอันตราย เพราะมิฉะนั้นย่อมไม่มีเหตุผลที่จะลงโทษทางอาญา เหตุที่เกรงว่าจำเลยจะกระทำความผิดต่อความมั่นคง จึงเป็นเหตุที่จะขังจำเลยไว้ได้
อย่างไรก็ตาม เหตุตามมาตรา 108 /1 (3) นี้อาจเปลี่ยนแปลงไป ในกรณีนี้จำเลยถูกขังมานานพอสมควร พอจะทำให้จำเลยรู้สึกระมัดระวังต่อการจะก่อเหตุร้ายแล้ว ประกอบกับโจทก์ไม่ได้คัดค้านการขอปล่อยชั่วคราว เมื่อคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของจำเลยแล้ว เห็นควรให้โอกาสจำเลยจึงอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว
โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยกระทำการให้เป็นที่เสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้จำเลยอยู่ในเคหสถานตลอดเวลา ให้จำเลยติดอุปกรณ์ติดตามตัวด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ และให้แต่งตั้งผู้กำกับดูแล ทั้งนี้ให้ปล่อยจำเลยและให้จำเลยปฏิบัติตามเงื่อนไข เมื่อคดีอื่นๆ ของจำเลยได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว”
จากคำสั่งให้ประกันของศาลอาญาและศาลอาญากรุงเทพใต้ในวันเดียวกันนี้รวม 3 คดี ทำให้ภาณุพงศ์ถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในคดีนี้รวม 62 วัน แต่ภาณุพงศ์จะยังไม่ถูกปล่อยตัว เนื่องจากยังคงมีคดีของศาลนี้และศาลอื่นๆ อีก 6 คดี ซึ่งทนายจะต้องยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวต่อไป
(อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/38173) -
วันที่: 08-12-2021นัด: สอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานเนื่องจากทางเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นำตัวภาณุพงศ์ไปที่ศาลจังหวัดธัญบุรีในคดีอื่น ทำให้ไม่สามารถเบิกตัวภาณุพงศ์มาศาลในนัดตรวจพยานหลักฐานวันนี้ได้ ศาลจึงให้เลื่อนนัดตรวจพยานหลักฐานออกไปเป็นวันที่ 28 ก.พ. 2565 เวลา 13.30 น.
-
วันที่: 28-02-2022นัด: สอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี เนื่องจากภาณุพงศ์เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด และมีอาการข้างเคียง ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ ศาลอนุญาตให้เลื่อนไปตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 25 เม.ย. 2565 เวลา 13.30 น.
-
วันที่: 25-04-2022นัด: สอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี เนื่องจากตรวจพบว่า ติดเชื้อโควิด ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างรักษาตัว ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ ศาลอนุญาตให้เลื่อนไปตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 18 พ.ค. 2565 เวลา 13.30 น.
-
วันที่: 18-05-2022นัด: สอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานโจทก์แถลงขอนำพยานบุคคลเข้าสืบรวม 7 ปาก ใช้เวลา 2 นัด ฝ่ายจำเลยประสงค์สืบพยานบุคคล 3 ปาก ใช้เวลา 1 นัด นัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 12 พ.ค., 23 ส.ค. และ 1 ก.ย. 2566 และนัดสืบพยานจำเลยในวันที่ 27 ต.ค. 2566
-
วันที่: 15-05-2023นัด: สืบพยานโจทก์ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี เนื่องจากภาณุพงศ์มีอาการเจ็บป่วยที่หลังและต้นคอ ไม่สามารถมาเดินทางไกลจากระยองมาศาลได้ ศาลให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์ในวันที่ 23 ส.ค. 2566 ตามที่นัดไว้เดิม
-
วันที่: 23-08-2023นัด: สืบพยานโจทก์โจทก์นำพยานเข้าสืบทั้งสิ้น 7 ปาก ส่วนฝ่ายจำเลยนำพยานเข้าสืบ 1 ปาก ได้แก่ จำเลยที่อ้างตนเป็นพยาน
ภาณุพงศ์ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยรับว่าเป็นเจ้าของเฟซบุ๊คและโพสต์ข้อความตามฟ้องจริง แต่มีข้อต่อสู้ว่า โพสต์ของจำเลยมีลักษณะเป็นการตั้งคำถาม ไม่ได้มีการยืนยันข้อเท็จจริงแต่อย่างใด จึงไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 112
นอกจากนี้ จำเลยไม่ได้มีเจตนาใส่ร้ายรัชกาลที่ 10 แต่ต้องการตั้งคำถามถึงสถานการณ์ตอนนั้นที่รัฐกับประชาชนขัดแย้งกัน โดยถามว่าพระมหากษัตริย์จะมีบทบาทในการเข้ามาช่วยเหลืออย่างไร และในข้อความไม่มีคำด่า ไม่มีคำหยาบคาย
++กลุ่ม ศชอ. ผู้กล่าวหา ระบุ จำเลยเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวล้มล้างการปกครอง ข้อความที่โพสต์ใส่ร้าย ร.10 และรับว่ากลุ่มจำเลยเคลื่อนไหวเป็นปฏิปักษ์กับกลุ่มพยาน
