ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
  • พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
  • Facebook
  • twitter
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
ดำ อ.959/2564

ผู้กล่าวหา
  • พ.ต.ท.แสงเพ็ชร หอมสมบัติ รอง ผกก.สืบสวน สภ.ยางตลาด (ตำรวจ)
ผู้ถูกดำเนินคดี

ข้อหา

  • พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
  • Facebook
  • twitter
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)

หมายเลขคดี

ดำ อ.959/2564
ผู้กล่าวหา
  • พ.ต.ท.แสงเพ็ชร หอมสมบัติ รอง ผกก.สืบสวน สภ.ยางตลาด

ความสำคัญของคดี

"โตโต้" ปิยรัฐ จงเทพ นักกิจกรรม ถูกดำเนินคดีในข้อหา หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) โดยถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้จัดทำป้ายไวนิลวิจารณ์การจัดหาวัคซีนโควิด-19 ของรัฐบาล แล้วใส่ข้อความที่เป็นการหมิ่นประมาทรัชกาลที่ 10 และโพสต์เผยแพร่ภาพป้ายดังกล่าวที่ติดตั้งอยู่ข้างทางใน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์

ตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้เข้าแจ้งข้อกล่าวหาที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ขณะปิยรัฐถูกขังระหว่างสอบสวนในคดีอื่น อย่างไรก็ตาม เมื่อปิยรัฐได้รับการประกันตัวในคดีดังกล่าว กลับถูกอายัดตัวตามหมายจับของศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ที่ออกในวันเดียวกันนั้นอีก ก่อนถูกควบคุมตัวไปที่ สภ.ยางตลาด แจ้งข้อกล่าวหาและสอบปากคำอีกครั้ง และควบคุมตัวไปขออำนาจศาลฝากขัง แม้ทนายความจะขอให้ศาลเพิกถอนหมายจับ และคัดค้านการฝากขัง แต่ศาลยกคำร้องทั้งหมด รวมทั้งไม่ให้ประกันตัว เนื่องจากเกรงว่าจะไปก่อเหตุร้ายประการอื่นอีก ปิยรัฐถูกฝากขังระหว่างสอบสวนถึง 33 วัน จึงได้รับการประกัน โดยต้องติด EM และศาลกำหนดเงื่อนไข ห้ามมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้ รวมทั้งห้ามทำกิจกรรมที่เสื่อมเสียต่อสถาบันกษัตริย์

พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี

อัยการบรรยายฟ้องว่า

โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 2 บัญญัติว่า “ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” และมาตรา 6 บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้” ขณะเกิดเหตุรัชกาลที่ 10 แห่งราชวงศ์จักรีเป็นประมุขของประเทศ

เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2564 เวลากลางวัน ปิยรัฐกับพวกอีกหลายคนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ร่วมกันจัดทําป้ายไวนิลติดประกาศให้ประชาชนทั่วไปได้เห็นเพื่อวิพากษ์วิจารณ์การจัดหาวัคซีนไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ของรัฐบาล แล้วได้ใส่ข้อความที่เป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาทรัชกาลที่ 10 ลงในแผ่นป้ายไวนิลจํานวน 7แผ่น มีข้อความดังนี้

แผ่นที่ 1 มีข้อความว่า “หาวัคซีนให้วัง”

แผ่นที่ 2 มีข้อความว่า “ผูกขาดบริษัทวัคซีน”

แผ่นที่ 3 มีข้อความว่า “ถ้าเป็นนักการเมืองเราเรียกว่า”

แผ่นที่ 4 มีข้อความว่า “ผลประโยชน์ทับซ้อน”

แผ่นที่ 5 มีข้อความว่า “แต่พอเป็น…”

แผ่นที่ 6 มีข้อความว่า “เราเรียกว่า”

แผ่นที่ 7 มีข้อความว่า “น้ำพระทัย, พระราชทาน”

หลังจากนั้นได้ร่วมกันนําเอาแผ่นป้ายดังกล่าวไปติดไว้ที่ต้นไม้และเสาไฟฟ้าส่องสว่างบนเกาะกลางถนน รวมทั้งซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ ถนนสายยางตลาด – กาฬสินธุ์ และได้นําภาพถ่ายป้ายทั้งเจ็ดที่ถูกติดตั้งไว้ โพสต์ลงในเฟซบุ๊ก ชื่อ โตโต้ ปิยรัฐ – Piyarat chongthep และทวิตเตอร์ ชื่อ We Volunteer ของจําเลย ในลักษณะที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้

ซึ่งบุคคลทั่วไปที่ได้อ่านข้อความดังกล่าวแล้วเข้าใจได้ว่า รัชกาลที่ 10 ผูกขาดการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ในลักษณะเสียดสีประชดประชัน สร้างความเสียหายต่อพระเกียรติยศของพระองค์อย่างร้ายแรง อันเป็นการจาบจ้วง ล่วงเกิน หมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ และเป็นการนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง ซึ่งโจทก์ถือว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14

(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ คดีหมายเลขดำที่ อ.959/2564 ลงวันที่ 25 มิ.ย. 2564)

ความคืบหน้าของคดี

  • เวลา 10.30 น. คณะพนักงานสอบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์ นำโดย พ.ต.อ.สุธน สีหามาตย์ เดินทางไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อแจ้งข้อหา กับ “โตโต้” ปิยรัฐ จงเทพ แกนนำกลุ่มการ์ดอาสา We Volunteer ที่ถูกจับกุมและคุมขังในคดีอื่นมาตั้งแต่วันที่ 6 มี.ค. 2564 ในคดีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นอั้งยี่ โดยมีทนายความเข้าร่วมการสอบสวนผ่านระบบวีดิโอคอนเฟอเรนซ์

    พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อปิยรัฐ โดยระบุพฤติการณ์ว่าปิยรัฐได้ร่วมกับพวก จัดทำป้ายไวนิลเพื่อติดประกาศวิพากษ์วิจารณ์การจัดหาวัคซีนโควิด-19 ของรัฐบาล แล้วใส่ข้อความที่เป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท รัชกาลที่ 10 ลงในแผ่นป้ายดังกล่าว

    ต่อมา เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2564 เวลาประมาณ 12.00 น. ได้นำไปติดไว้ที่ต้นไม้และเสาไฟ รวมทั้งซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติบนเกาะกลางถนน บนถนนสาย อำเภอยางตลาด-จังหวัดกาฬสินธุ์ เขตหมู่บ้านโคกศรี ตำบลอุ่มเม่า อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ มีทั้งหมดจำนวน 7 แผ่นเรียงกัน ตามข้อความดังนี้

    แผ่นที่ 1 มีข้อความว่า หาวัคซีนให้วัง
    แผ่นที่ 2 มีข้อความว่า ผูกขาดบริษัทวัคซีน
    แผ่นที่ 3 มีข้อความว่า ถ้าเป็นนักการเมืองเราเรียกว่า
    แผ่นที่ 4 มีข้อความว่า ผลประโยชน์ทับซ้อน
    แผ่นที่ 5 มีข้อความว่า แต่พอเป็น… (ชื่อย่อบุคคล)
    แผ่นที่ 6 มีข้อความว่า เราเรียกว่า
    แผ่นที่ 7 มีข้อความว่า น้ำพระทัย, พระราชทาน

    ต่อมา มีการถ่ายภาพป้ายทั้งเจ็ด นำไปโพสต์ในเฟซบุ๊กชื่อ “โตโต้ ปิยรัฐ -Piyarat Chongthep” และทวิตเตอร์ชื่อ “We Volunteer” บันทึกแจ้งข้อหาระบุอีกว่า จากการสอบสวนมีพยานยืนยันว่า ข้อความตามแผ่นป้ายดังกล่าว มีข้อความที่มีความหมายสื่อเป็นเชิงดูหมิ่น หมิ่นประมาทรัชกาลที่ 10 จริง

    พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3)

    หลังได้รับการแจ้งข้อกล่าวหา ปิยรัฐให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และขอให้การเพิ่มเติมเป็นหนังสือภายใน 30 วัน โดยไม่ลงลายมือชื่อในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา

    คดีนี้นับเป็นการถูกกล่าวหาในข้อหามาตรา 112 คดีแรกของปิยรัฐ และทำให้เขาถูกกล่าวหาในคดีจากการชุมนุมและแสดงออกทางการเมืองตั้งแต่ปี 2563 รวมแล้วเป็น 11 คดี

    (อ้างอิง: บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ลงวันที่ 30 มี.ค. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/27768)
  • หลังจากเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2564 ศาลอาญามีคำสั่งอนุญาตให้ประกัน “โตโต้” ปิยรัฐ จงเทพ ระหว่างสอบสวน ในคดีที่ถูกกล่าวหาว่า เป็นอั้งยี่และซ่องโจร และปิยรัฐได้รับการปล่อยตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เขาได้ถูกตำรวจเข้าอายัดตัวตามหมายจับของศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ที่ 76/2564 ลงวันที่ 2 เม.ย. 2564 ในข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และควบคุมตัวไปที่ สน.ประชาชื่น ก่อนเวลาประมาณ 20.30 น. ปิยรัฐถูกควบคุมตัวขึ้นรถผู้ต้องขังส่งตัวไป สภ.ยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อดำเนินคดีตามหมายจับดังกล่าว

    ท่ามกลางความสงสัยว่า ในทางกฎหมายไม่น่าจะมีเหตุให้ตำรวจไปขอออกหมายจับ และไม่มีเหตุผลในทางกฎหมายที่ศาลจะอนุญาตให้ออกหมายจับ เนื่องจากคดีนี้คณะพนักงานสอบสวนเข้าไปแจ้งข้อกล่าวหาปิยรัฐที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แล้ว อีกทั้งหมายจับดังกล่าวซึ่งมีปวริศ หวังพินิจกุล ผู้พิพากษาเป็นผู้อนุมัติออกหมายจับ ไม่มีการติ๊กระบุสาเหตุของการออกหมายจับใดๆ

    เวลาประมาณ 06.00 น. ปิยรัฐถูกควบคุมตัวถึง สภ.ยางตลาด โดยมีเพื่อนนักกิจกรรมในจังหวัดกาฬสินธุ์และขอนแก่นมารอพบ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำรั้วเหล็กกั้นปิดทางเข้า ไม่อนุญาตให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องยกเว้นญาติและทนายความเข้าในบริเวณสถานีตำรวจ โดยมีกำลังตำรวจและ อส. ราว 30 นาย ควบคุมพื้นที่

    จากนั้นเวลา 07.30 น. คณะพนักงานสอบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์ นำโดย พ.ต.อ.สุธน สีหามาตย์ ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาและสอบปากคำปิยรัฐอีกครั้ง อ้างว่า กระบวนการแจ้งข้อกล่าวหาและสอบปากคำในวันที่ 30 มี.ค. 2564 ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ปิยรัฐไม่ยอมรับและไม่พิมพ์ลายนิ้วมือ พนักงานสอบสวนเกรงว่ากระบวนการจะไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาอีกครั้ง

    ปิยรัฐโต้แย้งว่า เหตุที่ไม่พิมพ์ลายนิ้วมือในวันที่ 30 มี.ค. 2564 เนื่องจากหลังการสอบปากคำผ่านวีดิโอคอนเฟอเรนซ์ เจ้าหน้าที่ไม่ได้นำบันทึกคำให้การมาให้ตนอ่านและเซ็น แต่กลับนำแบบลายพิมพ์นิ้วมือมาและให้ตนพิมพ์ลายนิ้วมือโดยไม่แจ้งใดๆ เมื่อตนแจ้งผ่านวีดิโอคอนเฟอเรนซ์ว่า ขออ่านบันทึกคำให้การก่อน แต่เจ้าหน้าที่กลับแจ้งว่า พนักงานสอบสวนนำเอกสารเดินทางกลับกาฬสินธุ์แล้ว ตนจึงไม่พิมพ์ลายนิ้วมือในเอกสารที่ไม่ทราบที่มาที่ไป นอกจากนี้ การที่ตนไม่ได้พิมพ์ลายนิ้วมือ ไม่ใช่เหตุในการไปขอออกหมายจับ เนื่องจากพนักงานสอบสวนก็ดำเนินคดีข้อหาขัดคำสั่งเจ้าพนักงานเพิ่มได้ พ.ต.อ.สุธน ตอบเพียงว่า เรื่องนั้นให้ไปถามศาล

    ในการแจ้งข้อกล่าวหาและสอบปากคำครั้งนี้ ปิยรัฐไม่ตอบคำถามของพนักงานสอบสวน ระบุว่า “ให้การไปแล้วในวันที่ 30 มี.ค. 2564 ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กับพนักงานสอบสวนพร้อมทนายความของข้าฯ” และไม่ลงลายมือชื่อในบันทึกคำให้การ เขียนแทนว่า ประสงค์อ้างตามบันทึกคำให้การวันที่ 30 มี.ค. 2564

    หลังเสร็จกระบวนการประมาณ 09.00 น. พนักงานสอบสวนแจ้งว่า จะฝากขังผ่านวีดิโอคอนเฟอเรนซ์จาก สภ.ยางตลาด ไปที่ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยพนักงานสอบสวนส่งคำร้องขอฝากขังต่อศาลแบบออนไลน์ ด้านทนายความได้เดินทางไปที่ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์เพื่อยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายจับ คำร้องคัดค้านการขอฝากขัง และขอให้ศาลไต่สวนพนักงานสอบสวน โดยขอให้ศาลเบิกตัวปิยรัฐไปทำการไต่สวนที่ศาล

    เบื้องต้นศาลไม่อนุญาตให้เบิกตัวปิยรัฐไปศาล ระบุว่าเป็นระเบียบเรื่องมาตรการป้องกันโควิด จึงให้ไต่สวนผ่านวีดิโอคอนเฟอเรนซ์ โดยให้ปิยรัฐฟังการไต่สวนอยู่ที่ สภ.ยางตลาด แต่ให้พนักงานสอบสวนไปเบิกความที่ศาล อย่างไรก็ตาม เวลาประมาณ 10.30 น. ศาลมีคำสั่งให้เบิกตัวปิยรัฐไปร่วมไต่สวนคำร้องขอเพิกถอนหมายจับและคัดค้านฝากขังที่ศาล

    ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นวันเสาร์ซึ่งศาลเปิดทำการเพียงครึ่งวันเช้า ทนายความจึงได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวไปพร้อมกัน เพื่อให้ศาลพิจารณาโดยไม่ล่าช้า

