ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
  • พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
  • Facebook
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
  • ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)
  • การชุมนุม
  • พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ 2558
  • ไม่แจ้งการชุมนุม
  • ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน
  • พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (มาตรา 9)
  • พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาฯ (ใช้เครื่องขยายเสียง)
ดำ อ.1629/2564
แดง อ.4019/2567

ผู้กล่าวหา
  • พ.ต.ท.สุธิศักดิ์ พิริยะภิญโญ รอง ผกก.สส.สน.ชนะสงคราม กับพวก (ตำรวจ)
ผู้ถูกดำเนินคดี

ข้อหา

  • พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
  • Facebook
  • การชุมนุม
  • พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ 2558
  • ไม่แจ้งการชุมนุม
  • ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน
  • พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (มาตรา 9)
  • พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาฯ (ใช้เครื่องขยายเสียง)
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
  • ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)

หมายเลขคดี

ดำ อ.1629/2564
แดง อ.4019/2567
ผู้กล่าวหา
  • พ.ต.ท.สุธิศักดิ์ พิริยะภิญโญ รอง ผกก.สส.สน.ชนะสงคราม กับพวก

ความสำคัญของคดี

3 ส.ค. 2563 กลุ่มมหานครเพื่อประชาธิปไตย และมอกะเสด จัด "เสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาธิปไตย" เรียกร้องยกเลิก และแก้ไขกฎหมายที่มีผลเป็นการขยายพระราชอำนาจที่อาจกระทบกับระบอบประชาธิปไตย แก้ไขกฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย และรับฟังเสียงของนักศึกษา ประชาชน ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมือง โดยอานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน ขึ้นปราศรัยในชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ กล่าวถึงบทบาทและปัญหาของสถาบันกษัตริย์ในการเมืองไทยอย่างตรงไปตรงมาเป็นครั้งแรก พร้อมทั้งข้อเสนอแนะในการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์

หลังการชุมนุมอานนท์ เป็นผู้ปราศรัยเพียงคนเดียวที่ถูกดำเนินคดีในข้อหา ยุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ อีกทั้งเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศใช้กฎหมายทุกมาตราดำเนินคดีประชาชนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย อานนท์ก็ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ จากการปราศรัยครั้งนี้ เช่นเดียวกับการปราศรัยอีกหลายครั้งของเขา

พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี

พิทยา วีระพงศ์ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 บรรยายฟ้องมีเนื้อหาดังนี้

เมื่อระหว่างวันที่ 1 - 3 ส.ค. 2563 จำเลยกับพวกอีกจำนวนหลายคน ซึ่งได้ถูกแยกไปดำเนินคดีต่างหากได้ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกรรมต่างกัน และแยกกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ

1. ระหว่างวันที่ 1 - 3 ส.ค. 2563 จำเลยนี้ได้ประกาศชักชวนให้ประชาชนออกมาร่วมชุมนุมด้วยการโพสต์ข้อความและรูปภาพทางเฟซบุ๊กชื่อบัญชี “อานนท์ นําภา” ของจำเลย ในลักษณะเชิญชวนให้มาร่วมการชุมนุม ‘เสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาธิปไตย’ ซึ่งจะมีขึ้นบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในวันที่ 3 ส.ค. 2563 จำนวน 3 โพสต์ ประกอบด้วยของจำเลย ลักษณะโน้มน้าวเชิญชวน หรือนัดให้ประชาชนทั่วไปมาเข้าร่วมชุมนุม ฟังปราศรัยเกี่ยวกับบทบาทของสถาบันกษัตริย์ให้มากๆ โดยมีผู้คนเข้าไปแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก

ต่อมา วันที่ 3 ส.ค. 2563 จำเลยกับพวกได้เข้าร่วมการชุมนุม โดยไม่ได้จัดให้มีมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ตามที่ทางราชการกำหนด ทั้งไม่ได้แจ้งให้ผู้ชุมนุมปฏิบัติตามหน้าที่ของผู้ชุมนุมตามมาตรา 16 ของ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ ที่จะไม่ให้เกิดการขัดขวางเกินสมควรต่อประชาชนที่ใช้ที่สาธารณะ และปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือคำสั่งของเจ้าพนักงานดูแลการชุมนุม

2. เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2563 จำเลยนี้ได้นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ด้วยการโพสต์เฟซบุ๊กของจำเลย มีข้อความว่า “ความเห็นผม การพูดถึงปัญหาเกี่ยวกับอำนาจสถาบันกษัตริย์ ควรพูดกันแบบตรงไปตรงมา และพูดแบบสาธารณะให้ได้ การแลกเปลี่ยนถกเถียงเป็นเรื่องสำคัญ และจำเป็นไม่ต้องห่วงเรื่องถูกคุกคาม ผมเชื่ออย่างใจจริงว่า การพูดตรงๆ ดีกว่าการด่าทอ”

ข้อความว่า “เพื่อการอภิปรายที่กระชับมากขึ้น แนะนําให้ผู้ร่วมชุมนุมเย็นนี้อ่านบทความในหนังสือฟ้าเดียวกันฉบับส่งเสด็จ ก่อนฟังอภิปราย เพราะวันนี้อาจไม่ได้เท้าความไปไกลมากนัก อยากอภิปรายในเรื่องปัจจุบันมากกว่า หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้มีการยื่นฟ้องก็พระมหากษัตริย์และพระราชินี ในความผิดข้อหาโอนทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ไปเป็นทรัพย์สินส่วนตัว ต่อมาศาลได้มีคําสั่งคําพิพากษาให้ฝ่ายกษัตริย์เป็นฝ่ายแพ้คดี และต้องถูกอายัดทรัพย์สินรวมทั้งยึดวังสุโขทัยไว้ด้วย”...

รวมถึงโพสต์แถลงการณ์กลุ่มมหานครเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มมอกะเสด ซึ่งกล่าวถึงข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ได้แก่ 1. ให้ยกเลิกและแก้ไขกฎหมายที่มีผลเป็นการขยายพระราชอำนาจของสถาบันกษัตริย์ ที่อาจกระทบกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2. แก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย และไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน 3. ต้องรับฟังเสียงของนิสิตนักศึกษา และประชาชนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในขณะนี้ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองให้เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย

โดยจำเลยมีเจตนาเพื่อให้ประชาชนหรือบุคคลทั่วไปที่พบเห็นข้อมูลดังกล่าวเข้าใจว่า มีเจตนาพูดพาดพิงเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย อันเป็นการกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวิธีอื่นใด อันมิใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต โดยมีประเด็นที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงและเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร ชักจูงประชาชนและบุคคลทั่วไปให้ต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์

3. ขณะเกิดเหตุ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และรัชกาลที่ 10 เป็นกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 2 บัญญัติว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” และมาตรา 6 บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้”

ในวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยนี้ได้หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ และกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีการอื่นใด กล่าวคือ จำเลยได้ปราศรัยแก่ประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมประมาณ 100 คน อันมีใจความสาระสำคัญว่า “เราต้องยอมรับความจริงว่าที่นิสิตนักศึกษาและประชาชนลุกขึ้นมาชุมนุมเรียกร้องทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลายคนต้องการจะตั้งคำถามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของพวกเรา ในเวทีชุมนุมมีการชูป้ายกล่าวอ้างถึงบุคคลที่อยู่ในเยอรมัน มีการกล่าวอ้างถึงบุคคลที่เป็นนักบินบินไปบินมา คำกล่าวอ้างเหล่านี้จะหมายถึงใครไปไม่ได้นอกจากสถาบันพระมหากษัตริย์ของพวกเราครับพี่น้อง"

"พี่น้องครับปัจจุบันนี้เราประสบปัญหาอย่างยิ่งยวดและสำคัญยิ่งคือมีกระบวนการที่ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ของพวกเราเนี่ยขยับออกไปไกลห่างจากระบอบประชาธิปไตยมากขึ้นทุกทีทุกที"

"การตั้งหน่วยงานในพระองค์ขึ้นมาและบริหารไปตามพระราชอัธยาศัย การที่บอกว่าบริหารไปตามพระราชอัธยาศัยนั้น แปลเป็นภาษาบ้านเราคือบริหารไปตามใจของพระมหากษัตริย์ เหล่านี้เป็นการออกแบบกฎหมายที่ขัดกับระบอบประชาธิปไตยทั้งสิ้น"

"...พอมีการผ่านการออกเสียงประชามติมา เกิดการแทรกแซงการประกาศใช้รัฐธรรมนูญโดยสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นครั้งแรก คือเมื่อมีการผ่านประชามติออกมา ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าพระมหากษัตริย์รับสั่งให้แก้รัฐธรรมนูญในสาระสำคัญอยู่หลายประการ ซึ่งถ้าในประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเหตุการณ์นี้ไม่มีทางเกิดขึ้นเพราะนี่เป็นการแทรกแซงการประกาศใช้รัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการ

การแก้ไขให้พระมหากษัตริย์กรณีที่ไม่อยู่ในประเทศไทยเนี่ยไม่ต้องตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เราจึงได้เห็นพระมหากษัตริย์ของเราเสด็จไปประทับอยู่ที่ประเทศเยอรมัน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์นานๆ ครั้งจึงจะกลับมาที่ประเทศไทย ข้อเท็จจริงนี้พี่น้องทุกคนทราบ ทหารตำรวจทุกคนทราบ

ต่อไปนี้ทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่พวกเราเป็นเจ้าของรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นสนามหลวง ไม่ว่าจะเป็นพระราชวัง ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ซึ่งเดิมเป็นของพวกเราทุกคนทั้งประเทศรวมกันเนี่ย ต่อไปนี้จะตกเป็นของพระมหากษัตริย์บริหารราชการแผ่นดินไปโดยตามพระราชอัธยาศัยครับพี่น้อง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญแต่ไม่มีใครกล้าพูดถึง

เท่านั้นยังไม่พอการที่แปรสภาพให้ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ตกอยู่ในการบริหารของพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวส่งผลทำให้เกิดโทษทางกฎหมายอีกอย่างหนึ่งคือกรณีที่ในหลวงของพวกเราเนี่ยไปประทับอยู่ที่ประเทศเยอรมันตามกำหนดเวลาของแคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมัน กฎหมายอาจจะต้องบังคับให้เสียภาษีหลายหมื่นล้านถามว่าเงินจำนวนหลายหมื่นล้านนั้น มันเป็นของใครก็เป็นพวกเราทุกคนเนี่ยแหละครับนี่"

"การที่พระมหากษัตริย์ไม่ประทับในประเทศ ถามว่าปัญหาเกิดขึ้นคืออะไร ปัจจุบันนี้ เราถูกฝรั่งมังค้อต่างชาติ นำเอากษัตริย์ของเราไปล้อเล่นที่เยอรมัน ไปฉายเลเซอร์ ไปให้เด็กใช้ปืนอัดลม ก่อการที่ไม่บังควร เหล่านี้เกิดขึ้นเพราะพระมหากษัตริย์ไม่อยู่ในประเทศ รวมทั้งกรณีที่จะตั้งรัฐมนตรี เข้าไปถวายสัตย์ปฏิบัติหน้าที่ ทำไม่ได้ ต้องรอให้กษัตริย์กลับมาประเทศก่อน ปัญหานี้ทุกคนรู้ เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคนรู้ แต่ไม่กล้าพูดถึง

ทุกคนที่มาชุมนุมเมื่อวันที่ 18 ที่ชูป้ายเรื่องเหล่านี้ทุกคนรู้ แต่ไม่มีใครพูดถึงพระราชบัญญัติโอนกำลังพลทหาร กรมทหารราบที่ 1 กับกรมทหารราบที่ 11 ไปให้สถาบันพระมหากษัตริย์เนี่ยดูแลปกครองไปตามพระราชอัธยาศัย กรณีนี้สำคัญนะครับ ในประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ไม่มีที่ไหนให้กษัตริย์มีอำนาจดูแลปกครองทหารเป็นจำนวนมากขนาดนี้ ไม่มีครับ การทำเช่นนั้นมันสุ่มเสี่ยง สุ่มเสี่ยงต่อการทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยกลายเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์"

"นอกจากนั้นการที่เอาทหารหลายกองพันไปสังกัดกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการเปลี่ยนระบอบการปกครอง เป็นการพูดเพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในสังคมไทยอย่างถูกต้องชอบธรรม ตามระบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข นักศึกษาที่ออกมาชุมนุม หลังจากปีใหม่มานี้ ทุกคนรู้เรื่องนี้ นักศึกษาทุกคนที่ชูป้ายข้อความสองแง่สองง่าม กล่าวถึงบุคคลที่ผมกล่าวมาแล้ว"

"การที่สถาบันพระมหากษัตริย์ สำนักพระราชวัง ยังนิ่งเฉยอยู่ทั้งที่รู้อยู่ว่า มีบุคคลมาแอบอ้างแล้วมาทำลายล้างราษฎรเนี่ย ยังนิ่งเฉยอยู่ มันก็อดทำให้เราตั้งคำถามไม่ได้ว่า จริงๆ แล้วสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น คิดกับเรายังไง มันอดไม่ได้จริงๆ ถ้าใครมาเชิญผมขึ้นเวทีให้ปราศรัยแล้วให้ผมพูดบิดเบือน ไม่กล่าวถึงปัญหาของสถาบันพระมหากษัตริย์ผมไม่ขึ้นเวที

ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังได้ทำให้ประเทศนี้ปกครองด้วยความไม่เป็นประชาธิปไตย โดยอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ หนึ่งในนั้นคือการตรากฎหมายพระราชบัญญัติงบประมาณแผ่นดินที่ใช้เงิน ส่งเงินให้กับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยไม่ได้ตรวจสอบการใช้เงินของสถาบันพระมหากษัตริย์ครับพี่น้อง (ปรบมือ) เรื่องนี้สำคัญการใช้เงินงบประมาณแผ่นดินของทุกองค์กรต้องถูกตรวจสอบ ต้องถูกวิจารณ์ได้ แต่สำหรับรัฐบาลนี้ไม่มีเรื่องนี้ มีการตั้งงบประมาณในหลายส่วนที่เกินความจำเป็น เช่น งบประมาณกระทรวงพาณิชย์เอาไปโปรโมทเสื้อผ้าแฟชั่นยี่ห้อสิริวัณวรี เอางบประมาณแผ่นดินไปโปรโมทยี่ห้อส่วนพระองค์"

"การสนับสนุนงบประมาณในการเดินทาง โดยใช้เครื่องบิน มากกว่า 5,000 ล้าน ตาม พ.ร.บ.งบประมาณ รัฐบาลโดยรัฐสภา ถ้าเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นว่าพระมหากษัตริย์ของเราอยู่ต่างประเทศนานแล้ว ระบอบประชาธิปไตยเปิดโอกาสให้สภาผู้แทนราษฎรเปิดอภิปรายถวายคำแนะนำให้พระองค์กลับมายังประเทศได้ นี่ยังไม่รวมงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ไปสร้างซุ้มถวายพระเกียรติมูลค่าเป็นสิบล้านซึ่งไม่มีความจำเป็นเลย คนจะจงรักภักดี จะศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ซุ้มเฉลิมพระเกียรติ แต่อยู่ที่การปฏิบัติตนของพระราชวงศ์ทุกพระองค์ใช่ไม่ใช่