แน่งน้อย อัศวกิตติกร ผู้กล่าวหา เบิกความว่า เกี่ยวกับคดีนี้ เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2563 ขณะพยานอยู่ที่บ้านที่จังหวัดพิษณุโลก ได้พบบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ ภาณุพงศ์ จาดนอก ซึ่งมีรูปของภาณุพงศ์เป็นรูปโปรไฟล์ โพสต์ข้อความประมาณว่า เหยียบบนซากศพของประชาชน มีการติด #ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ และเอ่ยพระนามรัชกาลที่ 10 เป็นโพสต์เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2563
ขณะนั้นบัญชีดังกล่าวมียอดผู้ติดตามประมาณ 90,000 คน มียอดไลค์ข้อความดังกล่าว 6,100 ไลค์ คอมเมนต์ 232 ครั้ง และแชร์ 150 ครั้ง
พยานเห็นว่า ข้อความดังกล่าวเป็นการหมิ่นพระเกียรติรัชกาลที่ 10 จึงเดินทางไปแจ้งความที่ บก.ปอท. พนักงานสอบสวนรับเป็นคดี และเรียกให้พยานไปให้การในฐานะผู้กล่าวหา
พยานเบิกความว่า เท่าที่พยานทราบ จำเลยเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์
ในการตอบทนายจำเลยถามค้าน พยานรับว่า ขณะนั้นพยานเป็น CEO ของ ศชอ. (ศาลไม่ได้จดบันทึก) ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่เคลื่อนไหวปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยคอยตรวจสอบและดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับล้มล้างหรือดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์
พยานแจ้งความให้ดำเนินคดีมาตรา 112 กับบุคคลแค่ 2 คน คือ อานนท์ นำภา และภาณุพงศ์ หรือมากที่สุดไม่เกิน 4 คน เคยเป็นพยานในชั้นตำรวจไม่เกิน 5 คดี และเป็นพยานในชั้นศาล 2 คดีรวมคดีนี้
พยานรู้จักจำเลยจากสื่อโซเชียลมีเดียว่าเป็นทีมเดียวกับอานนท์, “เพนกวิน” พริษฐ์ และ “รุ้ง” ปนัสยา ที่ผลัดเปลี่ยนกันปราศรัยด่าสถาบันพระมหากษัตริย์ และรับว่า กลุ่มของจำเลยมีการเคลื่อนไหวที่เป็นปฏิปักษ์กับกลุ่มของพยาน
พยานเบิกความตอบทนายจำเลยอีกว่า ศชอ. จะให้ความช่วยเหลือในคดีการบูลลี่ (bully) แก่กลุ่มผู้ด้อยโอกาส โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย แต่ไม่มีทนายความในทีม เพียงแค่ไปปรึกษากับทนายความที่รู้จัก และพยานเป็นลูกตำรวจจึงพอจะรู้กฎหมายอยู่บ้าง
ทนายจำเลยถามว่า ประโยคตามฟ้องเป็นประโยคคำถามใช่หรือไม่ พยานตอบว่า ต้องดูว่า ข้อความ “คุณคิดว่า…” นั้น ถามใคร ถามประชาชนทั่วไปหรือรัชกาลที่ 10 จึงทั้งใช่และไม่ใช่ประโยคคำถาม
ทนายจำเลยถามอีกว่า ข้อความดังกล่าวไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่ารัชกาลที่ 10 ทำลายระบอบประชาธิปไตยหรือยืนบนซากศพประชาชนใช่หรือไม่ พยานตอบว่า ไม่ขอตอบ
ทนายความถามต่อไปว่า ประชาชนทั่วไปมีสิทธิตั้งคำถามต่อพระมหากษัตริย์หรือไม่ พยานตอบว่า ตั้งคำถามในสิ่งที่ถูกที่ควรได้ ทนายความถามเพิ่มเติมว่า ต้องตั้งคำถามในสิ่งที่เรียกร้องให้ดีขึ้นใช่หรือไม่ พยานตอบว่า ใช่
จากนั้นทนายจำเลยให้พยานดูภาพข่าวแล้วถามว่า พยานทราบหรือไม่ว่า ในหลวงรัชกาลที่ 10 เคยรับสั่งไม่ให้ใช้มาตรา 112 พยานตอบว่า เคยเห็นข่าวจากทีวีแต่ไม่ทราบรายละเอียด น่าจะมาจากรัชกาลที่ 9 ก่อนตอบทนายจำเลยว่า ในการไปแจ้งความดำเนินคดีมาตรา 112 นั้น พยานไม่ได้รับพระบรมราชานุญาต แต่เป็นการทำหน้าที่ในฐานะประชาชนคนไทย
จากนั้นพยานเบิกความตอบพนักงานอัยการถามติงว่า ที่พยานตอบทนายจำเลยว่า ข้อความว่า “คุณคิดว่า” นั้น เป็นทั้งคำถามและไม่ใช่คำถาม เนื่องจากพยานเห็นว่าจำเลยหมายถึงประชาชนทั่ว ๆ ไปที่เข้ามาอ่าน ส่วนข้อความต่อจากนั้นเป็นมีลักษณะใส่ร้ายรัชกาลที่ 10 เมื่ออ่านทั้งประโยคพยานเห็นว่า จำเลยต้องการสื่อว่า รัชกาลที่ 10 ยืนอยู่บนซากศพของประชาชน เปรียบดังในหลวงเป็นฆาตกร ซึ่งพยานเห็นว่าไม่ถูกไม่ควร เป็นความผิดตามมาตรา 112
++ตำรวจสืบสวนผู้ตรวจสอบเฟซบุ๊คระบุ บัญชีเฟซบุ๊กและโพสต์ตามฟ้องเป็นของไมค์จริง – ข้อความที่โพสต์เป็นประโยคบอกเล่าผสมคำถาม
พ.ต.ท.ภาคิน ไกรกิตติชาญ สารวัตรกองกำกับการ 3 บก.ปอท. เบิกความว่า คดีนี้มีผู้มาแจ้งความว่ามีผู้กระทำความผิดตามมาตรา 112 เมื่อวันเวลาใดจำไม่ได้
พยานเริ่มการสืบสวนเมื่อวันที่ 14 ม.ค. 2564 โดยการตรวจสอบบัญชีเฟซบุ๊กของจำเลย พบเห็นข้อความตามที่มีการแจ้งความจริง ในตอนนั้นเฟซบุ๊กของจำเลยมีผู้ติดตาม 101,094 คน และยังมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดโดยการโพสต์เชิญชวนชุมนุมและเกี่ยวกับประชาธิปไตย