    คำร้องของปิยรัฐขอให้ศาลเพิกถอนหมายจับ ระบุเหตุผลว่า คดีนี้ไม่มีเหตุที่จะออกหมายจับผู้ต้องหาไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 59/1 และมาตรา 66 เนื่องจากพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีกับผู้ต้องหาแล้วเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา พยานหลักฐานในคดีนี้ก็อยู่ในความดูแลของพนักงานสอบสวนแล้วทั้งสิ้น การไม่จับกุมควบคุมตัวผู้ต้องหาจึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ที่สำคัญเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2564 ศาลอาญา (รัชดา) ก็ได้อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหา เนื่องจากไม่มีพฤติการณ์ที่ผู้ต้องหาจะหลบหนี

    ส่วนคำร้องคัดค้านการฝากขัง ปิยรัฐระบุว่า ในวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายจับ ผู้ต้องหาจึงไม่ใช่บุคคลที่ถูกจับ พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจขอศาลฝากขัง อีกทั้งการขอฝากขังในวันนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาและสอบปากคำผู้ต้องหาเสร็จสิ้นแล้ว ในวันที่ 30 มีนาคม 2564 ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หากจะสอบสวนผู้ต้องหาเพิ่มเติม หรือจะส่งตัวและสำนวนคดีให้พนักงานอัยการ พนักงานสอบสวนก็สามารถออกหมายเรียกในภายหลังได้ ไม่มีเหตุจำเป็นในการออกหมายจับและขอฝากขัง

    คดีนี้เหตุเกิดเมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2564 ในเขตพื้นที่ของพนักงานสอบสวนซึ่งมีระยะเวลาพอสมควรที่จะสอบสวนเสร็จแล้ว การที่พนักงานสอบสวนกล่าวอ้างในคำร้องขอฝากขังว่า ยังต้องสอบพยานและรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ก็ล้วนเป็นเรื่องการดำเนินการของพนักงานสอบสวนกับบุคคลอื่น ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหา ไม่จำต้องร้องขอฝากขังผู้ต้องหา อันเป็นการกระทบต่อหน้าที่การงาน สิทธิเสรีภาพและโอกาสในการต่อสู้คดีของผู้ต้องหาเกินจำเป็น

    และหากพนักงานสอบสวนเกรงว่า ผู้ต้องหาจะไปใช้เสรีภาพร่วมหรือทำกิจกรรมใดต่อไปในอนาคตอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย พนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่รัฐก็สามารถที่จะใช้อำนาจดำเนินการตามกฎหมายได้เป็นคดีอื่นอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนำตัวผู้ต้องหามาฝากขังต่อศาลในคดีนี้ เพราะเป็นเสมือนการใช้ดุลพินิจพิจารณาไว้ในอนาคตแล้วว่าการทำกิจกรรมนั้นๆ เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย และเป็นการกระทำที่มุ่งจะแทรกแซงยับยั้งการใช้เสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญมุ่งคุ้มครองไว้

    และคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวระบุเหตุผลว่า คดีนี้ปิยรัฐให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และประสงค์จะนำหลักฐาน เพื่อเสนอต่อศาลประกอบการต่อสู้คดีว่าไม่ได้ทำผิดตามที่พนักงานสอบสวนกล่าวหา เชื่อว่าศาลจะให้ความเป็นธรรม พฤติการณ์ในคดีก็เป็นการกล่าวหาจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายเดียว ยังไม่ผ่านการพิสูจน์โดยศาล ทั้งไม่ได้มีลักษณะเป็นอาชญากรรมร้ายแรงหรือการก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองแต่อย่างใด อีกทั้งปิยรัฐเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหาในความผิดทางอาญา ต้องได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ตามกฎหมายได้ว่ามีความผิด ตามที่กฎหมายระหว่างประเทศและรัฐธรรมนูญให้การรับรอง หากศาลใช้ดุลพินิจมีคำสั่งไม่ปล่อยตัวชั่วคราว โดยเชื่อว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์กระทำผิดตามพนักงานสอบสวนกล่าวหาจริงแล้วย่อมถือว่าเป็นการใช้ดุลพินิจที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

    บรรยากาศการไต่สวนคำร้องขอฝากขังของพนักงานสอบสวนตามที่ปิยรัฐและทนายความยื่นคำร้องที่ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ พบว่ามีการปิดประตูทางเข้าศาล มีการวางกำลังชุดควบคุมฝูงชนราว 20 นาย ไม่อนุญาตให้ประชาชน แม้แต่ทนายความที่นั่งร่วมกระบวนการสอบปากคำที่ สภ.ยางตลาด ที่ปิยรัฐยังไม่ได้เซ็นแต่งตั้งทนายความ และ อภิชาติ ศิริสุนทร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ซึ่งเดินทางมาเป็นนายประกัน เข้าไปในบริเวณศาล อ้างว่าผู้ต้องหามีทนายความอยู่แล้ว และยังไม่ถึงขั้นตอนการประกันตัว

    เวลา 10.50 น. ศาลเริ่มการไต่สวน โดยมี ยุทธนา แสนจันทร์ ผู้พิพากษา ออกนั่งพิจารณาคดี และมี พ.ต.ท.ไพศาล ใจเกษม พนักงานสอบสวน สภ.ยางตลาด เข้าเบิกความเพียง 1 ปาก ระบุว่า เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2564 มีกลุ่มคนร้ายเอาแผ่นป้ายไวนิลซึ่งมีข้อความหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์จำนวน 7 แผ่น ไปติดอยู่บริเวณถนนและซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติริมถนนสายยางตลาด-กาฬสินธุ์ ตำรวจได้รับแจ้งเรื่องป้ายดังกล่าว จึงออกไปตรวจสอบและตรวจยึดป้ายนั้น

    ต่อมา ปรากฏภาพป้ายทั้งเจ็ด ถูกนำไปโพสต์ในเฟซบุ๊กชื่อ “โตโต้ ปิยรัฐ -Piyarat Chongthep” และทวิตเตอร์ชื่อ “We Volunteer” ซึ่งเป็นของปิยรัฐ พร้อมทั้งโพสต์ข้อความเชิญชวนประชาชนให้เข้าร่วมกลุ่มประสานงาน ซึ่งเป็นความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) และมายื่นขออนุมัติหมายจับที่ศาลในวันที่ 2 เม.ย. 2564

    วันเดียวกันทราบข่าวว่าผู้ต้องหาจะถูกปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่ผู้ต้องหาถูกขังในความผิดคดีอั้งยี่และความผิดเกี่ยวกับการชุมนุม จึงประสานตำรวจท้องที่แห่งนั้น นำหมายจับไปจับกุมที่เรือนจำ

    พ.ต.ท.ไพศาล เบิกความอีกว่าได้รับตัว ปิยรัฐ ในช่วง 06.15 น. ในวันที่ 3 เม.ย. 2564 จะครบกำหนดควบคุมตัว 48 ชั่วโมง ในวันที่ 5 เมษายน 2564 แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ต้องสอบปากคำพยานอีก 7 ปาก และรอผลการตรวจประวัติการต้องโทษของผู้ต้องหาจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร และรวบรวมหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง จึงขออำนาจศาลฝากขัง มีกำหนด 12 วัน

    พนักงานสอบสวน สภ.ยางตลาด ยังเบิกความในตอนท้ายว่า เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรซึ่งมีอัตราโทษสูง ผู้ต้องหาเป็นหัวหน้ากลุ่มการ์ดวีโว่ ซึ่งเป็นองค์กรที่เข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในประเทศไทย และผู้ต้องหาถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดคดีอื่นหลายคดีนอกจากคดีนี้ จึงขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาเนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือก่อเหตุร้ายประการอื่น และเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี

    จากนั้น พ.ต.ท.ไพศาล ตอบคำถามที่ทนายความของปิยรัฐถามค้าน โดยรับว่า ตามกระบวนการของกฎหมาย หากผู้ต้องหาปรากฏตัวต่อหน้าพนักงานสอบสวน จะมีการแจ้งสิทธิและสอบปากคำ หากพยานยังรวบรวมพยานหลักฐานไม่แล้วเสร็จ ต้องสอบปากคำผู้ต้องหาเพิ่มก็จะออกหมายเรียกผู้ต้องหามาพบ หากผู้ต้องหาไม่มาตามหมายเรียก จึงจะขอศาลออกหมายจับ

    พ.ต.ท.ไพศาล รับอีกว่า เกี่ยวกับคดีนี้ เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2564 พยานได้ไปพบผู้ต้องหาและแจ้งข้อกล่าวหาที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพแล้ว ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ และในช่วงเช้าของวันนี้ พยานก็ได้สอบปากคำผู้ต้องหา โดยมีข้อเท็จจริงเป็นข้อเท็จจริงกับที่สอบปากคำไปเมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2564 ในส่วนพยานบุคคลอีก 7 ปาก ที่พยานจะสอบปากคำ และการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ก็ไม่ต้องสอบถามจากผู้ต้องหา ดังนั้น ในส่วนของผู้ต้องหา พยานได้สอบปากคำเสร็จสิ้นแล้ว

    พ.ต.ท.ไพศาล ใจเกษม ตอบคำถามค้านของทนายความด้วยว่า ในคดีความผิดของปิยรัฐทุกคดี ยังไม่มีคำพิพากษาว่ามีความผิด อยู่ในชั้นพิจารณาของศาล บางคดีอยู่ในชั้นสอบสวน และพยานไม่ได้รับรายงานว่า ในชั้นจับกุม ผู้ต้องหาขัดขืนการจับกุมของตำรวจ

    เสร็จการไต่สวนเวลาประมาณ 11.30 น. ศาลมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอเพิกถอนหมายจับ โดยอ้างว่าหมายจับสิ้นผลไปเอง นับแต่วันที่จับ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 68 จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขอเพิกถอนหมายจับอีก ในส่วนของคำสั่งต่อคำร้องขอฝากขัง ศาลนัดอ่านคำสั่งในช่วงบ่าย

    ประมาณ 14.00 น. ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขัง ระบุว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า พนักงานสอบสวนขอฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 1 โดยยืนยันว่า ผู้ต้องหาเป็นเจ้าของเพจในสื่อออนไลน์ (เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์) และนำข้อความอันมีลักษณะหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นพระมหากษัตริย์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ลงเผยแพร่ในสื่อดังกล่าว

    จึงมีพยานหลักฐานตามสมควรว่า ผู้ต้องหาน่าจะได้กระทำความผิดทางอาญาร้ายแรง และมีเหตุจำเป็นที่พนักงานสอบสวนต้องสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่อไป ประกอบกับคำเบิกความของพนักงานสอบสวนระบุว่า ผู้ต้องหาเป็นหัวหน้ากลุ่มการ์ดวีโว่ ซึ่งเป็นองค์กรที่เข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในราชอาณาจักร จนเป็นเหตุให้ผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีอาญาอีกหลายคดี จึงมีหลักฐานตามสมควรว่า ผู้ต้องหาน่าจะได้กระทำความผิดทางอาญาร้ายแรง และน่าจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่นในทำนองเดียวกันอีก จึงอนุญาตให้ฝากขัง 12 วัน และอนุญาตให้ฝากขังครั้งต่อไปผ่านระบบการประชุมทางจอภาพ

    ส่วนที่ผู้ต้องหาขอให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างสอบสวน ศาลพิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า คดีที่ถูกกล่าวหาเป็นคดีอาญาร้ายแรง มีอัตราโทษสูง ประกอบกับปรากฏพฤติการณ์ตามการไต่สวนคำร้องขอฝากขัง ผู้ต้องหาเป็นหัวหน้ากลุ่มการ์ดวีโว่ ซึ่งเป็นองค์กรที่สนับสนุนการชุมนุมทางการเมือง ก่อให้เกิดความวุ่นวาย สร้างความแตกแยกในราชอาณาจักร จนเป็นเหตุให้ผู้ต้องหาถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอื่นอีกหลายคดี

    ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาเนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือก่อเหตุร้ายประกันอื่น หากปล่อยตัวชั่วคราวเกรงว่าผู้ต้องหาจะไปก่อเหตุร้ายประการอื่นหรือก่อเหตุซ้ำในทำนองเดียวกันอีก จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว

    หลังศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ไม่อนุญาตให้ประกันตัว ทำให้ปิยรัฐจะถูกขังระหว่างการสอบสวนไว้ที่เรือนจำจังหวัดกาฬสินธุ์

    (อ้างอิง: คำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 1, คำร้องขอให้เพิกถอนหมายจับ, คำร้องคัดค้านการฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 1 ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ลงวันที่ 3 เม.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/27933)
  • 9.00 น. ทนายความได้เข้ายื่นคำร้องอุทธรณ์เพื่อคัดค้านคำสั่งไม่ให้ประกันของศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์) เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2564 ซึ่งให้เหตุผลว่า “ผู้ต้องหาถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดเป็นคดีอาญาร้ายแรง มีอัตราโทษสูง ประกอบกับปรากฏพฤติการณ์ตามทางไต่สวนคำร้องขอฝากขังว่า ผู้ต้องหาเป็นหัวหน้ากลุ่มการ์ดวีโว่ ซึ่งเป็นองค์กรที่สนับสนุนการชุมนุมทางการเมือง ก่อให้เกิดความวุ่นวาย สร้างความแตกแยกขึ้นในราชอาณาจักร จนเป็นเหตุให้ผู้ต้องหาถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในคดีอื่นอีกหลายคดี

    ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา เนื่องจากเกรงว่าจะหลบหนี หรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุร้ายประการอื่น ดังนั้น หากปล่อยชั่วคราวเกรงว่าผู้ต้องหาจะไปก่อเหตุร้ายประการอื่น หรือก่อเหตุช้ำในทำนองเดียวกันอีก จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว”

    คำร้องอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งดังกล่าวว่า

    1. ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และรัฐธรรมนูญไทย ได้บัญญัติรับรองหลักการสันนิษฐานว่าผู้ต้องหาเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ตามกฎหมายได้ว่ามีความผิด เพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลในกรณีที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดทางอาญา ส่งผลให้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาบัญญัติถึงสิทธิในการได้รับการปล่อยชั่วคราวของผู้ต้องหาหรือจำเลยที่อยู่ระหว่างการถูกดำเนินคดี ผู้ต้องหาต้องมีโอกาสพิสูจน์ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์และไม่ต้องรับโทษทางอาญา การที่ผู้ต้องหาถูกคุมขังเสมือนว่าได้รับโทษทางอาญา ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด จึงขัดต่อหลักการดังกล่าว

