ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
  • อั้งยี่ (มาตรา 209)
  • ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)
ดำ อ.1298/2552

ผู้กล่าวหา
  • พันเอกบุรินทร์ ทองประไพ (ทหาร)
  • อั้งยี่ (มาตรา 209)
  • ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)
ดำ อ.1298/2552

ผู้กล่าวหา
  • พันเอกบุรินทร์ ทองประไพ (ทหาร)
ผู้ถูกดำเนินคดี

ข้อหา

  • ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)
  • อั้งยี่ (มาตรา 209)

หมายเลขคดี

ดำ อ.1298/2552
ผู้กล่าวหา
  • พันเอกบุรินทร์ ทองประไพ

ข้อหา

  • ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)
  • อั้งยี่ (มาตรา 209)

หมายเลขคดี

ดำ อ.1298/2552
ผู้กล่าวหา
  • พันเอกบุรินทร์ ทองประไพ

ความสำคัญของคดี

2 เม.ย. 2562 ประพันธ์ (สงวนนามสกุล) และเทอดศักดิ์ (สงวนนามสกุล) จำเลยในคดีสหพันธรัฐไท ถูกจับกุมตามหมายจับที่ออกในช่วงเดือนม.ค. 62 โดยพฤติการณ์ที่ทำให้ทั้งคู่ถูกจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2561 เทอดศักดิ์และประพันธ์ถูกตำรวจควบคุมตัวจากการสวมเสื้อดำ ณ บริเวณร้านแมคโดนัลด์ สาขาเดอะมอลล์ บางกะปิ ก่อนนำตัวไปที่ สน.ลาดพร้าว โดยในวันนั้นตำรวจอ้างเหตุว่าพบการนัดชุมนุมที่บริเวณห้าง จึงควบคุมตัวเทอดศักดิ์ไปซักถามและลงบันทึกประจำวันก่อนปล่อยตัว ภายหลังมีการออกหมายจับทั้งคู่นำมาสู่การจับกุมและดำเนินคดีในข้อหายุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และข้อหาอั้งยี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209

พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี

วันที่ 5 ธ.ค. 61 จำเลยทั้งสองกับพวกอีกหลายคนที่ยังไม่ได้นำตัวมาฟ้อง บังอาจร่วมกันเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีการดำเนิน มีชื่อว่า “องค์การสหพันธรัฐไท” มีความมุ่งหมายเพื่อต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไปสู่ระบอบปกครองแบบสหพันธรัฐมีประธานาธิบดีเป็นประมุข เพื่อการอันมิชอบโดยกฏหมาย

จำเลยทั้งสองกับพวกนัดหมายสวมใส่เสื้อดำมีแถบธงขาวติดที่บริเวณหน้าอกด้านซ้ายและมีอักษรสีขาวข้อความภาษาอังกฤษ “Federation” อยู่กลางหน้าอกด้านหน้า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ขององค์การสหพันธรัฐไท เดินบริเวณห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ ในวันที่ 5 ธ.ค. 61 อันมิใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญและมิใช่เพื่อแสดงความเห็นหรือติชมโดยสุจริตเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบในราชอาณาจักร

(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1298/2562 ลงวันที่ 22 พ.ค. 2562)

ความคืบหน้าของคดี

  • หลังเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบจับกุม เทอดศักดิ์ และนำตัวขึ้นรถตู้มาจากจังหวัดภูเก็ต ไปที่กองบังคับการปราบปราม โดยมีญาติมาเยี่ยมและได้พบทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาและสอบปากคำ โดยเทอดศักดิ์ ถูกแจ้งข้อหา ยุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และเป็นอั้งยี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/?p=11631)
  • 10.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวเทอดศักดิ์จากกองปราบมาที่ศาลอาญา เพื่อขออำนาจฝากขังครั้งที่ 1 ก่อนจะได้รับการประกันตัวด้วยเงินสด 200,000 บาท โดยศาลนัดรายงานตัวอีกครั้งวันที่ 22 พ.ค. 2562 ทั้งนี้เทอดศักดิ์ยังคงติดกำไลข้อเท้า EM เนื่องจากยังมีคดียุยงปลุกปั่นและอั้งยี่ จากการแจกใบปลิว ซึ่งถูกส่งฟ้องเมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2561 และได้รับการประกันตัวออกมา

