ค้นหาแบบละเอียด
ผลการค้นหา
ผลลัพธ์
ทั้งหมด 54 กรณี
รุ่งเรือง (ผู้ป่วยจิตเภท) คดี 112 (โพสต์เฟซบุ๊ก)
รุ่งเรือง (นามสมมติ) ผู้ป่วยจิตเภทจากการใช้สารเสพติดเป็นเวลานาน ขณะเข้ารับการตรวจรักษาได้โพสต์ข้อความที่เข้าข่ายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2559 และถูกเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมนำตัวไปดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ รุ่งเรืองถูกคุมขังในเรือนจำเรื่อยมาตั้งแต่ถูกจับกุมโดยไม่เคยได้ยื่นประกันตัว เนื่องจากญาติไม่มีหลักทรัพย์ และให้การรับสารภาพ ก่อนศาลพิพากษาจำคุกในที่สุด รุ่งเรืองถือว่าเป็นผู้ป่วยจิตเวชหนึ่งในหลายคนที่ได้รับผลกระทบ ต้องมีภาระในการต่อสู้คดี และถูกคุมขัง จากการใช้มาตรา 112 มาดำเนินคดีกับประชาชนที่ใช้เสรีภาพในการแสดงความเห็นจำนวนมากหลังการรัฐประหาร ทั้งนี้ การดำเนินคดีและพิพากษาลงโทษจำคุก โดยยกคำขอให้รอการลงโทษจำคุกเนื่องจากรุ่งเรืองมีอาการเจ็บป่วยทางจิต เพราะการกระทำของรุ่งเรืองเป็นการล่วงละเมิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ที่ประชาชนเคารพเทิดทูนและเป็นผู้ทรงคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ และศาลลงโทษสถานเบาแล้วนั้น อาจไม่สอดคล้องกับหลักการคุ้มครองด้านความรับผิดทางอาญาของผู้กระทำผิดที่มีอาการเจ็บป่วยทางจิต
อดีตผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ ร่วม “วิ่งไล่ลุง” พร้อมไลฟ์สด ถูกดำเนินคดี “ไม่แจ้งการชุมนุม”
น.ส.อิสรีย์ อภิสิริรุจิภาส อดีตผู้สมัคร ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ จ.บุรีรัมย์ ถูกตำรวจติดตามไปพบที่บ้าน หลังโพสต์คลิปว่า จะไปร่วมกิจกรรม "วิ่งไล่ลุง" ที่สวนสาธารณะ อ.สตึก และต่อมา หลังไปร่วมวิ่ง และไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวในวันที่ 12 ม.ค. 63 อิสรีย์ถูกดำเนินคดีในข้อหา จัดการชุมนุมสาธารณะโดยไม่แจ้งการชุมนุม ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ อิสรีย์ยืนยันให้การปฏิเสธ เนื่องจากเป็นเพียงผู้เข้าร่วมกิจกรรมวิ่ง ไม่ได้เป็นผู้จัด อีกทั้งกิจกรรมวิ่งไล่ลุงในวันดังกล่าวก็เหมือนกับกิจกรรมวิ่งเพื่อสุขภาพทั่วไปไม่เข้าข่ายการชุมนุม
เค (นามสมมติ) คดี 112 (โพสต์ขายเหรียญหลัง ร.9 สวรรคต)
นายเค (นามสมมุติ) เด็กหนุ่มอายุ 19 ปี ถูกประชาชนนับสิบคนเข้าทำร้ายร่างกายและลากตัวลงมาจากหอพักชั้น 4 บังคับให้นั่งลงกราบพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 9 ทั้งยังถูกดำเนินคดีในข้อหา หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ หลังจากโพสต์ขายเหรียญลงในกรุ๊ปเฟซบุ๊กซื้อขายของมือสองแห่งหนึ่ง ในช่วงหลังการสวรรคตของรัชกาลที่ 9 และโพสต์ข้อความตอบโต้คนที่เข้ามาแสดงความเห็นตำหนิเขา โดยภาพและข้อความที่เคโพสต์ถูกตีความว่า มีลักษณะดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ กรณีนี้เป็นอีกกรณีหนึ่งที่เกิดขึ้นในกระแสการล่าแม่มด คุกคามผู้ที่แสดงออกหรือแสดงความเห็นแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ ภายหลังเหตุการณ์สวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งบรรยากาศความโศกเศร้าจากการเสด็จสวรรคตครอบคลุมอยู่ทั่วไปในสังคมไทย