    2. คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่ปล่อยตัวชั่วคราวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากศาลชั้นต้นได้หยิบยกประเด็นนอกจากคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 1 มาวินิจฉัยในประเด็นว่า “ผู้ต้องหาเป็นหัวหน้ากลุ่มการ์ดวีโว่ ซึ่งเป็นองค์กรที่สนับสนุนการชุมนุมทางการเมือง ก่อให้เกิดความวุ่นวาย สร้างความแตกแยกขึ้นในราชอาณาจักร” ซึ่งเป็นเหตุผลที่ไม่ได้บรรยายในคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 1 อันเป็นการพิจารณาสั่งเกินคำสั่งนอกคำร้อง หรือสั่งเกินคำขอที่ยื่นต่อศาล ผิดหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่ว่าห้ามศาลพิพากษาเกินคำขอ

    3. ระหว่างไต่สวนคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 1 โดยมี พ.ต.ท.ไพศาล ใจเกษม เป็นพยานเบิกความ พ.ต.ท.ไพศาล ได้เบิกความว่า “ในส่วนของผู้ต้องหา ข้าฯ สอบปากคำเสร็จสิ้นแล้ว” ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีเหตุผลที่จะฝากขังผู้ต้องหาเพื่อทำการสอบสวน คดีนี้ พ.ต.ท.ไพศาล ได้ดำเนินการสอบปากคำผู้ต้องหารวม 2 ครั้ง คือ เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 64 และ วันที่ 3 เม.ย. 64 ซึ่ง พ.ต.ท.ไพศาล เองก็เบิกความแล้วว่า สอบสวนผู้ต้องหาเสร็จแล้ว จะฝากขังเพื่อจะสอบพยานอีก 7 ปาก ซึ่งพยานทั้ง 7 ปากที่อ้าง ผู้ต้องหาก็ไม่ทราบว่าเป็นบุคคลใดบ้าง การฝากขังจึงเป็นไปโดยไม่สุจริต ไม่คำนึงถึงความเป็นธรรม และเป็นเพราะความบกพร่องในการทำหน้าที่ของพนักงานสอบสวนเอง ไม่ใช่เพราะการสอบสวนไม่เสร็จสิ้น

    4. ผู้ต้องหามีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง อยู่ในพื้นที่ของพนักงานสอบสวนอยู่แล้ว ซึ่งพนักงานสอบสวนสามารถออกหมายเรียกให้ผู้ต้องหามาพบเพื่อสอบปากคำเพิ่มเติมหรือส่งตัวพนักงานอัยการตามนัดได้ ในการจับกุมก็ไม่ปรากฏว่าผู้ต้องหาต่อสู้หรือขัดขืนการจับกุม ประกอบกับผู้ต้องหาถูกฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.1130/2563 ในความผิดตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ ของศาลจังหวัดกาฬสินธุ์นี้ โดยได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว และมาตามนัดศาลทุกนัด อันเป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม และสัจจะที่ให้ไว้ต่อศาลว่าจะไม่หลบหนี

    ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 การสั่งไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราวจะกระทำได้ต่อเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนี (2) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน (3) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น (4) ผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันไม่น่าเชื่อถือ (5) การปล่อยชั่วคราวจะเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงานหรือการดำเนินคดีในศาล

    แต่จำเลยไม่มีพฤติการณ์ที่เป็นเหตุดังกล่าวแต่อย่างใด กล่าวคือผู้ต้องหาไม่มีพฤติการณ์จะหลบหนี มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอน เป็นเพียงบุคคลธรรมดา ไม่มีอิทธิพลหรือความสามารถที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานในคดีนี้ได้ อีกทั้งพยานหลักฐานในคดีนี้ พนักงานสอบสวนก็ได้รวบรวมพยานหลักฐานและอยู่ในความครอบครองของศาลชั้นต้นแล้วทั้งสิ้น

    5. ผู้ต้องหาไม่เคยมีประวัติเกี่ยวกับการกระทำความผิดอาชญากรรมใดๆ และไม่เคยต้องโทษในคดีอาญาใดๆ มาก่อนจึงไม่มีพฤติการณ์จะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่นอย่างแน่นอน และไม่อาจไปก่ออุปสรรคหรือความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงานหรือการดำเนินคดีในศาลได้

    6. การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ปล่อยตัวชั่วคราวย่อมไม่สอดคล้องกับนโยบาย 5 ข้อของประธานศาลฏีกา ข้อที่ 1 ว่า “ยกระดับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานผู้ต้องหาและจำเลย…” เป็นความพยายามของประธานศาลฏีกาที่จะเปลี่ยนแปลงนโยบายของศาลที่ดำเนินการอยู่ โดยมีประเด็นที่เป็นหัวใจ คือ “ตราบใดที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าบุคคลใดมีความผิด ต้องได้รับความคุ้มครองอย่างเต็มที่ และ “ศาลอาจจะปล่อยชั่วคราวโดยไม่มีประกันอะไรเลยก็ได้ หากโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือมีประกันเพียงทำสัญญาไว้แต่ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ประกัน”
    เมื่อการสอบสวนหรือสอบปากคำผู้ต้องหาเสร็จสิ้นแล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่จะคุมขังผู้ต้องหาต่อไป รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ต้องหาเป็นหัวหน้าการ์ด อันเป็นข้อเท็จจริงที่กล่าวอ้างขึ้นใหม่ ไม่ใช่ข้อความที่บรรยายในคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 1 ที่ศาลชั้นต้นจะนำมาพิจารณาไม่ปล่อยตัวชั่วคราวได้ การพิจารณาไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

    อนึ่ง การที่ พ.ต.ท.ไพศาล เบิกความวินิจฉัยหรือเข้าใจเองว่าผู้ต้องหาผิด และผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีอื่นอีก ศาลชั้นต้นไม่ควรต้องเชื่อ หรือบันทึกข้อความดังกล่าวไว้สำนวนเพื่อนำมาพิจารณา เพราะในชั้นนี้ผู้ต้องหาเองไม่สามารถอธิบายโต้แย้งคัดค้านชี้แจงข้อเท็จจริงได้ จึงเป็นกระบวนการพิจารณามุ่งร้ายต่อตัวผู้เสียหายเพียงอย่างเดียว

    เวลา 14.30 น. ศาลอุทธรณ์ภาค 4 อ่านคำสั่งผ่านวีดิโอคอนเฟอเรนซ์ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ระบุว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงได้จากการไต่สวนคำร้องฝากขังว่า พนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้ต้องหาเสร็จสิ้นแล้ว ไม่ปรากฏว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์หลบหนี แต่ผู้ต้องหามีพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องและต่อเนื่องกับการกระทำที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้ และหากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวแล้ว อาจไปกระทำการเช่นเดิมอีก อันเป็นการก่อเหตุอันตรายประการอื่น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 (3) ไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาระหว่างสอบสวน จึงให้ยกคำร้อง”

    (อ้างอิง: คำร้องอุทธรณ์คำสั่งขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์, รายงานกระบวนพิจารณาและคำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ลงวันที่ 4 เม.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/27943)
  • พนักงานสอบสวน สภ.ยางตลาด ยื่นคำร้องขอฝากขัง "โตโต้" เป็นครั้งที่ 2 ก่อนช่วงวันหยุดยาว ทนายความได้เข้ายื่นคำร้องคัดค้านการฝากขัง พร้อมทั้งขอให้ศาลไต่สวนพนักงานสอบสวนถึงเหตุจำเป็นในการขอฝากขัง

    10.15 น. ศาลมีคำสั่งให้ไต่สวนพนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ศาลต่อสัญญาณวีดิโอคอนเฟอเรนซ์ไปที่เรือนจำจังหวัดกาฬสินธุ์ เนื่องจากจะทำการไต่สวนผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยไม่ได้เบิกตัวโตโต้มาศาล ขณะที่ พ.ต.ท.ไพศาล ใจเกษม สารวัตร (สอบสวน) สภ.ยางตลาด พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดี และเป็นผู้ยื่นคำร้องขอฝากขังเดินทางมาชี้แจงเหตุจำเป็นในการขอฝากขัง

    บรรยากาศที่ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ในวันดังกล่าว มีเพียงมาตรการคัดกรองโควิด โดยการตรวจวัดอุณหภูมิของผู้ที่มาติดต่อศาลเท่านั้น ในห้องพิจารณาคดีมีทนายความผู้ต้องหา 2 คน ผู้สังเกตการณ์จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และผู้ไว้วางใจของโตโต้เข้าร่วมฟังการไต่สวนด้วย แตกต่างจากการไต่สวนคำร้องขอฝากขังครั้งแรกในวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งมีการปิดประตูศาล วางกำลังตำรวจควบคุมฝูงชน ราว 20 นาย และไม่อนุญาตให้ประชาชน แม้แต่ทนายความที่ยังไม่ได้เซ็นแต่งตั้งทนายความ และ ส.ส.ซึ่งเดินทางมาเป็นนายประกัน เข้าไปในบริเวณศาล

    11.30 น. หลังเจ้าหน้าที่พยายามเชื่อมต่อสัญญาณวีดิโอคอนเฟอเรนซ์ระหว่างศาลและเรือนจำจังหวัดกาฬสินธุ์จนสำเร็จ ณัชฐปกรณ์ เจริญรัตนวานนท์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้น จึงออกนั่งพิจารณาคดี ก่อนการไต่สวน ศาลได้ถาม พนักงานสอบสวน โตโต้ และทนายความว่า จะคัดค้านวิธีการไต่สวนผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ซึ่งเป็นไปเพื่อคุ้มครองทุกฝ่ายจากการติดเชื้อโรคโควิด-19 หรือไม่ ทั้งหมดไม่คัดค้าน

    จากนั้น ศาลได้สรุปคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 2 ของพนักงานสอบสวน อ้างเหตุผลว่า การสอบสวนยังไม่เสร็จ ต้องสอบพยานอีก 4 ปาก, รอผลการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม, รอผลการตรวจสอบการใช้อินเตอร์เน็ต เว็บเพจ และทวิตเตอร์ของผู้ต้องหา จากปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ และรวบรวมพยานหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งระบุว่า เนื่องจากคดีนี้มีอัตราโทษสูง และเกรงว่า ผู้ต้องหาจะไปก่อเหตุร้ายประการอื่น จึงคัดค้านการประกันตัว

    ส่วนคำร้องคัดค้านการฝากขังครั้งที่ 2 ที่ทนายผู้ต้องหายื่นต่อศาล ระบุเหตุผลว่า ไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องฝากขังผู้ต้องหา เนื่องจากพนักงานสอบสวนทำการสืบสวน สอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ มาเป็นเวลานานแล้ว การสอบสวนที่เหลือไม่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหา อีกทั้งผู้ต้องหาไม่เคยหลบหนีกระบวนการทางกฎหมายใดๆ ไปรายงานตัวตามนัดหมายโดยตลอด มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ที่สำคัญคดีนี้พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนผู้ต้องหาเสร็จแล้ว

    การไต่สวนเริ่มโดย พ.ต.ท.ไพศาล สาบานตนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า จะเบิกความตามความเป็นจริง ก่อนเบิกความตอบคำถามของศาลว่า คดีนี้ปิยรัฐได้ให้การกับพยานแล้ว แต่อาจจะมีข้อเท็จจริงอย่างอื่นที่จะต้องสอบเพิ่มเติม ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า จะมีการแจ้งข้อหาอื่นเพิ่มเติมหรือไม่

    ส่วนพยานที่ต้องสอบปากคําอีก 4 ปาก คือ ตำรวจชุดสืบสวนในคดีนี้, ชุดจับกุม, นักกฎหมายและผู้ชํานาญการด้านภาษาไทยที่จะให้ความเห็นทางกฎหมายต่อข้อความในแผ่นป้ายทั้ง 7 แผ่น ซึ่งยังไม่ได้มีหมายเรียก แต่คาดว่าจะสอบพยานทั้ง 4 ปาก เสร็จภายในเดือนนี้

    พยานได้ส่งลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหาไปตรวจสอบประวัติการต้องโทษที่กองทะเบียนประวัติอาชญากร สํานักงานตํารวจแห่งชาติ แล้ว คาดว่าไม่เกิน 1 เดือน จะได้รับผลการตรวจสอบดังกล่าว รวมทั้งได้ทําหนังสือถึงปลัดกระทรวงดิจิตอลฯ ขอให้ตรวจสอบการใช้อินเตอร์เน็ท เว็บเพจ และทวิตเตอร์ของผู้ต้องหา ซึ่งสํานักงานปลัดกระทรวงดิจิตอลฯ ได้รับแล้วเมื่อวันที่ 16 มี.ค. 2564

    ศาลถามพนักงานสอบสวนว่า พยานหลักฐานอื่นที่จะต้องรวบรวมคืออะไร พ.ต.ท.ไพศาล ตอบว่า หลายอย่าง และรอคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรที่ผู้ต้องหาเคยให้ถ้อยคําว่าจะส่งใน 30 วัน ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้รับ

    พ.ต.ท.ไพศาล เบิกความตอบศาลด้วยว่า หากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไป เชื่อว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน โดยเกรงว่าจะหลบหนีและไปก่อเหตุอื่นอีก และจากการสืบสวนผู้ต้องหาเป็นหัวหน้ากลุ่มการ์ดวีโว่ ถ้ามีประเด็นที่จะสอบเพิ่มจะยากแก่การติดตาม ทั้งนี้ หากพยานทําคดีไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กฎหมายกําหนด ก็อาจจะถูกดําเนินการทางวินัย แต่ถ้าผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวในระหว่างการสอบสวน การสอบสวนจะรวดเร็วและจะแล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กําหนดตามกฎหมาย

    หลังศาลหมดคำถามเกี่ยวกับเหตุจำเป็นที่ขอฝากขัง ได้ให้ทนายผู้ต้องหาซักถาม โดย พ.ต.ท.ไพศาล ตอบทนายว่า นับตั้งแต่วันเกิดเหตุจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 2 เดือนเศษ ซึ่งชุดสืบสวนได้ติดตามความเคลื่อนไหวของผู้ต้องหามาโดยตลอด ตั้งแต่วันที่ 10 ธ.ค. 2562 เป็นต้นมา ปรากฏตามรายงานการสืบสวนแนบท้ายคําร้อง หากชุดสืบสวนพบข้อเท็จจริงใหม่จะทํารายงานส่งให้พยาน แต่ปัจจุบันยังไม่มี