จากการตรวจสอบเชื่อว่าเป็นเฟซบุ๊กของจำเลยจริง เนื่องจากมีการถ่ายทอดสดภาพตนเองและเผยแพร่เอกสารที่ถูกดำเนินคดีซึ่งเป็นเอกสารส่วนตัว และจนถึงปัจจุบันก็ยังมีการใช้งานบัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าวอยู่ นอกจากนี้จำเลยยังไม่ได้มีการแจ้งความว่ามีผู้ปลอมเฟซบุ๊กของตน
จากนั้นพยานเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ในการตรวจสอบเฟซบุ๊กของจำเลยเพื่อยืนยันตัวตนและตรวจสอบการโพสต์ข้อความที่มีการกล่าวหานั้น พยานเห็นว่า ได้ตรวจสอบโดยละเอียดแล้วในระดับหนึ่ง แต่พยานจำไม่ได้ว่า จำเลยมีการโพสต์ข้อความในประเด็นอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ เช่น เหตุการณ์น้ำมันรั่ว หรือสิทธิเด็ก หรือไม่ เนื่องจากพยานดูเพียงแค่ประเด็นที่เกี่ยวกับการแจ้งความ
ทนายจำเลยถามว่า ประโยคที่จำเลยโพสต์เป็นประโยคคำถามใช่หรือไม่ พยานตอบว่า อยู่ที่การตีความ ส่วนตัวพยานเห็นว่า เป็นประโยคบอกเล่าผสมคำถาม
ทนายความถามเพิ่มเติมว่า ไม่ได้เป็นประโยคที่ยืนยันว่าใครทำให้ประชาธิปไตยพังหรือเหยียบบนซากศพของประชาชนใช่หรือไม่ พยานตอบว่า ไม่แน่ใจ
++ศปปส. ระบุ จำเลยจูงใจให้ผู้อ่านเชื่อว่า ร.10 อยู่เบื้องหลังการฆ่า ปชช. แต่รับว่าส่วนแรกของโพสต์เป็นประโยคคำถาม
นพคุณ ทองถิ่น กลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) เบิกความว่า เกี่ยวข้องกับคดีนี้เพราะพนักงานสอบสวน บก.ปอท. ติดต่อให้ไปให้ปากคำในฐานะพยาน ในคดีหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ติดต่อมาวันเวลาใดพยานจำไม่ได้
พนักงานสอบสวนให้พยานดูภาพโพสต์ของจำเลย พยานดูแล้วเห็นว่า ผู้โพสต์ต้องการจูงใจให้ผู้ที่เข้ามาอ่านเชื่อว่า รัชกาลที่ 10 อยู่เบื้องหลังการฆ่าประชาชนและทำลายประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการดูถูกและให้ร้ายรัชกาลที่ 10 เป็นความผิดตามมาตรา 112 ทั้งนี้ โพสต์ของจำเลยชี้ชัดว่ากล่าวถึงรัชกาลที่ 10 เพราะมีการติดแฮชแท็กและเอ่ยพระนามโดยไม่ให้เกียรติ
นพคุณเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานเป็นหนึ่งในสมาชิก ศปปส. ซึ่งเป็นกลุ่มประชาชนที่จงรักภักดี รวมตัวกันคอยสอดส่องดูแลคนที่จะมาทำร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ และช่วยเหลือประชาชนด้านอื่น ๆ ด้วย เช่น น้ำท่วม ไฟไหม้ ผู้ป่วยติดเตียง ไม่ใช่แค่แจ้งความดำเนินคดีมาตรา 112
กลุ่ม ศปปส. ไม่เคยจับจ้องเอาผิดบุคคลที่เห็นต่าง แต่เมื่อคนโจมตีสถาบันกษัตริย์ ประชาชนที่พบเห็นก็จะส่งข้อมูลมาให้กลุ่ม ซึ่งกลุ่มก็จะปรึกษาผู้รู้กฎหมายก่อนว่า การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามกฎหมายหรือไม่ หากผิดจึงจะไปแจ้งความดำเนินคดี
นอกจากกลุ่ม ศปปส. ในประเทศไทยยังมีอีกหลายกลุ่มที่ทำกิจกรรมในลักษณะเดียวกัน แต่พยานไม่ทราบว่าแต่ละกลุ่มดำเนินการอย่างไร เพราะต่างคนต่างทำ แต่หากจะมาร่วมกับ ศปปส.ก็ไม่ขัดข้อง ซึ่งกลุ่ม ศชอ. ของผู้กล่าวหานั้น ก็มาร่วมทำกิจกรรมกับ ศปปส. ในบางครั้ง โดยพยานรับว่า รู้จักผู้กล่าวหาในคดีนี้ แต่ไม่ทราบว่ามีตำแหน่งอะไรใน ศชอ.
พยานรับว่า กลุ่ม ศปปส. เคยแจ้งความให้ดำเนินคดีผู้ที่แสดงออกเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์น่าจะเกือบ 100 คดี
ทนายความถามว่า หากบุคคลใดแสดงตัวว่าเป็นแกนนำ เรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ถือว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อกลุ่มพยานใช่หรือไม่ พยานตอบว่า ในความคิดเห็นของพยาน การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์เท่ากับเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็ได้วินิจฉัยไว้แล้ว ไม่ได้มีเจตนาจ้องทำร้ายคนที่เห็นต่าง ไม่จำเป็นต้องเป็นปฏิปักษ์กัน ถ้าไม่เป็นความผิดก็ไม่ได้ทำอะไร แต่ถ้ามีการให้ร้าย จาบจ้วง ล่วงเกินสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงจะดำเนินคดี
พยานทราบว่า จำเลยเคยปราศรัยเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่พยานไม่เคยไปแจ้งความดำเนินคดีจำเลย
กลุ่ม ศปปส. จะมีทีมงานที่ทำงานโดยแบ่งหน้าที่กันทำ แต่พยานไม่เคยนับจำนวนที่แน่นอน พยานเห็นว่าประชาชนทุกคนที่จงรักภักดีคือสมาชิก ศปปส.