ผมมีข้อเสนอในการแก้ปัญหา ต่อไปนี้ถ้ามีการแก้รัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง ให้สภาเป็นสภาที่มีผู้แทนราษฎรที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตยต้องแก้รัฐธรรมนูญเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้พระมหากษัตริย์อยู่ในประเทศไทย เพื่อเป็นมิ่งขวัญของพวกเราในประเทศ ไม่ใช่ที่เยอรมัน ต่อมาที่ต้องแก้คือการแก้พระราชบัญญัติ ที่ปล่อยให้ทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เป็นของพวกเรา ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ได้มีการถ่ายโอนไปผ่านทางพระราชบัญญัติจัดการบริหารราชการส่วนพระมหากษัตริย์ ดึงกลับมาเป็นของพวกเราทุกคน ต้องแก้ พ.ร.บ.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้ทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็น สนามหลวง ไม่ว่าจะเป็นวัดพระแก้วกลับมาเป็นของพี่น้องประชาชนทุกคน"

"เราทุกคนต้องช่วยกันส่งเสียงการเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคไหนมีนโยบายแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันอยู่ที่ใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง มีนโยบายเอาทรัพย์สินที่เป็นสาธารณะกลับมาเป็นของพวกเรา เลือกพรรคนั้นครับพี่น้อง”

ซึ่งจำเลยมีเจตนาพูดพาดพิงเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยอันเป็นเท็จ และเป็นการจาบจ้วง ล่วงเกิน ดูหมิ่น ใส่ความ หมิ่นประมาท หรือแสดงอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ โดยประการที่น่าจะทำให้รัชกาลที่ 10 เสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง โดยทำให้ประชาชนเสื่อมความศรัทธา ไม่เคารพต่อพระมหากษัตริย์ และเป็นการกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็น หรือติชม โดยสุจริต แต่เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงและชักจูงประชาชนให้ต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ จนอาจนำมาซึ่งความเกลียดชัง ถึงขั้นออกมากระทำความผิดต่อกฎหมาย เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดิน

4. ในวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยกับพวกได้ร่วมกันทำการโฆษณา ปราศรัย บอกกล่าว แสดงความคิดเห็นต่อประชาชน โดยการใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต

(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 14 ก.ค. 2564)

ความคืบหน้าของคดี

  • หลังอานนท์ นำภา และทีมทนายความทำหน้าที่ว่าความที่ศาลอาญาเสร็จในเวลาประมาณ 17.00 น. โดยก่อนหน้านั้น ทีมทนายความสังเกตเห็นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบหลายสิบนายอยู่รอบๆ ศาล กระทั่งวนเวียนดูหน้าห้องพิจารณาคดีที่อานนท์ว่าความ ทีมทนายได้ออกจากศาลอาญาในเวลา 19.10 น. กลุ่มเจ้าหน้าที่เหล่านั้นจึงเข้าแสดงหมายจับของศาลอาญาต่ออานนท์ จากกรณีการร่วมปราศรัยที่มีเนื้อหาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ในกิจกรรม #เสกคาถาปกป้องประชาธิปไตย ซึ่งชุมนุมในธีมแฮร์รี่ พอตเตอร์ โดยระบุข้อกล่าวหาในหมายจับ 4 ข้อหา ได้แก่ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116, เป็นผู้ร่วมจัดชุมนุมไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือคำสั่งของเจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมสาธารณะ ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมฯ, ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต, และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) ก่อนนำตัวอานนท์ขึ้นรถเดินทางไปยัง สน.ชนะสงคราม โดยมีทนายความร่วมเดินทางไปด้วย

    เมื่อนำตัวถึง สน.ชนะสงคราม เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่า หลังทำบันทึกจับกุมที่นี่แล้ว จะนำตัวไปทำสอบสวนที่ สน.ห้วยขวาง แต่เมื่อมีประชาชนและนักการเมืองที่ทราบข่าวการจับกุมทยอยเดินทางมาให้กำลังใจ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้กั้นรั้วรอบบันไดทางขึ้นสถานีตำรวจ ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นยกเว้นทนายความเข้า และได้เปลี่ยนมาสอบสวนที่ สน.ชนะสงคราม ซึ่งเป็นท้องที่เกิดเหตุ

    เวลา 21.20 น. ตำรวจอ่านบันทึกจับกุมให้อานนท์ฟัง จากนั้นอานนท์ได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวในชั้นตำรวจ เนื่องจากยังมีภารกิจต้องไปว่าความ โดยใช้เงินสด 150,000 บาท และตำแหน่ง ส.ส. ของรังสิมันต์ โรม พรรคก้าวไกล

    จนเวลา 23.10 น. พนักงานสอบสวนมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกัน โดยอ้างว่ายังสอบปากคำและรวบรวมพยานหลักฐานไม่แล้วเสร็จ และเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี พร้อมทั้งยืนยันว่าจะนำตัวไปฝากขังต่อศาลอาญาวันรุ่งขึ้น

    จากนั้นพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116, พ.ร.บ.ชุมนุมฯ, พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ อานนท์ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และให้การในรายละเอียดเบื้องต้น ดังนี้ ยอมรับว่า ข้อความที่พนักงานสอบสวนให้ดูและลงชื่อรับรองเป็นข้อความที่ได้โพสต์จริง และประสงค์ให้พนักงานสอบสวนแจ้งว่า โพสต์ใดที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เพราะมองว่าข้อความที่โพสต์ไม่เป็นความผิดต่อกฎหมายแต่อย่างใด เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) กระทำไปโดยสุจริตตามความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ ไม่มีข้อความใดเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 116 และกฎหมายอื่น

    นอกจากนี้ การปราศรัยข้อเสนอแนะเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2563 ผู้ต้องหาได้รับเชิญในฐานะผู้ปราศรัยไม่ใช่ผู้จัด เนื้อหาที่ปราศรัยอยู่ในกรอบรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เป็นเนื้อหาทางวิชาการ อีกทั้งเป็นการอภิปรายในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย

    ผู้ต้องหาได้ปราศรัยอย่างตรงไปตรงมา ตามหลักวิชา มีเจตนาแสดงความเห็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายที่มีการขยายพระราชอำนาจ รวมทั้งการปราศรัยในเรื่องอื่นๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นข้อเท็จจริง ที่มุ่งหมายให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่กับสังคมไทยในระบอบประชาธิปไตยที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

    ส่วนข้อหาตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ อานนท์ให้การว่า เงื่อนไขและคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ดูแลการชุมนุมตามหนังสือสรุปสาระสำคัญ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และอานนท์ไม่ใช่ผู้จัดการชุมนุม ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ

    เสร็จการสอบสวน ตำรวจได้ควบคุมตัวอานนท์ไว้ที่ สน.ชนะสงคราม รอส่งฝากขังในช่วงเช้า

    (อ้างอิง: บันทึกการจับกุม สน.ชนะสงคราม ลงวันที่ 19 ส.ค. 2563 และ https://tlhr2014.com/archives/20540)
  • เวลา 09.10 น. พนักงานสอบสวนได้ให้แพทย์ตรวจร่างกายอานนท์ ก่อนนำตัวขึ้นรถเพื่อไปขอฝากขังต่อศาลอาญา ก่อนรถเคลื่อนออกจาก สน.ชนะสงคราม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แสดงหมายค้น เลขที่ 609/2563 ซึ่งอนิรุจ ใจเพียง ผู้พิพากษาศาลอาญา อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 นาย เข้าค้นที่พักของอานนท์ ตามคำร้องของกองกำกับการสืบสวน 1 กองบังคับการสืบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อค้นหาสิ่งของที่จะเป็นพยานหลักฐานในคดีหรือมีไว้เป็นความผิด หรือตั้งใจจะใช้ในการกระทำความผิด และอนุญาตให้ทำการค้นตั้งแต่เวลา 10.30 น. เป็นต้นไปจนกว่าจะเสร็จสิ้น

    อานนท์ได้เขียนหนังสือมอบอำนาจให้ทนายความ 2 คน และเจ้าของห้องพักร่วมกระบวนการตรวจค้นแทน และขอสงวนเงื่อนไขไม่ยินยอมให้เจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้นถ่ายภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวในห้องพักอย่างเด็ดขาด

    11.09 น. อานนท์ถูกควบคุมตัวถึงศาลอาญา และถูกนำตัวเข้าห้องควบคุมตัวชั่วคราวใต้ถุนศาล ขณะที่พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอฝากขัง และคัดค้านการปล่อยชั่วคราว ระบุว่า หากปล่อยชั่วคราวเกรงว่าจะไปก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ขณะทนายความยื่นคำร้องคัดค้านการฝากขัง

    คำร้องขอฝากขังระบุพฤติการณ์ในคดีใจความว่า ก่อนเกิดเหตุ ชลธิชา แจ้งเร็ว ผู้ขอจัดชุมนุม มาแจ้งความประสงค์ เพื่อจัดการชุมนุมสาธารณะ ที่บริเวณรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในวันที่ 3 ส.ค. 2563 ระหว่างเวลาประมาณ 18.00 - 22.00 น. สน.ชนะสงคราม ทําหนังสือเรื่องสรุปสาระสําคัญการชุมนุมสาธารณะแจ้งให้ผู้ ขอจัดชุมนุมทราบ

    ต่อมาตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ กลุ่มผู้ชุมนุมใต้ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวทีปราศรัย โจมตีรัฐบาล และยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลจํานวน 3 ข้อ 1.หยุดคุกคามประชาชน 2.ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ 3.ยุบสภา การปราศรัย ใช้เครื่องกระจายเสียง ต่อมาเวลาประมาณ 19.48 น. อานนท์ นําภา ผู้ต้องหานี้ ซึ่งเป็นผู้ร่วมชุมนุมได้ขึ้น ปราศรัยต่อหน้าผู้ชุมนุมโดยเนื้อหาปราศรัยได้กล่าวพาดพิงและโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อให้ผู้ชุมนุมคล้อยตาม เกลียดชัง และต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ ก่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนหรือให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน

    ต่อมาจากการตรวจสอบพบว่า ก่อนเกิดเหตุ อานนท์ได้ใช้เฟซบุ๊กของตนเอง โพสต์ข้อความชักชวนให้ประชาชนทั่วไปมาชุมนุมในวันเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุได้โพสต์แถลงการณ์กลุ่มมหานครเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่มมอกะเสด ซึ่งเป็นข้อความต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ ก่อให้เกิดความ ปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนหรือให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน

    แท้จริงแล้ว กลุ่มผู้ชุมนุมมีเจตนาแอบแฝง มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง มีการวางแผนแบ่งหน้าที่กันทํา โดยมีจุดประสงค์ในการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ในการชุมนุมครั้งนี้ไม่มีการขออนุญาตใช้เครื่องขยายเสียง ซึ่งถือว่าเป็นการกระทําผิดเงื่อนไขของข้อกําหนดที่เจ้าพนักงานแจ้งไว้ในหนังสือสรุปสาระสําคัญการชุมนุม

    11.43 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจนำหมายค้นเดินทางมายังบริเวณด้านล่างที่พักของอานนท์ โดยมีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบราว 8 นาย ในเครื่องแบบ 1 นาย ขณะที่เจ้าหน้าที่จากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เดินทางมาสมทบ จนกระทั่งเวลา 12.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้มีอำนาจตามหมายค้น 4 นาย จากกองบังคับการสืบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล และรองผู้กำกับการสอบสวน สน. ชนะสงคราม เจ้าหน้าที่ในและนอกเครื่องแบบอย่างละ 2 นาย เริ่มเข้าตรวจค้นห้องพัก

    12.30 น. หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้มีอำนาจเข้าตรวจค้นห้องพักของอานนท์ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที แล้วไม่พบสิ่งของที่จะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดี หรือสิ่งของซึ่งมีไว้เป็นความผิด หรือตั้งใจจะใช้ในการกระทำความผิด ตามหมายค้น เจ้าหน้าที่จึงยุติการตรวจค้น

    เวลา 15.00 น. ศาลทำการไต่สวนคำร้องของฝากขัง พนักงานสอบสวนแถลงว่า คดีมีความจําเป็นต้องฝากขังผู้ต้องหาระหว่างทําการสอบสวน เนื่องจากมีพยานหลักฐานที่จะต้องสอบสวนเพิ่มเติม ด้านอานนท์และทนายความแถลงว่า ผู้ต้องหาไม่มีพฤติการณ์หลบหนี อีกทั้งเป็นผู้ต้องหาคดีอื่นซึ่งอยู่ในอํานาจศาลอาญาอยู่แล้ว และให้ความร่วมมือในการจับกุมแต่โดยดี การกระทําของผู้ต้องหายังเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ประกอบกับพนักงานสอบสวนสามารถทําการสอบสวนได้โดยไม่ต้องฝากขังผู้ต้องหาต่อศาลก็ได้ จึงไม่มีความจําเป็นยื่นคําร้องฝากขัง

    16.45 น. ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังระหว่างสอบสวน ก่อนที่ทนายความดำเนินการยื่นขอประกันตัวโดยไม่ใช้หลักทรัพย์ แต่ใช้ตำแหน่งนักวิชาการ และศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัว กำหนดวงเงินประกัน 100,000 บาท โดยยังไม่ต้องวางหลักประกัน เมื่อผิดสัญญา จึงจะบังคับเอาหลักประกัน ศาลยังกำหนดเงื่อนไขว่า ห้ามกระทำการใดๆ ในลักษณะเดียวกันกับการกระทำที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้อีก มิฉะนั้นจะให้ถือว่าผิดสัญญาประกัน นัดรายงานตัววันที่ 7 ต.ค. 2563

    (อ้างอิง: คำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 1 และรายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญา ลงวันที่ 20 ส.ค. 2563 และ https://tlhr2014.com/archives/20540)
  • อานนท์ เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติมที่ สน.ชนะสงคราม ตามที่พนักงานสอบสวนนัดหมาย โดยพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อเท็จจริงในคดีเพิ่มเติมระบุว่า จากการสอบสวนเพิ่มเติมได้ความว่าในการชุมนุมเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2563 ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ส่วนใหญ่ผู้มาชุมนุมมีการป้องกันเบื้องต้นโดย การสวมใส่หน้ากากอนามัยและผ้าปิดปากปิดจมูก แต่ไม่พบเห็นการตั้งวางแอลกอฮอล์เจลในบริเวณรอบๆ ทั้งไม่พบว่า มีจุดคัดกรอง ตรวจวัดอุณหภูมิ ก่อนเข้าร่วมกิจกรรม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคติดต่อ หลักการป้องกันต้องมีการเว้นระยะทางอย่างน้อย 1 เมตร มีการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา มีการคัดกรองในลักษณะ อาการไข้ ไอ จาม ควรหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรม จัดให้มีการนําเจลหรือแอลกอฮอล์ล้างมือนํามาทําความสะอาดมือของผู้เข้าร่วมกิจกรรม และมีการตรวจวัดอุณหภูมิ ก่อนเข้าร่วมกิจกรรม

    พนักงานสอบสวนจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้อานนท์ทราบเพิ่มเติมว่า มีความผิดฐาน เป็นผู้ร่วมจัดการชุมนุมฝ่าฝืนข้อกําหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 1 ข้อ 5 การห้ามชุมนุม ณ ที่ใดๆ ในสถานที่แออัด หรือกระทําการอันเป็นการยั่วยุให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ทั้งนี้ ภายในเขตพื้นที่ที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ประกาศกําหนด, ฉบับที่ 5 ข้อ 2(2) ห้ามจัดมี กิจกรรมซึ่งมีผู้เข้าร่วมเป็นจํานวนมากในลักษณะมีโอกาสติดต่อสัมผัสกันได้ง่าย, ฉบับที่ 13 ข้อ 1 ข้อ 5 ผู้จัดกิจกรรมต้องจัดให้ผู้เข้าร่วมปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกําหนด และประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินฯ เรื่อง ห้ามการชุมนุม การทํากิจกรรม ในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค หรือการกระทําอันเป็นการฉวยโอกาสซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชนหรือการกลั่นแกล้งเพื่อแพร่เชื้อโรค

    อานนท์ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาที่แจ้งให้ทราบเพิ่มเติม

    (อ้างอิง: บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม สน.ชนะสงคราม ลงวันที่ 10 ก.ย. 2563)
  • หลังจากครบฝากขัง 48 วัน ยังไม่มีการยื่นฟ้องต่อศาล เมื่ออานนท์มารายงานต่อศาลแล้ว ศาลจึงไม่มีนัดครั้งต่อไป แต่พนักงานสอบสวนได้นัดส่งตัวพร้อมสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 โดยอัยการนัดฟังคำสั่งในวันที่ 30 พ.ย. 2563 เวลา 10.00 น.
  • อานนท์เดินทางไปฟังคำสั่งอัยการ แต่อัยการยังไม่มีคำสั่ง และนัดฟังคำสั่งครั้งต่อไปวันที่ 25 ม.ค. 2564 เวลา 10.00 น.
  • เลื่อนฟังคำสั่งจากวันที่ 25 ม.ค. เป็นวันนี้ อัยการนัดฟังคำสั่งครั้งต่อไปวันที่ 3 มี.ค. 2564 เวลา 10.00 น.
  • หลังอานนท์ถูกขังระหว่างพิจารณาในคดีชุมนุม #19กันยาทวงอำาจคืนราษฎร ตั้งแตวันที่ 9 ก.พ. 2564 โดยศาลไม่ให้ประกันตัว วันนี้ พ.ต.ท.โชคอำนวย วงษ์บุญฤทธิ์ รองผู้กำกับ (สอบสวน) สน.ชนะสงคราม ได้เดินทางเข้าพบอานนท์ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในคดีนี้ พร้อมทั้งสอบคำให้การในเรือนจำเป็นเวลา 2 วัน

    เนื้อหาในบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมระบุว่า ได้มีหนังสือจากสํานักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 สํานักงานอัยการสูงสุด ลงวันที่ 16 ก.พ. 2564 แจ้งให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม เนื่องจากคณะทำงานกำหนดแนวทางในการบังคับใช้กฎหมายในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของอานนท์เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

    เดิมในคดีนี้ อานนท์ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116, พ.ร.บ.ชุมนุมฯ, พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ต่อมา พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในข้อหา ฝ่าฝืนข้อกำหนดและประกาศตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งอานนท์ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

    พนักงานสอบสวนได้กล่าวหาอานนท์จากพฤติการณ์ว่า ในช่วงราว 16.40 น. ของวันที่มีการชุมนุม เริ่มมีผู้ปราศรัยหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันขึ้นพูด จนกระทั่งเวลาราว 19.45 น. อานนท์ได้ขึ้นพูดปราศรัยบนเวทีชุมนุม โดยมีเนื้อหาที่กล่าวพาดพิงและโจมตีสถาบันกษัตริย์ เพื่อให้คนคล้อยตาม ต้องการให้ผู้ชุมนุมเกลียดชังสถาบันฯ ก่อให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน

    จากนั้นได้มีถอดความคำปราศรัยของอานนท์อย่างละเอียด ครอบคลุมในประเด็นเรื่องการใช้อำนาจและบทบาทของสถาบันกษัตริย์, การที่คนในสังคมออกมาตั้งคำถามในหลายประเด็นต่อสถาบันกษัตริย์, การที่กษัตริย์มีอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จในการจัดการหน่วยงานในพระองค์, การที่เข้าแทรกในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ, การที่กษัตริย์ทรงประทับในต่างประเทศโดยไม่ได้มีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์, การโอนย้ายทรัพย์สินที่เคยเป็นของสาธารณะเข้ามาอยู่ในการจัดการของกษัตริย์เอง, การประกาศใช้ พ.ร.บ.โอนกำลังพลทหารฯ ดึงเอากรมทหารราบที่ 1 และ 11 ให้เข้ามาเป็นส่วนราชการในพระองค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยและการไม่สามารถตรวจสอบการใช้งบประมาณเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ได้

    นอกจากนั้น ในการปราศรัย อานนท์ยังได้แสดงเจตนารมณ์ในการออกมาปราศรัยครั้งนี้ ว่าตนต้องการให้สถาบันกษัตริย์สามารถอยู่ในสังคมไทยได้อย่างถูกต้องและชอบธรรม ตามระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และข้อเสนอในการแก้กฎหมายเพื่อให้นำทรัพย์สินที่ถูกโอนให้สถาบันกษัตริย์ ให้โอนกลับมาเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเช่นเคย

    ++19 ประเด็นปฏิรูปสถาบันและถ้อยคำประกาศเจตนารมณ์ของ อานนท์ นำภา++

    ในขั้นตอนสอบคำให้การ อานนท์ได้ยืนยันให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา และได้ให้การในรายละเอียดในแต่ละข้อความที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นความผิด โดยแบ่งเป็น 19 ประเด็น อีกทั้งยังได้ขอให้พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารจำนวนมาก เพื่อสนับสนุนข้อต่อสู้

    1. “เพื่อการอภิปรายที่กระชับมากขึ้น แนะนําให้ผู้ร่วมชุมนุมเย็นนี้อ่านบทความในหนังสือฟ้าเดียวกันฉบับส่งเสด็จ ก่อนฟังอภิปราย เพราะวันนี้อาจไม่ได้เท้าความไปไกลมากนัก อยากอภิปรายในเรื่องปัจจุบันมากกว่า หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้มีการยื่นฟ้องก็พระมหากษัตริย์และพระราชินี ในความผิดข้อหาโอนทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ไปเป็นทรัพย์สินส่วนตัว ต่อมาศาลได้มีคําสั่งคําพิพากษาให้ฝ่ายกษัตริย์เป็นฝ่ายแพ้คดี และต้องถูกอายัดทรัพย์สินรวมทั้งยึดวังสุโขทัยไว้ด้วย”

    ในประเด็นนี้ อานนท์อธิบายว่า ถ้อยคําปราศรัยดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริง กล่าวโดยสุจริต และเป็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ จึงขอให้พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกพยานเอกสาร ได้แก่ 1.) เอกสารสํานวนคดีระหว่าง กระทรวงการคลัง โจทก์ กับ ในหลวงรัชกาลที่ 7 จําเลย ฉบับรับรองสําเนาถูกต้อง 2.) ขอให้ออกหมายเรียกสําเนาโฉนดที่ดินและสารบบที่ดินทั้งหมดของวังสุโขทัยฉบับรับรองสําเนาถูกต้องเข้ามาในสํานวนคดี และขอให้ออกหมายเรียกพยานบุคคล ได้แก่ 1.) ศ.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ 2.) ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ 3.) นายณัฐพล ใจจริง มาเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้การในประเด็นดังกล่าว โดยเฉพาะเนื้อหาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์

    เหตุที่ต้องพูดและหยิบประเด็นในนี้ขึ้นมาอภิปราย เนื่องจากมีการออกกฎหมายถ่ายโอนทรัพย์สินสาธารณะมาเป็นทรัพย์สินส่วนตัว เฉกเช่นที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 7 ตามคําพิพากษาที่ได้กล่าวถึงข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นการโอนหุ้นในธนาคารไทยพาณิชย์ หรือการโอนหุ้นในบริษัทปูนซีเมนต์ไทย และบริษัทหรือหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งเดิมหุ้นถูกถือในนามของสํานักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

    2. “เราต้องยอมรับความจริงว่าที่นิสิตนักศึกษาและประชาชนลุกขึ้นมาชุมนุม เรียกร้องทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลายคนต้องการจะตั้งคําถามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของพวกเรา ในเวทีชุมนุมมีการชูป้ายกล่าวอ้างถึงบุคคลที่อยู่ในเยอรมัน (โห่ร้อง) มีการกล่าวอ้างถึงบุคคลที่เป็นนักบิน บินไปบินมา คํากล่าวอ้างเหล่านี้จะหมายถึงใครไปไม่ได้นอกจากสถาบันพระมหากษัตริย์ของพวกเราครับพี่น้อง (ปรบมือ)”

    ในประเด็นนี้ อานนท์ให้การขยายความว่า หลังจากที่มีการเปลี่ยนรัชสมัย ประชาชนได้ตั้งคําถามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในสังคมออนไลน์ ข้อวิพากษ์วิจารณ์ถูกกดทับและปิดกั้นไม่ให้มีการพูดในที่สาธารณะ จนสิ่งที่ถูกกดทับไว้ได้ระเบิดออกมาภายหลังการยุบพรรคอนาคตใหม่ บรรดานิสิต นักศึกษา และประชาชน ได้แสดงความกล้าหาญลุกขึ้นหยัดยืนขึ้นมาพูดถึงต้นตอของปัญหาของสังคมไทย การยุบพรรคอนาคตใหม่จึงเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทําให้คนรุ่นใหม่หมดความอดทนต่อสังคมอันโสมม

    การชุมนุมต่อเนื่องในหลายมหาวิทยาลัยสะท้อนความกล้าหาญของเยาวชนคนรุ่นใหม่อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนและมุ่งเน้นในการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันโดยการใช้ถ้อยคำเปรียบเทียบ ไม่ได้กล่าวถึงตรงๆ แต่นั่นไม่อาจทําให้ปัญหาเรื่องสถาบันกษัตริย์ ถูกพูดถึงอย่างตรงไปตรงมา คนรุ่นใหม่ที่แสดงออกเหล่านั้นถูกเจ้าหน้าที่รัฐคุกคามทั้งที่เป็นคดีและไม่เป็นคดี ปัญหาดังกล่าวจะไม่สามารถแก้ได้เลย หากไม่ถูกพูดถึงปัญหาอย่างตรงไปตรงมา นั่นคือที่มาของการปราศรัย ในวันที่ 3 สิงหาคม 2563 ในนามของ “แฮรี่ พอตเตอร์” ซึ่งเป็นการพูดอย่างเคารพต่อตัวเอง ผู้ฟัง และต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

    ผู้ต้องหาเชื่อว่า การพูดอย่างตรงไปตรงมา สถาบันกษัตริย์เองจะใจกว้างและสังคมจะใจกว้าง เปิดใจรับฟังปัญหาอย่างมีวุฒิภาวะ อันจะนําไปสู่การแก้ไขปัญหาในสังคมด้วยวิธีการสันติวิธีและจะทําให้แก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน

    3. “การตั้งหน่วยงานในพระองค์ขึ้นมาและบริหารไปตามพระราชอัธยาศัย การที่บอกว่าบริหารไปตามพระราชอัธยาศัยนั้น แปลเป็นภาษาบ้านเราคือบริหารไปตามใจของพระมหากษัตริย์ เหล่านี้เป็นการออกแบบกฎหมายที่ขัดกับระบอบประชาธิปไตยทั้งสิ้น”

    ในประเด็นนี้ อานนท์ให้การว่า ข้อความข้างต้นเป็นที่มาของคําว่าการขยายพระราชอํานาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ห่างจากระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข กล่าวคือ เมื่อครั้งมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะราษฎรได้เปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ก็เนื่องจากว่า ระบอบเดิมไม่ได้ส่งเสริมให้ราษฎรได้มีสิทธิเสรีภาพ ประชาชนถูกปิดกั้นกดขี่อย่างไม่ชอบธรรม และการปกครองนั้นไม่ได้ถูกตรวจสอบ รายละเอียดปรากฏตามแถลงการณ์คณะราษฎร ฉบับที่ 1 ซึ่งทางผู้ต้องหาได้ขอให้พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกไปยังหอจดหมายเหตุแห่งชาติ หน่วยงานของรัฐ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องหรือบุคคลที่ครอบครองเอกสารดังกล่าวฉบับรับรองสําเนาถูกต้องเข้ามาในสํานวนคดีด้วย

    อานนท์ยังกล่าวอีกว่า ระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญนั้น หมายถึง การปกรองที่อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ สามารถกําหนดผู้แทนเข้าไปใช้อํานาจในการบริหารประเทศ ในการตรากฎหมาย และมีศาลสถิตยุติธรรม ซึ่งอํานวยความยุติธรรมให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและหลักการสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ องค์พระมหากษัตริย์ต้องดํารงตนเป็นหลักชัยแห่งสิทธิเสรีภาพและร่วมปกป้องระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งทําหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญกําหนด เป็นประมุขของรัฐที่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญและอยู่เหนือการเมืองอย่างแท้จริง

    กระบวนการขยายพระราชอํานาจของสถาบันกษัตริย์ให้ถอยห่างออกจากประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ยังหมายรวมถึงการให้การรับรองอํานาจของคณะบุคคลซึ่งก่อการรัฐประหาร การใช้อํานาจจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาบริหารด้วยตนเอง ซึ่งขัดกับหลักการที่ว่า พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยทรงปกเกล้า แต่ไม่ปกครอง ดังจะเห็นได้จากการตราพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนพระองค์ เป็นต้น การกระทําดังกล่าวมีการจําเป็นจะต้องหยิบยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์ อย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง พระมหากษัตริย์จะลงมาปกครองด้วยตัวเองไม่ได้ นี่คือหลักการสําคัญของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งผู้ต้องหาจะให้การในรายละเอียดต่อไป

    4. “พอมีการผ่านการออกเสียงประชามติมา เกิดการแทรกแซงการประกาศใช้รัฐธรรมนูญโดยสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นครั้งแรก คือเมื่อมีการผ่านประชามติออกมา ประยุทธ์ จันทร์โอชา นํารัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าพระมหากษัตริย์รับสั่งให้แก้รัฐธรรมนูญในสาระสําคัญอยู่หลายประการ ซึ่งถ้าในประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เหตุการณ์นี้ไม่มีทางเกิดขึ้น เพราะนี่เป็นการแทรกแซงการประกาศใช้รัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการ”

    ในประเด็นนี้ อานนท์ระบุว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ การจะแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงจะต้องทําให้เป็นไปตามกฎหมาย กรณีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้ผ่านการลงประชามติจากประชาชนแล้ว พลเอกประยุทธ์ฯ ได้นําขึ้นทูลเกล้าถวายให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญฯ แต่พระมหากษัตริย์ได้ทรงให้รัฐบาลแก้ไขรัฐธรรมนูญภายหลังจากที่ได้มีการลงประชามติแล้ว ปรากฏข่าวตามสื่อต่างๆ และพลเอกประยุทธ์ฯ ได้ให้สัมภาษณ์ว่าในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงรับสั่งให้ทําการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของรัฐธรรมนูญบางส่วน

    อานนท์ยังได้ขอให้พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกร่างรัฐธรรมนูญฯ ฉบับลงประชามติ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ประกาศใช้ เข้ามาในสํานวนคดี และขอให้พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกพยานบุคคล ดังนี้ 1.) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อสอบถามในประเด็นว่าร่างรัฐธรรมนูญฯ ฉบับที่ผ่านการออกเสียงประชามติที่ได้เสนอทูลเกล้าให้ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงลงพระปรมาภิไธยนั้นมีเนื้อหาอย่างไรบ้าง ส่วนฉบับที่ได้มีการประกาศใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันมีเนื้อหาอย่างไรบ้าง เนื้อหาทั้งสองฉบับแตกต่างกันอย่างไร บุคคลใดเป็นผู้สั่งการให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงฉบับที่ผ่านการลงประชามติไปแล้ว