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/?p=11631)
  • หลังประพันธ์ถูกจับกุมตัวจากมาเลเซียมาที่กองบังคับการปราบปราม ตามหมายจับศาลอาญาที่ 55/2562 ลงวันที่ 16 ม.ค.2562 คดีสวมเสื้อดำที่ห้างเดอะ มอลล์ บางกะปิ เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.2561 พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหา ประพันธ์ถูกตั้งข้อหายุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และอั้งยี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 ทั้งนี้ประพันธ์ยังไม่ได้ให้การกับพนักงานสอบสวน จากนั้นพรุ่งนี้(11 พ.ค.2562) พนักงานสอบสวนจะนำตัวไปขออำนาจศาลอาญาฝากขังในระหว่างการสอบสวน

    ประพันธ์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าเธอได้พบกับผู้หญิงอีกหนึ่งคนถูกควบคุมตัวมาด้วยเหตุเดียวกัน แต่เธอไม่ได้พูดคุยด้วยเนื่องจากผู้หญิงคนดังกล่าวถูกพนักงานสอบสวนสอบปากคำอยู่และถูกทหารนำตัวไปต่อ

    ประพันธ์เล่าให้ฟังว่าเธอเดินทางออกนอกประเทศไปเมื่อเดือนมกราคม 2562 และไปขอสถานะผู้แสวงหาที่ลี้ภัยกับ UNHCR ที่ประเทศมาเลเซีย แต่ระหว่างที่กำลังรอประเทศที่สามรับเป็นผู้ลี้ภัย เธอถูกตำรวจมาเลเซียจับกุมในวันที่ 24 เม.ย.2562 และคุมขังอยู่ที่สถานีตำรวจ 14 วัน จากนั้นถูกส่งไปคุมขังอยู่ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของมาเลเซียอีก 4 วัน ก่อนถูกควบคุมตัวกลับมาที่ประเทศไทย

    (อ้างอิง : https://www.tlhr2014.com/?p=12285)
  • ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานอัยการ สำนักอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 นัดสั่งฟ้อง 2 ผู้ต้องหาในคดีสหพันธรัฐไท ได้แก่ นายเทอดศักดิ์ (สงวนนามสกุล) และนางประพันธ์ (สงวนนามสกุล) ในข้อหายุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และข้อหาอั้งยี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา 209 ทั้งสองคนให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยศาลนัดตรวจพยานหลักฐานอีกครั้งวันที่ 8 ก.ค. 62

    ในวันนี้ ่นายเทอดศักดิ์ ซึ่งได้รับการประกันตัวในชั้นสอบสวนได้เดินทางมาตามนัดของอัยการ ส่วนนางประพันธ์ (สงวนนามสกุล) ซึ่งถูกคุมขังอยู่ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง ได้ถูกเจ้าหน้าที่เรือนจำนำตัวมาฟ้องต่อศาล

    อัยการบรรยายฟ้องว่า วันที่ 5 ธ.ค. 61 จำเลยทั้งสองกับพวกอีกหลายคนที่ยังไม่ได้นำตัวมาฟ้อง บังอาจร่วมกันเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีการดำเนิน มีชื่อว่า “องค์การสหพันธรัฐไท” มีความมุ่งหมายเพื่อต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไปสู่ระบอบปกครองแบบสหพันธรัฐมีประธานาธิบดีเป็นประมุข เพื่อการอันมิชอบโดยกฏหมาย

    จำเลยทั้งสองกับพวกนัดหมายสวมใส่เสื้อดำมีแถบธงขาวติดที่บริเวณหน้าอกด้านซ้ายและมีอักษรสีขาวข้อความภาษาอังกฤษ “Federation” อยู่กลางหน้าอกด้านหน้า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ขององค์การสหพันธรัฐไท เดินบริเวณห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ ในวันที่ 5 ธ.ค. 61 อันมิใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญและมิใช่เพื่อแสดงความเห็นหรือติชมโดยสุจริตเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบในราชอาณาจักร

    จำเลยทั้งสองคนได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวนายเทอดศักดิ์ โดยใช้หลักทรัพย์เดิมในการประกันตัว พร้อมนัดตรวจพยานหลักฐานในคดีในวันที่ 8 ก.ค. 62 เวลา 13.30 น.