พยานรับว่า ที่เบิกความตอบพนักงานอัยการว่าอ่านข้อความแล้วเข้าใจว่าในหลวงสั่งฆ่าประชาชนนั้น พยานไม่ได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวน
ทนายความถามว่า ตามหลักภาษาไทย ข้อความที่จำเลยโพสต์ตามฟ้องเป็นประโยคคำถามใช่หรือไม่ พยานตอบว่า เฉพาะข้อความว่า “คุณคิดว่า” เป็นประโยคคำถาม แต่เมื่ออ่านทั้งหมดไม่ใช่ประโยคคำถาม
ทนายจำเลยถามต่อว่า มีลักษณะเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงหรือไม่ พยานตอบว่า ไม่ใช่การยืนยันข้อเท็จจริง แต่เป็นการพูดในเชิงสัญลักษณ์ให้คนเข้าใจว่า รัชกาลที่ 10 อยู่เบื้องหลังการเสียชีวิต บนซากศพและซากปรักหักพังของประชาธิปไตย
ทนายจำเลยถามอีกว่า พยานเชื่อตามที่พยานโพสต์หรือไม่ พยานตอบว่า ไม่เชื่อ เพราะพยานจงรักภักดี เชื่อว่าอย่างไรพระองค์ก็ไม่ทำเช่นนั้น แต่ประชาชนทั่วไปที่ไม่รู้เรื่องอาจถูกชี้นำให้เชื่อตามนั้นได้ ส่วนบุคคลใดจะเชื่อหรือไม่นั้น พยานเห็นว่าอยู่ที่ดุลยพินิจของแต่ละคน
ต่อมา พยานตอบอัยการถามติง หลังจากอัยการให้ดูเอกสารซึ่งเป็นข้อความที่มีผู้มาแสดงความคิดเห็นใต้โพสต์ตามฟ้องว่า ส่วนใหญ่แสดงความเห็นด้วยและเชื่อตามที่จำเลยโพสต์
(อ้างอิง: คำเบิกความพยานโจทก์ ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.2380/2564 และ https://tlhr2014.com/archives/65956) -
วันที่: 01-09-2023นัด: สืบพยานโจทก์++อาจารย์กฎหมายรับ โพสต์ของจำเลยไม่มีข้อความที่บอกว่า รัชกาลที่ 10 ฆ่าประชาชนหรือทำลายประชาธิปไตย แต่ทำให้เข้าใจได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง
คมสัน โพธิ์คง เบิกความว่า พยานเคยเป็นอาจารย์ สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และมหาวิทยาลัยรังสิต มีประสบการณ์การสอนประมาณ 20 ปี เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน
พยานได้รับการติดต่อจากพนักงานสอบสวน บก.ปอท. ให้ไปให้ความเห็นเกี่ยวกับโพสต์ของจำเลย เมื่อได้ดูข้อความพยานให้ความเห็นว่า เป็นการพูดถึงรัชกาลที่ 10 ว่ามีส่วนร่วมในการเข่นฆ่าประชาชน บนซากปรักหักพังของประชาธิปไตย มีลักษณะเป็นการดูหมิ่นรัชกาลที่ 10
พยานไม่ทราบว่า จำเลยมีเจตนามุ่งหมายอย่างไร แต่ข้อความมีลักษณะเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท พยานเห็นว่าเป็นความผิดตามมาตรา 112
ก่อนตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานไม่เคยทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่เขียนตำรากฎหมายอาญา 2 ภาคความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง รวมถึงมาตรา 112 ซึ่งเป็นเอกสารการสอนของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และพยานไม่เคยลงทะเบียนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ศาลใด ๆ
ทนายความถามว่า ข้อความที่จำเลยโพสต์เป็นประโยคคำถามใช่หรือไม่ พยานตอบว่า เป็นประโยคคำถามในเชิงอธิบาย เหมือนการเปรย ไม่ต้องการคำตอบ
ทนายจำเลยถามอีกว่า ข้อความมีลักษณะเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงตามที่โจทย์กล่าวอ้างหรือไม่ พยานตอบว่า ไม่มีลักษณะยืนยันข้อเท็จจริง แต่มีลักษณะเป็นการกล่าวหาหรือต่อว่า เหมือนตั้งคำถามแต่เป็นการต่อว่า
ทนายความจึงถามต่อว่า ในความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น หากการกระทำไม่มีลักษณะเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงก็ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดใช่หรือไม่ พยานตอบว่า ความผิดฐานหมิ่นประมาทมีพื้นฐานมาจากสิทธิความเป็นส่วนตัว คือ Right to Privacy ซึ่งผู้ใดจะล่วงละเมิดไม่ได้ เว้นแต่เพื่อประโยชน์สาธารณะ ดังนั้น ไม่ว่าเรื่องที่กล่าวหาเป็นความจริงหรือเท็จ แต่หากกระทบชื่อเสียงส่วนตัวก็เป็นความผิด ซึ่งรวมถึงฐานความผิดตามมาตรา 112 ด้วย ดังนั้น แม้การกระทำจะไม่เป็นการยืนยันข้อเท็จจริง แต่หากมีลักษณะเป็นการดูหมิ่น ทำให้เข้าใจหรือเกิดข้อสงสัยว่า ผู้กระทำทำเช่นนั้นจริงหรือไม่ ก็เข้าองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาทได้