    ส่วนอีกประเด็นคือ สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านการลงประชามติไปแล้วนั้นสามารถทําได้หรือไม่ และการที่พระมหากษัตริย์มีคําสั่งให้แก้ไขเพิ่มเติมนั้นทําได้หรือไม่ ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ขอให้พนักงานสอบสวนออกหมายเรียก 1.) อาจารย์ธีระ สุธีวรางคกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2.) อาจารย์ชํานาญ จันทร์เรือง มาให้การในประเด็นดังกล่าว

    5. “การแก้ไขให้พระมหากษัตริย์กรณีที่ไม่อยู่ในประเทศไทยเนี่ยไม่ต้องตั้งผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ เราจึงได้เห็นพระมหากษัตริย์ของเราเสด็จไปประทับอยู่ที่ประเทศเยอรมัน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นานๆ ครั้งจึงจะกลับมาที่ประเทศไทย ข้อเท็จจริงนี้พี่น้องทุกคนทราบ ทหาร ตํารวจทุกคนทราบ”

    อานนท์ยืนยันว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเรื่องจริง โดยขอให้เรียกบุคคล ดังต่อไปนี้มาให้การยืนยัน 1.) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ 2.) เอกอัครราชทูตไทยประจําประเทศเยอรมัน 3.) เลขาธิการพระราชวัง มาให้การในประเด็นว่า ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงประทับอยู่ในประเทศไทยช่วงใดบ้าง เสด็จไปประเทศเยอรมันช่วงใดบ้าง เสด็จไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์ช่วงใดบ้าง ในช่วงที่พระองค์เสด็จไปนั้นได้มีการแต่งตั้งผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ หากแต่งตั้งได้ แต่งตั้งใคร ให้เรียกคําสั่งแต่งตั้งเข้ามาในสํานวนคดีด้วย

    ขอให้พนักงานสอบสวนออกหมายเรียก รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเข้ามาในสํานวนคดี เพื่อเปรียบเทียบว่า ก่อนหน้านี้เคยมีการเขียนไว้ว่า กรณีพระมหากษัตริย์ไม่ได้ประทับอยู่ในประเทศไทย ไม่จําเป็นต้องตั้งผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์เหมือนรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันหรือไม่

    อานนท์ให้การอีกว่า พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยมีภารกิจที่จะต้องรับผิดชอบต่อประเทศ นั่นคือต้องประทับอยู่เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย รวมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หน้าที่ในการลงพระปรมาภิไธยในกฎหมายต่างๆ หรือเรื่องต่างๆ การที่พระมหากษัตริย์ทรงเสด็จไปประทับต่างประเทศโดยไม่ตั้งผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์จึงกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ดังจะเห็นได้จากกรณีที่มีกฎหมายบางฉบับต้องรอให้เสด็จกลับมาประเทศไทยก่อนถึงจะสามารถลงพระปรมาภิไธย หรือการแต่งตั้งข้าราชการ หรือแต่งตั้งตุลาการ ทําให้บ่อยครั้งเกิดความล่าช้าเกินสมควร อานนท์ยืนยันว่า ตนได้ปราศรัยไปด้วยเจตนาที่ห่วงใยต่อประเทศชาติ ไม่ได้มีเจตนาจะใส่ร้ายหรือดูหมิ่นบุคคลใด หากไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาก็ยากที่จะแก้ไข

    6. “ต่อไปนี้ทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่พวกเราเป็นเจ้าของรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นสนามหลวงไม่ว่าจะเป็นพระราชวังไม่ว่าจะเป็นหุ้นซึ่งเดิมเป็นของพวกเราทุกคนที่ประเทศ ของเรารวมกันเนี่ย ต่อไปนี้จะตกเป็นของพระมหากษัตริย์บริหารราชการแผ่นดินไปโดยตามพระราชอัธยาศัยครับพี่น้อง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สําคัญแต่ไม่มีใครกล้าพูดถึง”

    อานนท์ให้การว่า ข้อเท็จจริงที่ปราศรัยเรื่องพระราชอํานาจในการจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นที่ชัดเจนตามพระราชบัญญัติจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2560 และ 2561 ทรงสามารถจัดการทรัพย์สินไปได้ตามพระราชอัธยาศัย ถ้อยคำปราศรัยที่พูดไปนั้นก็เพื่อที่จะไม่ให้ทรัพย์อันเป็นของราชบัลลังก์ถูกเปลี่ยนมือ เป็นเจตนาที่หวังดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และเชื่อว่าคนในสังคมก็เห็นด้วยแต่ไม่กล้าพูดในประเด็นนี้ การเปลี่ยนมือดังกล่าวเริ่มกระทําอย่างซ้ำๆ เช่น หุ้นของ SCB และหุ้นของ SCG

    7. “เท่านั้นยังไม่พอ การที่แปรสภาพให้ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ตกอยู่ในการบริหารของพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวส่งผลทําให้เกิดโทษทางกฎหมายอีกอย่างหนึ่ง คือกรณีที่ในหลวงของพวกเราเนี่ยไปประทับอยู่ที่ประเทศเยอรมันตามกําหนดเวลาของแคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมัน กฎหมายอาจจะต้องบังคับให้เสียภาษีหลายหมื่นล้าน ถามว่าเงินจํานวนหลายหมื่นล้านนั้น มันเป็นของใคร ก็เป็นพวกเราทุกคนเนี่ยแหละครับ”

    ในประเด็นนี้ อานนท์ระบุว่าเนื่องจากมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานประกอบข้อเท็จจริงจํานวนมาก แต่เนื่องจากขณะนี้ผู้ต้องหาถูกคุมขังอยู่ในเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร และเพิ่งรับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าว จึงขอจัดทําคําให้การเป็นหนังสือเพื่อยื่นต่อพนักงานสอบสวนภายใน 45 วัน นับแต่วันนี้

    8. “การที่พระมหากษัตริย์ไม่ประทับในประเทศ ถามว่าปัญหาเกิดขึ้นคืออะไร ปัจจุบันนี้ เราถูกฝรั่งมังค่าต่างชาติ นําเอากษัตริย์ของเราไปล้อเล่นที่เยอรมัน ไปฉายเลเซอร์ ไปให้เด็กใช้ปืนอัดลม ก่อการที่ไม่บังควร เหล่านี้เกิดขึ้นเพราะพระมหากษัตริย์ไม่อยู่ในประเทศ รวมทั้งกรณีที่จะตั้งรัฐมนตรี เข้าไปถวายสัตย์ปฏิบัติหน้าที่ ทําไม่ได้ ต้องรอให้กษัตริย์กลับมาประเทศก่อน ปัญหานี้ทุกคนรู้ เจ้าหน้าที่ตํารวจทุกคนรู้ แต่ไม่กล้าพูดถึง ทุกคนที่มาชุมนุมเมื่อวันที่ 18 ที่ชูป้ายเรื่องเหล่านี้ทุกคนรู้ แต่ไม่มีใครพูดถึง”

    ในประเด็นนี้ อานนท์ระบุว่าเนื่องจากมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานประกอบข้อเท็จจริงจํานวนมาก แต่เนื่องจากขณะนี้ผู้ต้องหาถูกคุมขังอยู่ในเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร และเพิ่งรับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าว จึงขอจัดทําคําให้การเป็นหนังสือเพื่อยื่นต่อพนักงานสอบสวนภายใน 45 วัน นับแต่วันนี้

    9. “พระราชบัญญัติโอนกําลังพลทหาร กรมทหารราบที่ 1 กับกรมทหารราบที่ 11 ไปให้สถาบันพระมหากษัตริย์เนี่ยดูแลปกครองไปตามพระราชอัธยาศัย กรณีนี้สําคัญนะครับ ในประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ไม่มีที่ไหนให้กษัตริย์มีอํานาจดูแลปกครองทหารเป็นจํานวนมากขนาดนี้ ไม่มีครับ การทําเช่นนั้นมันสุ่มเสี่ยง สุ่มเสี่ยงต่อการทําให้สถาบันพระมหากษัตริย์ ในระบอบประชาธิปไตยกลายเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์”

    ในประเด็นนี้ อานนท์ระบุว่าเนื่องจากมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานประกอบข้อเท็จจริงจํานวนมาก แต่เนื่องจากขณะนี้ผู้ต้องหาถูกคุมขังอยู่ในเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร และเพิ่งรับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าว จึงขอจัดทําคําให้การเป็นหนังสือเพื่อยื่นต่อพนักงานสอบสวนภายใน 45 วัน นับแต่วันนี้

    10. “นอกจากนั้นการที่เอาทหารหลายกองพันไปสังกัดกับสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการเปลี่ยนระบอบการปกครอง นอกจากนั้นการที่เอาทหารหลายกองพันไปสังกัดกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการเปลี่ยนระบอบการปกครอง”

    ในประเด็นนี้ อานนท์ระบุว่าเนื่องจากมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานประกอบข้อเท็จจริงจํานวนมาก แต่เนื่องจากขณะนี้ผู้ต้องหาถูกคุมขังอยู่ในเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร และเพิ่งรับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าว จึงขอจัดทําคําให้การเป็นหนังสือเพื่อยื่นต่อพนักงานสอบสวนภายใน 45 วัน นับแต่วันนี้

    11. “เป็นการพูดเพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในสังคมไทยอย่างถูกต้อง ชอบธรรม ตามระบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนักศึกษาที่ออกมาชุมนุม หลังจากปีใหม่มานี้ ทุกคนรู้เรื่องนี้ นักศึกษาทุกคนที่ชูป้ายข้อความสองแง่สองง่าม กล่าวถึงบุคคลที่ผมกล่าวมาแล้ว”

    ในประเด็นนี้ อานนท์ระบุว่าเนื่องจากมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานประกอบข้อเท็จจริงจํานวนมาก แต่เนื่องจากขณะนี้ผู้ต้องหาถูกคุมขังอยู่ในเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร และเพิ่งรับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าว จึงขอจัดทําคําให้การเป็นหนังสือเพื่อยื่นต่อพนักงานสอบสวนภายใน 45 วัน นับแต่วันนี้

    12. “การที่สถาบันพระมหากษัตริย์ สํานักพระราชวัง ยังนิ่งเฉยอยู่ทั้งที่รู้อยู่ว่า มีบุคคลมาแอบอ้างแล้วมาทําลายล้างราษฎรเนี่ย ยังนิ่งเฉยอยู่ มันก็อดทําให้เราตั้งคําถามไม่ได้ว่า จริงๆ แล้วสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น คิดกับเรายังไง มันอดไม่ได้จริงๆ (ปรบมือ)”

    ในประเด็นนี้ อานนท์ระบุว่าเนื่องจากมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานประกอบข้อเท็จจริงจํานวนมาก แต่เนื่องจากขณะนี้ผู้ต้องหาถูกคุมขังอยู่ในเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร และเพิ่งรับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าว จึงขอจัดทําคําให้การเป็นหนังสือเพื่อยื่นต่อพนักงานสอบสวนภายใน 45 วัน นับแต่วันนี้

    13. “ถ้าใครมาเชิญผมขึ้นเวทีให้ปราศรัยแล้วให้ผมพูดบิดเบือน ไม่กล่าวถึงปัญหาของสถาบันพระมหากษัตริย์ผมไม่ขึ้นเวที (ปรบมือ)”

    ในประเด็นนี้ อานนท์ระบุว่าเนื่องจากมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานประกอบข้อเท็จจริงจํานวนมาก แต่เนื่องจากขณะนี้ผู้ต้องหาถูกคุมขังอยู่ในเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร และเพิ่งรับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าว จึงขอจัดทําคําให้การเป็นหนังสือเพื่อยื่นต่อพนักงานสอบสวนภายใน 45 วัน นับแต่วันนี้

    14. “ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังได้ทําให้ประเทศนี้ปกครองด้วยความไม่เป็นประชาธิปไตย โดยอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ หนึ่งในนั้นคือการตรากฎหมายพระราชบัญญัติ งบประมาณแผ่นดินที่ใช้เงิน ส่งเงินให้กับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยไม่ได้ตรวจสอบการใช้เงินของ สถาบันพระมหากษัตริย์ครับพี่น้อง (ปรบมือ) เรื่องนี้สําคัญการใช้เงินงบประมาณแผ่นดินของทุก องค์กรต้องถูกตรวจสอบ ต้องถูกวิจารณ์ได้ แต่สําหรับรัฐบาลนี้ไม่มีเรื่องนี้ มีการตั้งงบประมาณในหลายส่วนที่เกินความจําเป็น เช่น งบประมาณกระทรวงพาณิชย์ เอาไปโปรโมทเสื้อผ้าแฟชั่นยี่ห้อสิริวัณวรี (ปรบมือ) เอางบประมาณแผ่นดินไปโปรโมทยี่ห้อส่วนพระองค์”

    ในประเด็นนี้ อานนท์ระบุว่าเนื่องจากมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานประกอบข้อเท็จจริงจํานวนมาก แต่เนื่องจากขณะนี้ผู้ต้องหาถูกคุมขังอยู่ในเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร และเพิ่งรับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าว จึงขอจัดทําคําให้การเป็นหนังสือเพื่อยื่นต่อพนักงานสอบสวนภายใน 45 วัน นับแต่วันนี้

    15. “การสนับสนุนงบประมาณในการเดินทาง ในการเดินทางโดยใช้เครื่องบินมากกว่า 5,000 ล้าน ตาม พ.ร.บ.งบประมาณ รัฐบาลโดยรัฐสภา ถ้าเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นว่า พระมหากษัตริย์ของเราอยู่ต่างประเทศนานแล้ว ระบอบประชาธิปไตยเปิดโอกาสให้สภาผู้แทนราษฎร เปิดอภิปรายถวายคําแนะนําให้พระองค์กลับมายังประเทศได้”

    ในประเด็นนี้ อานนท์ระบุว่าเนื่องจากมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานประกอบข้อเท็จจริงจํานวนมาก แต่เนื่องจากขณะนี้ผู้ต้องหาถูกคุมขังอยู่ในเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร และเพิ่งรับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าว จึงขอจัดทําคําให้การเป็นหนังสือเพื่อยื่นต่อพนักงานสอบสวนภายใน 45 วัน นับแต่วันนี้

    16. “นี่ยังไม่รวมงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ไปสร้างซุ้มถวายพระเกียรติ มูลค่าเป็นสิบล้านซึ่งไม่มีความจําเป็นเลย (ปรบมือ) คนจะจงรักภักดี จะศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ซุ้มเฉลิมพระเกียรติ แต่อยู่ที่การปฏิบัติตนของพระราชวงศ์ทุกพระองค์ใช่ไม่ใช่ (ใช่)”

    ในประเด็นนี้ อานนท์ระบุว่าเนื่องจากมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานประกอบข้อเท็จจริงจํานวนมาก แต่เนื่องจากขณะนี้ผู้ต้องหาถูกคุมขังอยู่ในเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร และเพิ่งรับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าว จึงขอจัดทําคําให้การเป็นหนังสือเพื่อยื่นต่อพนักงานสอบสวนภายใน 45 วัน นับแต่วันนี้