    (อ้างอิง : https://www.tlhr2014.com/?p=12461)
  • ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานในคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ฟ้อง 2 จำเลยคดีสหพันธรัฐไท ในความผิดฐานยุยงปลุกปั่นและความผิดฐานเป็นอั้งยี่ ตามมาตรา 116 และมาตรา 209 ประมวลกฎหมายอาญา จากการสวมใส่เสื้อดำมีแถบธงขาวแดงติดที่บริเวณหน้าอกด้านซ้ายพร้อมข้อความ“Federation” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ขององค์การสหพันธรัฐไท เดินบริเวณห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ศาลกำหนดนัดสืบพยานในคดีดังกล่าวนัดแรกวันที่ 16-17,24 ม.ค. 63 โดยนายเทอดศักดิ์เป็นจำเลยผู้เดียวที่ได้รับการปล่อยชั่วคราวจากการวางเงินเป็นประกันจำนวน 200,000 บาท ส่วนนางประพันธ์ยังคงถูกคุมขังอยู่ในทัณฑสถานหญิงกลาง กรุงเทพมหานคร

    เวลาประมาณ 13.30 น.ผู้พิพากษาเข้าห้องพิจารณาเพื่อตรวจพยานหลักฐานระหว่างพนักงานอัยการโจทก์กับนายเทอดศักดิ์และนางประพันธ์ ณ ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นางประพันธ์ซึ่งยังคงถูกควบคุมตัวอยู่ในทัณฑสถานหญิงกลาง กรุงเทพมหานครเดินทางมาศาลโดยมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัวมาอย่างใกล้ชิด ส่วนนายเทอดศักดิ์เดินทางมาจากภูมิลำเนาในกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ พนักงานอัยการแจ้งว่ามีพยานบุคคลที่ต้องนำเข้าสืบทั้งสิ้น 12 คน ส่วนทนายความของทั้งสองแจ้งว่ามีพยานบุคคลที่ต้องนำเข้าสืบทั้งสิ้น 2 คน แต่สามารถรับข้อเท็จจริงระหว่างกันได้ คือพยานที่จับกุมจำเลยที่ 1 (นายเทอดศักดิ์) ส่วนพยานอีกหนึ่งคน พนักงานอัยการไม่ประสงค์จะนำสืบ เหลือรวมสืบพยานบุคคลทั้งสิ้น 10 คน โดยศาลกำหนดนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรกในวันที่ 16 ม.ค.63 และนัดสืบพยานต่อเนื่องวันที่ 17 และ 24 ของเดือนเดียวกัน

    (อ้างอิง : https://www.tlhr2014.com/?p=12957)
  • การสืบพยานในคดีนี้มีขึ้นในระหว่างวันที่ 16,17 และ 24 ม.ค. 2563 ตลอดการพิจารณาคดี 3 วัน มีผู้สังเกตการณ์จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, iLaw รวมถึงมีประชาชนทั่วไปที่ให้ความสนใจเข้าร่วมฟังการพิจารณา เดิมพนักงานอัยการแถลงต่อศาลว่า มีพยานบุคคลที่ต้องนำเข้าสืบทั้งสิ้น 10 ปาก แต่เนื่องจากทั้งสองฝ่ายสามารถรับข้อเท็จจริงกันได้ จึงมีการสืบพยานโจทก์ 8 ปาก ประกอบด้วย ตำรวจ 4 ปาก พนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างสรรพสินค้า 2 ปาก, พยานความเห็นซึ่งมีอาชีพเป็นทนายความ 1 ปาก และอดีตคนเฝ้าหอพักที่จำเลยอาศัยอยู่ 1 ปาก ส่วนทนายจำเลยไม่ประสงค์จะนำจำเลยเข้าเบิกความ