พยานตอบเพิ่มเติมว่า ข้อความตามฟ้องไม่มีข้อความที่บอกว่า รัชกาลที่ 10 เป็นผู้สั่งฆ่าประชาชนหรือทำให้ระบอบประชาธิปไตยพัง แต่ข้อความดังกล่าวทำให้เข้าใจเช่นนั้นได้
พยานยังเบิกความตอบพนักงานอัยการถามติงด้วยว่า ข้อความดังกล่าวมีลักษณะเป็นคำถามเชิงชี้นำว่า รัชกาลที่ 10 มีส่วนร่วมในการทำลายระบอบประชาธิปไตย และเข่นฆ่าประชาชน
++พยานประชาชนเห็นว่า โพสต์ของจำเลยหมิ่นประมาทกษัตริย์ ผิดมาตรา 112 แต่รับว่า ไม่ทราบเนื้อหาของมาตรา 112 – ประชาชนมีสิทธิตั้งคำถามกับสถาบันกษัตริย์ แต่ต้องไม่ใช้ข้อความรุนแรง
พัลลภา เขียนทอง ประชาชนทั่วไป เบิกความว่า เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2564 ขณะพยานไปแจ้งความคดีหมิ่นประมาทส่วนตัว มีตำรวจมาถามว่าพอจะมีเวลาหรือไม่ ขอความเห็นของประชาชนว่าคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับข้อความของภาณุพงศ์
พยานอ่านข้อความที่ตำรวจให้ดูแล้วให้ความเห็นว่า เป็นการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ โดยมีการกล่าวอ้างพระนามของรัชกาลที่ 10 ซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ว่าข้อความดังกล่าวเป็นความจริงหรือไม่ จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3)
พยานเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ไม่ทราบว่า พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) คืออะไร และมาตรา 112 เขียนว่าอะไร แต่ตอนไปให้การตำรวจระบุว่าโพสต์เป็นความผิดตามข้อหาดังกล่าว
คดีหมิ่นประมาทออนไลน์ที่พยานไปแจ้งความนั้น พยานไม่ทราบชื่อนามสกุลจริงของผู้ถูกกล่าวหา โดยขอให้ บก.ปอท. สืบหา
พยานเห็นว่า ข้อความที่จำเลยโพสต์ไม่ใช่การตั้งคำถาม และประชาชนทั่วไปมีสิทธิตั้งคำถามกับสถาบันพระมหากษัตริย์, นายกรัฐมนตรี หรือบุคคลสาธารณะ แต่ต้องไม่ใช้ข้อความรุนแรง ส่วนข้อความดังกล่าวเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่า พระมหากษัตริย์ทำให้ประชาธิปไตยพังทลายหรือเข่นฆ่าประชาชนหรือไม่นั้น พยานยืนยันตามที่ให้การในชั้นสอบสวน
++2 พนักงานสอบสวนระบุ คณะทำงานฯ เห็นว่าผิด ม.112 ยืนยันไม่ได้เจาะจงจัดสรรพยานมาพิสูจน์ความผิดจำเลย คัดเลือกจากประชาชนที่มาติดต่อราชการ
พ.ต.ท.ณัฐพนธ์ สุวรรณรงค์ และ ร.ต.อ.บูรฉัตร ฉัตรประยูร พนักงานสอบสวน บก.ปอท. เบิกความในทำนองเดียวกันว่า เป็นคณะพนักงานสอบสวนในคดีนี้ โดยเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2563 ผู้กล่าวหามาพบพนักงานสอบสวนเพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษกับผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กชื่อ ภาณุพงศ์ จาดนอก และนำพยานหลักฐานเป็นหน้าบัญชีเฟซบุ๊กที่ปรินท์มาให้พนักงานสอบสวน เพื่อให้ดำเนินคดีตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
จากนั้น พยานได้ตรวจสอบว่ามีการโพสต์ข้อความดังกล่าวจริงตามที่ผู้กล่าวหามาแจ้งความ จึงมีการรับคำร้องทุกข์เป็นคดีและสอบปากคำผู้กล่าวหา
ต่อมา ได้เสนอต่อผู้บังคับบัญชา จึงมีการแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งของ บก.ปอท. ตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 558/2563 ลงวันที่ 30 ต.ค. 2563 เรื่องแนวทางปฏิบัติในการดำเนินคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร โดยพยานทั้งสองเป็นพนักงานสอบสวนร่วม
ชั้นสอบสวน จำเลยให้การปฏิเสธ พยานได้สอบปากคำประชาชนทั่วไป ทั้งประชาชนที่มาติดต่อราชการที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ และนักวิชาการทางกฎหมาย ซึ่งล้วนเห็นว่าเป็นความผิดตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
ต่อมา คณะพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานเสนอผู้บังคับบัญชา และมีความเห็นควรสั่งฟ้องจำเลย ก่อนส่งสำนวนให้กับอัยการ พร้อมมีการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของจำเลยติดสำนวนไว้
ในการตอบทนายจำเลยถามค้าน พ.ต.ท.ณัฐพนธ์ เบิกความว่า พยานเป็นพนักงานสอบสวนอยู่ในคณะทำงาน เป็นผู้รวบรวมพยานหลักฐานและพิจารณาว่ามีน้ำหนักพอหรือไม่ ก่อนมีความเห็นเสนอหัวหน้าคณะทำงาน ส่วนการพิจารณาสำนวนและมีความเห็นสั่งฟ้องนั้น เป็นการตัดสินใจของหัวหน้าคณะทำงาน