นักแสดงละครเวที "เจ้าสาวหมาป่า" ถูกดำเนินคดี 112
ปติวัฒน์ หรือแบงค์ (สงวนนามสกุล) และภรณ์ทิพย์ หรือกอล์ฟ (สงวนนามสกุล) นักศึกษา/นักกิจกรรม/ศิลปิน ถูกจับกุมในเดือนสิงหาคม 2557 ตามหมายจับศาลอาญาในข้อหา หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากกรณีมีส่วนร่วมในละครเวทีเรื่อง "เจ้าสาวหมาป่า" ซึ่งกลุ่มประกายไฟการละครจัดแสดงในงานรำลึก 40 ปี 14 ตุลาฯ ในปี 2556 ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยเครือข่ายเฝ้าระวัง พิทักษ์และปกป้องสถาบัน นัดหมายกันเข้าแจ้งความให้ดำเนินคดีผู้ที่เกี่ยวข้องกับละครดังกล่าวที่สถานีตำรวจหลายจังหวัด ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม 2556 หลังรัฐประหาร 22 พ.ค. 57 กรณีนี้จึงถูกติดตามจากฝ่ายความมั่นคง และถูกเร่งรัดดำเนินคดี โดย คสช. ได้เรียกกลุ่มนักกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม "ประกายไฟ" หลายรายเข้ารายงานตัวในเดือนมิถุนายน 2557 และถูกสอบถามอย่างหนักถึงความเกี่ยวพันกับการแสดงดังกล่าว กรณีนี้นับเป็นการนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาใช้ดำเนินคดีกับการแสดงออกผ่านงานศิลปะ ซึ่งสามารถตีความได้หลากหลาย และเป็นเพียงการใช้เสรีภาพในการแสดงออก อันถือเป็นการปิดกั้นการแสดงออกของประชาชน นอกจากนี้ ทั้งสองยังไม่ได้รับสิทธิในการปล่อยตัวชั่วคราว แม้จะยื่นประกันหลายครั้ง ซึ่งถือเป็นการถูกละเมิดสิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม ทั้งนี้ การคุมขังอันมีเหตุมาจากการใช้เสรีภาพในการแสดงออก ทำให้ UN แสดงความวิตกกังวล โดยถือว่าเป็นการควบคุมตัวโดยพลการ
เฉลียว คดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ (อัปโหลดคลิปบรรพต)
นายเฉลียว ช่างตัดกางเกง มีชื่อถูกเรียกรายงานตัวตามคำสั่ง คสช. ที่ 44/2557 หลังเขาเข้ารายงานตัว เฉลียวถูกซักถาม นำตัวไปตรวจค้นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่บ้าน และถูกควบคุมตัวในค่ายทหารจนครบ 7 วัน จากนั้น ทหารได้ส่งตัวเขาไปดำเนินคดีในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 จากการดาวน์โหลดคลิปเสียงของผู้ใช้นามแฝงว่า 'บรรพต' เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ส่วนตัว แล้วนำไปอัปโหลดลงบนเว็บไซต์ 4shared ในช่วงปี 2554-2555 โดยถูกกล่าวหาว่า เนื้อหาของคลิปเสียงเหล่านั้นเข้าข่ายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ นายเฉลียวให้การรับสารภาพทั้งในชั้นสอบสวนและในศาลชั้นต้น โดยไม่มีทนายความสำหรับต่อสู้คดี และไม่ได้รับการประกันตัว ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 1 ปี 6 เดือน โดยให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นลงโทษจำคุก 2 ปี 6 เดือน และไม่รอการลงโทษ กรณีนี้เป็นอีกกรณีที่ประชาชนที่เห็นต่างถูก คสช.