    พยานที่ยังต้องสอบสวนอีก 4 ปาก ล้วนแต่เป็นข้าราชการ มีเพียง 1 ปากที่เป็นทนายความ ซึ่งตั้งแต่เกิดเหตุพยานยังไม่ได้ออกหมายเรียกมาให้ปากคำ ในส่วนของหลักฐานที่พยานส่งให้กระทรวงดิจิตอลฯ ตรวจสอบ หากผู้ต้องหาได้รับการประกันตัว ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขหลักฐานดังกล่าวได้

    พ.ต.ท.ไพศาล ยังรับว่า เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2564 ได้เบิกความไว้ว่า ได้สอบปากคําผู้ต้องหาเสร็จสิ้นแล้ว ส่วนที่พยานเบิกความว่า ผู้ต้องหามีพฤติการณ์หลบหนี จริงๆ แล้ว ในคดีนี้ผู้ต้องหายังไม่เคยหลบหนี แต่ในคดีอื่นพยานไม่ทราบ ซึ่งจากรายงานการสืบสวน ผู้ต้องหาเป็นแกนนำกลุ่มวีโว่ พยานเชื่อว่าจะติดตามตัวมาดําเนินคดีได้ยาก ทนายถามย้ำว่า เป็นความเชื่อของพยานเองใช่หรือไม่ พนักงานสอบสวนตอบว่า ใช่

    ที่พยานเบิกความว่า เกรงว่าผู้ต้องหาจะไปก่อเหตุอื่นอีก เนื่องจากพยานทราบจากสื่อว่า ผู้ต้องหาไปร่วมชุมนุมก่อเหตุหลายที่ ทนายถามว่าการชุมนุมเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ พยานรับว่าเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญหากปราศจากอาวุธ แต่ที่ปรากฏในสื่อ ผู้ต้องหามีอาวุธ ทนายถามว่า พยานยืนยันข้อเท็จจริงหรือไม่ว่า ผู้ต้องหามีอาวุธ พยานรับว่า ทราบจากสื่อเท่านั้น และไม่ได้นำข่าวดังกล่าวมาประกอบสำนวน แต่มีรายงานสันติบาลว่า ผู้ต้องหาถูกจับที่รัชโยธิน

    ทนายให้พยานดูคำสั่งศาลอาญาอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวปิยรัฐ ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงจากการไต่สวนของศาลอาญาว่า ในการจับกุมปิยรัฐที่เมเจอร์รัชโยธิน ชุดจับกุมตรวจพบเสื้อคล้ายเสื้อเกราะ พยานรับว่า ชุดจับกุมพบเสื้อคล้ายเสื้อเกราะ ซึ่งไม่ใช่อาวุธ และไม่มีข้อความระบุว่า พบอาวุธ อีกทั้งตามรายงานการสืบสวน กลุ่มวีโว่ยังได้ระดมเงินซื้อเครื่องกระตุกหัวใจ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ช่วยเหลือชีวิตกรณีฉุกเฉิน

    พยานตอบทนายผู้ต้องหาว่า เป็นผู้ขอออกหมายจับปิยรัฐในคดีนี้ และไปขออายัดตัวผู้ต้องหาหลังได้รับการประกันตัวในคดีอั้งยี่ ซึ่งเป็นคดีเดียวกันกับที่ทนายให้ดูคำสั่งให้ประกันเมื่อครู่ แต่ปฏิเสธว่า ไม่ทราบก่อนขอออกหมายจับว่า ปิยรัฐได้รับการประกันตัว มาทราบภายหลัง

    ทนายถามว่า เหตุใดพยานจึงไปขอออกหมายจับในเมื่อในความเข้าใจของพยานผู้ต้องหาอยู่ในความควบคุมของศาลอาญาอยู่แล้ว พยานตอบว่า เนื่องจากการสอบปากคำเมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2564 ผู้ต้องหาไม่ยินยอมลงลายมือชื่อและโต้แย้ง ไม่ยอมรับการสอบสวนนั้น พยานจึงขอออกหมายจับ เพื่อเอาตัวผู้ต้องหามาสอบสวน หากในวันนั้นปิยรัฐไม่โต้แย้ง พยานก็คงไม่ขอออกหมายจับ เพราะการสอบสวนชอบด้วยกฎหมายแล้ว

    ทนายผู้ต้องหาถามว่า การที่ผู้ต้องหาไม่ยอมลงลายมือชื่อทำให้การสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร พยานตอบว่า ไม่ใช่ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เป็นเพราะผู้ต้องหาโต้แย้ง ซึ่งเท่ากับว่า ไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาใด ๆ เลย อย่างไรก็ตาม พยานยอมรับว่า ในวันดังกล่าวพยานได้ลงลายมือชื่อในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าวแล้ว และก่อนหน้าการขอออกหมายจับ พยานยังไม่เคยได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหามารับทราบข้อกล่าวหาเลย

    หลังทนายผู้ต้องหาหมดคำถาม ได้ขอให้ปิยรัฐเบิกความ ศาลบอกว่า การไต่สวนนี้เป็นเรื่องระหว่างศาลและพนักงานสอบสวนเท่านั้น
    ศาลสอบถามโตโต้ว่า คดีนี้อยู่ในระหว่างสอบสวน ผู้ต้องหามีสิทธิโดยชอบให้พนักงานสอบสวนดําเนินการสอบพยานบุคคล และเรียกพยานเอกสารที่เกี่ยวข้องที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองได้ โตโต้แถลงว่าขณะนี้ยังไม่มี และเนื่องจากถูกควบคุมตัว ทำให้ไม่สามารถออกไปแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้

    15.00 น. ศาลอ่านคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังโตโต้อีก 1 ผัด เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่ 15 - 26 เม.ย. 2564 ระบุเหตุผลว่า “เมื่อพนักงานสอบสวนเบิกความยืนยันว่า จําเป็นต้องสอบพยานอีก 4 ปาก ซึ่งล้วนเป็นพยานปากสําคัญ คาดว่าสอบปากคําพยานดังกล่าวแล้วเสร็จไม่เกิน 1 เดือน และอยู่ระหว่างขั้นตอนรอผลตรวจสอบลายพิมพ์นิ้วมือ ประวัติการต้องโทษของผู้ต้องหาจากสํานักงานตํารวจแห่งชาติ และข้อมูลการใช้อินเตอร์เน็ตของผู้ต้องหาจากสํานักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม น่าเชื่อว่าการสอบสวนคงแล้วเสร็จอีกไม่นาน

    ประกอบกับผู้ต้องหาแต่งตั้งทนายความปรึกษาคดี อันเป็นสิทธิพื้นฐานที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแล้ว ผู้ต้องหาชอบที่จะขอให้พนักงานสอบสวนสอบปากคําพยานฝ่ายผู้ต้องหาเพื่อใช้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นสอบสวน เมื่อผู้ต้องหาถูกกล่าวหาอีกหลายคดี หากไม่อยู่ในความควบคุมเกรงว่าเป็นการยากที่จะติดตามมาสอบสวนเพิ่มเติม และอาจทําให้คดีอาจล่าช้า

    ดังนั้น การควบคุมตัวผู้ต้องหาเพื่อสอบสวนคดีนี้จะทําให้พนักงานสอบสวนสรุปสํานวนมีความเห็นและเป็นประโยชน์แก่ผู้ต้องหาพิสูจน์ความบริสุทธิ์อย่างรวดเร็วและเป็นธรรม ด้วยเหตุผลดังกล่าว กรณีจึงมีเหตุจําเป็นที่ต้องควบคุมผู้ต้องหาเพื่อทําการสอบสวนต่อไป กําชับพนักงานสอบสวนให้รวบรวมพยานหลักฐานและสรุปสํานวนการสอบสวนให้เสร็จโดยเร็ว”

    ก่อนจบกระบวนพิจารณาในวันนี้ ศาลได้เสนอโตโต้ว่า หากให้ศาลออกหมายขังในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1130/2563 ของศาลนี้ (คดีวิ่งไล่ลุงกาฬสินธุ์) ด้วย จะเท่ากับโตโต้ถูกขังทีเดียวใน 2 คดี พร้อมกัน ถ้าคดีนั้นตัดสินลงโทษก็หักวันขังหรือหักค่าปรับวันละ 500 บาท โดยให้โตโต้นำไปคิดดูแล้วมาแถลงต่อศาลในนัดหน้า

    หลังศาลให้ฝากขังอีก 12 วัน ทนายความได้ยื่นคำร้องขอประกันโตโต้เป็นครั้งที่ 2 โดยเสนอหลักประกันเป็นเงินสด 300,000 บาท พร้อมทั้งระบุเหตุผลสำคัญเพิ่มเติมจากครั้งก่อนว่า

    1. ที่พนักงานสอบสวนเคยเบิกความคัดค้านการประกันตัวว่า “เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ซึ่งมีอัตราโทษสูง ผู้ต้องหาเป็นหัวหน้ากลุ่มการ์ดวีโว่ ซึ่งเป็นองค์กรที่เข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง ก่อให้เกิดความวุ่นวาย ผู้ต้องหาถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดคดีอื่นหลายคดีนอกจากคดีนี้ เกรงว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือก่อเหตุร้ายประการอื่นและเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี" นั้นเป็นการกล่าวอ้างพฤติการณ์ของผู้ต้องหาในคดีอื่น ซึ่งศาลอาญาก็อนุญาตให้ประกันตัวจากคดีดังกล่าว เนื่องจากผู้ต้องหาไม่ได้มีพฤติการณ์ก่อความรุนแรงหรือจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น อีกทั้งคดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้กล่าวในส่วนหนึ่งของคำสั่งไม่ให้ประกัน เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2564 ว่า "ไม่ปรากฏว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์หลบหนี" ย่อมชี้ให้เห็นว่าผู้ต้องหาไม่มีพฤติการณ์ที่จะหลบหนีอย่างที่พนักงานสอบสวนกล่าวอ้างแต่อย่างใด

    2. ผู้ต้องหาเพิ่งเคยถูกดำเนินคดีข้อหาในความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์เป็นครั้งแรก สำหรับคดีอื่น ๆ ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดนั้น ก็เป็นแต่เพียงการแสดงออกและการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น และการถูกตั้งข้อกล่าวหาในคดีอื่น ๆ ก็เป็นเพียงการกล่าวหาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังไม่มีคดีใดที่พนักงานอัยการสั่งฟ้องคดี และยังไม่มีคดีใดที่ศาลพิพากษาลงโทษ จึงต้องถือว่าผู้ต้องหาเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ หากยึดถือเพียงข้อกล่าวหาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเป็นเหตุผลประกอบว่าผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีในคดีอื่นลักษณะเดียวกันกับที่ถูกกล่าวหาหลายคดี และมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวนั้น จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานให้อำนาจเบ็ดเสร็จแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในการแจ้งข้อกล่าวหาแก่บุคคลต่าง ๆ แล้วนำตัวมาฝากขังอ้างเป็นเหตุให้ศาลไม่อนุญาตให้ประกัน โดยไม่มีกลไกการถ่วงดุลตรวจสอบตามหลักนิติรัฐ

    อย่างไรก็ตาม เวลา 17.00 น. ศาลมีคำสั่งแจ้งทนายและนายประกันเป็นเอกสาร และจะต้องแจ้งให้โตโต้ทราบที่เรือนจำในภายหลัง คำสั่งดังกล่าว ไม่อนุญาตให้ประกันเช่นเดิม ระบุเหตุผลว่า

    “พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้ไม่ปรากฏว่า ผู้มีพฤติการณ์หลบหนี แต่ศาลเคยให้ผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวโดยให้ผู้ต้องหาสาบานตนต่อศาลว่า ผู้ต้องหาจะประพฤติตนเป็นคนดี ไม่ทำผิดกฎหมายใดๆ หรือไม่ก่อเหตุอันตรายประการอื่นไว้ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1130/2563 ของศาลนี้ เมื่อพิจารณาความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดี ประกอบเหตุปัจจัยอื่นๆ ความประพฤติที่ผิดคำสาบานต่อศาลแล้ว หากปล่อยชั่วคราวน่าเชื่อว่า ผู้ต้องหาจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่นอีก และจะเป็นอุปสรรค หรือก่อความเสียหายต่อการสอบสวนและการดำเนินคดีในศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 (3) (5) ที่นัดสืบพยานโจทก์จำเลยในวันที่ 28 เม.ย. 64 กรณีจึงไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม”

    ทำให้โตโต้ยังถูกขังที่เรือนจำจังหวัดกาฬสินธุ์ในระหว่างการสอบสวนต่อไป หลังถูกขังมาแล้ว 7 วัน ในคดีนี้ และอีก 26 วัน ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในคดีอั้งยี่

    ++คดีวิ่งไล่ลุงกาฬสินธุ์: ศาลให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยไม่มีหลักประกัน กฎหมายกำหนดเพียงให้สาบานว่าจะมาตามนัด++

    ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1130/2563 หรือคดีวิ่งไล่ลุง จ.กาฬสินธุ์ ที่กล่าวถึงในคำสั่งไม่ให้ประกันของศาลจังหวัดกาฬสินธุ์นั้น โตโต้ถูกฟ้องในฐานความผิด เป็นผู้จัดให้มีการชุมนุมในที่สาธารณะโดยไม่แจ้งต่อเจ้าพนักงานก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชม. ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ มาตรา 10 จากกรณีที่มีการจัดกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” จ.กาฬสินธุ์ ในวันที่ 12 ม.ค. 2563 ซึ่งโตโต้ยืนยันให้การปฏิเสธ เนื่องจากกิจกรรมดังกล่าวเป็นกิจกรรมกีฬา จึงไม่อยู่ภายใต้บังคับของ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ

    โดยหลังอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องโตโต้ต่อศาลจังหวัดกาฬสินธุ์เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2563 ทนายความได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวโดยไม่มีหลักประกัน ระบุเหตุผลว่า ข้อหาตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ที่โจทก์ฟ้องจำเลยนั้น มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท อันเป็นความผิดลหุโทษที่มีโทษปรับสถานเดียว ซึ่งศาลสามารถใช้ดุลพินิจปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยโดยไม่มีหลักประกัน ให้เป็นไปตามข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ได้ ในวันดังกล่าวศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยไม่มีหลักประกัน