ในการคัดเลือกพยานมาให้ปากคำอย่างไร พยานคัดเลือกจากประชาชนที่มาติดต่อราชการที่ บก.ปอท. ในคดีอื่นว่า ยินดีให้ความคิดเห็นกับพนักงานสอบสวนหรือไม่ โดยไม่ได้มีการออกหมายเรียกพยาน
พยานไม่ทราบว่า พยานปากนพคุณอยู่กลุ่ม ศปปส. ซึ่งมีแนวคิดเป็นปฏิปักษ์กับจำเลย ไม่ได้สอบปากคำเรื่องความคิดเห็นทางการเมืองของพยานปากดังกล่าว และไม่ทราบว่า นพคุณเป็นพยานในคดีมาตรา 112 หลายคดี เนื่องจากพยานเพิ่งเคยสอบปากคำพยานปากดังกล่าวครั้งแรก และไม่ทราบว่า พยานปากพัลลภาเป็นพยานในคดีมาตรา 112 หลายคดี
พยานไม่ได้ออกหมายเรียกเลขาธิการสำนักพระราชวังมาเป็นพยานพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลยในชั้นสอบสวนตามที่จำเลยร้องขอ เนื่องจากพยานและผู้บังคับบัญชาเห็นว่าพยานหลักฐานเพียงพอที่จะฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดจริง
พยานไม่ทราบว่า ประโยคตามคำฟ้องเป็นประโยคคำถามหรือไม่ และไม่ทราบว่า มีลักษณะเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่ารัชกาลที่ 10 ทำลายประชาธิปไตยหรือสั่งฆ่าประชาชนหรือไม่ พยานเป็นแค่คนรวบรวมความเห็นของพยานความเห็นเท่านั้น แต่รับว่า ข้อความดังกล่าวไม่มีคำหยาบ
ในฐานะเจ้าพนักงาน ปอท. พยานทราบว่า จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของโพสต์ไม่สามารถควบคุมการแสดงความเห็นของบุคคลอื่นในโพสต์ได้ แต่สามารถตรวจสอบและลบข้อความที่ไม่เหมาะสมได้
ด้าน ร.ต.อ.บูรฉัตร เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานเป็นผู้อาวุโสน้อยสุดในคณะพนักงานสอบสวน เป็นคนจัดพิมพ์เอกสารต่าง ๆ และร่วมเสนอความเห็นว่าควรสั่งฟ้องหรือไม่เพื่อเสนอผู้บังคับบัญชา
ในวันที่พยานเชิญพัลลภามาให้ปากคำ พัลลภาได้มาแจ้งความคดีหมิ่นประมาททางเฟซบุ๊ก โดยขอให้ตรวจสอบ URL และยืนยันตัวบุคคล พยานจึงเรียกให้มาเป็นพยานในคดีนี้ พยานยืนยันว่า พยานปากนพคุณ และพัลลภา ไม่ได้มาจากการจัดสรร แค่เป็นประชาชนที่มาในคดีอื่น
ส่วนพยานปากคมสัน คณะทำงานฯ เป็นผู้สืบเสาะหาและติดต่อไปให้มาเป็นพยานในคดีนี้ แต่พยานไม่ทราบว่า คมสันเคยมาเป็นพยานให้ความเห็นในคดีมาตรา 112 คดีอื่นด้วยหรือไม่
ทนายความถามว่า พนักงานสอบสวนมีหน้าที่พิสูจน์ความผิดและความบริสุทธิ์ของจำเลย ทำไมจึงไม่เชิญพยานที่จำเลยร้องขอมาให้ปากคำเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ร.ต.อ.บูรฉัตร ตอบว่า หากไม่มีคำสั่งของผู้บังคับบัญชา พยานไม่มีอำนาจตัดสินใจออกหมายเรียกตามที่จำเลยร้องขอได้
พยานเห็นว่า ข้อความตามฟ้องเป็นประโยคบอกเล่าหรือแจ้งให้ทราบ แต่ไม่มีลักษณะยืนยันข้อเท็จจริงหรือแสดงให้เห็นว่า รัชกาลที่ 10 ทำลายระบอบประชาธิปไตย หรือยืนอยู่บนซากปรักหักพังของประชาธิปไตยหรือศพของประชาชน และไม่มีคำหยาบคายที่เป็นการด่าทอต่อว่า
(อ้างอิง: คำเบิกความพยานโจทก์ ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.2380/2564 และ https://tlhr2014.com/archives/65956) -
วันที่: 31-01-2024นัด: สืบพยานจำเลย++ไมค์ยืนยัน ไม่มีเจตนาใส่ร้าย ร.10 แต่ต้องการตั้งคำถามว่า ในสถานการณ์ความขัดแย้งของรัฐกับ ปชช. กษัตริย์จะมีบทบาทช่วยเหลืออย่างไร – ไม่ได้ใช้คำหยาบคาย
“ไมค์” ภาณุพงศ์ จาดนอก จำเลยอ้างตนเป็นพยาน เบิกความว่า ปัจจุบันเป็นนักศึกษา ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และทำงานเป็นที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการสวัสดิการสังคม สภาผู้แทนราษฎร ในอดีตเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.ระยอง
เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ พยานเคยได้รับอบรมและเข้าร่วมเป็นประธานสภาเด็กและเยาวชน จ.ระยอง เป็นจิตอาสา 904 รุ่นแรกของประเทศไทย ในช่วงที่รัชกาลที่ 9 สวรรคต และได้รับประกาศนียบัตรเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่ก่อนออกมาเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยได้ยื่นพยานเอกสารเป็นหลักฐานส่งศาล