ใช้กฎหมาย มาตรา 112 มาปิดกั้นการใช้เสรีภาพในการแสดงออก หลังรัฐประหาร คสช. ออกคำสั่งเรียกบุคคลมารายงานตัว โดยจำนวนหนึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยว่า มีการกระทำเข้าข่ายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ และใช้ข้อมูลจากการซักถามในช่วงที่ผู้ถูกเรียกรายงานตัวอยู่ในการควบคุมตัวของทหาร นำไปดำเนินคดี ซึ่งไม่เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ทำให้ผู้ถูกดำเนินคดีไม่ได้รับความเป็นธรรม คดีนี้พิจารณาที่ศาลอาญา ทั้งนี้ เป็นที่สังเกตว่า คดีตามมาตรา 112 หลายคดีที่การกระทำที่ถูกกล่าวหาเกิดก่อน คสช.ประกาศให้พลเรือนขึ้นศาลทหารในลักษณะเดียวกันนี้ แต่ถูกพิจารณาในศาลทหาร แม้จำเลยจะโต้แย้งเขตอำนาจศาลก็ตาม
ปิยรัฐฉีกบัตรประชามติ
นายปิยรัฐ จงเทพ นักกิจกรรม ฉีกบัตรลงคะแนนประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่หน่วยลงคะแนนในวันออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2559 เพื่อประท้วงการออกเสียงประชามติที่ไม่เสรีและเป็นธรรม โดยมีนายทรงธรรม แก้วพันพฤกษ์ และนายจิรวัฒน์ เอกอัครนุวัฒน์ บันทึกวิดีโอขณะนายปิยรัฐฉีกบัตร ปิยรัฐถูกควบคุมตัวไปจากหน่วยลงคะแนนในทันที โดยตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีทั้งสามคนตาม พ.ร.บ.ประชามติฯ ในเวลาต่อมา
กิจกรรม "พลเมืองรุกเดิน" พันธ์ศักดิ์ถูกดำเนินคดี ม.116
พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ ออกเดินเท้าจากบ้านย่านบางบัวทองในวันที่ 14 มี.ค. 2558 เพื่อไปพบพนักงานสอบสวนที่ สน.ปทุมวัน ตามที่มีนัดรายงานตัวในคดี "เลือกตั้งที่ (รัก) ลัก" ในวันที่ 16 มี.ค. 2558 การเดินเท้าดังกล่าวเป็นการทำกิจกรรม “พลเมืองรุกเดิน” ในนามกลุ่มพลเมืองโต้กลับ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม และให้ยุติการนำพลเมืองขึ้นศาลทหาร พันธ์ศักดิ์ถูกตำรวจควบคุมตัวตั้งแต่ออกเดินได้ไม่นาน แม้จะได้รับการปล่อยตัวในช่วงเย็นวันที่ 14 มี.ค. และสามารถออกเดินต่อในวันที่ 15-16 มี.ค. จนถึงจุดหมาย แต่ก็ถูกทหารและตำรวจร่วมกันแจ้งความดำเนินคดีในข้อหา ฝ่าฝืนประกาศ คสช.ฉบับที่ 7/2557 ชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป, ยุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 นอกจากนี้ ยังมีประชาชนที่มามอบดอกไม้ให้นายพันธ์ศักดิ์ระหว่างทางอีก 6 ราย ถูกออกหมายจับด้วย โดยเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมมาดำเนินคดีได้เพียงคนเดียวคือ นายปรีชา แก้วบ้านแพ้ว อายุ 77 ปี กิจกรรมดังกล่าวเป็นการใช้เสรีภาพในการแสดงออกโดยสงบและสันติตามที่รัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศให้การรับรอง แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ใช้กฎหมายพยายามปิดกั้น รวมถึงดำเนินคดี เพื่อหวังควบคุมการแสดงออกของประชาชน และให้จำเลยยุติการเคลื่อนไหวทางการเมือง
รวมพลคนอยากเลือกตั้งชุมนุมหน้ามาบุญครอง ถูกดำเนินคดี (MBK39)
กลุ่มประชาชนจัดกิจกรรม ‘รวมพลคนอยากเลือกตั้ง’ เมื่อวันที่เสาร์ที่ 27 มกราคม 2558 ถูกออกหมายเรียกรับทราบข้อกล่าวหา หลังจากจัดกิจกรรมที่บริเวร skywalk หอศิลป์กรุงเทพฯ เป็นจำนวน 39 คน หรือเรียกอีกชื่อหนี่งว่า ‘MBK39’ คดี MBK39 นับเป็นคดีที่ตำรวจเร่งรัดดำเนินคดีอย่างมาก เนื่องจากออกหมายเรียกระหว่างวันที่ 29-30 ม.ค. 2561 แต่เรียกให้มาพบพนักงานสอบสวนวันที่ 2 ก.พ. 2561 โดยให้เวลาเพียง 2-3 วันเท่านั้น