    ทั้งนี้ มีข้อสังเกตเกี่ยวกับการสาบานตนในการที่ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยโดยไม่มีหลักประกัน โดยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 111 บัญญัติไว้เพียงว่า “เมื่อจะปล่อยชั่วคราวโดยไม่มีประกันเลย ก่อนที่จะปล่อยไป ให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยสาบานหรือปฏิญาณตนว่าจะมาตามนัดหรือหมายเรียก” เท่านั้น และพบว่า ในคดีดังกล่าวหลังได้รับการประกันตัวโดยไม่มีหลักประกัน โตโต้ได้เดินทางมาศาลตามนัดหมายทุกครั้ง

    (อ้างอิง: คำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 2, คำร้องคัดค้านการฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 2 และคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ลงวันที่ 3 เม.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/28268)
  • เวลา 09.30 น. ที่ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ทนายความเข้ายื่นคำร้องอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 4 คัดค้านคำสั่งของศาลจังหวัดกาฬสินธุ์เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2564 ที่ไม่ให้ประกัน “โตโต้” ปิยรัฐ จงเทพ

    หลังยื่นคำร้อง เจ้าหน้าที่นัดให้ทนายความมาฟังคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 4 ในเวลา 13.00 น. กระทั่งเวลา 16.30 น. ศาลอุทธรณ์ภาค 4 จึงได้อ่านคำสั่งผ่านวีดิโอคอนเฟอเรนซ์ ไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ระบุ “คดีนี้ศาลเคยมีคำสั่งไม่อนุญาตปล่อยชั่วคราวแล้ว พฤติการณ์ตามคำร้องไม่มีเหตุสมควรให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้อง”

    ทำให้ขณะนี้โตโต้ถูกขังระหว่างสอบสวนอยู่ที่เรือนจำกาฬสินธุ์มา 19 วันแล้ว และจะยังคงถูกคุมขังต่อไป ก่อนหน้านี้ทนายความได้คัดค้านการฝากขัง 2 ครั้ง ยื่นประกัน 2 ครั้ง รวมทั้งยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่ให้ประกัน 1 ครั้ง แต่ศาลยังไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว

    คำร้องอุทธรณ์ที่ยื่นต่อศาลอุทธรณ์ภาค 4 ระบุเหตุผลที่แตกต่างไปจากเดิมดังนี้

    1. ที่ศาลชั้นต้นพิจารณาว่าผู้ต้องหาเคยสาบานว่าจะปฏิบัติตัวเป็นคนดีไม่ทำผิดกฎหมายใดๆ หรือไม่ก่ออันตรายประการอื่นอีกนั้น ผู้ร้องขอชี้เจงว่า ภายหลังที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ปิยรัฐได้ช่วยเหลือสังคม โดยร้านจำหน่ายสินค้าเบ็ดเตล็ดซึ่งมีการจ้างพนักงาน 2-3 คน แต่ได้รับผลกระทบหลังจากตนถูกขังและต้องหยุดกิจการลง, เป็นตัวกลางจำหน่ายสินค้าจากเกษตรกรฟาร์มกุ้งซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด

    อีกทั้งมีการจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เครื่องกระตุกหัวใจ ยาสามัญประจำบ้านฉุกเฉิน เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในระหว่างชุมนุมเรียกร้องตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญให้การรับรอง รวมทั้งในคดีนี้ที่มีการแจ้งข้อกล่าวหาก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการตรวจสอบงบประมาณวัคซีน เพื่อหยุดการแพร่ระบาดของโควิด ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ

    การที่ศาลชั้นต้นนำเรื่องการสาบานตัวในการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาในคดีหมายเลขดำที่ อ.1130/2564 (คดีวิ่งไล่ลุงกาฬสินธุ์) มาพิจารณาไม่ปล่อยตัวชั่วคราวไม่ชอบด้วยกฎหมายและหลักการ เพราะในคดีดังกล่าวมีโทษปรับเท่านั้น ไม่ใช่คดีร้ายแรง และผู้ต้องหาไม่ได้มีพฤติการณ์ร้ายแรง คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นก็ไม่ได้มีคำสั่งว่าผู้ต้องหาผิดสัญญาประกัน หากศาลเห็นว่าผู้ต้องหาผิดสัญญาประกันก็เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวในคดีนั้น หาใช่เหตุในการไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวในคดีนี้

    2. ผู้ร้องไม่เห็นพ้องกับคำสั่งศาลชั้นต้นที่ว่า “มีเหตุรับฝากขังตัวผู้ต้องหาต่อไป” เนื่องจากเมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2564 ศาลอุทธรณ์ภาค 4 เคยมีคำสั่งว่าการสอบสวนผู้ต้องหาเป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว และผู้ต้องหาก็ไม่ปรากฏว่าจะมีพฤติการณ์หลบหนี แต่ผู้ต้องหามีพฤติการณ์จะก่อเหตุร้ายขึ้นอีก ซึ่งผู้ร้องขอชี้แจงว่า พฤติการณ์แห่งคดีนี้มีที่มาจากเรื่องของการตรวจสอบวัคซีนป้องกันโควิด ซึ่งเพียงแต่เป็นการแสดงออกตามสิทธิทางการเมืองอันประชาชนพึงมีตามรัฐธรรมนูญ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ ผู้ต้องหาไม่ได้มีพฤติการณ์ร้ายแรง ดังนั้นจึงไม่มีเหตุต้องขังผู้ต้องหาไว้

    3. ผู้ต้องหาไม่เคยมีประวัติเกี่ยวกับการกระทำความผิดอาชญากรรมใดๆ และไม่เคยต้องโทษในคดีอาญาใดๆ มาก่อน จึงไม่มีพฤติการณ์จะไปก่อเหตุอันตรายอย่างอื่นอย่างแน่นอน การที่ศาลชั้นต้นนำเหตุการณ์อนาคตมาคาดการณ์จึงไม่ชอบด้วยหลักเหตุผล อีกทั้งที่ผ่านมาผู้ต้องหาไม่เป็นอุปสรรคต่อสอบสอบสวนแต่อย่างใด หากมีความจำเป็นที่จะสอบสวนเพิ่มเติม ตามกฎหมายก็ได้กำหนดให้มีการออกหมายเรียกให้ผู้ต้องหามาสอบสวนอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะขังผู้ต้องหาระหว่างการสอบสวน

    4. การขังผู้ต้องหาไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้ต้องหาเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ตามหลักการที่ต้องสันนิษฐานว่าผู้ต้องหาเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ตามกฎหมายได้ว่ามีความผิด ดังที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 29 วรรคสอง อีกทั้งมาตรา 29 วรรคสาม ยังบัญญัติว่า “การควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจำเลยให้กระทำได้เพียงเท่าที่จำเป็น เพื่อป้องกันมิให้มีการหลบหนี” ผู้ร้องจึงขอศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหา โดยยึดหลักตามรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดนี้ด้วย

    5. การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ปล่อยตัวชั่วคราวย่อมไม่สอดคล้องกับนโยบายของประธานศาลฎีกาที่ว่า “ตราบใดที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าบุคคลใดมีความผิด ต้องได้รับความคุ้มครองอย่างเต็มที่” เพื่อให้เป็นไปตามแนวนโยบายดังกล่าวที่ประธานศาลฎีกาได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ต่อภาคประชาชน

    รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของคณะอนุกรรมการศึกษา ติดตามและแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการคดีภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ฉบับที่ 6 เดือนเมษายน 2564 ข้อ 2.10 ที่ระบุว่า ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของประธานศาลฎีกาที่ว่า “การสั่งคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวในทุกศาล ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการขยายโอกาสในการเข้าถึงสิทธิที่จะได้รับการปล่อยชั่วคราว พ.ศ. 2562 และเพื่อมิให้เป็นการเพิ่มความแออัดในเรือนจำอันอาจนำไปสู่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ศาลอาจอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับที่อยู่ของจำเลยหรือเงื่อนไขอื่นใด…” จึงขอศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิจารณาปล่อยตัวผู้ต้องหาด้วย

    (อ้างอิง: คำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่ปล่อยตัวชั่วคราวและคำสั่งศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 21 เม.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/28576)
  • พนักงานสอบสวน สภ.ยางตลาด เข้ายื่นคำร้องขอฝากขังปิยรัฐระหว่างสอบสวนเป็นครั้งที่ 3 เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 27 เม.ย. - 8 พ.ค. 2564 ทนายความผู้ต้องหาก็ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการฝากขังครั้งที่ 3 และขอให้เรียกพนักงานสอบสวนมาไต่สวนถึงเหตุจำเป็น

    เวลา 10.00 น. ศาลมีคำสั่งให้ไต่สวนพนักงานสอบสวน โดยปิยรัฐเข้าร่วมกระบวนการผ่านวีดิโอคอนเฟอเรนซ์ไปที่เรือนจำจังหวัดกาฬสินธุ์ และได้เริ่มไต่สวนในเวลาประมาณ 11.00 น.

    บุณยกาญจน์ อินทรบุตร ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นเป็นผู้ไต่สวน ได้สอบถาม พ.ต.ท.ไพศาล ใจเกษม พนักงานสอบสวน สภ.ยางตลาด ในฐานะคณะพนักงานสอบสวนตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์ ว่า ผ่านไป 12 วัน มีความคืบหน้าในการสอบสวนอย่างไรบ้าง พนักงานสอบสวนตอบว่า สอบพยานเพิ่มได้ 2 ปาก ยังคงเหลือพยานอีก 2 ปาก คือ นักกฎหมายและผู้ชํานาญการด้านภาษาไทยที่จะให้ความเห็นทางกฎหมายต่อข้อความในแผ่นป้ายทั้ง 7 แผ่น เนื่องจากคดีนี้มีประเด็นเรื่องการตีความความหมายของข้อความ ซึ่งยังไม่ได้มีหมายเรียกพยาน แต่ได้ประสานด้วยวาจาไว้แล้ว ไม่แน่ใจว่าจะสอบเสร็จภายใน 1 เดือนตามที่เคยแถลงไว้หรือไม่ แต่จะพยายาม

    พ.ต.ท.ไพศาล ตอบศาลอีกว่า ในส่วนการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม และการใช้อินเตอร์เน็ท เว็บเพจ และทวิตเตอร์ของผู้ต้องหา ยังคงรอผลอยู่ พยานหลักฐานอื่นที่กำลังรวบรวมเพิ่มเติมคือ รอผลการตรวจสอบกับ ปอท.ว่า มีการดำเนินคดีปิยรัฐจากการโพสต์ทางโซเชียลคดีอื่นอีกหรือไม่

    จากนั้น ทนายความของผู้ต้องหา ได้ถามค้านพนักงานสอบสวนในประเด็นที่เคยแถลงต่อศาลว่า หากปล่อยตัวเกรงว่าผู้ต้องหาจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่นในทำนองเดียวกันอีก ว่า ก่อนแจ้งข้อกล่าวหาในคดีนี้ ปิยรัฐถูกดำเนินคดีในคดีอื่นหรือไม่ พ.ต.ท.ไพศาล ตอบว่า ทราบว่ามีคดีที่ สน.พหลโยธิน ศาลแย้งว่า ได้ถามค้านไว้ตั้งแต่การฝากขังผู้ต้องหาครั้งแรกแล้ว แต่ทนายความขอให้ศาลจด และถามต่ออีกว่า หากปิยรัฐไปกระทำความผิดอื่น ตำรวจก็สามารถดำเนินคดีเป็นคดีใหม่ได้ใช่หรือไม่ พนักงานสอบสวนรับว่า ใช่

    ทนายความผู้ต้องหาหมดคำถามค้านพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม คำร้องคัดค้านการฝากขังที่ได้ยื่นในครั้งนี้มีใจความว่า คดีนี้ไม่มีเหตุหรือความจำเป็นที่จะออกหมายขังผู้ต้องหาไว้เนื่องจากพนักงานสอบสวนได้ทำการสืบสวนสอบสวนมาเป็นเวลา 3 เดือน น่าจะเพียงพอแล้ว ในส่วนที่พนักงานสอบสวนอ้างว่ายังสอบสวนไม่เสร็จ ก็เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหา และผู้ต้องหาไม่สามารถก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนดังกล่าวได้

    อีกทั้งที่พนักงานสอบสวนอ้างว่า ปิยรัฐถูกกล่าวหาอีกหลายคดี หากไม่อยู่ในความควบคุมเกรงว่าเป็นการยากที่จะนำตัวมาสอบสวนเพิ่มเติมและอาจทำให้คดีล่าช้า ปิยรัฐก็ไม่เคยหลบหนีกระบวนการทางกฎหมายใดๆ มาก่อน ไปตามหมายเรียกหรือนัดหมายทุกครั้ง
    คำร้องคัดค้านการฝากขังยังได้อ้างอิงถึงคำสั่งของศาลอาญาในคดีการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2563 ระหว่างพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม กับนายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม ซึ่งศาลอาญาได้มีคำสั่งยกคำร้องขอฝากขังของพนักงานสอบสวน โดยระบุว่า "การจะขังบุคคลใดตามคำร้องขอฝากขังของผู้ร้องนั้น ศาลจะต้องพิจารณาถึงสิทธิเสรีภาพของบุคคลนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในกระบวนการยุติธรรม" และอ้างอิงคำสั่งของศาลจังหวัดอุบลราชธานี ในคดีตามมาตรา 116 จากการชุมนุมเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2563 ระหว่างพนักงานสอบสวน สภ.เมืองอุบลฯ กับปิยรัฐ จงเทพ ซึ่งศาลจังหวัดอุบลฯ ก็มีคำสั่งยกคำร้องขอฝากขังเช่นกัน ซึ่งคดีดังกล่าวมีข้อเท็จจริงคล้ายคลึงกันกับคดีนี้

    ศาลถาม พ.ต.ท.ไพศาล ผู้ร้องขอฝากขังปิยรัฐว่า ถ้าศาลไม่อนุญาตฝากขังจะคัดค้านหรือไม่ พ.ต.ท.ไพศาล ตอบว่าไม่คัดค้าน ให้เป็นดุลพินิจของศาล แต่เกรงว่า หากปล่อยตัวผู้ต้องหาไป จะติดตามมาสอบสวนเพิ่มเติมยาก

    ก่อนจบการไต่สวนในช่วงเช้า โดยศาลนัดฟังคำสั่งในเวลา 15.00 น. ศาลได้ถามโตโต้ว่า จะคัดค้านการไต่สวนผ่านวีดิโอคอนเฟอเรนซ์ในวันนี้ ซึ่งเป็นไปเพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิดแก่ผู้ต้องขังและบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ ปิยรัฐแถลงว่า ในวันนี้สัญญาณไม่ขัดข้อง จึงยังไม่คัดค้าน แต่หากมีปัญหาเรื่องสัญญาณในครั้งใดก็จะขอคัดค้าน