จุดเริ่มต้นของการออกมาเรียกร้องคือพลเอกประยุทธ์ทำการรัฐประหาร ปกติพยานทำงานเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนและสวัสดิการสังคมอยู่แล้ว จ.ระยอง มี GDP เป็นอันดับ 1 ของประเทศ เป็นเมืองท่องเที่ยวและอุตสาหกรรม ช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 พยานได้เรียกร้องเกี่ยวกับการเยียวยาและเรื่องที่รัฐบาลให้ทหารอียิปต์เดินทางเข้ามาใน จ.ระยอง
หลังจากเรียกร้องกับรัฐบาล รัฐบาลใช้ความรุนแรงกับประชาชน ฉีดน้ำ ใช้กระสุนยาง และรัฐบาลไม่มีการตอบสนองข้อเสนอใด ๆ จากประชาชน สภาวะในตอนนั้นเห็นว่ายังไม่มีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์จริง ๆ รัฐบาลประยุทธ์มีการตั้ง สว. และทำประชามติด้วยความไม่สุจริต สถานการณ์โรคโควิด-19 มีคนล้มตายเป็นจำนวนมาก ระบบสาธารณสุขไม่สามารถรองรับผู้ป่วย
รัฐบาลประยุทธ์มีการใช้ความรุนแรง ทำให้ประชาชนบาดเจ็บ ล้มตาย พิการ พยานจึงตั้งคำถามกับพระมหากษัตริย์เพื่อให้พระองค์ช่วยเหลือ ซึ่งเมื่อย้อนไปในยุคของรัชกาลที่ 9 พระองค์เคยมีบทบาทในการยุติความรุนแรง
บัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าวเป็นของพยาน และพยานโพสต์ข้อความดังกล่าวจริง
หลังจากเกิดสถานการณ์ความรุนแรง ต้องยอมรับว่าไม่มีใครสามารถควบคุมรัฐบาลในตอนนั้นได้ แม้มีประชาชนออกมาเรียกร้องสูงถึง 200,000 คน มีเพียงแค่พระมหากษัตริย์ที่สามารถเป็นตัวกลาง อย่างเช่นในปี 2535 รัฐบาลสุจินดา คราประยูร ใช้ความรุนแรงถึงกับเข่นฆ่าประชาชนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งนำโดยจำลอง ศรีเมือง ในหลวงรัชกาลที่ 9 เข้ามามีบทบาทเรียกให้จำลองกับสุจินดาเข้าเฝ้า เจรจาพูดคุย หลังจากนั้นสถานการณ์จึงสงบลง
ข้อความที่พยานโพสต์ตามฟ้องไม่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์จะฆ่าหรือทำอะไรประชาชน ไม่ได้มีเจตนาใส่ร้ายว่าในหลวงกระทำ แต่ต้องการตั้งคำถามถึงสถานการณ์ตอนนั้นที่รัฐกับประชาชนขัดแย้งกัน โดยถามว่าพระมหากษัตริย์จะมีบทบาทในการเข้ามาช่วยเหลืออย่างไร และในข้อความไม่มีคำด่า ไม่มีคำหยาบคาย
พยานไม่รู้จักบุคคลที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นและแชร์โพสต์ดังกล่าว และไม่ได้มีการนัดหมายให้มาแสดงความคิดเห็น โพสต์ของพยานเป็นสาธารณะ บุคคลอื่นสามารถมาแสดงความคิดเห็นได้ แต่พยานไม่ได้มีการโต้ตอบความคิดเห็นใด ๆ ทั้งสิ้น โดยบุคคลที่มาแสดงความคิดเห็นมีมากกว่า 200 คน แต่ในพยานเอกสารของโจทก์ โจทก์คัดมาเพียงบางส่วนเท่านั้น
ก่อนและหลังวันที่โพสต์ข้อความดังกล่าว พยานไม่ได้โพสต์ข้อความในทำนองนี้อีก
พยานไม่เคยถูกพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก คดีของพยานอยู่ระหว่างพิจารณาคดีทั้งสิ้น
ต่อมา ภาณุพงศ์เบิกความตอบพนักงานอัยการถามค้านว่า ประกาศนียบัตรที่พยานได้รับเป็นทั้งช่วงรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10
นอกจากคดีนี้ก็ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 อีกหลายคดี โดยคดีมาตรา 112 ทุกคดีเกิดขึ้นในช่วงรัชกาลที่ 10 และข้อความที่โพสต์มีการเอ่ยพระนามรัชกาลที่ 10
พนักงานอัยการถามว่า วัตถุประสงค์ของพยานคือไม่พอใจการทำงานของรัฐบาล ต้องการให้พระมหากษัตริย์ออกมาช่วยเหลือ แต่ทำไมข้อความของพยานไม่ได้มีการพูดถึงรัฐบาล พยานตอบว่า สถานการณ์ในขณะนั้นมีความรุนแรงของรัฐ พยานจึงเรียกร้องถึงพระมหากษัตริย์
อัยการถามต่อว่า คนที่มาแสดงความคิดเห็นใต้โพสต์ตามฟ้อง ไม่มีใครแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐบาลใช่หรือไม่ พยานตอบว่า ไม่ทราบ และพยานไม่ทราบว่า เฟซบุ๊กสามารถจำกัดบุคคลให้ไม่เห็นข้อความได้หรือไม่
พยานเห็นว่า ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ แต่ต้องไม่มีลักษณะดูถูกหรือหมิ่นประมาท
ก่อนตอบทนายจำเลยถามติงว่า ในคดีมาตรา 112 ที่พยานถูกดำเนินคดี ล้วนมีเหตุมาจากการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ดีขึ้นกว่าเดิม และเพื่อให้ประชาชนรักมากขึ้นกว่าเดิม
.
หลังเสร็จการสืบพยาน ศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 28 มี.ค. 2567 เวลา 09.00 น.