    17. “ผมมีข้อเสนอในการแก้ปัญหา ต่อไปนี้ถ้ามีการแก้รัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้งให้สภาเป็นสภาที่มีผู้แทนราษฎรที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตยต้องแก้รัฐธรรมนูญเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้พระมหากษัตริย์อยู่ในประเทศไทยเพื่อเป็นมิ่งขวัญของพวกเราในประเทศ ไม่ใช่ที่เยอรมัน (ปรบมือ)”

    ในประเด็นนี้ อานนท์ระบุว่าเนื่องจากมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานประกอบข้อเท็จจริงจํานวนมาก แต่เนื่องจากขณะนี้ผู้ต้องหาถูกคุมขังอยู่ในเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร และเพิ่งรับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าว จึงขอจัดทําคําให้การเป็นหนังสือเพื่อยื่นต่อพนักงานสอบสวนภายใน 45 วัน นับแต่วันนี้

    18. “ต่อมาที่ต้องแก้คือการแก้พระราชบัญญัติ ที่ปล่อยให้ทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เป็นของพวกเราที่สถาบันพระมหากษัตริย์ได้มีการถ่ายโอนไปผ่านทางพระราชบัญญัติจัดการบริหารราชการส่วนพระมหากษัตริย์ ดึงกลับมาเป็นของพวกเราทุกคน ต้องแก้ พ.ร.บ.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้ทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็น สนามหลวง ไม่ว่าจะเป็นวัดพระแก้ว กลับมาเป็นของพี่น้องประชาชนทุกคน (ปรบมือ)”

    ในประเด็นนี้ อานนท์ระบุว่าเนื่องจากมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานประกอบข้อเท็จจริงจํานวนมาก แต่เนื่องจากขณะนี้ผู้ต้องหาถูกคุมขังอยู่ในเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร และเพิ่งรับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าว จึงขอจัดทําคําให้การเป็นหนังสือเพื่อยื่นต่อพนักงานสอบสวนภายใน 45 วัน นับแต่วันนี้

    19. “เราทุกคนต้องช่วยกันส่งเสียงการเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคไหนมีนโยบายแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันอยู่ที่ใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง มีนโยบายเอาทรัพย์สินที่เป็นสาธารณะกลับมาเป็นของพวกเรา เลือกพรรคนั้นครับพี่น้อง (ปรบมือ)”

    ในประเด็นนี้ อานนท์ระบุว่าเนื่องจากมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานประกอบข้อเท็จจริงจํานวนมาก แต่เนื่องจากขณะนี้ผู้ต้องหาถูกคุมขังอยู่ในเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร และเพิ่งรับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าว จึงขอจัดทําคําให้การเป็นหนังสือเพื่อยื่นต่อพนักงานสอบสวนภายใน 45 วัน นับแต่วันนี้

    (อ้างอิง: บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมและคำให้การผู้ต้องหา เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ลงวันที่ 24 ก.พ. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/26414)
  • พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องอานนท์ นำภา ต่อศาลอาญา ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 116, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14, พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ มาตรา 10, 14, 15 และ พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงฯ บรรยายฟ้องว่าอานนท์กระทำความผิด รวม 4 กรรม ทั้งนี้ อัยการไม่ได้นัดหมายอานนท์มาส่งฟ้องต่อศาลพร้อมสำนวนฟ้องด้วย

    อัยการยังได้คัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวอานนท์ระหว่างพิจารณามาในคำฟ้อง โดยอ้างว่า “จำเลยนี้ได้กระทำความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงหลายครั้ง และหากปล่อยตัวไปอาจกระทำความผิดซ้ำอีก” ทั้งยังขอให้ศาลนับโทษจำคุกของอานนท์ในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีอื่นๆ ของศาลอาญาอีก 3 คดี

    ศาลรับฟ้องไว้เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 และนัดถามคำให้การในวันที่ 7 ก.ย. 2564 เวลา 09.00 น.

    (อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 14 ก.ค. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/34773)
  • ศาลอาญาเบิกตัวอานนท์ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์จากสถานบำบัดพิเศษกรุงเทพฯ มาถามคำให้การในคดีนี้ ขณะอานนท์ถูกคุมขังอยู่ในคดีชุมนุมครบรอบ 1 ปีม็อบแฮรี่ พอตเตอร์ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2564

    อานนท์ให้การปฏิเสธ ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 18 ต.ค. 2564 เวลา 10.00 น. จากนั้นทนายความได้ยื่นประกันระหว่างพิจารณาในคดีนี้ ด้วยหลักทรัพย์ 90,000 บาท

    เวลา 17.30 น. ชนาธิป เหมือนพะวงศ์ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา มีคำสั่งไม่อนุญาตประกันตัว “พิเคราะห์แล้วเห็นว่าพฤติการณ์แห่งคดีร้ายแรง หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวมีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยจะไปกระทำการตามที่ถูกฟ้องหรือจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่นหรือจะหลบหนีได้จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลย ให้ยกคำร้อง”

    (อ้างอิง: คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 7 ก.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/34773)
  • ทนายความได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวอานนท์ในคดีนี้โดยวางหลักทรัพย์ประกันเป็นเงินสด 300,000 บาท พร้อมทั้งยื่นประกันชั้นฝากขังในคดีชุมนุมครบรอบ 1 ปี #ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์ ของศาลอาญากรุงเทพใต้ ด้วย

    เวลา 17.40 น. อรรถการ ฟูเจริญ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา มีคำสั่งยกคำร้อง โดยอ้างว่าในคำร้องที่ยื่นต่อศาลนั้น ลายมือและสีน้ำหมึกของผู้มอบฉันทะซึ่งเป็นทนายความผู้ยื่นทำเรื่องขอประกัน แตกต่างจากของผู้รับมอบฉันทะให้ฟังคำสั่งศาลในวันนี้

    โดยได้ระบุคำสั่งว่า “กรณีลายมือและสีหมึกในส่วนของผู้รับมอบฉันทะ แตกต่างจากสำนวนของผู้มอบฉันทะ โดยผู้มอบฉันทะไม่ได้ลงลายมือชื่อกำกับไว้ จึงไม่อาจเชื่อได้ว่ามีผู้รับมอบฉันทะจริง”

    ทำให้อานนท์ยังถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ต่อไป รวมระยะเวลาตั้งแต่ศาลอาญากรุงเทพใต้ไม่ให้ประกัน เป็นเวลา 52 วันแล้ว

    (อ้างอิง: คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 1 ต.ค. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/35948)
  • จากคำสั่งยกคำร้องของศาลโดยอ้างเหตุลายมือและสีหมึกของผู้รับมอบฉันทะ แตกต่างจากผู้มอบฉันทะ ทนายความจึงได้เข้ายื่นคำร้องขอประกันตัวอานนท์อีกครั้งในวันนี้ โดยวางหลักทรัพย์ประกันเป็นเงินสด 300,000 บาท เช่นเดิม แต่อรรถการ ฟูเจริญ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ก็มีคำสั่งยกคำร้อง ระบุในคำสั่งว่า "ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม"

    (อ้างอิง: คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 2 ต.ค. 2564)
  • ทนายความเข้ายื่นประกันอานนท์ในคดีนี้และคดีม็อบ 14 ต.ค. 2563 โดยมีแม่อานนท์เป็นนายประกัน เสนอหลักประกันเป็นเงินสด 200,000 บาท คำร้องประกอบการขอปล่อยตัวชั่วคราว ระบุยืนยันว่า จำเลยไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง โดยพฤติการณ์ต่างๆ ในคดีนี้เป็นการใช้เสรีภาพในการชุมนุมที่สงบและปราศจากอาวุธ ไม่ได้มีลักษณะเป็นอาชญากรรมร้ายแรงหรือก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองตามที่โจทก์ฟ้อง

    นอกจากนี้จำเลยยังเป็นผู้มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอน เดินทางมาตามนัดของตำรวจและอัยการอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งจำเลยเป็นทนายความ การขังจำเลยไว้ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปว่าความตามที่ต้องรับผิดชอบได้ ที่สำคัญที่สุดคือปัจจุบันมีสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 และจำเลยเคยติดโควิดในเรือนจำมาแล้ว หากไม่ได้รับการปล่อยตัวก็จะมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับการติดเชื้อซ้ำ

    ต่อมา พลีส เทอดไท ผู้พิพากษาหัวหน้าแผนกคดียาเสพติด มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างพิจารณาทั้งสองคดี โดยคดีนี้ระบุว่า ศาลเคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ระบุเหตุผลไว้ชัดแจ้งแล้ว กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม

    (อ้างอิง: คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวและคำสั่ง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 14 ต.ค. 2564)
  • ก่อนหน้าวันนัดผู้รับมอบทนายจำเลยเข้ายื่นคำร้องขอเลื่อนคดี เนื่องจากอานนท์และทนายจำเลยมีนัดตรวจพยานหลักฐานในคดี “ม็อบมุ้งมิ้ง” กรณีปราศรัยในกิจกรรมที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบก เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2563 ในวันเดียวกัน ซึ่งได้นัดหมายไว้ล่วงหน้าแล้ว ศาลอนุญาตให้เลื่อนนัดตรวจพยานหลักฐานไปเป็นวันที่ 12 พ.ย. 2564 เวลา 09.00 น. และงดหมายเบิกตัวอานนท์จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
  • ระหว่างการพิจารณาคดี แกนนำคนอยากเลือกตั้ง ARMY57 อานนท์ได้เขียนคำร้องประกอบการขอปล่อยตัวชั่วคราวในคดีนี้ และคดีชุมนุม 14 ต.ค. 2563

    คำร้องของอานนท์ระบุว่า จำเลยเคยยื่นประกันในคดีนี้แล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง “ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่ง ให้ยกคำร้องจำเลย” จำเลยประสงค์ขอยื่นประกันตัวอีกครั้งในวันนี้ โดยหากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่ายังไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่ง ขอศาลได้โปรดบอกหรือชี้แจงเหตุที่อาจทำให้ศาลเปลี่ยนแปลงคำสั่งให้แก่จำเลยทราบด้วย เพื่อที่จำเลยจะได้ขวนขวายแสดงเหตุนั้นต่อศาลเพื่อประกอบการพิจารณา

    อนึ่ง หากศาลพิจารณาคำร้องแล้วเห็นว่าพอจะพิจารณาปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยในวันนี้ จำเลยขอขอบพระคุณศาลในการพิจารณาให้สิทธิจำเลยในการประกันตัวออกไปต่อสู้คดีมา ณ ที่นี้ด้วย และหากศาลเห็นว่าจำเป็นต้องไต่สวนจำเลย ขณะนี้จำเลยถูกขังอยู่ที่แดน 4 เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ขอศาลมีคำสั่งเบิกตัวจำเลยมาไต่สวนด้วยเพื่อความยุติธรรม

    การยื่นประกันครั้งนี้มีแม่อานนท์เป็นนายประกัน เสนอหลักประกันเป็นเงินสด 300,000 บาท

    ต่อมา พริษฐ์ ปิยะนราธร รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างพิจารณาทั้งสองคดี โดยในคดีนี้ระบุเหตุผลว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เหตุอื่นที่ศาลจะเปลี่ยนแปลงคำสั่ง มีพฤติการณ์แต่ละเรื่องไม่เหมือนกัน และศาลไม่อาจทราบว่าเหตุอื่นที่จะมีพฤติการณ์แห่งคดีของจำเลยเป็นอย่างไร จำเลยต้องเป็นผู้เสนอเหตุในการปล่อยตัวชั่วคราวให้ศาลพิจารณา ประกอบคดีนี้ศาลเคยสั่งยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยหลายครั้ง โดยมีรายละเอียดและเหตุผลตามคำสั่งในคำร้องฉบับลงวันที่ 7 ก.ย. 2564

    อานนท์ถูกคุมขังมาแล้ว 71 วัน โดยปัจจุบันอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

    (อ้างอิง: คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวและคำสั่ง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 19 ต.ค. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/36761)
  • ทนายความเข้ายื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว 4 นักกิจกรรม ได้แก่ “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์, “ไผ่” จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา, “ไมค์” ภาณุพงศ์ จาดนอก และอานนท์ นำภา ในทุกคดีที่มีหมายขังของศาลอาญา โดยใช้ตำแหน่ง ส.ส.พรรคก้าวไกล อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล และธีรัจชัย พันธุมาศเป็นหลักประกัน สำหรับอานนท์ทนายได้ยื่นประกันในคดีนี้ และคดี #ม็อบ14ตุลา ปี 2563

    เวลา 15.10 น. พลีส เทอดไทย ผู้พิพากษาหัวหน้าแผนกคดียาเสพติด มีคำสั่งยกคำร้องทุกฉบับ คำสั่งในคดีนี้ระบุว่า พิเคราะห์แล้ว ศาลเคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยระบุเหตุผลไว้ชัดแจ้งแล้ว กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว

    ทำให้อานนท์ยังคงถูกคุมขังในเรือนจำต่อไป หลังถูกขังมาแล้ว 77 วัน

    (อ้างอิง: คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 26 ต.ค. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/36989)
  • ที่ศาลอาญา ทนายความเข้ายื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว 15 นักกิจกรรมและประชาชน ในคดีทางการเมือง รวมทั้งอานนท์ในคดีนี้ด้วย

    เวลา 16.50 น. อรรถการ ฟูเจริญ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา มีคำสั่งยกคำร้องทุกฉบับ ให้เหตุผลคล้ายกัน โดยในคดีนี้ระบุว่า พิเคราะห์แล้ว ศาลเคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยระบุเหตุผลไว้ชัดแจ้งแล้ว กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว

    (อ้างอิง: คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวและคำสั่ง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ. 1629/2564 ลงวันที่ 3 พ.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/37463)
  • ภายหลังศาลอาญามีคำสั่งไม่เพิกถอนประกันอานนท์ในคดี #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ทนายความได้ยื่นขอประกันอานนท์อีกครั้งในคดีที่เขาถูกหมายขังอยู่ คือคดีนี้และคดี #ม็อบ14ตุลา ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 โดยคดีนี้ขอวางเงินสดเป็นหลักประกันจำนวน 200,000 บาท

    คำร้องประกอบการขอปล่อยตัวชั่วคราว โดยสรุประบุว่า เนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงใหม่ว่า ในคดีหมายเลขดำที่ 287/2564 ของศาลนี้ จำเลยได้รับให้อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวตลอดมา โดยศาลมีเงื่อนไขห้ามมิให้จำเลยไปกระทำการให้เกิดความวุ่นวายหรือกระทำการใดๆ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

    ต่อมาโจทก์ในคดีดังกล่าวได้ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวของจำเลยในคดีดังกล่าว ซึ่งศาลได้ไต่สวนคำร้องของโจทก์แล้ว และมีคำสั่งไม่เพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวของจำเลยแต่มีข้อกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติม เนื่องจากข้อเท็จจริงและข้อกำหนดของศาลข้างต้นเป็นเงื่อนไขและข้อกำหนดเพิ่มเติม และยังชี้ให้เห็นว่าจำเลยมิได้กระทำการผิดเงื่อนไขใดๆ ของศาลอาญาเลย แต่เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาคดีศาล จึงได้กำหนดเงื่อนไขเพิ่มขึ้นดังกล่าวแล้ว

