ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
ดำ 59/2565
แดง 96/2565

ผู้กล่าวหา
  • ทรงฤทธิ์ เอี่ยมครอง และประภพ นิติธัญกุล (ประชาชน)
ผู้ถูกดำเนินคดี

ข้อหา

  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)

หมายเลขคดี

ดำ 59/2565
แดง 96/2565
ผู้กล่าวหา
  • ทรงฤทธิ์ เอี่ยมครอง และประภพ นิติธัญกุล

ความสำคัญของคดี

พลทหาร “เมธิน” (นามสมมติ) ทหารเกณฑ์วัย 21 ปี ถูกจับกุมและดำเนินคดีในข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยถูกกล่าวหาว่าพูดพาดพิงถึงรัชกาลที่ 10 ขณะมีปากเสียงกับคู่กรณีที่เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์กลางดึก เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2565 โดยมีคู่กรณีเป็นคนไปแจ้งความร้องทุกข์ ที่ สภ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี คดีนี้มีการพิจารณาคดีในศาลทหารกรุงเทพ และหลังการถูกจับกุมเมธินก็ถูกคุมขังที่เรือนจำใน มทบ.11 ตลอดมา กระทั่งศาลมีคำพิพากษาจำคุก

กรณีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่มีอัตราโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี แต่กลับเปิดโอกาสให้บุคคลใดก็ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษแม้ไม่ได้เป็นผู้เสียหาย ทำให้ข้อกล่าวหาดังกล่าวถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งบุคคลอื่น

พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี

อัยการศาลทหารกรุงเทพ บรรยายคำฟ้องโดยสรุปว่า

เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2565 เวลากลางคืน จําเลยได้ใส่ความรัชกาลที่ 10 ต่อทรงฤทธิ์ เอี่ยมครอง และประภพ นิติธัญกุล ซึ่งเป็นบุคคลที่สาม โดยกล่าวพาดพิงถึงอาการพระประชวร อันเป็นความเท็จทั้งสิ้น ในความจริงแล้วพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรงและทรงเป็นประมุขของประเทศ การกระทําของจําเลยเป็นไปในทางที่มิบังควร อันเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ โดยประการที่น่าจะทําให้รัชกาลที่ 10 เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ทรงถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง

(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลทหารกรุงเทพ คดีดำที่ 59/2565 ลงวันที่ 1 มิ.ย. 2565)

ความคืบหน้าของคดี

  • ตำรวจ สภ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี นำหมายจับของศาลทหารกรุงเทพในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เข้าจับกุม “เมธิน” (นามสมมติ) พลทหารอายุ 22 ปี ถึงกองพันทหารแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งเมธินถูกส่งไปประจำการตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 หลังสมัครเข้าเป็นทหารเกณฑ์แทนการจับใบดำใบแดง และเข้ารับการฝึกจนครบกำหนด หลังการจับกุมตำรวจได้นำตัวเมธินไปยัง สภ.บางบัวทอง

    พนักงานสอบสวนแจ้งพฤติการณ์คดีระบุว่า เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2565 เมธินได้พูดพาดพิงรัชกาลที่ 10 ต่อบุคคลที่ 3 ซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 112

    เมธินให้การรับสารภาพโดยไม่มีทนายความร่วมอยู่ด้วย และตำรวจก็ไม่ได้ให้เขาดูคลิปวีดีโอที่ผู้กล่าวหานำมาแจ้งความร้องทุกข์

    เมธินเปิดเผยข้อมูลกับทนายความในภายหลังถึงเหตุในคดีนี้ว่า เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2565 เขาได้ขอลาหยุดราชการเพื่อกลับมาเยี่ยมครอบครัวที่ จ.นนทบุรี ในวันดังกล่าวเขาได้ไปสังสรรค์ที่บ้านเพื่อน ขณะสังสรรค์อยู่นั้นเมธินได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนคนหนึ่งว่า เพิ่งประสบอุบัติเหตุและต้องการให้เมธินมาเยี่ยมที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์

    ด้วยความเป็นห่วง เมธินจึงรีบขับรถจักรยานยนต์ไปหาเพื่อนคนดังกล่าวแทบจะทันที แต่ระหว่างทางมุ่งหน้าไปโรงพยาบาล เมธินประสบอุบัติเหตุถูกรถยนต์คันหนึ่งขับเฉี่ยวปาดหน้าและทั้งคู่ได้หยุดรถเพื่อตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้น เมธินเล่าว่าเขามีปากเสียงกับคู่กรณี ด้วยความโกรธและขาดสติจากการดื่มสุรา