    ตำรวจผู้สืบสวนเบิกความถึงการเคลื่อนไหวของแกนนำในลาว โดยไม่มีหลักฐานการติดต่อกันของแกนนำและจำเลย
    พยานโจทก์ พ.ต.ท.แทน ไชยแสง สังกัดกองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม ซึ่งได้รับมอบหมายให้สืบสวนและบริหารงานข่าวกรอง แจ้งเตือนหน่วยงานเกี่ยวข้องเกี่ยวกับการกระทำที่กระทบความมั่นคง ได้เบิกความว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐาน เป็นอั้งยี่ ร่วมกับนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ, นายชูชีพ ชีวะสุทธิ์, นายสยาม ธีรวุฒิ, นายวัฒน์ วรรลยางกูร และนายกฤษณะ ทัพไทย ซึ่งมีการจัดรายการทางช่องยูทูบชื่อรายการ ลุงสนามหลวง มีความมุ่งหมายเพื่อต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐบาล และ คสช. เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขไปสู่ระบอบการปกครองแบบสหพันธรัฐมีประธานาธิบดีเป็นประมุข ซึ่งฝ่ายข่าวกรองได้แบ่งกลุ่มสหพันธรัฐเป็น 3 กลุ่ม 1) กลุ่มชี้นำความคิดซึ่งอยู่ต่างประเทศ 2) กลุ่มปฏิบัติการกองกำลังใช้อาวุธ 3) กลุ่มมวลชน ซึ่งแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ทุกอย่างที่เกี่ยวกับสถาบัน โดยกลุ่มแกนนำจัดรายการผ่านยูทูบ และสั่งการต่างๆ ผ่านช่องทางดังกล่าว ส่วนจำเลยทั้งสองถูกจัดอยู่กลุ่มมวลชน ทำหน้าที่เผยแพร่แนวคิด ชักชวนผู้อื่นเข้าร่วม โดยทั้งสองเป็นผู้ไปแจกใบปลิวตามที่ต่างๆ
    พยานยังเบิกความถึงกลุ่มไลน์สหพันธรัฐไท ซึ่งพยานอ้างว่า จำเลยทั้งสองอยู่ในกลุ่มด้วย ในลักษณะเดียวกับที่พยานโจทก์ในคดีสหพันธรัฐไทก่อนหน้านี้เคยเบิกความไว้ (อ่านบันทึกสืบพยานคดีที่ 1) อย่างไรก็ตาม พยานไม่ได้มีหลักฐานการติดต่อกันของกลุ่มแกนนำและจำเลยทั้งสองเป็นการส่วนตัว มีเพียงคลิปเสียงที่อ้างว่า เป็นเสียงของจำเลยที่ 2 ขณะโทรศัพท์เข้าไปในรายการ อย่างไรก็ตามพยานให้การตอบทนายจำเลยว่าไม่ได้มีการส่งคลิปเสียงที่อ้างว่าเป็นเพียงจำเลยไปตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ แต่มีสายลับซึ่งไม่อาจเปิดเผยยศ ตำแหน่งได้ยืนยันว่าเป็นเสียงจำเลย


    พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องกัน การใส่เสื้อสีเหลืองในวันที่ 5 ธ.ค. เป็นเรื่องสามัญสำนึก

    ตลอดการสืบพยานโจทก์ ตำรวจและพนักงานรักษาความปลอดภัยของห้าง เบิกความตรงกันว่า มีคำสั่งให้เฝ้าระวัง ติดตาม กลุ่มบุคคลที่ใส่เสื้อดำในวันที่ 5 ธ.ค. 61 โดยมีจุดสังเกตของบุคคลกลุ่มนี้ คือ สัญลักษณ์ ธงขาว-แดง ทนายจำเลยที่ 2 ถามพยานโจทก์ทุกปากเกี่ยวกับการสวมใส่เสื้อผ้าของพยานและประชาชนทั่วไปในวันดังกล่าว พยานทั้งหมดระบุว่า การใส่เสื้อสีเหลืองในวันที่ 5 ธ.ค. ไม่ได้เป็นคำสั่งหรือกฏหมาย โดยหลายคนรับว่าในวันนั้นคนทั่วไปไม่ได้ใส่เสื้อสีเหลืองกันทุกคน และพยานโจทก์ที่เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบไม่มีใครใส่เสื้อสีเหลือง อย่างไรก็ดี พยานหลายคนต่างยืนยันว่า ผู้มีสามัญสำนึกและสติสัมปชัญญะจะต้องใส่เสื้อสีเหลืองในวันดังกล่าว เพราะเป็นวันมงคล

    ระหว่างการพิจารณาคดี ศาลกล่าวเตือนทนายจำเลยหลายครั้ง เมื่อทนายจำเลยถามค้านเกี่ยวกับเรื่องการใส่เสื้อสีดำ โดยศาลกล่าวว่า ใส่เสื้อดำหรือไม่ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคดี เนื่องจากศาลจะพิจารณาดูจากเจตนาของจำเลย ทั้งนี้ ทนายจำเลยได้ชี้แจงต่อศาลว่า ไม่สามารถงดเว้นการถามเรื่องการใส่เสื้อในวันดังกล่าวได้ เนื่องจากเป็นข้อความที่โจทก์ฟ้องเข้ามา