    ข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นย่อมเป็นข้อเท็จจริงใหม่ และเป็นการกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติม ซึ่งย่อมมีผลเพิ่มเติมให้การพิจารณาวินิจฉัยของศาลในการขอปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยในคราวนี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยในคราวก่อนๆ ประกอบกับข้อหาและฐานความผิดในคดีนี้กับในคดีหมายเลขดำที่ 287/2564 เป็นข้อหาและฐานความผิดเดียวกัน ซึ่งเป็นเหตุเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งของศาลอาญาในคดีนี้ที่จะอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยได้

    เวลา 17.00 น. ชาญชัย ณ พิกุล รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา มีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวอานนท์ในทั้งสองคดี ระบุเช่นกันว่าศาลเคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลย โดยระบุเหตุผลไว้ชัดแจ้งแล้ว กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ยกคำร้อง

    ปัจจุบันอานนท์ถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาแล้ว 87 วัน โดยถูกคุมขังจากการไม่ได้รับการอนุญาตประกันตัวใน 3 คดี ประกอบด้วย คดีม็อบแฮรี่พอตเตอร์ 1 วันที่ 3 ส.ค. 2563, คดีม็อบ 14 ต.ค. 2563 เดินทางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปทำเนียบรัฐบาล และคดีม็อบแฮรี่พอตเตอร์ 2 วันที่ 3 ส.ค. 2564

    (อ้างอิง: คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 5 พ.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/37513)
  • ทนายความได้ยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวอานนท์ใน 2 คดี ได้แก่ คดีนี้ และคดี #ม็อบ14ตุลา ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทำตามข้อเรียกร้อง 3 ข้อของคณะราษฎร และมีการเคลื่อนขบวนไปปักหลักชุมนุมที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล

    คำร้องประกอบการขอปล่อยตัวชั่วคราวอานนท์ครั้งนี้ นอกจากยืนยันว่า มีข้อเท็จจริงใหม่ หลังศาลอาญาไม่เพิกถอนประกันในคดีหมายเลขดําที่ 287/2564 ของศาลนี้ หรือคดีชุมนุม 19 ก.ย. 2563 และเป็นการกําหนดเงื่อนไขเพิ่มเติม ซึ่งย่อมมีผลให้การพิจารณาของศาลในการขอปล่อยตัวชั่วคราวจําเลยในคราวนี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวในคราวก่อนๆ ได้แล้ว ยังได้เสนอเงื่อนไขเพิ่มเติมว่า จะอยู่ในเคหะสถานตลอดเวลา เว้นแต่มีเหตุจําเป็นเพื่อการรักษาพยาบาล เพื่อการประกอบวิชาชีพทนายความ หรือเหตุอื่น เมื่อได้รับอนุญาตจากศาล ยินยอมติด EM และหากศาลเห็นสมควรกําหนดเงื่อนไขอื่นใด จำเลยก็พร้อมที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไข

    คำร้องยังกล่าวถึง เหตุที่กฎหมายจะยกเว้นไม่ให้ประกันที่ว่า “ผู้ต้องหาหรือจําเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น” นั้น ประเทศไทยนํามาจากกฎหมาย Bait Reform Act of 1984 ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งกําหนดให้มีการคุมขังระหว่างพิจารณาเพื่อป้องกันอันตรายต่อชุมชน (danger to the community) อย่างไรก็ตาม กฎหมายไทยกลับมีหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขแตกต่างจากกฎหมายในประเทศแม่แบบมาก ซึ่งนําไปสู่การตีความที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน และเป็นการละเมิดสิทธิของบุคคลอย่างร้ายแรง

    ความหมายของคําว่า “อันตราย” กฎหมาย Bait Reform Act ไม่ได้ให้ความหมายของคําว่า "Danger to the Community” แต่ได้กําหนดปัจจัย (Factors) หลายประการที่ศาลจะต้องพิจารณาว่าจะให้ประกันหรือไม่ แต่ปัจจัยที่สําคัญที่สุดประการหนึ่งก็คือ การกระทําความผิดที่ถูกกล่าวหา (Offence) นั้นเป็นอาชญากรรมที่ใช้ความรุนแรง (crime of violence), อาชญากรรมการก่อการร้าย (crime of terrorism), การกระทําความผิดที่เด็กเป็นผู้เสียหาย (crime involving minor victim), การกระทําความผิดเกี่ยวกับสารเคมีควบคุม (Controlled substance) และการใช้อาวุธ ระเบิดหรือการทําลายล้าง (firearm, explosive, or destructive device) หรือไม่

    ฐานความผิดเหล่านี้ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นการกระทําความผิดที่เกี่ยวข้องกับการใช้กําลังทางกายภาพต่อบุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นทั้งสิ้น จึงเห็นได้ว่า เหตุที่กฎหมายจะยกเว้นไม่ให้ประกันตัวนั้น ต้องเป็นไปเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นต่อบุคคลหรือทรัพย์เท่านั้น ไม่ใช่ความผิดทางการเมือง หรือความมั่นคงของรัฐ ที่รัฐเป็นผู้เสียหาย ดังนั้น ความหมายของ “อันตรายประการอื่น” จึงไม่ได้หมายความถึงความผิดใดๆ ก็ได้ หรือความผิดที่ได้เคยถูกฟ้องมาแล้ว

    อีกทั้งในการจะคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว รัฐต้องมีหน้าที่ในการนําสืบข้อเท็จจริงว่า หากศาลให้ปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาหรือจําเลยนั้น จะไปก่อให้เกิดอันตรายต่อบุคคลอื่นหรือสังคม รัฐต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดแจ้งและน่าเชื่อถือมาแสดง ไม่ใช่หน้าที่ของศาลที่จะไปคาดหมายเช่นนั้นเอง และไม่ใช่หน้าที่ของผู้ต้องหาหรือจําเลยที่จะต้องมานําสืบให้ศาลเห็นว่า หากตนได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวแล้ว ตนจะไม่หลบหนีหรือก่อให้เกิดอันตรายต่อบุคคลอื่น เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็ย่อมขัดกับหลักสันนิษฐานความบริสุทธิ์อย่างชัดแจ้ง

    อย่างไรก็ตาม หากศาลเห็นว่ายังไม่ได้ข้อเท็จจริงครบถ้วนเพียงพอ ขอให้นัดไต่สวนในวันที่ 12 พ.ย. 2564 เวลา 13.00 น. โดยในวันดังกล่าวจําเลยจะต้องถูกเบิกตัวมาที่ศาลอาญาในคดีนี้อยู่แล้ว ทั้งนี้ เพื่อให้โอกาสจําเลยได้แสดงพยานหลักฐานต่อศาลประกอบการพิจารณาใช้ดุลพินิจสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวด้วย

    เวลา 15.30 น. มุขเมธิน กลั่นนุรักษ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าแผนกคดีค้ามนุษย์ มีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวอานนท์ในทั้งสองคดี ระบุว่า “ที่ประชุมผู้บริหารศาลอาญาพิจารณาแล้วเห็นว่า ศาลนี้เคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยตลอดมา จนครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 5 พ.ย. ศกนี้ เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีตามที่ปรากฏแล้ว ยังเห็นว่าไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม คงให้ขังจำเลยไว้ โดยเหตุเกรงว่าจำเลยจะก่อเหตุร้าย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 (3) เช่นเดิม”

    (อ้างอิง: คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 9 พ.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/37592)
  • ตั้งแต่ในช่วงเช้า บริเวณทางเข้าศาล มีการตั้งจุดคัดกรอง โดยตำรวจศาลได้ขอตรวจบัตรผู้ที่จะเข้าห้องพิจารณาในคดีของอานนท์ทั้งหมด แม้มีคดีอื่นๆ ที่นัดสืบพยานในห้องพิจารณาเดียวกัน โดยมีครอบครัวของอานนท์และมวลชนเดินทางมาให้กำลังใจจำนวนหนึ่ง

    ผู้เข้าฟังการพิจารณาคดีทุกคน ยกเว้นทนายความและอัยการต้องฝากโทรศัพท์มือถือไว้หน้าห้องพิจารณา

    เวลา 09.00 น. ศาลอ่านคำฟ้องให้อานนท์ฟังอีกครั้ง โดยอ่านข้อกล่าวหาและเนื้อหาคำปราศรัยที่ถูกกล่าวหา พร้อมสอบถามอานนท์ว่าจำเป็นต้องอ่านทั้งหมดหรือไม่ พอจะจำได้หรือไม่ว่าปราศรัยลักษณะนี้หรือเปล่า

    อานนท์แถลงต่อศาลว่า หากตอบตามตรงคงจำรายละเอียดทั้งหมดไม่ได้ เนื่องจากการปราศรัยเกิดขึ้นประมาณปีเศษมาแล้ว แต่หากมีการส่งคลิปที่ถอดเทปมา ก็จะสามารถยืนยันได้ ศาลถามว่าอานนท์ได้ปราศรัยเช่นนี้จริงหรือไม่ รับว่าตัวเองขึ้นกล่าวปราศรัยจริง แต่ไม่ขอยืนยันเนื้อหาคำปราศรัยตามฟ้องของอัยการ เนื่องจากเหตุการณ์ผ่านมานาน

    ศาลสอบถามว่า ฝ่ายโจทก์และจำเลยจะมีพยานปากใดที่รับข้อเท็จจริงกันได้บ้าง ทนายความของอานนท์ได้ขอตรวจสอบบันทึกการจับกุมและบันทึกการตรวจร่างกายของแพทย์ จากนั้นได้แถลงรับข้อเท็จจริงตามเอกสารในบันทึกทั้งสองฉบับ

    อัยการโจทก์แถลงว่าจะตัดพยานทั้งสองปากออกไป ทำให้คงเหลือพยานทั้งสิ้น 18 ปาก ได้แก่ ผู้กล่าวหา ประจักษ์พยาน ผู้ตรวจพิสูจน์บันทึกคำปราศรัย นักวิชาการด้านสาธารณสุข ผู้อ่านบันทึกถอดคำปราศรัย และพนักงานสอบสวน พร้อมกับมีพยานหลักฐานเป็นแผ่นดีวีดีบันทึกเหตุการณ์รวม 4 แผ่น กับข้อมูลในแฟลชไดรฟ์

    ฝ่ายจำเลยแถลงประสงค์จะนำสืบพยานบุคคลรวม 23 ปาก ศาลได้ถามรายละเอียดเกี่ยวกับพยานแต่ละปาก ซึ่งมีทั้ง พลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์, นักการทูต, ผู้บริหารหน่วยงานรัฐและเอกชน รวมถึงผู้อำนวยการศาลแพ่ง

    นอกจากนี้ยังมีรายการเอกสารจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับคำปราศรัยของอานนท์ หนึ่งในนั้นคือเอกสารคำฟ้องและคำพิพากษาคดีแพ่ง ที่กระทรวงการคลังในรัฐบาลสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นโจทก์ฟ้องเรียกคืนทรัพย์สินจากรัชกาลที่ 7 เมื่อปี 2482 แต่ศาลกล่าวในทันทีว่าคงไม่สามารถเรียกเอกสารฉบับนี้มาให้ได้ ทนายจำเลยแถลงว่าหากศาลไม่เรียกเอกสารมา จำเลยเกรงว่าจะไม่สามารถขอคัดถ่ายได้ด้วยตนเอง เนื่องจากไม่ใช่คู่ความ ซึ่งเคยมีกรณีที่ศาลไม่ให้คัดถ่ายเอกสารมาแล้ว ศาลกล่าวว่าเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะไปหาวิธีนำเอกสารมาเอง

    ศาลกล่าวอย่างหนักแน่นหลายครั้งว่าจะไม่มีการเรียกเอกสารระหว่างศาลมาอย่างแน่นอน เนื่องจากมีช่องทางให้จำเลยไปขอคัดถ่ายอยู่ ทั้งนี้ทนายความยังได้ขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานปากผู้อำนวยการศาลแพ่ง มาเบิกความเพื่อยืนยันเอกสารข้างต้น แต่ศาลยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องสืบพยานปากนี้ ทนายจึงแถลงคัดค้าน และศาลได้บันทึกการคัดค้านไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา

    ทนายจำเลยยังได้ขออนุญาตศาลให้กำหนดวันนัดพร้อม 1 นัด เพื่อเบิกตัวทนายอานนท์มาดูคลิปวิดีโอบันทึกเหตุการณ์ เนื่องจากจำเลยถูกคุมขังทำให้เกิดความไม่สะดวกในการดูคลิป เบื้องต้นศาลแจ้งให้ทนายความตรวจดูแทนตัวจำเลย แต่ทนายจำเลยแถลงว่าจำเลยควรจะต้องตรวจสอบด้วยตนเอง เพราะทนายไม่อาจทราบรายละเอียดได้ทั้งหมด และในอีกคดีหนึ่งในศาลแห่งนี้ ก็เคยอนุญาตให้มีการกำหนดวันนัดให้อานนท์ได้ตรวจดูคลิปวิดีโอบันทึกเหตุการณ์มาก่อนแล้ว

    ศาลจึงอนุญาตให้กำหนดวันนัดและให้เบิกตัวจำเลยมาดูคลิปบันทึกเหตุการณ์ พร้อมกำหนดวันนัดสืบพยานให้ฝ่ายโจทก์จำนวน 5 นัด และฝ่ายจำเลยจำนวน 6 นัด รวมสืบพยาน 11 นัด

    ก่อนเสร็จสิ้นการพิจารณา ทนายจำเลยยังได้แถลงความกังวลเกี่ยวกับเอกสาร โดยขอให้ศาลทบทวนเรื่องการเรียกเอกสารเกี่ยวกับคำฟ้องและคำพิพากษาคดีแพ่ง แต่ศาลยังคงยืนยันว่าจะยังไม่ออกหมายเรียกในตอนนี้ รวมถึงการเรียกพยานบุคคลและเอกสารที่ถูกระบุไว้ในรายการพยานของจำเลยอื่นๆ ด้วย โดยจะต้องไปปรึกษาหารือและพิจารณาก่อนว่าจะออกหมายเรียกให้ในรายการใดบ้าง ในส่วนของศาลแพ่ง ศาลขอให้ทนายจำเลยลองไปขอคัดถ่ายเอกสารดูก่อน

    ต่อมาคู่ความได้ตกลงนัดหมายวันสืบพยานในคดี ได้แก่ สืบพยานฝ่ายโจทก์ในวันที่ 1-4 และ 8 พ.ย. 2565 นัดสืบพยานจำเลย ในวันที่ 22 พ.ย. 2565 และวันที่ 6, 8-9, 22-23 ธ.ค. 2565

    (อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 12 พ.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/37856)
  • ทนายความเข้ายื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวอานนท์ในคดีนี้และทุกคดีของศาลอาญาที่มีหมายขัง รวมถึงยื่นประกันแกนนำ "ราษฎร" อีก 3 คนด้วย

    ต่อมา พริษฐ์ ปิยะนราธร รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา มีคำสั่งเหมือนกันในทุกคำร้อง นัดไต่สวนคำร้องขอปล่อยชั่วคราวในวันที่ 17 ธ.ค. 2564 เวลา 10.00 น. โดยให้เบิกจำเลยไต่สวนทางวีดีโอคอนเฟอเรนซ์