    ทั้งนี้ตลอดการพิจารณาคดีศาลได้แสดงความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของโควิด โดยเตือนให้ทนายความ พนักงานสอบสวน รวมทั้งผู้ร่วมฟังการพิจารณาคดี ใส่เฟซชิลด์มาศาลในครั้งหน้า ทั้งยังกล่าวว่า ไม่ควรมีเพื่อนมาร่วมฟังมาการพิจารณาคดีหลายคน อาจจะเกิดการแพร่เชื้อ และได้รับโอกาสเกินกว่าคดีอื่น

    ต่อมาในช่วงเย็น ศาลมีคําสั่งอนุญาตให้ฝากขังอีก 12 วัน ตามที่พนักงานสอบสวนร้องขอ ระบุเหตุผลในคำสั่งว่า “พิเคราะห์พยานหลักฐานในชั้นไต่สวนคําคัดค้านการฝากขังแล้ว เห็นว่า เมื่อปรากฏจากพยานหลักฐานที่ศาลเคยไต่สวนในชั้นขอฝากขังในสํานวนแล้วว่า กรณีมีพยานหลักฐานตามสมควรว่าผู้ต้องหาน่าจะได้กระทําความผิดอาญาร้ายแรง และมีเหตุจําเป็นที่ผู้ร้องต้องสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่อไป ทั้งผู้ร้องแสดงให้เห็นว่าการสอบสวนคืบหน้าไปมากพอสมควร เหลือเพียง 2 ปาก และผลการตรวจสอบประวัติอาชญากรตามที่เคยแถลงในคราวก่อนใช้เวลาไม่เกิน 30 วัน

    น่าเชื่อว่าการสอบสวนคงแล้วเสร็จอีกไม่นาน ประกอบกับผู้ต้องหาแต่งทนายความแล้วซึ่งในชั้นสอบสวนผู้ต้องหามีสิทธิขอให้พนักงานสอบสวนสอบปากคําพยานฝ่ายตนเพื่อให้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้ กรณีจึงมีความจําเป็นที่ต้องควบคุมผู้ต้องหาเพื่อทําการสอบสวนต่อไป อนุญาตให้ขังผู้ต้องหามีกําหนด 12 วัน ตามขอ กําชับพนักงานสอบสวนให้รวบรวมพยานหลักฐานและสรุปสํานวนการสอบสวนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว”

    อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ ทนายความยังไม่ได้คำร้องขอประกันตัวอีกครั้ง หลังยื่นไปแล้ว 2 ครั้ง และอุทธรณ์คำสั่งไม่ให้ประกันของศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 4 อีก 2 ครั้ง แต่ศาลทั้งสองยังคงไม่ให้ประกัน โดยจากการปรึกษาหารือกับโตโต้ ทนายความจะยื่นคำร้องขอประกันตัวครั้งที่ 3 ภายในสัปดาห์นี้

    ทั้งนี้ ในระหว่างก่อนและหลังการออกพิจารณาคดีของศาล ได้เปิดโอกาสให้ทนายความและเพื่อนของโตโต้ได้พูดคุย ทั้งปรึกษาหารือทางคดี และสอบถามสารทุกข์ โดยในช่วงบ่าย เพื่อนสังเกตเห็นว่า โตโต้มีอาการไอ จึงได้ถามว่า มีอาการอื่น ๆ ด้วยมั้ย โตโต้บอกว่า เป็นไข้และมีเสลดบ้างเล็กน้อย วัดไข้ได้ 38 องศา ทำให้เพื่อนๆ เริ่มเป็นกังวล เมื่อสอบถามว่า ได้ทานยาหรือยัง โตโต้แจ้งว่า ยัง ทางเรือนจำน่าจะจ่ายยาในช่วงเย็น

    ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในเรือนจำต่างๆ โดยธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ แถลงเมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2564 ว่า เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งสิ้น 10 ราย แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่ 1 ราย และผู้ต้องขัง 9 ราย และวันที่ 26 เม.ย. 2564 แถลงว่า พบผู้ติดเชื้อในเรือนจำกลางเชียงใหม่รวมทั้งสิ้น 146 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ 2 ราย และผู้ต้องขัง 144 ราย ซึ่งเป็นที่น่าวิตกกังวลอย่างยิ่ง

    (อ้างอิง: คำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 3, คำร้องคัดค้านการฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 3 ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ลงวันที่ 26 เม.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/28843)


  • เวลา 14.00 น. ทนายความเข้ายื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวปิยรัฐอีกครั้ง เป็นครั้งที่ 3 โดยใช้หลักทรัพย์ประกันเป็นเงินสด 300,000 บาท และมีมารดาเป็นนายประกัน และขอให้ศาลไต่สวนคำร้องประกอบการใช้ดุลพินิจ โดยถึงวันนี้โตโต้ถูกขังระหว่างสอบสวนในคดีนี้เป็นวันที่ 28 แล้ว

    ต่อมา ศาลนัดไต่สวนคำร้องขอประกันผ่านวีดิโอคอนเฟอเรนซ์ในวันจันทร์ที่ 3 พ.ค. 2564 เวลา 9.30 น. เพื่อประกอบดุลพินิจว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่

    คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวที่ยื่นต่อศาลครั้งนี้ระบุว่า มีเหตุผลข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายหลายประการที่มีเหตุผลเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมได้ดังนี้

    1. หากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาจะมาตามนัดหมายของศาลโดยเคร่งครัด และโดยภายใต้กรอบของกฎหมายผู้ต้องหาจะไม่ทำกิจกรรมเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และหากศาลเห็นสมควรกำหนดเงื่อนไขใดที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี ผู้ต้องหายินดีปฏิบัติตาม

    2. การอนุญาตให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาจะเป็นประโยชน์ต่อเรือนจำจังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวคือจะลดความแออัดของจำนวนนักโทษ ลดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ ทั้งยังสอดคล้องกับแนวปฎิบัติเกี่ยวกับการบริหารจัดการคดีในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ฉบับที่ 6

    นอกจากนี้ โดยเป็นที่ปรากฏว่าในขณะนี้มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและเรือนจำจังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากสภาพความแออัดในเรือนจำ แม้ในเรือนจำจังหวัดกาฬสินธุ์จะยังไม่มีผู้ติดเชื้อ แต่ก็มีสภาพความแออัดไม่แตกต่างกัน ผู้ต้องขังหลายคนมีโรคติดต่อทางเดินหายใจ เช่น วัณโรค เป็นกลุ่มเสี่ยงที่หากได้รับเชื้อก็จะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ หากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจะช่วยทำให้ลดความแอดอัดในสถานที่ดังกล่าว ทำให้การบริหารจัดการเรื่องสถานการณ์โควิดได้ดีขึ้น

    3. ผู้ต้องหาได้ปฎิบัติตามกฎเกณฑ์ของเรือนจำเป็นอย่างดี ไม่เคยทำผิดวินัยและเชื่อฟังให้ความร่วมมือในการควบคุมตัวมาโดยตลอด

    (อ้างอิง: คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ลงวันที่ 30 เม.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/29228)
  • การไต่สวนคำร้องขอประกันครั้งนี้สืบเนื่องจากทนายความเข้ายื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวปิยรัฐอีกครั้ง เป็นครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2564 โดยใช้หลักทรัพย์ประกันเป็นเงินสด 300,000 บาท และมีมารดาเป็นนายประกัน และขอให้ศาลไต่สวนคำร้องประกอบการใช้ดุลพินิจ หลังเคยยื่นขอประกันมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ศาลไม่อนุญาต จึงได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ภาค 4 รวม 2 ครั้ง แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ให้ประกันเช่นกัน ทำให้ปิยรัฐถูกขังระหว่างสอบสวนในคดีนี้จนถึงวันที่ไต่สวนคำร้องเป็นวันที่ 31 แล้ว

    ในการไต่สวนคำร้องซึ่งปิยรัฐเข้าร่วมกระบวนการผ่านวีดิโอคอนเฟอเรนซ์มาจากเรือนจำเช่นเคย ฝ่ายผู้ร้องคือ แม่ของปิยรัฐ ซึ่งเป็นนายประกัน นำพยานเข้าเบิกความรวม 4 ปาก ได้แก่ ปิยรัฐ, แม่, อภิชาติ ศิริสุนทร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล และหัวหน้างานควบคุมผู้ต้องขังชาย เรือนจำจังหวัดกาฬสินธุ์ ขณะที่พนักงานสอบสวนเข้าเบิกความคัดค้าน 1 ปาก หลังเสร็จการไต่สวน ศาลนัดฟังคำสั่งวันที่ 5 พ.ค. 2564 เวลา 13.30 น.

    การไต่สวนคำร้องขอประกันเริ่มขึ้นในเวลาประมาณ 10.40 น. โตโต้ ปิยรัฐ เบิกความตอบทนายผู้ต้องหาเป็นปากแรก ความว่า จบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ หลังเรียนจบในช่วงปี 2557-2562 ทำงานเป็นนายช่างฝ่ายออกแบบของการไฟฟ้านครหลวง จากนั้นลาออกมาลงสมัครเป็นผู้แทนฯ สังกัดพรรคอนาคตใหม่ ปัจจุบันเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล ตลอดเวลาที่เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลได้ปฏิบัติตามระเบียบของพรรคมาโดยตลอด ปรากฏตามหนังสือรับรองของพรรคก้าวไกลที่ได้อ้างส่งต่อศาล

    ในคดีนี้พยานยืนยันตามคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวลงวันที่ 30 เม.ย. 2564 ซึ่งในคำร้องนี้มีสิ่งที่เพิ่มเติมจากครั้งก่อน คือ พยานสัญญาว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขว่า ตลอดเวลาพิจารณาคดีในคดีนี้ เพื่อเป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจที่พยานมีต่อประเทศชาติ ประชาชน และสถาบันหลักของชาติ พยานจะของดเว้นกิจกรรมหรือการกระทำไม่ว่าวิถีทางใด ซึ่งจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี องค์รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามกรอบของกฎหมายและรัฐธรรมนูญ

    ในคดีอื่นที่พยานได้รับการประกันตัวทั้งในศาลอาญาและศาลอื่น พยานไม่เคยปฏิบัติผิดเงื่อนไขการประกันตัวของศาลใด โดยพยานไม่เคยถูกถอนประกันเลย และในคดีนี้พยานยืนยันว่าจะปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาลอย่างเคร่งครัดเช่นกัน

    ที่พนักงานสอบสวนอ้างว่าพยานมีคดีอื่นอีกหลายคดี คดีเหล่านั้นพยานก็ไปตามหมายเรียกหรือกำหนดนัดทุกครั้ง และในคดีนี้ หากพยานได้ประกันตัว เมื่อพนักงานสอบสวนจะส่งสำนวนหรืออัยการจะยื่นฟ้องต่อศาล พยานยินดีจะมาตามศาลกำหนดนัดทุกครั้ง

    โตโต้ยังแถลงเพิ่มเติมต่อศาลว่า พยานยังอยู่ในชั้นที่จะมีสิทธิพิสูจน์ความบริสุทธิ์ และสามารถพิสูจน์ว่าอาจจะไม่ได้กระทำความผิด ซึ่งต้องพิจารณาในชั้นศาลต่อไป

    ที่พนักงานสอบสวนเบิกความต่อศาลเมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2564 ว่าจะสอบสวนให้แล้วเสร็จใน 30 วัน พยานคาดว่า พนักงานสอบสวนจะดำเนินการให้แล้วเสร็จตามที่ได้รับปากกับศาลไว้

    พยานปากที่ 2 ที่เข้าเบิกความคือ อภิชาติ ศิริสุนทร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ระบุว่า พยานเป็นกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลสัดส่วนภาคอีสาน ตลอดเวลาที่ปิยรัฐเป็นสมาชิกพรรคไม่เคยทำผิดกฎระเบียบของพรรค

    อภิชาติยังเบิกความรับรองว่า ในฐานะกรรมการบริหารพรรคซึ่งมีหน้าที่ดูแลสมาชิกพรรค หากปิยรัฐได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว พยานจะดูแล กำกับ ให้ปิยรัฐปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อกำหนดของศาลทุกประการ

    ต่อมา แม่ของปิยรัฐเข้าเบิกความเป็นปากที่ 3 โดยตอบคำถามทนายความเกี่ยวกับปิยรัฐว่า ปกติเป็นคนที่มีความประพฤติเรียบร้อย สมัยเด็กชอบทำกิจกรรมในโรงเรียน ในลักษณะที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ มีผลการเรียนดี ได้รับทุนการศึกษาบ่อยครั้ง เนื่องจากเรียนดีและความประพฤติเรียบร้อย แต่ในด้านสุขภาพ โตโต้เป็นคนที่มีภูมิต้านทานน้อย ไม่ค่อยแข็งแรง มีประวัติเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ เนื่องจากเป็นภูมิแพ้อากาศ

    ปิยรัฐเป็นบุตรคนโต เมื่อเรียนจบก็ทำงาน นำรายได้มาจุนเจือครอบครัว ปัจจุบันได้รับผลกระทบจากโควิด และจากการที่ปิยรัฐถูกขัง ไม่ได้รับการประกันตัว ทำให้ภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวตกอยู่ที่แม่เพียงคนเดียว เนื่องจากพ่อไม่มีรายได้ และน้องชายตกงาน

    ก่อนถูกดำเนินคดีนี้ ปิยรัฐค้าขายของเบ็ดเตล็ดอยู่ที่บางเสาธง สมุทรปราการ มีสัญญาเช่าอาคารตามที่อ้างส่งศาล เมื่อปิยรัฐถูกจับกุมและไม่ได้ประกันจึงต้องปิดร้านไป เพราะไม่มีคนดูแล

    แม่เบิกความต่อศาลว่า หากปิยรัฐได้รับการประกันตัว จะดูแลให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ศาลกำหนดโดยเคร่งครัด

    พยานอีกปากของฝ่ายผู้ร้องคือ ศิริ วิชาเถิน หัวหน้างานควบคุมผู้ต้องขังชาย เรือนจำจังหวัดกาฬสินธุ์ เบิกความรับรองว่า ตั้งแต่ปิยรัฐถูกฝากขังเข้ามาในเรือนจำเมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2564 ไม่เคยละเมิดกฎระเบียบในเรือนจำ หากทางเรือนจำให้ช่วยงานก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