    จากนั้นตำรวจได้ประสานงานให้แม่เมธินมารับตัวเขากลับบ้าน หลังหลับไปและตื่นขึ้นมา เมธินเล่าว่าเขาจำเหตุการณ์อะไรไม่ได้เลยเพราะเมา แม่จึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง ภายหลังเขาได้ตกลงชดใช้ค่าเสียหายจากการกระโดดขึ้นกระโปรงรถให้กับคู่กรณี และจบคดีดังกล่าวไปแล้ว

    ต่อมา เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2565 คู่กรณีได้นำคลิปวิดีโอที่บันทึกขณะมีปากเสียงกับเมธิน ไปแจ้งความตำรวจที่ สภ.บางบัวทอง ให้ดำเนินคดีกับเมธิน ในวันเดียวกันหน่วยงานต้นสังกัดทราบเรื่องที่เกิดขึ้น จึงเรียกตัวเมธินกลับค่ายทหารทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในช่วงการลาพักราชการของเขา เมธินเดินทางกลับค่ายทหารในวันนั้นทันที จากนั้นเขาถูกขังในค่ายทหารเป็นเวลา 5 วัน ก่อนมีคำสั่งส่งไปธำรงวินัยที่ มทบ.11 เป็นเวลา 1 เดือน (30 วัน)

    และในวันที่ต้นสังกัดไปรับเมธินจาก มทบ.11 กลับค่ายทหาร ตำรวจ สภ.บางบัวทอง ก็เดินทางเข้าไปจับกุม

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/44842)
  • พนักงานสอบสวนนำตัวเมธินจาก สภ.บางบัวทอง ไปขออำนาจศาลทหารกรุงเทพฝากขัง โดยศาลอนุญาตให้ฝากขัง ทำให้เมธินถูกนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำ มทบ.11 จ.นครปฐม ในทันที

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/44842)
  • อัยการศาลทหารกรุงเทพยื่นฟ้องเมธินต่อศาลทหารกรุงเทพ ในฐานความผิด หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ ระบุในคำฟ้องว่า จําเลยได้ใส่ความรัชกาลที่ 10 ต่อบุคคลที่สาม โดยกล่าวพาดพิงถึงอาการพระประชวร อันเป็นความเท็จทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการกระทําไปในทางที่มิบังควร ทำให้รัชกาลที่ 10 เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกดูหมิ่นและถูกเกลียดชัง

    ทั้งนี้ หลังถูกฝากขังเมธินถูกคุมขังชั้นสอบสวนที่เรือนจำ มทบ.11 เรื่อยมาจนกระทั่งอัยการฟ้อง โดยญาติไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้เลย มีการอ้างถึงมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรคของทางเรือนจำ มีเพียงการโทรติดต่อจากเมธินไปหาครอบครัวเป็นระยะเวลาสั้นๆ ครั้งละ 5 นาที รวม 2 ครั้ง ในช่วงปลายเดือนมีนาคมและเมษายน

    จากนั้นเมธินได้ขาดการติดต่อกับครอบครัวไปในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน ครอบครัวจึงได้เขียนจดหมายส่งไปถึงเมธินในเรือนจำแทน โดยได้ส่งไปถึง 2 ครั้งในระยะเวลาห่างกันประมาณ 2 สัปดาห์ แต่ทว่าก็ยังไม่ได้การติดต่อกลับมาหรือได้รับจดหมายตอบกลับ ทำให้ครอบครัวเป็นห่วงความปลอดภัยของเมธิน และได้ติดต่อมายังศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเมื่อต้นเดือนมิถุนายน กระทั่งทนายความติดต่อขอเข้าเยี่ยมเมธินได้เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 2565 โดยเมธินยังคงปลอดภัยดี หลังขาดการติดต่อกับครอบครัวนานเกือบ 2 เดือน

    (อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลทหารกรุงเทพ คดีดำที่ 59/2565 ลงวันที่ 1 มิ.ย. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/45254)
  • ทนายความ พร้อมทั้งแม่และพี่สาวของเมธินเดินทางไปยังศาลทหารกรุงเทพแต่เช้าตรู่ เมื่อถึงในเวลาประมาณ 08.30 น. ทั้งหมดได้ไปนั่งรอการมาถึงของเมธินภายในห้องพิจารณาคดี ขณะเดียวกันเมธินก็ถูกเบิกตัวจากเรือนจำ มทบ.11 มาศาลตั้งแต่เช้าแล้วเช่นกัน แต่ทว่ายังไม่ถูกนำตัวเข้ามายังห้องพิจารณาคดี จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปใกล้พักเที่ยง