    พยานโจทก์ไม่อาจแสดงหลักฐานว่า จำเลยพูดเรื่องการล้มล้างการปกครองต่อบุคคลอื่น

    พ.ต.ท.แทน ในฐานะผู้สืบสวนหาข่าวและไปสังเกตการณ์การรวมตัวของกลุ่มสหพันธรัฐไท ยังได้เบิกความตอนหนึ่งว่า ได้ยินนางประพันธ์ จำเลยที่ 2 กล่าวถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครองกับกลุ่มคนใส่เสื้อดำในห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ และยังได้ยินจำเลยพูดถึงอีกเมื่อถูกนำตัวมาหน้า สน.ลาดพร้าว เช่นเดียวกับคำเบิกความของ ร.ต.อ.อนันต์ รองสารวัตร (สืบสวน) สน.ลาดพร้าว ซึ่งเป็นผู้นำกำลังตำรวจนอกเครื่องแบบไปสังเกตการณ์ในวันที่ 5 ธ.ค. 61 และเป็นผู้กล่าวหาจำเลยทั้งสอง อย่างไรก็ดี พยานโจทก์ทั้งสองรับว่า ไม่ได้มีการอัดเสียงและถอดเทปการพูดคุยของจำเลย ถึงแม้จะเบิกความว่า มีการบันทึกภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวของจำเลย นอกจากนี้ พยานยังตอบทนายจำเลยว่า ไม่ได้ให้การในเรื่องดังกล่าวไว้กับพนักงานสอบสวน

    การปรากฏตัวของจำเลยไม่ได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายหรือมีการกระทำผิดอื่น

    พยานโจทก์ปากตำรวจและพนักงานรักษาความปลอดภัย ล้วนเบิกความตรงกันว่า จำเลยทั้งสองและกลุ่มคนเสื้อดำ มีการยืนและนั่งพูดคุยกันหน้าร้านแมคโดนัลด์ โดยไม่ได้มีการกระทำอื่นใดนอกเหนือไปจากนี้ โดยนายอัศวเมธ พนักงานรักษาความปลอดภัยที่อยู่ในเหตุการณ์ กล่าวว่า ในวันที่ 5 ธ.ค. 61 ไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้น แม้จะเห็นกลุ่มคนเสื้อดำจับกลุ่มพูดคุยกัน ในขณะที่นายภัสสร ทนายความซึ่งเป็นพยานโจทก์ในฐานะผู้ให้ความเห็น กล่าวตอบทนายจำเลยว่าลำพังเสื้อดำและการติดโบว์สีขาว-แดง ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่ เช่นเดียวกับที่ พ.ต.ท.แทน เบิกความว่า ประชาชนทั่วไปไม่ทราบว่ากลุ่มคนสวมเสื้อดำคือกลุ่มสหพันธรัฐไท เพราะไม่ได้มีการเคลื่อนไหวเปิดเผย

    จำเลยแถลงปิดคดีชี้โจทก์ฟ้องซ้อนในข้อหาอั้งยี่ อีกทั้งจำเลยไม่มีพฤติการณ์ยุยงปลุกปั่น

    เนื่องจากจำเลยทั้งสองเคยถูกฟ้องข้อหาอั้งยี่มาแล้วในคดีสหพันธรัฐไทคดีแรก คดีหมายเลขดำที่ อ.3157/2562 ของศาลอาญาเช่นเดียวกับคดีนี้ โดย พ.ต.ท.เสวก บุญจันทร์ ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนในคดีดังกล่าว มาเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีนี้ยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว ทั้งยังระบุว่า คดีทั้งสองมีข้อเท็จจริงเดียวกัน แถลงการณ์ปิดคดีของจำเลยทั้งสองจึงระบุว่า คดีนี้จำเลยถูกฟ้องในข้อหาอั้งยี่จากพฤติการณ์เดียวกันกับคดีหมายเลขดำที่ อ.3157/2562 ของศาลนี้ จึงถือเป็นการฟ้องในเรื่องเดียวกัน มีสภาพแห่งข้อหา และข้ออ้างที่โจทก์อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาอย่างเดียวกัน และฟ้องต่อศาลเดียวกัน เป็นการฟ้องซ้อนซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
    ทั้งนี้ จำเลยเห็นว่าตามหลักกฎหมายทั่วไป “บุคคลไม่อาจถูกลงโทษหลายครั้งสำหรับการกระทำความผิดครั้งเดียวได้” การลงโทษบุคคลทางอาญาเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพในชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลผู้ถูกลงโทษ การลงโทษบุคคลมากกว่าหนึ่งครั้งสำหรับการกระทำความผิดที่บุคคลนั้นได้กระทำเพียงครั้งเดียว จึงเท่ากับเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลโดยปริยายเกินความจำเป็นแก่การรักษาไว้ซึ่งประโยชน์สาธารณะ