    (อ้างอิง: คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวและคำสั่ง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ. 1629/2564 ลงวันที่ 2 ธ.ค. 2564)
  • ที่ศาลอาญา รัชดาฯ มีนัดไต่สวนคําร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว 4 แกนนำราษฎร ได้แก่ “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์, อานนท์ นำภา, “ไมค์” ภาณุพงศ์ จาดนอก และ “ไผ่” จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ซึ่งถูกขังตามหมายขังระหว่างพิจารณาในคดีชุมนุมต่างๆ และทนายยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้าวันนัด ทนายความได้ยื่นคำร้องขอให้เบิกตัวทั้ง 4 คน มาไต่สวนที่ศาล

    บรรยากาศในศาลอาญาช่วงเช้ามีการตั้งจุดคัดกรอง วัดอุณหภูมิ และมีบัตรชั่วคราวสำหรับบุคคลที่จะเข้าร่วมฟังการไต่สวน ส่วนที่ห้องพิจารณา 704 เจ้าหน้าที่ศาลไม่ได้เก็บเครื่องมือสื่อสารเหมือนที่ผ่านมา ทั้งยังให้ทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับคดีเข้าร่วมฟังการไต่สวนครั้งนี้ได้ โดยมีผู้สังเกตการณ์จากโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw), แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล และศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเข้าร่วมสังเกตการณ์

    เวลา 09.50 น.เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ราว 8 นาย คุมตัวนักกิจกรรมทั้งสี่ในชุดผู้ต้องขังสีน้ำตาลอ่อน สวมหน้ากากอนามัยเข้าห้องพิจารณา ครอบครัวและประชาชนที่มาให้กำลังใจต่างทยอยเข้าไปสวมกอดและทักทาย ในช่วงเวลาที่การพิจารณาคดียังไม่เริ่ม

    ++“อานนท์ นำภา” ชี้ ติดคุกว่าความไม่ได้ ศาลยังคงไม่ได้ประกันตัวคดีอื่น แม้ศาลเคยยกคำร้องขอถอนประกันมาแล้ว++

    เวลา 11.20 น. อานนท์เข้าเบิกความว่า ตนจบเนติบัณฑิตรุ่น 62 ประกอบอาชีพทนายความมา 13 ปี ในคดีนี้ตนถูกขังมาตั้งแต่วันที่ 9 ส.ค. 2564 จนถึงปัจจุบัน ระหว่างถูกคุมขังครั้งก่อน ตนได้ติดโควิดในเรือนจำเมื่อช่วงกลางปี และปัจจุบันยังมีอาการ Long COVID (อาการที่หลงเหลือหลังติดเชื้อโควิด-19) ทำให้เหนื่อยง่าย

    กอปรกับการที่ตนประกอบอาชีพทนาย การทำหน้าที่ว่าความในคดีต่างๆ ทำได้ลำบาก เนื่องจากถูกคุมขังอยู่ หลายคดีต้องเลื่อนการพิจารณา ทั้งที่เดิมในคดี #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ที่ตนเป็นจำเลย ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ต่อมามีพนักงานอัยการและพนักงานสอบสวนมายื่นคำร้องขอเพิกถอนประกัน เนื่องจากเห็นว่าผิดเงื่อนไข ที่ตนเข้าร่วมชุมนุมทำให้สถาบันกษัตริย์เสื่อมเสีย ก่อนศาลสั่งให้มีการไต่สวนและยกคำร้องโจทก์ไป โดยวินิจฉัยว่าตนไม่ได้กระทำผิดเงื่อนไข

    เหตุที่ตนไม่ได้ประกัน หลังยื่นขอประกันหลายครั้ง เนื่องจากศาลให้เหตุผลว่าจะไปกระทำความผิดซ้ำ หากแต่ก่อนหน้านั้น ศาลได้วินิจฉัยแล้วว่า การกระทำที่ถูกร้องให้เพิกถอนประกันนั้นไม่ได้เป็นการกระทำผิดเงื่อนไข

    สำหรับคดีที่ถูกฟ้องใหม่ เป็นคดีที่เกิดขึ้นก่อนการไต่สวนถอนประกัน และหลังจากที่ไต่สวนเสร็จแล้ว ตนถูกเพิ่มเงื่อนไขอีก 2 ข้อ คือ ห้ามออกจากเคหสถาน 24 ชั่วโมง และให้ติดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (EM) แต่ยังไม่ได้ปฎิบัติตาม เนื่องจากถูกขังตามหมายขังคดีอื่นๆ

    ก่อนศาลถามว่า เคยถูกไต่สวนในคดีละเมิดอำนาจศาลไหม อานนท์ตอบไม่เคย

    ++อนุญาตอัยการยื่นคำคัดค้าน ก่อนนัดฟังคำสั่ง 24 ธ.ค.++

    เวลา 14.45 น. ภายหลังศาลไต่สวนจำเลยพร้อมทั้งพยานแล้ว ได้กล่าวกับจำเลยว่า จะต้องนำข้อเท็จจริงจากการไต่สวนไปพิจารณาในที่ประชุมของศาล เนื่องจากไม่อยากให้การสั่งปล่อยหรือไม่ปล่อยเป็นการสั่งโดยผู้พิพากษาคนเดียว พร้อมทั้งย้ำว่า อย่าเข้าใจว่าการให้โอกาสไต่สวนในครั้งนี้จะเป็นเหตุให้ปล่อยตัวได้ทันที การอ้างว่าจะต้องกลับไปเรียนหรือกลับไปทำงานไม่ใช่เหตุที่จะนำไปสู่การปล่อยตัว ไม่เช่นนั้นทุกคนที่ถูกขังอยู่ก็คงอ้างได้

    นอกจากนี้ศาลยังกล่าวด้วยว่า ไม่ใช่ว่าจำเลยแถลงยอมรับเงื่อนไขแล้วศาลจะต้องปล่อยตัวเท่านั้น การเสนอเงื่อนไขไม่ใช่เหตุปล่อยตัวอย่างเดียว ศาลจะต้องพิจารณาที่การกระทำ ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่าควรให้ปล่อย จึงจะอนุญาตปล่อยชั่วคราว ไม่ว่าจะสั่งอย่างไร สังคมก็จะมีคำวิพากษ์วิจารณ์ต่อคำสั่งนั้น ศาลจึงต้องให้โอกาสในการเรียกมาไต่สวน

    จากนั้นศาลได้ถามพนักงานอัยการฝ่ายโจทก์ว่า จะคัดค้านคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวหรือไม่ ก่อนกล่าวว่าอันที่จริงอัยการได้แถลงคัดค้านไว้แล้วก่อนจะมีการไต่สวน อัยการแถลงว่า จะต้องคัดค้านเนื่องจากคดีทั้งหมดเป็นคดีที่มีโทษสูง หากปล่อยตัวเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี

    ต่อมา คณะพนักงานอัยการราว 15 คน ได้ปรึกษากันอีกครั้ง ก่อนจะแถลงว่าไม่สามารถแถลงคัดค้านภายในวันนี้ได้ เนื่องจากจำเลยแต่ละคนมีหลายคดี จึงขอทำคำแถลงเป็นเอกสารมายื่นภายในสัปดาห์หน้าซึ่งอาจจะเป็นวันพุธที่ 22 ธ.ค. 2564

    อานนท์ได้ขอแถลงต่อศาลว่า ตนรู้สึกว่าขั้นตอนการไต่สวนค่อนข้างแปลก เนื่องจากเปิดให้มีการไต่สวนแล้ว ยังจะเปิดให้มีการแถลงคัดค้านหลังเสร็จสิ้นการไต่สวนอีก ซึ่งตนกังวลว่าหากอัยการทำคำแถลงมาแล้วปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงใหม่ ฝ่ายจำเลยก็จะไม่ได้โต้แย้ง จะเป็นเสมือนการตอกฝาโลงตนหรือไม่ จึงขอท้วงติงไว้

    ศาลกล่าวตอบอานนท์ว่า จำเลยอย่าบังคับศาลมากเกินไป ศาลได้ย่นย่อการพิจารณาให้สั้นลงโดยไม่ได้เรียกพนักงานสอบสวนแต่ละคดีมาไต่สวน หรืออานนท์อยากจะให้มีการสืบพยานอีกซัก 2-3 นัด ซึ่งมันก็อาจจะช้าออกไปอีก อานนท์จึงกล่าวว่า การพูดอย่างนี้ก็เหมือนเอาคนที่ถูกคุมขังอยู่เป็นตัวประกัน เพราะเวลาของคนข้างนอกกับคนที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำไม่ได้เท่ากัน

    หลังศาลและจำเลยโต้เถียงเหตุผลกันอยู่ราวครึ่งชั่วโมง ศาลจึงกล่าวสรุปว่า เพื่อให้เกิดความยุติธรรม ต้องให้โอกาสทั้งสองฝ่ายเต็มที่ โดยโจทก์ได้ยืนยันว่าจะไม่มีข้อเท็จจริงใหม่ การทำหนังสือคัดค้านเป็นเพียงการคัดค้านตามปกติ ส่วนฝ่ายจำเลยก็สามารถทำคำแถลงคล้ายกับการทำคำแถลงปิดคดีได้เช่นกันหากประสงค์จะทำ

    ให้พนักงานอัยการยื่นคำคัดค้านคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวเป็นหนังสือภายในวันที่ 23 ธ.ค. 2564 และนัดฟังคำสั่งว่าศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวหรือไม่ในวันที่ 24 ธันวาคม 2564 ในเวลา 13.00 น.

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/38980)
  • เวลา 13.30 น. ศาลได้เบิกตัวอานนท์, พริษฐ์ และภาณุพงศ์ รวมทั้งจตุภัทร์ ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยพนักงานอัยการเจ้าของสำนวนคดีไม่ได้เดินทางมาฟังคำสั่งด้วยแต่อย่างใด

    เวลา 14.10 น. พริษฐ์ ปิยะนราธร รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา อ่านคำสั่งไม่ให้ประกันทั้งหมด กรณีของอานนท์ระบุเหตุผลว่า

    “พิเคราะห์แล้ว ที่ประชุมผู้บริหารศาลอาญาเห็นว่า เมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์ของจำเลยในการแสดงออก ปราศรัย หรือชักนำในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ประกอบกับจำเลยถูกกล่าวหาในลักษณะเช่นนี้ที่ศาลนี้และศาลอื่นหลายคดี

    กรณีมีเหตุอันควรให้เชื่อว่า หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยจะไปกระทำการในทำนองเดียวกันกับที่ถูกฟ้องร้องหรือไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น ในชั้นนี้จึงยังไม่มีข้อเท็จจริงในทางคดีที่เปลี่ยนแปลงไป ย่อมไม่มีเหตุที่ศาลจะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมที่ศาลสั่งไว้โดยชอบแล้ว ยกคำร้อง”

    ศาลยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “ที่ประชุมผู้บริหารศาลอยากให้ประกันมากนะ แต่เมื่อพิจารณาถึงความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นเมื่อปล่อยตัวออกมาแล้วก็จึงมีคำสั่งแบบนี้ ขนาดนี้วันนี้ยังมีเลย” และกล่าวต่ออีกว่า “ในชั้นนี้มีคำสั่งไม่ให้ประกัน แต่ไม่ได้หมายความว่า ครั้งหน้าจะไม่ให้ประกันนะ”

    หลังผู้พิพากษาเดินออกจากห้องพิจารณาคดีไป แม่ของภาณุพงศ์ จตุภัทร์ และอานนท์ ทยอยเดินไปที่ด้านหน้าของห้องพิจารณาเพื่อสับเปลี่ยนกันพูดคุยกับลูกของตัวเองผ่านจอวิดีโอ แม่ของอานนท์พูดเป็นภาษาอีสานใจความว่า “คิดถึงลูกนะ ขอให้เข้มแข็ง”

    ทั้งนี้ ในวันเดียวกัน กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม และกลุ่มทะลุฟ้า ได้จัดกิจกรรมจับตาผลการให้ประกันตัวนักกิจกรรมทั้ง 4 ราย โดยได้นัดหมายมวลชนไปรวมตัวกันบริเวณหน้าศาลอาญาเพื่อรอรับเพื่อนกลับบ้านตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป และจัดกิจกรรม “เดิน หยุด ขัง” โดยนัดหมายประชาชนให้เริ่มต้นเดินตั้งแต่ห้างสรรพสินค้ายูเนี่ยนมอล์ในเวลา 11.00 น. เพื่อเดินไปจนถึงศาลอาญา รัชดาฯ

    ภายหลังมวลชนเดินทางมาถึงหน้าศาลอาญาในเวลาประมาณ 13.30 น. และต่อมาทราบว่าศาลมีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวนักกิจกรรมทั้ง 4 ราย กลุ่มมวลชนได้จัดกิจกรรมพูดปราศรัยเกี่ยวกับการไม่ทำหน้าที่อย่างเที่ยงตรงของศาลและสถาบันตุลาการ รวมไปถึงมีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เช่น เผาชุดครุยผู้พิพากษา เผาหนังสือประมวลกฎหมายอาญา และขีดเขียนพ่นสีสเปรย์ที่ป้ายของศาลอาญา เพื่อแสดงความไว้อาลัยแก่กระบวนการยุติธรรมไทย

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/39156)
  • ทนายความยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ‘เพนกวิน’ พริษฐ์ ชิวารักษ์ และ อานนท์ นำภา ในคดีการชุมนุมและแสดงออกทางการเมืองที่มีหมายขังทั้งหมดของศาลอาญา ในส่วนของอานนท์รวมแล้ว 9 คดี ประกอบด้วย คดี “เสกคาถาปกป้องประชาธิปไตย” หรือม็อบแฮร์รี่ พอตเตอร์ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2563, คดีชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร เมื่อวันที่ 19-20 ก.ย. 2563, คดี #ม็อบ14ตุลา ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563, คดี #ม็อบ17พฤศจิกา63 ที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2563, คดี #ม็อบ25พฤศจิกาไปscb เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2563, คดีชุมนุม #ปลดอาวุธศักดินาไทย หน้าราบ 11 เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2563, คดีชุมนุม #2ธันวาไปห้าแยกลาดพร้าว เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2563, คดีปราศรัยหน้า สน. บางเขน 21 ธ.ค. 2563 และคดีโพสต์เฟซบุ๊กวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ 3 ข้อความ ช่วง 1-3 ม.ค. 2564

    สำหรับคดีของศาลอาญาข้างต้น อานนท์เคยยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง และศาลเคยให้มีการไต่สวนคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2564 อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมผู้บริหารศาลอาญาก็ยังยืนกรานไม่ให้ประกัน ‘เพนกวิน-อานนท์-ไมค์-ไผ่’ ในครั้งนั้น อ้างเหตุว่า “เกรงว่าจะกระทำผิดซ้ำ”

    การยื่นประกันในครั้งล่าสุดนี้ อานนท์ได้ระบุในคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวในทุกคดีของทุกศาลเช่นเดียวกับครั้งที่ผ่านมาว่า จะไม่กระทําการใดๆ ให้สถาบันกษัตริย์เกิดความเสื่อมเสีย ไม่ทํากิจกรรมใดที่จะทําให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย ไม่เดินทางออกนอกประเทศ และพร้อมที่จะเดินทางมาศาลตามที่มีการนัดหมายทุกครั้ง รวมถึงยินยอมติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM) ทั้งยังมีคำร้องเพิ่มเติมเข้ามาว่า