    เมื่อเป็นดังนั้น แม่และพี่สาวของเมธินจึงได้ลงมาหาเขายังห้องขังใต้ถุนศาลเพื่อนำ ‘กับข้าว’ ที่แม่ตั้งใจทำมาจากบ้านให้เมธินได้รับประทานเป็นมื้อกลางวัน แม่เดินลงมาอยู่บริเวณหน้าห้องขังแล้วร้องขอกับเจ้าหน้าที่ว่า “ขอฝากกับข้าวให้ลูกชายกินได้ไหม” และได้ร้องขอต่ออีกว่า “ขอเห็นหน้าลูกชายหน่อยได้มั้ย ไม่ได้เจอหน้าลูกนานแล้ว”

    ในตอนแรกเจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้แม่ได้เห็นหน้าเมธิน แต่ครู่หนึ่งเจ้าหน้าที่จึงได้แง้มประตูห้องขังออกเล็กน้อยและเมธินได้ชะโงกหน้าออกมา ทั้งสองได้เจอเห็นหน้ากันเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 4 เดือน ขณะนั้นเองแม่น้ำตาไหลออกมาและหยุดมองหน้าเมธินอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะส่งมอบกล่องข้าวที่ข้างในใส่ ‘หมึก-กุ้งผัดกระเทียม’ พร้อมข้าวสวย ซึ่งเป็นเมนูโปรดของเมธินให้ผู้คุมส่งต่อให้กับลูกชายได้รับประทาน

    แม่เล่าว่า คืนก่อนหน้านี้เธอเถียงกับพ่อของเมธินอยู่นานว่าจะทำกับข้าวมาให้ลูกชายดีไหม เพราะแม่ไม่แน่ใจว่าผู้คุมจะอนุญาตให้ส่งกับข้าวให้เมธินได้ทานในห้องขังหรือไม่ ส่วนพ่อบอกว่า ทำไปก่อนเถอะและทำเยอะ ๆ ด้วย ลูกจะได้กินอิ่ม ๆ สุดท้ายวันนี้แม่ก็ทำมา

    หลังแม่ส่งข้าวให้เมธินเสร็จ พ่อของเมธินโทรหาพอดี พ่อถามว่า “ได้เจอหน้าลูกหรือยัง เขาปลอดภัยดีไหม” แม่ตอบว่า “เจอแล้ว ปลอดภัยดี และเอาข้าวให้ลูกทานแล้ว” เมื่อพ่อได้ฟังดังนั้น แม่เล่าว่าพ่อร้องไห้โฮทันที ด้วยความคิดถึงและเป็นห่วงลูกตัวเองมาก และที่วันนี้พ่อไม่ได้มาด้วยก็เป็นเพราะว่า ยังทำใจไม่ได้ที่ลูกชายตัวเองต้องติดคุก ยิ่งคิดว่าถ้าจะต้องเห็นเมธินในชุดนักโทษและตรวนข้อเท้าด้วยแล้ว พ่อคงจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่แน่ ๆ วันนี้พ่อจึงไม่ได้เดินทางมาด้วย

    เวลา 13.00 น. เมธินถูกนำตัวเข้ามาในห้องพิจารณาคดี เท้าทั้งสองข้างถูกตรวน เขาสวมชุดลำลองทหารบกเป็นเสื้อยืดแขนสั้นคอกลมสีเขียวกากี และกางเกงขาสั้นสีเขียวเข้ม แม่เล่าว่า เมธินดูผอมบางจากเดิมอยู่ไม่น้อย อีกทั้งผิวสีแทนเข้มขึ้น พี่สาวและแม่พยายามกวาดตามองดูรอบ ๆ ร่างกายของเขาว่ามีร่องรอยของบาดแผลหรือรอยฟกช้ำหรือไม่ แต่ปรากฏว่าไม่มี

    เมื่อเมธินนั่งลงบนเก้านี้ยาวภายในห้องพิจารณาคดี แม่และพี่สาวพยายามจะไปนั่งประกบอยู่เคียงข้างเพื่อหาโอกาสพูดคุยและอยู่ใกล้ชิด แต่เจ้าหน้าที่ได้ห้ามไว้ไม่ให้ทั้งสองนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกับที่เมธินนั่งได้ ทั้งสองจึงขยับไปนั่งเก้าอี้ยาวด้านหลังที่เมธินนั่งแทน และพยายามชะโงกหน้าไปคุย