    เจ้าหน้าที่เรือนจำยังเบิกความว่า ปัจจุบันเรือนจำจังหวัดกาฬสินธุ์มีผู้ต้องขังกว่า 3,200 คน แต่ละวันมีผู้ต้องขังเข้าใหม่ราว 10-20 คน อย่างไรก็ตาม หัวหน้างานควบคุมผู้ต้องขังยืนยันว่า ทางเรือนจำมีมาตรการป้องกันการแพร่เชื้อโควิด-19 อย่างเคร่งครัด มีการคัดกรองและแยกกักโรคผู้ต้องขังใหม่ 16 วัน รวมทั้งมีการตรวจวัดไข้ และมีแพทย์หลายคนที่จะให้รักษาพยาบาลผู้ต้องขังที่ป่วย

    เมื่อหมดพยานฝ่ายผู้ร้องแล้ว พ.ต.ท.ไพศาล ใจเกษม สารวัตร (สอบสวน) สภ.ยางตลาด ในฐานะพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบสำนวนคดีนี้ได้เข้าเบิกความคัดค้านการให้ประกัน ระบุเหตุผลเช่นเดิมว่า เนื่องจากเป็นคดีมีอัตราโทษสูง หากปล่อยตัวไปเกรงว่าผู้ต้องหาอาจหลบหนี หรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุร้ายประการอื่น

    อีกทั้งเนื่องจากปิยรัฐเป็นแกนนำการ์ดวีโว่ ซึ่งเป็นองค์กรที่เคลื่อนไหวก่อความไม่สงบในบ้านเมืองมาอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ปัจจุบันมีโรคระบาด สังคมไม่ต้องการให้มีการชุมนุม เพื่อไม่ให้โรคแพร่ระบาด หากผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวจะไปชุมนุม อาจเป็นเหตุให้มีการระบาดของโรคเพิ่มขึ้น และก่อเหตุประการอื่น

    นอกจากคดีนี้แล้วที่พยานทราบว่าปิยรัฐยังมีคดีอื่นๆ ได้แก่ คดีวิ่งไล่ลุงของศาลนี้, คดีของ สน.นางเลิ้ง, สน.พญาไท, สน.ชนะสงคราม และ สน.พหลโยธิน ในความผิดที่เกี่ยวกับการชุมนุม พยานเกรงว่าหากปล่อยตัวผู้ต้องหาไป อาจนำตัวมาดำเนินคดีได้โดยยาก เนื่องจากมีหลายคดี ทำให้ผู้ต้องหาอาจจะหลบหนีได้

    จากนั้น พ.ต.ท.ไพศาล ได้ตอบคำถามค้านของทนายผู้ต้องหาว่า คดีนี้พยานไม่ได้มีการออกหมายเรียกให้ผู้ต้องหามาให้การก่อนที่จะขอออกหมายจับ ปัจจุบันการสอบสวนยังเหลือพยานอีก 1 ปาก และรอผลการตรวจสอบประวัติอาชญากร ซึ่งหากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวก็ไม่สามารถไปยุ่งเหยิงกับการสอบสวนหรือพยานหลักฐานได้

    พนักงานสอบสวนยังรับว่า คดีนี้มีการสอบสวนก่อนการแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งขณะนั้นปิยรัฐยังไม่ถูกควบคุมตัว ก็ไม่ได้ปรากฏว่าปิยรัฐไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานแต่อย่างใด

    ส่วนในคดีต่างๆ ที่พยานอ้างถึงว่า ปิยรัฐถูกดำเนินคดีอีกหลายคดี พยานก็ไม่ได้ตรวจสอบ จึงไม่ทราบข้อเท็จจริงว่า คดีเหล่านั้นมีการส่งฟ้องหรือยัง ซึ่งตามข้อมูลที่พยานมี คดีเหล่านั้นยังไม่มีคำพิพากษาลงโทษปิยรัฐเลยซักคดี

    พ.ต.ท.ไพศาล ตอบทนายผู้ต้องหาว่า ที่พยานอ้างคดีของศาลนี้ ก็น่าจะเป็นคดีตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ ที่มีเพียงอัตราโทษปรับเท่านั้น (คดีวิ่งไล่ลุง) และเป็นคดีที่เกิดขึ้นก่อนคดีนี้ อีกทั้งพยานไม่ทราบว่าคดีต่างๆ ทั้งหมด ที่ได้อ้างต่อศาลเพื่อคัดค้านการประกันตัวปิยรัฐนั้น ปิยรัฐไม่เคยผิดสัญญาประกันจนเป็นเหตุให้เพิกถอนสัญญาประกันเลย

    ที่พยานเบิกความว่าผู้ต้องหาเป็นแกนนำการ์ดวีโว่ ก่อความวุ่นวายนั้น เมื่อได้ดูคำสั่งศาลอาญาที่ให้ประกันในคดีดังกล่าว เนื่องจากพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ไม่มีพยานหลักฐานมาแสดงโดยชัดเจนว่า ปิยรัฐกับพวกมีพฤติการณ์ร้ายแรง พ.ต.ท.ไพศาล ก็รับว่า น่าจะเป็นไปตามคำสั่งของศาลอาญาดังกล่าว

    ส่วนที่เบิกความว่า หากปิยรัฐได้รับการปล่อยตัวจะไปจัดการชุมนุมนั้น พนักงานสอบสวนได้ยอมรับกับทนายผู้ต้องหาว่า ตั้งแต่ปิยรัฐถูกจับกุมและคุมขัง การชุมนุมก็ยังมีอยู่ตามปกติ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาแต่อย่างใด

    และที่พยานคัดค้านว่า หากปล่อยตัวผู้ต้องหา ผู้ต้องหาจะไปก่อเหตุร้ายประการอื่นนั้น เป็นเรื่องที่พยานเชื่อไปเองว่าจะเกิด อีกทั้งในคดีอื่นพยานก็ไม่ทราบว่าผู้ต้องหาได้ไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือไม่

    สุดท้าย พ.ต.ท.ไพศาล รับว่า คดีนี้หากปิยรัฐได้ปล่อยตัวชั่วคราวแล้วไปถูกคุมขังในคดีอื่นอีก พนักงานสอบสวนจะส่งสำนวนหรืออัยการจะส่งฟ้อง ก็สามารถส่งสำนวนหรือส่งฟ้องได้โดยไม่ต้องมีตัวของผู้ต้องหา หรือหากปิยรัฐได้ประกันแล้วไม่มาตามที่พนักงานสอบสวนเรียกให้มาส่งสำนวนหรือส่งฟ้อง พนักงานสอบสวนก็สามารถเพิกถอนสัญญาประกันได้ ดังนั้น การติดตามตัวผู้ต้องหาจึงทำได้โดยง่าย เพราะมีสัญญาประกันอยู่แล้ว

    (อ้างอิง: คำเบิกความพยานในการไต่สวนคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ลงวันที่ 3 พ.ค. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/29228)
  • เวลา 13.30 น. บุณยกาญจน์ อินทรบุตร ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้น เป็นผู้อ่านคำสั่งระบุว่า

    “ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 108/1 กำหนดหลักเกณฑ์ว่าการสั่งไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราว จะกระทำได้ต่อเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนี (2) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน (3) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประกันอื่น (4) ผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันไม่น่าเชื่อถือ (5) การปล่อยตัวชั่วคราวจะเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงานหรือการดำเนินคดีในศาล

    เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนทั้งหมดในสำนวนแล้ว ก่อนที่เจ้าพนักงานตำรวจจะจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2564 ไม่ปรากฏว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์จะหลบหนี ทั้งได้ความจากพนักงานสอบสวนว่า ได้สอบปากคำผู้ต้องหาและพยานต่างๆ จนเสร็จสิ้นแล้ว คงเหลือเพียงการสอบปากคำพยานบุคคล 1 ปาก คือผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาไทย และรอผลตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ซึ่งน่าจะแล้วเสร็จตามกำหนดที่เคยแถลงต่อศาลภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ 9 เมษายน 2564 การตรวจสอบประวัติอาชญากรรมเป็นการตรวจสอบจากข้อมูลทะเบียน ถึงแม้ผู้ต้องหาจะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวก็ไม่สามารถไปยุ่งเหยิงส่วนนี้ได้

    และพนักงานสอบสวนยังเบิกความต่อไปว่า ระหว่างที่รวบรวมพยานหลักฐานจนถึงก่อนที่จะมาขอศาลนี้ออกหมายจับ ผู้ต้องหาไม่มีพฤติกรรมยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ประกอบกับพนักงานสอบสวนเบิกความตอบทนายผู้ต้องหาว่า หากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวแล้วพยานเรียกให้มาสอบสวนเพิ่มเติม หรือไม่มาตามหมายเรียกก็เป็นเหตุให้เพิกถอนคำร้องขอปล่อยชั่วคราวได้ และในกรณีของผู้ต้องหายังน่าจะอยู่ในกรณีที่จะสามารถติดตามตัวได้ง่าย

    ข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อถือว่า ผู้ต้องหาจะไม่ไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน และการปล่อยชั่วคราวจะไม่เป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงาน

    สำหรับการจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่นนั้น แม้พนักงานสอบสวนจะคัดค้านการปล่อยชั่วคราวด้วยเหตุดังกล่าว แต่ก็คงได้จากคำเบิกความของพนักงานสอบสวนแต่เพียงว่าคดีนี้มีอัตราโทษสูง ผู้ต้องหาเป็นแกนนำกลุ่มการ์ดวีโว่ ซึ่งมีพฤติกรรมก่อความไม่สงบอยู่ในบ้านเมืองอยู่อย่างต่อเนื่อง หากปล่อยชั่วคราวแล้วผู้ต้องหาอาจจะฝ่าฝืนไปชุมนุม และอาจไปก่อเหตุกระทำความผิดอื่น แต่พนักงานสอบสวนก็ยังไม่สามารถแสดงเหตุผลให้ศาลเห็นถึงพฤติการณ์ที่มีเหตุอันควรเชื่อว่า ผู้ต้องหาจะไปก่อเหตุอันตรายอื่นอย่างไรให้เห็นเป็นรูปธรรม

    โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างสอบสวนฉบับวันที่ 30 เมษายน 2564 ของผู้ต้องหาซึ่งอ้างเหตุผลใหม่ว่า หากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างสอบสวน ผู้ต้องหาจะไม่ทำกิจกรรมเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้หากศาลเห็นควรกำหนดเงื่อนไขใดให้เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี ขอศาลได้โปรดกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวนั้นด้วย โดยผู้ต้องหายินดีจะปฏิบัติตามคำสั่งของศาล

    นอกจากนี้ในชั้นไต่สวนผู้ต้องหาเบิกความยืนยันเองว่า ตามคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวฉบับวันที่ 30 เมษายน 2564 พยานขอยืนยันข้อเท็จจริงตามคำร้องทุกประการ และพยานขอยืนยันว่าจะดำรงตนเพื่อพิสูจน์ซึ่งความบริสุทธิ์ใจของพยานที่มีต่อประเทศชาติ ประชาชน และสถาบันหลักของชาติ โดยพยานจะของดเว้นจากการนำมาซึ่งความเสื่อมเสีย กิจกรรมหรือวิธีการใดซึ่งจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี องค์รัชทายาทและผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ รวมถึงการแสดงความคิดเห็นที่ถูกดำเนินคดีนี้ด้วย โดยพยานยืนยันที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ศาลให้โดยเคร่งครัด และจะมารายงานตัวตามที่เจ้าพนักงานกำหนดนัดทุกครั้ง

    ดังนี้ เมื่อพิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหา พยานหลักฐานเท่าที่ปรากฏและพฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า แม้คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 เคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาชั่วคราวมาก่อน และผู้ร้องคัดค้านการปล่อยตัวก็ตาม แต่เมื่อทางไต่สวนในชั้นขอปล่อยชั่วคราวได้ข้อเท็จจริงข้างต้น ถือได้ว่าพฤติการณ์แห่งคดีได้เปลี่ยนแปลงไป

    จึงมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยผู้ต้องหาชั่วคราวระหว่างสอบสวน ตีราคาประกัน 200,000 บาท ร่วมกับการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการติดตามตัวโดยความยินยอมของผู้ต้องหา และเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่ผู้ต้องหาจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น จึงกำหนดเงื่อนไขห้ามผู้ต้องหามีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้ รวมทั้งห้ามทำกิจกรรมที่เสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และห้ามผู้ต้องหาเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นจะได้รับอนุญาตจากศาล ทั้งนี้หากปรากฏต่อมาว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์จะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุอันตรายประการอื่นหรือผิดเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวข้างต้น ศาลจะพิจารณาถอนประกันผู้ต้องหาทันที”

    หลังมีคำสั่งให้ประกันตัว แม่ของโตโต้วางเงินประกันตามที่ศาลกำหนดแล้ว ศาลได้ออกหมายปล่อย โดยนัดให้โตโต้มารายงานตัวในวันที่ 28 มิถุนายน 2564 เวลา 9.00 น. ซึ่งเป็นการรายงานตัวหลังครบกำหนดฝากขัง จากนั้นญาติและเพื่อนที่มาให้กำลังใจโตโต้ ปิยรัฐ ที่ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้เดินทางไปที่เรือนจำจังหวัดกาฬสินธุ์เพื่อรอรับตัวโตโต้ ที่ได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำในเวลาประมาณ 17.30 น.