(อ้างอิง: คำเบิกความพยานจำเลย ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.2380/2564 ลงวันที่ 31 ม.ค. 2567 และ https://tlhr2014.com/archives/65956) -
วันที่: 28-03-2024นัด: ฟังคำพิพากษาเนื่องจากภาณุพงศ์ไม่ได้เดินทางมาศาล ศาลจึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับจำเลยมาฟังคำพิพากษาในวันที่ 8 พ.ค. 2567 เวลา 09.00 น. และริบหลักประกัน
-
วันที่: 08-05-2024นัด: ฟังคำพิพากษาเวลาประมาณ 09.20 น. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 714 ผู้รับมอบฉันทะทนายความและนายประกันเดินทางมาศาลเพื่อฟังคำพิพากษา ต่อมาศาลออกนั่งพิจารณาคดีและอ่านคำพิพากษา สรุปความได้ดังนี้
พิเคราะห์พยานโจทก์และจำเลย รับฟังเป็นที่ยุติว่า วันที่ 8 พ.ย. 2563 จำเลยโพสต์ข้อความตามฟ้อง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดหรือไม่
เห็นว่า ถ้อยคำว่า “คุณ” หมายถึง รัชกาลที่ 10 เนื่องจากข้อความที่จำเลยโพสต์ส่วนท้ายมีถ้อยคำว่า “วชิราลงกรณ์” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระนามรัชกาลที่ 10 ประกอบกับจำเลยเบิกความเป็นพยานและตอบโจทก์ถามค้านยอมรับว่า “คุณ” และ “วชิราลงกรณ์” หมายถึง รัชกาลที่ 10 ย่อมแสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยที่ต้องการโพสต์ข้อความดังกล่าวสื่อตรงถึงรัชกาลที่ 10
คำพิพากษาอ้างอิงถึงความคิดเห็นของพยานโจทก์ ทั้ง คมสัน โพธิ์คง, แน่งน้อย อัศวกิตติกร, นพคุณ ทองถิ่น และ พัลลภา เขียนทอง ที่เบิกความว่า เห็นว่าข้อความเป็นการกล่าวถึงรัชกาลที่ 10 ในลักษณะดูหมิ่นพระเกียรติ
นอกจากนี้ จำเลยยังอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความและตอบโจทก์ถามค้านว่า สาเหตุที่โพสต์เนื่องจากขณะนั้นอยู่ในช่วงโควิด-19 มีประชาชนเสียชีวิตจำนวนมากและรัฐไทยมีการใช้ความรุนแรงกับประชาชนที่ออกมาชุมนุมทางการเมือง
เมื่อพิจารณาข้อความที่จำเลยโพสต์โดยรวมแล้ว ข้อความเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงในลักษณะที่ว่ารัชกาลที่ 10 ยืนบนซากปรักหักพังของประชาธิปไตยหรือศพประชาชน วิญญูชนทั่วไปที่เข้ามาอ่านข้อความที่จำเลยโพสต์อาจจะเข้าใจได้ว่ารัชกาลที่ 10 ทรงเป็นผู้ที่มีส่วนรู้เห็นทำให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยชำรุดทรุดโทรมลง และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของประชาชนในช่วงโควิด-19 อันเป็นการประทุษร้ายต่อเกียรติของพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นสถาบันหลักของสังคมไทยที่เกื้อกูลแผ่นดินและเป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจอันเป็นที่เคารพรักของประชาชน
การที่จำเลยโพสต์ข้อความดังกล่าวบนเฟซบุ๊กซึ่งมีการตั้งค่าแบบสาธารณะ ทำให้บุคคลทุกคนสามารถพบและแสดงความคิดเห็นใต้ข้อความที่จำเลยโพสต์ได้ ในลักษณะที่ลดทอนคุณค่าของสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นการกระทำที่ทำร้ายจิตใจของปวงชนชาวไทยที่มีความเคารพรักและเทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์และสถาบันกษัตริย์ และอาจก่อให้เกิดความขุ่นเคืองขึ้นในหมู่ประชาชน โดยประการที่น่าจะทำให้รัชกาลที่ 10 ทรงเสื่อมเสียชื่อเสียง ทรงถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง
นอกจากนั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 6 วรรคหนึ่ง ยังบัญญัติรับรองว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้
แม้จำเลยจะอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความและตอบทนายโจทก์ถามค้านในทำนองเดียวกันว่า สาเหตุที่จำเลยโพสต์ข้อความดังกล่าวถึงพระมหากษัตริย์เนื่องจากขณะนั้นเป็นช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 และรัฐบาลมีการใช้ความรุนแรงกับประชาชน ไม่มีบุคคลใดสามารถควบคุมรัฐบาลได้ จำเลยจึงต้องตั้งคำถามถึงพระมหากษัตริย์เพื่อให้เป็นผู้ที่เข้ามาห้ามปรามรัฐบาลในขณะนั้น แต่เมื่อพิจารณาข้อความที่จำเลยโพสต์แล้ว ไม่มีถ้อยคำตอนใดหรือส่วนใดที่มีกล่าวถึงหรือสื่อความหมายไปในทำนองที่ทำให้เข้าใจได้ว่าต้องการให้พระมหากษัตริย์ทรงระงับความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับประชาชน
นอกจากนี้ข้อความที่จำเลยโพสต์มีการทำสัญลักษณ์ (#) ซึ่งพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้ความหมายของคำว่า “ปฏิรูป” ไว้ว่า ปรับปรุงให้สมควร เมื่อพิจารณาถ้อยคำดังกล่าวประกอบกันแล้วแสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยที่ต้องการโพสต์ข้อความที่สื่อความหมายเพื่อให้มีการปรับปรุงสถาบันกษัตริย์ ไปยังกลุ่มบุคคลที่สามที่มีความสนใจในเรื่องดังกล่าว โดยไม่มีลักษณะที่จะสื่อความหมายให้เห็นว่าให้พระมหากษัตริย์ระงับความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชนตามที่จำเลยอ้างแต่อย่างใด
ทั้งข้อความที่จำเลยโพสต์มิใช่เป็นเพียงการตั้งคำถามตามที่จำเลยอ้าง แต่เป็นรูปแบบของข้อความที่ไม่ต้องการคำตอบ การกระทำของจำเลยเป็นความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 สถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันหลักและมีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศ การที่จำเลยโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กจึงเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามฟ้องด้วย
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 4 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุก 3 ปี
ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกจำเลยต่อจากคดีอื่นนั้น ไม่ปรากฏว่าคดีดังกล่าวศาลมีคำพิพากษาแล้วหรือไม่ จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ คำขอส่วนนี้ให้ยก
ผู้พิพากษาซึ่งลงนามในคำพิพากษา ได้แก่ เอกพงษ์ ช้อนสวัสดิ์ และมนูญ แสงงาม
คดีนี้เป็นคดีมาตรา 112 คดีแรกในทั้งหมด 9 คดี ที่ไมค์ถูกกล่าวหาและศาลมีคำพิพากษา
(อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/66866)
สถานะ การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว หรือ ผลการพิพากษา
ชั้นสอบสวน
ผู้ถูกดำเนินคดี :
ภาณุพงศ์ จาดนอก
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
-
ศาลชั้นต้น
ผู้ถูกดำเนินคดี :
ภาณุพงศ์ จาดนอก
ชื่อองค์คณะผู้พิพากษา :
- เอกพงษ์ ช้อนสวัสดิ์
- มนูญ แสงงาม
ผลการพิพากษา
ลงโทษ
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ :
08-05-2024
แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์