    ช่วงหนึ่งแม่บอกกับเมธินว่า “ออกกำลังกายบ้างสิลูกจะได้มีกล้ามเนื้อเหมือนเดิมบ้าง” เมธินตอบสั้น ๆ ว่า “ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลยแม่”

    “จดหมายที่ส่งไปให้ 2 ฉบับ ได้รับหรือเปล่า ทำไมน้องถึงไม่ส่งจดหมายกลับมาที่บ้านบ้างเลย” พี่สาวเมธินถาม

    เมธินตอบว่า ช่วง 2 เดือนหลังที่ขาดการติดต่อกับครอบครัวไป เพราะถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ลงโทษไม่ให้โทรศัพท์ จากกรณีเพื่อนผู้ต้องขังมีปัญหาทะเลาะวิวาทกัน และเมธินถูกโยงไปมีเอี่ยวด้วย

    ส่วนที่ไม่ได้ตอบกลับจดหมายไปนั้น เมธินบอกถึงสาเหตุว่า เครื่องเขียน กระดาษ และซองจดหมายที่ร้านค้าในเรือนจำหมดชั่วคราว จึงไม่สามารถเขียนจดหมายตอบกลับที่บ้านได้ตลอดเวลานานกว่า 2 เดือน

    พี่สาวถามอีกว่า แต่เจ้าหน้าที่เรือนจำแจ้งว่า ตอนญาติเขียนจดหมายส่งถึงผู้ต้องขัง ให้แนบซองจดหมายเปล่าติดแสตมป์อากรมาด้วย เพราะจะได้สะดวกต่อการที่ผู้ต้องขังจะส่งจดหมายกลับ และพี่สาวของเมธินก็ได้ทำเช่นนั้นตลอด 2 ครั้งที่ส่งจดหมายหา เมธินตอบกลับว่า “ส่งซองจดหมายเปล่าติดแสตมป์มาได้ยังไง เรือนจำเขาสั่งห้ามนะ”

    คำตอบนี้ทำให้พี่สาวสับสนว่า แท้จริงแล้วใครพูดจริงกันแน่ และตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อเธอส่งจดหมายไปพร้อมกับซองจดหมายเปล่าพร้อมติดแสตมป์ นั่นทำให้ข้ออ้างของเมธินที่ว่า “ซองจดหมายและเครื่องเขียนไม่มีขาย” ดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

    ชีวิตภายในเรือนจำหลังถูกคุมขัง เมธินเล่าว่า เป็นไปตามสภาพของสิ่งที่เรียกว่า “คุก” ทุกวันเขาถูกสั่งให้ทำสวน ปลูกผัก ขุดแปลงปลูกผัก ฯลฯ

    ตลอดการนั่งในห้องพิจารณาคดี เมธินตอบคำถามแม่และพี่สาวในท่าทางกึ่งก้มหน้าและนิ่งสงบ จนแม่ถามเมธินถามลูกชายว่า “ทำไมน้องคุยกับแม่ไม่หันหน้ามามองแม่กับพี่เลยล่ะครับ”

    “ไม่มองดีกว่า ผมกลัวจะร้องไห้” เมธินตอบ

    เมธินบอกอีกว่า แค่ได้เจอหน้าทั้งสองคนวันนี้ก็ดีใจมากแล้ว แม้เป็นการเจอเป็นเวลาสั้นๆ ก็ตาม และยังบอกอีกว่า ถ้ามาเจอครั้งหน้าอยากให้แม่ทำ “ผัดกะเพราทะเลไข่ดาว” มาให้กินด้วย

    พี่สาวของเมธินเล่าว่า ตลอดการเจอกันน้องชายมีสีหน้าและท่าทางดูมีความกังวลในใจอยู่ตลอดเวลา ดูไม่เหมือนเมธินคนเดิม และตั้งข้อสังเกตว่า เขาไม่ได้รู้สึกดีใจหรือยิ้มแย้มเหมือนคนที่เพิ่งได้เจอหน้าครอบครัวเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน พี่สาวตั้งคำถามว่า เมธินเล่าว่าทุกอย่างโอเคดี ซึ่งสวนทางกับหน้าตาและท่าทีของเขาที่ดูอึดอัด กังวล อาจเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะถูกห้ามให้พูดอะไรบางอย่างก็เป็นได้ เพราะเจ้าหน้าที่เรือนจำอยู่ด้วยตลอดการสนทนา