    ในคำแถลงปิดคดีของจำเลยยังระบุว่า ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองมีพฤติการณ์ยุยงปลุกปั่นนั้น พยานโจทก์ก็เบิกความสอดคล้องตรงกันว่า ในที่เกิดเหตุจำเลยทั้งสองมีเพียงการพูดคุยในกลุ่มของตนเองเท่านั้น ไม่มีการใช้เครื่องขยายเสียงปราศรัยโจมตีต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐบาล และ คสช. แม้พยานโจทก์บางปากจะเบิกความต่อศาลว่า จำเลยทั้งสองมีการพูดปลุกระดมล้มล้างการปกครอง แต่พยานปากนั้นๆ ก็ไม่เคยให้การในเรื่องดังกล่าวในชั้นสอบสวนทั้งที่เป็นสาระสำคัญ และไม่ได้นำแถบบันทึกภาพและเสียงที่อ้างว่าได้มีการจัดทำมาแสดงต่อศาล คดีจึงไม่มีพยานหลักฐานอันน่าเชื่อถือยืนยันได้ว่าจำเลยทั้งสองพูดคุยกันในที่เกิดเหตุในเรื่องใดบ้าง
    จำเลยทั้งสองยืนยันว่า การใส่เสื้อดำในวันเกิดเหตุนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบหรือล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน โดยพยานโจทก์ก็ได้เบิกความต่อศาลว่า ประชาชนทั่วไปไม่อาจทราบได้ว่าเสื้อและสัญลักษณ์หมายถึงอะไร ส่วนที่พยานโจทก์เบิกความว่า ในวันเกิดเหตุนั้นบุคคลทั่วไปสวมใส่เสื้อสีเหลือง ก็เป็นการขัดกับหลักเหตุผลที่ว่า คนใส่เสื้อสีต่างกันจะก่อให้เกิดความไม่สงบในบ้านเมือง อีกทั้งพยานโจทก์ยังได้เบิกความว่า ในวันเกิดเหตุห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ เปิดให้บริการตามปกติ ไม่มีความวุ่นวายใดเกิดขึ้น พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดในข้อหา "ยุยงปลุกปั่น" ตามที่โจทก์ฟ้อง


    (อ้างอิง : https://www.tlhr2014.com/?p=16361)
  • เวลา 9.35 น. ทนายจำเลย 3 คน, ผู้สังเกตการณ์ของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนและ iLaw มารอฟังคำพิพากษา โดยไม่มีญาติของจำเลยมาร่วม เมื่อจำเลยทั้งสองมาพร้อมกันแล้ว โดยนางประพันธ์ จำเลยที่ 2 ถูกเบิกตัวมาจากทัณฑสถานหญิงกลาง ศาลได้เริ่มอ่านคำพิพากษา ในคำพิพากษาศาลมีประเด็นวินิจฉัยโดยสรุปดังนี้

    1) สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ศาลวินิจฉัยว่า ในคดีหมายเลขดำที่ อ.3157/2561 ที่จำเลยถูกฟ้องและมีคำพิพากษาไปแล้ว เป็นคดีหมายเลขแดงที่ อ.91/2563 โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 8 มิ.ย.– 12 ก.ย. 61 ทั้งกลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 2 (นายเทอดศักดิ์) และจำเลยที่ 3 (นางประพันธ์) กับนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ, นายชูชีพ ชีวะสุทธิ์, นายสยาม ธีรวุฒิ, นายวัฒน์ วรรลยางกูร และนายกฤษณะ ทัพไทย ซึ่งหลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ร่วมกันเป็นหัวหน้า ผู้จัดการ หรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ ในคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีการ ชื่อกลุ่มสหพันธรัฐไท มีความมุ่งหมายเพื่อต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อต้านรัฐบาลและ คสช. เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไปสู่ระบอบการปกครองในระบอบสหพันธรัฐ ที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข

    ต่อมาวันที่ 22 พฤษภาคม 2562 จำเลยถูกฟ้องในคดีนี้ โดยโจทก์บรรยายฟ้องวันที่ 4-5 ธ.ค. 2561 ในเวลากลางวัน จำเลยทั้งสอง (เทอดศักดิ์และประพันธ์) กับพวกอีกหลายคนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีการดำเนินการ มีชื่อว่า “องค์การสหพันธรัฐไท” มีความมุ่งหมายเพื่อต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐบาล และ คสช. เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไปสู่ระบอบปกครองแบบสหพันธรัฐมีประธานาธิบดีเป็นประมุข เพื่อการอันมิชอบด้วยกฏหมาย”

    ศาลเห็นว่าแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องคนละเวลา แต่เป็นเหตุการที่เกิดต่อเนื่องกัน จำเลยยังคงเป็นสมาชิกกลุ่ม ในคดีหมายเลขแดงที่ อ.91/2563 การนำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงต้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตราที่ 39 (4)
    2) โจทก์ไม่ได้นำหลักฐานที่หนักแน่นมาแสดงต่อศาล จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดข้อหา ม.116 ศาลกล่าวถึงคำเบิกความของพยานโจทก์ 4 คน คือ พ.ต.ท.แทน ตำรวจผู้เข้าสังเกตการณ์ในที่เกิดเหตุ , ร.ต.อ.อนันต์ พนักงานสอบสวน ผู้แจ้งข้อกล่าวหา และพยานพนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างสรรพสินค้า 2 ปาก ซึ่งเบิกความว่า เห็นจำเลยทั้งสองสวมเสื้อดำ โดยนายเทอดศักดิ์ สวมเสื้อดำที่มีคำว่า Federation ส่วนนางประพันธ์ สวมเสื้อดำ โดยผูกโบว์สีขาว-แดง เดินทางมาที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ ในวันที่ 5 ธ.ค. 2561 และรวมกลุ่มพูดคุยกับกลุ่มคนที่ใส่เสื้อดำ นอกจากนี้ พ.ต.ท. แทน พยานโจทก์ปากแรกยังให้การว่า ในวันที่ 4 ธ.ค. 2561 ช่องยูทูบสหพันธรัฐไทได้ออกอากาศเรื่องการล้มล้างสถาบันและให้ประชาชนสวมเสื้อดำในวันที่ 5 ธ.ค. 61 ไปตามห้างสรรพสินค้า ตั้งแต่เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป โดยในวันดังกล่าว พ.ต.ท.แทน และ ร.ต.อ.อนันต์ ได้ไปสังเกตการณ์ที่เดอะมอลล์ บางกะปิ พร้อมทั้งมีการถ่ายภาพนิ่งและวิดิโอ พยานทั้งสองให้การว่า ได้ยินจำเลยกล่าวถึงการปกครองระบอบประชาธิปไตยแต่ไม่มีกษัตริย์ โดยเป็นลักษณะแนวคิดที่คล้ายกับในเพจสหพันธรัฐไท

    ศาลเห็นว่าแม้จากการให้การของพยาน พยานย่อมทราบว่าจำเลยมีแนวคิดอย่างไร พยานทั้งสองเป็นเจ้าพนักงาน ไม่มีเหตุให้ปรักปรำจำเลย แต่พยานซึ่งให้การว่าได้ถ่ายภาพและวิดิโอเอาไว้ ไม่ได้นำหลักฐานที่หนักแน่นมาแสดงต่อศาล จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิด พิพากษายกฟ้อง

ชั้นสอบสวน

ผู้ถูกดำเนินคดี :
นางประพันธ์

การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
ผู้ถูกดำเนินคดี :
นายเทอดศักดิ์

การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต

ศาลชั้นต้น

ผู้ถูกดำเนินคดี :
นางประพันธ์

ผลการพิพากษา
ยกฟ้อง
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
-
พิพากษาวันที่ : 09-03-2020
ผู้ถูกดำเนินคดี :
นายเทอดศักดิ์

ผลการพิพากษา
ยกฟ้อง
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ : 09-03-2020

แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์