สิชลโพสต์เฟซบุ๊กวิจารณ์พระมหากษัตริย์ (พ.ร.บ.คอมฯ และยุยงปลุกปั่น)
26 ก.ย. 2561 สิชล หรือนที ถูกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบจับกุมตามหมายจับศาลทหารกรุงเทพขณะเดินอยู่ริมถนน และนำตัวไปดำเนินคดีที่ ปอท. ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากการโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อปี 2559 แสดงความเห็นต่อพระราชดำรัสของรัชกาลที่ 9 แม้ในภายหลังอัยการทหารจะสั่งไม่ฟ้องในความผิดตาม ม.112 แต่อัยการพลเรือนยังยื่นฟ้องในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และข้อหา ยุยงปลุกปั่น ตาม ม.116 ซึ่งเป็นความผิดต่อความมั่นคงเช่นเดียวกัน และศาลพิพากษาว่า สิชลมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ลงโทษจำคุก 3 ปี ลดเหลือจำคุก 2 ปี เนื่องจากจำเลยเป็นจิตเภท สิชลถูกศาลออกหมายจับในข้อหาตาม ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ แต่เขาถูกจับกุมในปี 2561 ซึ่งเป็นช่วงที่มีปรากฏการณ์ของการไม่พยายามนำข้อกล่าวหาตาม ม.112 มาใช้ดำเนินคดี ทำให้อัยการทหารสั่งไม่ฟ้องเขาในข้อหาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม สิชลยังถูกฟ้องในความผิดตาม ม.116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ แทน สะท้อนให้เห็นการใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และ ม.116 เป็นเครื่องมือปิดกั้นการแสดงความเห็นในประเด็นที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์แทน ม.112
คดีสหพันธรัฐไท ใส่เสื้อดำ-ชูป้าย หน้าMBK
5 ธ.ค. 61 มีประชาชนประมาณ 20 คน ร่วมกันถือป้ายที่เป็นธงสัญลักษณ์ลายขาว-แดง มีข้อความ “Thai Federation” บริเวณสกายวอล์คหน้าเอ็มบีเคเซ็นเตอร์ จากนั้นตำรวจประมาณ 10 นาย เข้าจับกุมประชาชนในบริเวณนั้นรวม 5 คน และเด็กอายุ 11 ขวบอีก 1 คน นำตัวไป สน.ปทุมวัน ต่อมา ติดตามจับกุมในภายหลังอีก 1 คน หลังการจับกุมเจ้าหน้าที่ได้นำผู้ถูกจับกุม 2 คน ไป มทบ. 11 ควบคุมตัวไว้ 7 วัน โดยอ้างคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 ต่อมา มีการดำเนินคดีบุคคลทั้ง 6 คน (ยกเว้นเด็ก) ในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558, เป็นอั้งยี่ และยุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 และมาตรา 116, ไม่แจ้งการชุมนุม และชุมนุมสาธารณะในรัศมี 150 เมตร จากวังสระปทุม ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ แม้ว่าทั้งหมดจะยืนยันว่า ไม่ได้มีเจตนามาทำกิจกรรมดังกล่าว เพียงแต่มาทำธุระบริเวณนั้นและถูกขอให้ช่วยถือป้ายเพื่อถ่ายรูป รวมทั้งไม่รู้ความหมายของป้ายดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ 1 ใน 6 คน ยังถูกแจ้งข้อหากล่าวหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 อีก 1 ข้อหา จากการเผยแพร่ภาพถ่ายกิจกรรมลงในเฟซบุ๊ก