    สำหรับกระบวนการพิจารณาคดี ทนายความได้ขอเลื่อนนัดสอบคำให้การออกไปสักนัด เนื่องจากเพิ่งได้รับคำฟ้อง ศาลอนุญาตให้เลื่อนไปสอบคำให้การในวันที่ 11 ส.ค. 2565 จากนั้นเมธินก็ถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัวออกจากห้องพิจารณาคดี ขณะนั้นเองแม่และพี่สาวของเมธินได้เดินเข้าไปสวมกอดอยู่ชั่วครู่ ก่อนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะพาตัวเมธินเดินจากไป

    (อ้างอิง: รายงานพิจารณา ศาลทหารกรุงเทพ คดีดำที่ 59/2565 ลงวันที่ 22 มิ.ย. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/45254)
  • เวลา 08.00 น. หลังศาลออกพิจารณาคดีและถามคำให้การ เมธินตัดสินใจให้การรับสารภาพตามที่ถูกฟ้อง ศาลจึงมีคำพิพากษาในทันที มีรายละเอียดโดยสรุปว่า จําเลยมีความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ลงโทษจําคุก 5 ปี จําเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจําคุก 2 ปี 6 เดือน

    ทั้งนี้ ตามที่จําเลยยื่นคําร้องขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจําคุกจําเลย พร้อมทั้งได้แนบเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาด้วยนั้น ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามสภาพความผิดและพฤติการณ์แห่งคดีที่จําเลยได้กระทําไป ยังไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษจําคุกจําเลย ประกอบกับศาลได้ลงโทษจําเลยในสถานเบาอยู่แล้ว จึงให้ยกคําขอของจําเลยในส่วนที่ขอรอการลงโทษ

    หลังฟังคำพิพากษา แม่และพี่สาวที่เดินทางมาพบเมธิน ได้ให้เขากินน้ำอัดลม ขนมหวาน ช็อกโกแลต ของชอบของเขา เมธินมีสีหน้าที่สดใสขึ้น ยิ้มได้ เผยว่ารู้สึกโล่งใจและมีเป้าหมาย เพราะตลอดการถูกคุมขังเกือบ 5 เดือนที่ผ่านมา ไม่เห็นปลายทางเลยว่าเรื่องนี้จะจบอย่างไร

    เมธินย้ำว่า ทำใจและยอมรับผลของคดีตั้งแต่วันที่ถูกเรียกตัวกลับค่ายทหารแล้ว ไม่เคยคิดจะหนีไปไหน แม้โทษจะหนักแค่ไหนก็พร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

    แม่ยังได้มอบข้าวกล่องให้เมธินได้รับประทานเป็นมื้อเที่ยงด้วย เป็นข้าวผัดกะเพราทะเลไข่ดาว เมนูโปรดของเมธินที่เขาขอให้แม่ทำมาให้เมื่อครั้งล่าสุดที่พบหน้ากัน

    หลังทั้งครอบครัวกอดร่ำลากัน โดยเมธินให้คำสัญญากับแม่ว่า “จะทำตัวให้ดี จะได้ออกมาอยู่กับแม่กับพ่อเร็ว ๆ ขอให้รอน้องนะ” ก่อนจะถูกนำตัวกลับเรือนจำ มทบ.11

    ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2565 ทนายได้เข้าเยี่ยมเมธินที่เรือนจำ มทบ.11 เป็นครั้งที่ 2 เมธินเปิดเผยว่า ตนถูกตรวนข้อเท้าและโซ่ น้ำหนักรวมประมาณ 3 กิโลกรัม ตลอด 24 ชั่วโมง มาเป็นระยะเวลากว่า 2 เดือน ตั้งแต่เดือน พ.ค. 2565 เนื่องจากถูกโยงกับเหตุทะเลาะวิวาทในเรือนจำ โดยเมธินยืนยันว่าตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แต่ผู้คุมไม่ยอมรับฟังเหตุผลจากเขา

    (อ้างอิง: คำพิพากษา ศาลทหารกรุงเทพ คดีดำที่ 59/2565 คดีแดงที่ 96/2565 ลงวันที่ 11 ส.ค. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/47146)

ชั้นสอบสวน

ผู้ถูกดำเนินคดี :
"เมธิน" (นามสมมติ)

การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
-

ศาลชั้นต้น

ผู้ถูกดำเนินคดี :
"เมธิน" (นามสมมติ)

ผลการพิพากษา
ลงโทษ
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
-
พิพากษาวันที่ : 11-08-2022

แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์