    รวมเวลาที่โตโต้ถูกฝากขังในคดีนี้ 33 วัน และถ้านับตั้งแต่วันถูกจับที่เมเจอร์รัชโยธินในคดีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นอั้งยี่ โตโต้ถูกคุมขังทั้งสิ้น 61 วัน ก่อนได้รับอิสรภาพในวันนี้

    (อ้างอิง: คำสั่ง ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ลงวันที่ 5 พ.ค. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/29302)
  • ครบกำหนดฝากขังปิยรัฐรวม 84 วัน กิตติกรณ์ บุญโล่ง พนักงานอัยการจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ยื่นฟ้องปิยรัฐต่อศาลในฐานความผิด "หมิ่นประมาทกษัตริย์" ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และนำเข้าข้อมูลอันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 ศาลรับฟ้องเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.959/2564

    ท้ายคำฟ้องอัยการได้คัดค้านการปล่อยตัวจําเลยชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคดี อ้างเหตุผลว่า เนื่องจากเป็นคดีที่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร และมีอัตราโทษสูง หากปล่อยตัวไปเกรงว่าจะหลบหนี

    นอกจากโจทก์จะขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจําเลยตามกฎหมายแล้ว ยังขอให้นับโทษจําคุกของปิยรัฐในคดีนี้ต่อกับโทษจําคุกในคดีอาญาหมายเลขดําที่ อ.1130/2563 ของศาลนี้ (คดีวิ่งไล่ลุงกาฬสินธุ์) และคดีอาญาหมายเลขดําที่ อ.920/2564 ของศาลอาญา (คดีอั้งยี่-ซ่องโจร การ์ดวีโว่-ปชช. 45 ราย) รวมทั้งขอศาลสั่งริบของกลาง ได้แก่ แผ่นป้ายไวนิล 7 แผ่น และลวดมัดเหล็ก 2 เส้น

    (อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ คดีหมายเลขดำที่ อ.959/2564 ลงวันที่ 25 มิ.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/31360)
  • เวลา 09.30 น. "โตโต้" ปิยรัฐ จงเทพ แกนนำมวลชนอาสา We Volunteer หรือวีโว่ เข้ารายงานตัวที่ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ตามนัดหมาย เจ้าหน้าที่ได้มอบสำเนาคำฟ้องของอัยการให้ ขณะที่ทนายความได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างพิจารณา จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวปิยรัฐไปควบคุมที่ห้องขังด้านหลังศาล เพื่อรอศาลอ่านฟ้องและพิจารณามีคำสั่งเรื่องการประกันตัว

    คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวปิยรัฐ นอกจากขอให้ศาลอนุญาตปล่อยชั่วคราวในชั้นพิจารณาคดีต่อไป โดยใช้หลักประกันเดิมคือ เงินสด 200,000 บาทแล้ว ยังขอให้ศาลมีคำสั่งปลดอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ติดตามตัวหรือ EM ระบุเหตุผลว่า หลังได้รับการปล่อยชั่วคราวในชั้นสอบสวนปิยรัฐไม่เคยมีพฤติการณ์จะหลบหนี หรือก่อเหตุลักษณะเดียวกันกับที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้ซ้ำอีก โดยปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกําหนดอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ศาลอาญาได้เคยให้ประกันผู้ต้องหาและจําเลยซึ่งถูกกล่าวหาในฐานความผิดเดียวกันนี้หลายราย โดยไม่ได้กําหนดให้ผู้ต้องหาหรือจําเลยต้องติด EM เนื่องจากหลักประกันเป็นเงินจํานวนที่สูง ซึ่งน่าเชื่อถือ

    ประกอบกับปิยรัฐมีโรคประจําตัวเป็นโรคภูมิแพ้ ซึ่งการติด EM ก่อความระคายเคืองต่อผิวหนัง ทําให้เกิดบาดแผลบริเวณข้อเท้า ได้รับความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างหนัก อีกทั้งปิยรัฐเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล ปัจจุบันอยู่ระหว่างช่วงที่พรรคการเมืองต่าง ๆ กําลังเตรียมการเพื่อรองรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จําเป็นอย่างยิ่งต้องเดินทางไกลในหลายพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาและเสนอนโยบายต่อประชาชน การที่จําเลยต้องติด EM ตลอดเวลาทําให้เกิดความยากลําบากเป็นอย่างมากในเรื่องของการชาร์จแบต

    เวลาประมาณ 11.30 น. ศาลได้ออกพิจารณาคดีผ่านวีดิโอคอนเฟอเรนซ์จากห้องพิจารณามายังห้องขังด้านหลังศาล โดยได้อธิบายฐานความผิดที่อัยการฟ้องให้ปิยรัฐเข้าใจ โดยไม่ได้อ่านคำฟ้องทั้งหมด ก่อนถามคำให้การเบื้องต้น ปิยรัฐให้การปฏิเสธ ศาลนัดคุ้มครองสิทธิในวันที่ 7 ก.ย. 2564 และนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 11 ต.ค. 2564

    จากนั้นศาลได้พิจารณาคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยระหว่างพิจารณาคดี ก่อนมีคำสั่งอนุญาต ระบุว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยไม่มีพฤติการณ์หลบหนี ทั้งการใช้อุปกรณ์ EM เป็นภาระเกินสมควรแก่จำเลย จึงอนุญาตให้ปลด EM ได้ แต่เงื่อนไขอื่นในการปล่อยชั่วคราวให้คงเดิมและให้จำเลยปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด

    ทำให้ในเวลาประมาณ 12.00 น. ปิยรัฐได้รับการปล่อยตัวออกจากห้องขังของศาล และถอดอุปกรณ์ EM ด้วย

    ในการนำมาตรา 112 มาใช้ดำเนินคดีต่อประชาชนที่ใช้เสรีภาพในการแสดงออกอีกครั้ง หลังการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยในห้วงครึ่งปีหลังของปี 2563 เป็นต้นมา คดีของปิยรัฐนับเป็นคดีที่ 21 ที่ฟ้องขึ้นสู่ศาล โดยยังมีอีกถึง 77 คดีที่ยังอยู่ในการดำเนินการของพนักงานสอบสวนหรืออัยการ

    (อ้างอิง: คำฟ้องและคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ คดีหมายเลขดำที่ อ.959/2564 ลงวันที่ 25 มิ.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/31360)
  • ศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้ฟังโดยละเอียด ปิยรัฐแถลงขอให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ทุกประการ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจําเลยในคดีอาญาอีก 3 คดีของศาลอาญา และอีก 1 คดีของศาลนี้ ที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ จากนั้นศาลนัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ 11 ต.ค. 2564 เวลา 09.00 น. ตามที่นัดไว้

    (อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ คดีหมายเลขดำที่ อ.959/2564 ลงวันที่ 7 ก.ย. 2564)
  • ทนายจำเลยมอบอำนาจให้เสมียนทนายยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี เนื่องจากจำเลยและทนายจำเลยติดนัดคดีอื่นของศาลอื่นที่ได้นัดไว้แล้ว ศาลอนุญาตเลื่อนนัดตรวจพยานหลักฐานไปเป็นวันที่ 29 พ.ย. 2564 เวลา 13.00 น.
  • นัดตรวจพยานหลักฐานของศาล พนักงานอัยการแถลงจะสืบพยานบุคคลรวม 21 ปาก ใช้เวลา 5 นัด ส่วนทนายจำเลยแถลงจะสืบพยานจำเลย 8 ปาก ใช้เวลา 2 นัด เนื่องจากทั้งตัวทนายและปิยรัฐมีนัดพิจารณาคดีในชั้นสืบพยานคดีแสดงออกทางการเมืองเกือบตลอดทั้งปี 2565 จึงได้วันนัดสืบพยานที่ไม่ต่อเนื่อง คือสืบพยานโจทก์ในวันที่ 12 ก.ค., 19, 26 ส.ค., 25-26 ต.ค. 2565 และสืบพยานจำเลยในวันที่ 27 ต.ค. และ 13 ธ.ค. 2565

    (อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ คดีหมายเลขดำที่ อ.959/2564 ลงวันที่ 29 พ.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/38499)
  • ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี เนื่องจากปิยรัฐติดโควิด ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ ศาลอนุญาตเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ในวันที่ 19 ส.ค. 2565
  • โจทก์นำพยานเข้าสืบ 7 ปาก เป็นตำรวจ 3 ปาก, ผู้เชี่ยวชาญ 2 ปาก และผู้เห็นเหตุการณ์อีก 2 ปาก ยังเหลือพยานโจทก์อีก 15 ปาก เลื่อนไปสืบพยานครั้งต่อไปในวันที่ 26 ส.ค. 2565
  • ทนายจำเลยยื่นคำร้องและใบรับรองแพทย์ขอเลื่อนสืบพยานนัดนี้ออกไปก่อน เนื่องจากปิยรัฐติดเชื้อโควิด-19 ต้องรักษาตัวระหว่างวันที่ 20 -29 ส.ค. 2565 ศาลอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์ในวันที่ 25 ต.ค. 2565
  • โจทก์นำพยานเข้าสืบรวม 7 ปาก เป็นชุดสืบ, ปลัดอำเภอ, ปอท., สันติบาล, กำนัน, พนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง และ กอ.รมน.
  • โจทก์นำพยานเข้าสืบรวม 4 ปาก เป็นประชาชนที่เห็นตำรวจเก็บป้าย 2 ปาก, แม่ของปิยรัฐซึ่งเป็นเจ้าของรถกระบะที่ไปติดตั้งป้าย และพนักงานสอบสวนในคดีวิ่งไล่ลุงของปิยรัฐ เหลือพยานโจทก์อีก 3 ปาก ทนายจำเลยแถลงขอเลื่อน เนื่องจากมีพยานเอกสารที่จะนำมาประกอบการถามค้านโดยต้องขอให้ศาลออกหมายเรียก โดยจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร ศาลไปปรึกษาหัวหน้าศาลก่อนให้เลื่อนไปในนัดสืบพยานจำเลยที่นัดไว้แล้วในวันที่ 13 ธ.ค. 2565
  • โจทก์นำตำรวจสืบสวนที่ทำรายงานการสืบสวนเข้าเบิกความได้อีก 2 ปาก เหลือพนักงานสอบสวนอีก 1 ปาก ทนายจำเลยขอเลื่อนสืบ เนื่องจากยังไม่ได้เอกสารที่จะใช้ประกอบการถามค้าน อัยการไม่ค้าน

    ทนายจำเลยขอเลื่อนไปสืบในเดือนมิถุนายน 2566 แต่ศาลแย้งว่า ถ้าคดีเกิน 2 ปี ศาลจะถูกตรวจสอบว่าไม่ทำงาน ก่อนอนุญาตให้เลื่อนไปสืบในนัดสืบพยานจำเลยในวันที่ 10 ม.ค. และ 27 มี.ค. 2566
  • พนักงานสอบสวนเบิกความตอบทนายโจทก์เสร็จแล้ว ทนายจำเลยขอเลื่อนถามค้าน เนื่องจากยังไม่ได้รับเอกสารประกอบการถามค้านจากสถาบันวัคซีนตามที่ได้ขอศาลออกหมายเรียก และที่ทนายไปยื่นขอเองจากศาลอาญา โจทก์ไม่ค้าน ศาลโดยมีหัวหน้าศาลนั่งเป็นองค์คณะ อนุญาตให้เลื่อนไปถามค้านพยานปากนี้ในวันที่ 27 มี.ค. 2566 ตามที่นัดไว้เดิม
  • ทนายจำเลยแถลงขอเลื่อนคดี เนื่องจากพยานเอกสารสำหรับถามค้านที่ศาลออกหมายเรียกไปยังสถาบันวัคซีนและสำนักเลขานายกฯ ยังไม่ได้มา มีเพียงบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ที่ส่งเอกสารมา แต่ก็ไม่ครบถ้วน โจทก์ไม่ค้านการเลื่อนคดี ศาลเลื่อนไปสืบพยานในวันที่ 23 พ.ค. 2566
  • ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี เนื่องจากเอกสารถามค้านที่ขอให้ศาลออกหมายเรียกจากสยามไบโอไซเอนซ์และสถาบันวัคซีนยังได้มาไม่ครบ ทำให้ไม่สามารถถามค้านพนักงานสอบสวนได้ โจทก์ไม่ค้าน แต่ศาลเห็นว่า เอกสารดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องและอยู่ในความรู้เห็นของพนักงานสอบสวน จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี

    ทนายจำเลยถามค้านพนักงานสอบสวนจนจบปาก และขอเลื่อนสืบพยานจำเลยออกไป ศาลอนุญาตให้เลื่อนไปสืบในวันที่ 29-30 ส.ค. 2566 ในส่วนพยานเอกสารที่ยังได้ไม่ครบ ให้ยื่นคำร้องขอหมายเรียกเข้าไปใหม่
  • ทนายความยื่นคำร้องผ่านระบบซีออส ขอเลื่อนการสืบพยานออกไป เนื่องจากจำเลยเป็นผู้แทนราษฎร อยู่ระหว่างติดสมัยประชุมสภาฯ และจำเลยจะต้องเป็นผู้อภิปรายในญัตติที่ได้เสนอไว้ในการประชุมสภาวันที่ 30 ส.ค. 2566 หัวหน้าศาลออกนั่งพิจารณาคดีเอง และขอดูเอกสารการนัดประชุมสภาฯ ก่อนอนุญาตให้เลื่อนการสืบพยานจำเลยไปเป็นวันที่ 25 ต.ค. 2566
  • ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี เนื่องจากจำเลยติดประชุมสภาฯ ศาลอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยในวันที่ 21 ธ.ค. 2566
  • ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี เนื่องจากจำเลยติดสมัยประชุมสภาฯ โจทก์ไม่ค้าน ศาลอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยในวันที่ 8 ก.พ. 2567
  • ทนายยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี เนื่องจากจำเลยติดสมัยประชุมสภาฯ ศาลอนุญาตให้เลื่อน แต่ให้กำหนดวันนัดสืบพยานจำเลยใหม่ที่ศูนย์นัดความโดยให้เป็นนัดต่อเนื่อง และให้สืบพยานให้เสร็จภายในกรอบเวลาดังกล่าว หากขอเลื่อนคดีอีกศาลจะพิจารณาโดยเคร่งครัด

    อย่างไรก็ตาม ฝ่ายจำเลยว่างในช่วงวันที่ 17-19 ก.ค. 2567 โดยก่อนหน้านั้นทั้งปิยรัฐและทนายจำเลยติดนัดคดีในศาลอื่น แต่หัวหน้าศาลแย้งว่า นัดนานเกินไป และให้เปลี่ยนจากการนัดต่อเนื่องเป็นกำหนดนัดทีละนัด และให้นัดสืบพยานจำเลยในวันที่ 11 เม.ย. 2567 แม้ว่าทนายจำเลยจะได้แถลงว่า ในวันดังกล่าวติดสืบพยานคดี 112 ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ขอเลื่อนเป็นวันที่ 29 เม.ย. 2567 แต่หัวหน้าศาลไม่อนุญาต ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนจึงได้บันทึกคำแถลงของทนายจำเลยไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา

    (อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ คดีหมายเลขดำที่ อ.959/2564 ลงวันที่ 8 ก.พ. 2567)

ชั้นสอบสวน

ผู้ถูกดำเนินคดี :
ปิยรัฐ จงเทพ

การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต

ศาลชั้นต้น

ผู้ถูกดำเนินคดี :
ปิยรัฐ จงเทพ

ผลการพิพากษา
-
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต

แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์