    1. นับจนถึงวันนี้จําเลยถูกคุมขังไว้ในระหว่างการพิจารณาคดีเกินกว่า 6 เดือนแล้ว ซึ่งในคดีนี้พยานโจทก์และพยานจําเลยมีจํานวนมาก ยังไม่อาจกําหนดได้ว่าจะสามารถพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นเสร็จสิ้นเมื่อใด และยังไม่ปรากฏพยานหลักฐานใด ๆ ในการสืบพยานโจทก์ที่ผ่านมาให้เห็นถึงความผิดของจําเลย
    2. ในคดีหมายเลขดําที่ อ.287/2564 ของศาลอาญา (คดี 19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร) ซึ่งมีจําเลยคนอื่น ๆ ถูกกล่าวหาว่ากระทําความผิดร่วมกันกับจําเลยทั้งสองนี้ ศาลก็ได้มีคําสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจําเลยในคดีนี้จํานวนหลายคน เช่น ปนัสยา หรือรุ้ง สิทธิจิรวัฒนกุล, จตุภัทร์ หรือไผ่ ดาวดิน บุญภัทรรักษา, ภาณุพงศ์ หรือไมค์ จาดนอก โดยศาลได้กําหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ให้จําเลยปฏิบัติตาม ก็ปรากฏว่าจําเลยเหล่านั้นได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลได้เคร่งครัดทุกประการ และไม่ได้ผิดเงื่อนไขของศาลเลย ซึ่งจําเลยทั้งสองก็ขอยืนยันว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขต่าง ๆ เหมือนดังเช่นจําเลยคนอื่นที่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวไปก่อนหน้านี้

    เวลา 16.30 น. พลีส เทอดไทย ผู้พิพากษาหัวหน้าแผนกคดียาเสพติดของศาลอาญา มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวอานนท์และเพนกวินในทุกคดี ระบุในคำสั่งว่า พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีโดยรวมแล้ว กรณีเห็นควรให้โอกาสจําเลยได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เสนอต่อศาลสักช่วงระยะเวลาหนึ่ง อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างพิจารณามีกําหนดเวลา 3 เดือน (ครบกําหนดวันที่ 22 พ.ค. 2565) กําหนดเงื่อนไข

    1. ห้ามทํากิจกรรมหรือกระทําการใด ๆ อันจะทําให้เกิดความเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และศาลในทุกด้าน รวมทั้งห้ามกระทําการใด ๆ อันเป็นการขัดขวางกระบวนพิจารณาคดีของศาล
    2. ห้ามเข้าร่วมชุมนุมที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
    3. ให้ติดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ EM
    4. ห้ามออกนอกเคหสถานในช่วงเวลา 21.00 – 06.00 น. เว้นแต่มีเหตุจําเป็นเพื่อการรักษาพยาบาล ไปศึกษาเล่าเรียน ไปสถานีตํารวจ สํานักงานอัยการ หรือศาล หรือได้รับอนุญาตจากศาล
    5. ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
    หากจําเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว ศาลอาจมีคําสั่งเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมคําสั่งเดิมตามพฤติการณ์ของจําเลยที่เปลี่ยนไป ตามความเหมาะสมและความร้ายแรงของพฤติการณ์ต่อไป นอกจากนี้ กรณีครบกําหนดการปล่อยชั่วคราวโดยมีกําหนดระยะเวลาแล้ว หากจําเลยไม่มีพฤติการณ์ที่ผิดเงื่อนไข ศาลจะมีคําสั่งเปลี่ยนแปลงคําสั่งเดิมต่อไป

    อย่างไรก็ตาม อานนท์ซึ่งถูกขังมาแล้ว 196 วัน ยังไม่ได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำ เนื่องจากศาลอาญากรุงเทพใต้ยังคงยืนยันไม่ให้ประกันในอีก 2 คดี

    (อ้างอิง: คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวและคำสั่ง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 22 ก.พ. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/40716)
  • ก่อนเริ่มสืบพยานที่มาศาล 2 ปาก จําเลยและทนายจําเลยแถลงคัดค้านว่า ศาลยังไม่ได้ออกหมายเรียกเอกสารเพื่อใช้ในการถามค้านพยานโจทก์ให้กับจําเลย ซึ่งเป็นเอกสารสําคัญที่เกี่ยวข้องกับประเด็นโดยตรง จึงขอให้เลื่อนการสืบพยานวันนี้ไปก่อน ศาลอนุญาตให้เลื่อนไปนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 2 พ.ย. 2565 ตามที่นัดไว้เดิม

  • อัยการนำพยานเข้าเบิกความรวม 5 ปาก คือ พ.ต.อ.ปิติพันธ์ กฤดากร ณ อยุธยา, พ.ต.อ.นิวัฒน์ พึ่งอุทัยศรี, พ.ต.ท.อลงกต ส้มจีน, พ.ต.ต.ธัญญสิทธิ์ เกิดโภคทรัพย์ และ ด.ต.ธเนตร สินสมุทร์ โดยสืบพยานปาก พ.ต.อ.ปิติพันธ์ และ พ.ต.อ.อลงกต ได้จบ ส่วน พ.ต.อ.นิวัฒน์ และ ด.ต.ธเนตร ทนายจําเลยขอเลื่อนการถามค้าน เนื่องจากยังไม่ได้รับเอกสารที่จําเลยได้ยื่นคําร้องขอให้ศาลออกหมายเรียก ซึ่งเป็นเอกสารสําคัญเกี่ยวกับประเด็นข้อต่อสู้ของจําเลยโดยตรง

    ศาลอนุญาตให้เลื่อนการถามค้านพยานโจทก์ 2 ปากดังกล่าวของทนายจำเลย และให้เลื่อนการถามติงของอัยการสำหรับพยานปาก พ.ต.ต.ธัญญสิทธิ์ ไปก่อน

    (อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 2 พ.ย. 2565)
  • อัยการนำพยานเข้าเบิกความรวม 3 ปาก คือ พ.ต.ต.อิสรพงศ์ ทิพย์อาภากุล, พ.ต.ต.ประภาส ครุธนาค และ พ.ต.ต.สงกรานต์ พุทธานุรักษ์ โดยสืบพยานปาก พ.ต.ต.ประภาส และ พ.ต.ต.สงกรานต์ ได้จบ ส่วน พ.ต.ต.อิสรพงศ์ ทนายจําเลยขอเลื่อนการถามค้าน เนื่องจากพยานปากนี้เบิกความเกี่ยวข้องกับประเด็นข้อต่อสู้ของจําเลยโดยตรง แต่ทนายจำเลยยังไม่ได้รับเอกสารที่ขอหมายเรียกมาประกอบการถามค้าน

    ศาลอนุญาตให้เลื่อนการถามค้านพยานโจทก์ปากดังกล่าวไปก่อน

    (อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 3 พ.ย. 2565)
  • อัยการนำพยาน 2 ปาก เข้าเบิกความจนจบ ได้แก่ ปวีณา คุ้มภัย เจ้าหน้าที่เทศกิจ และรัตติกรณ์ สนั่นเอื้อ เจ้าพนักงานควบคุมโรค

    อัยการแถลงขอเลื่อนนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 8 พ.ย. 2565 ทนายจำเลยและจำเลยไม่ค้าน ศาลให้ยกเลิกนัดวันที่ 8 พ.ย. 2565 และให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์ต่อวันที่ 22 พ.ย. 2565

    (อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 4 พ.ย. 2565)
  • อัยการนำพยานเข้าเบิกความรวม 3 ปาก คือ อภิวัฒน์ ขันทอง, ร.ต.อ.เฉลิมพันธ์ุ ภูสมหมาย และ ร.ต.ต.นคร คงกลิ่น โดยสืบพยานปาก ร.ต.อ.เฉลิมพันธ์ุ และ ร.ต.ต.นคร ได้จบ ส่วน อภิวัฒน์ ทนายจําเลยขอเลื่อนการถามค้าน เนื่องจากพยานปากนี้เบิกความอ้างว่า จำเลยกล่าวบิดเบือนให้ร้ายสถาบันกษัตริย์ อันเป็นความเท็จ ซึ่งจำเลยมีความจำเป็นต้องใช้เอกสารที่ขอหมายเรียกไว้มาประกอบการถามค้าน แต่จำเลยยังไม่ได้รับเอกสาร

    ศาลอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์ต่อวันที่ 6 ธ.ค. 2565

    (อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 22 พ.ย. 2565)
  • อัยการนำพยานเข้าเบิกความรวม 3 ปาก คือ พ.ต.อ.สุธิศักดิ์ พิริยะภิญโญ ผู้กล่าวหา, พ.ต.อ.วรศักดิ์ พิสิษฐบรรณกร และ พ.ต.ท.วิบูลย์ นนทะแสง โดยทนายจําเลยขอเลื่อนการถามค้าน เนื่องจากพยานทั้งสามปากเบิกความเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงที่อ้างว่า จำเลยกล่าวบิดเบือนให้ร้ายสถาบันกษัตริย์ อันเป็นความเท็จ ซึ่งจำเลยมีความจำเป็นต้องใช้เอกสารที่ขอหมายเรียกไว้มาประกอบการถามค้าน แต่จำเลยยังไม่ได้รับเอกสาร

    ศาลอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์ต่อวันที่ 22 ธ.ค. 2565

    (อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 6 ธ.ค. 2565)
  • โจทก์ขอเลื่อนการสืบพยานไปก่อน เนื่องจากพยานที่นัดไว้ติดภารกิจ ประกอบกับทนายจำเลยยังไม่ได้เอกสารที่ขอหมายเรียกเพื่อประกอบการถามค้านพยานโจทก์ 7 ปากที่ยังไม่ได้ถามค้าน และวันนัดสืบพยานที่กำหนดนัดไว้เหลือเพียงนัดเดียว ไม่สามารถสืบพยานให้จบได้ ศาลอนุญาตให้เลื่อนไปนัดพร้อมเพื่อกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์และจำเลยใหม่ในวันที่ 16 ม.ค. 2566 เวลา 13.30 น.

    (อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 22 ธ.ค. 2565)
  • ศาลกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์เพิ่มอีก 2 นัด ส่วนจำเลยขอใช้เวลาสืบพยานจำเลย 6 นัด เท่าเดิม นัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 12 ก.ย. 2566 และ 14 มี.ค. 2567 นัดสืบพยานจำเลยในวันที่ 2 เม.ย., 17 พ.ค., 4-7 มิ.ย. 2567
  • อัยการนัดพยานโจทก์ 2 ปาก คือ พ.ต.อ.นิวัฒน์ พึ่งอุทัยศรี และอภิวัฒน์ ขันทอง มาให้ทนายจำเลยถามค้าน ทนายจำเลยแถลงว่า เนื่องจากพยานโจทก์ทั้งสองปากเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงว่า จำเลยกล่าวเท็จ บิดเบือน และยุยงปลุกปั่น จำเลยจึงมีความจำเป็นต้องใช้พยานเอกสารที่ขอออกหมายเรียกไว้ แต่ศาลแพ่งแจ้งว่า ไม่พบเอกสาร ส่วนหน่วยงานอื่นยังไม่ได้ส่งเอกสารมาที่ศาล จึงขอเลื่อนการถามค้านพยานทั้งสองปากไปก่อน อัยการไม่ค้าน ศาลอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์ต่อในวันที่ 14 มี.ค. 2567

    (อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 12 ก.ย. 2566)
  • อานนท์ถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เนื่องจากไม่ได้รับสิทธิประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ในคดี 112 คดีอื่น ทนายจำเลยแถลงขอเลื่อนคดี เนื่องจากพยานเอกสารที่ใช้ประกอบการถามค้านยังได้มาไม่ครบถ้วน ด้านอัยการก็แถลงว่า จะต้องโยกย้ายไปที่อื่นในเดือน เม.ย. 2567 คาดว่าอัยการเจ้าของสำนวนคนใหม่น่าจะเตรียมคดีไม่ทัน ศาลอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์ในวันที่ 17 พ.ค. 2567 ยกเลิกนัดวันที่ 2 เม.ย. 2567

    (อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 14 มี.ค. 2567)
  • โจทก์และจำเลยแถลงขอเลื่อนคดี เนื่องจากพยานเอกสารที่ใช้ในการถามค้านซึ่งศาลออกหมายเรียกให้แล้วยังได้มาไม่ครบถ้วน และอัยการโจทก์ยังไม่ได้รับเอกสารที่ขอคัดถ่ายไว้ อย่างไรก็ตาม ศาลยกคำร้องของโจทก์ที่ขอคัดถ่ายคำเบิกความของพยานโจทก์ที่ยังสืบไม่เสร็จ โดยระบุว่าจะไม่เป็นธรรมกับอีกฝ่าย ประกอบกับศาลติดนัดพิจารณาในคดีอื่นซึ่งนัดไว้ต่อเนื่องก่อนแล้ว เห็นควรให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์ในวันที่ 4 มิ.ย. 2567
  • อานนท์ถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เนื่องจากไม่ได้รับสิทธิประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ในคดี 112 คดีอื่น โดยถูกพันธนาการด้วยกุญแจเท้า มีนักกิจกรรมและประชาชนเดินทางมาร่วมสังเกตการณ์คดีและให้กำลังใจจำนวนมาก เช่น เบนจา อะปัญ และทานตะวัน ตัวตุลานนท์ เป็นต้น

    ต่อมาผู้พิพากษาออกนั่งพิจารณาคดี แจ้งว่าหลังจากนี้ศาลจะจัดให้มีการบันทึกคำเบิกความพยานโดยวิธีการบันทึกภาพและเสียง (e-hearing) จากนั้นอัยการนำพยานความเห็น คือ อัฑฒ์ มาฆลักษณ์ เข้าเบิกความตอบโจทก์จนเสร็จ

    จากนั้นทนายจำเลยแถลงขอเลื่อนการถามค้านพยานปากนี้ออกไปก่อน เพื่อรอพยานเอกสารที่ได้ขอหมายเรียกไปในคดี โดยอานนท์แถลงเสริมว่า พยานเบิกความถึงคำปราศรัยของจำเลยว่ามีข้อเท็จจริงหลายเรื่องที่มีคลาดเคลื่อนจากความจริง โดยส่วนหนึ่งในคำปราศรัยของจำเลยกล่าวถึงเรื่องที่พระมหากษัตริย์เดินทางไปพำนักอยู่ที่ประเทศเยอรมนี และเรื่องการใช้งบประมาณของสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งต้องใช้พยานเอกสารในการพิสูจน์ข้อเท็จจริง

    ศาลกล่าวว่า พยานปากนี้เป็นเพียงพยานความเห็น จึงเห็นควรให้ทนายจำเลยถามค้านไป และในประเด็นดังกล่าว ศาลสามารถวินิจฉัยเองได้ ไม่จำเป็นต้องใช้พยานเอกสารในการถามค้านพยาน และย้ำว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องพยานเอกสาร เนื่องจากศาลมีความเป็นอิสระ หากเห็นว่าควรเรียกพยานเอกสารก็เรียก แต่พยานเอกสารเรื่องการเดินทางของรัชกาลที่ 10 และเรื่องการใช้เงินงบประมาณนั้น ศาลสามารถพิจารณาเองได้ การที่พยานต้องมาศาลอีกครั้งจะเป็นการเสียเวลา

    อานนท์จึงถามศาลว่าท่านเห็นชุดที่ผมใส่หรือไม่ (ชุดนักโทษสีน้ำตาล) โดยทนายจำเลยกล่าวต่อว่า ไม่อยากให้ศาลพูดว่าเสียเวลา เพราะสิทธิในการต่อสู้คดีของจำเลยสำคัญกว่าเรื่องนั้น ในประเด็นนี้มีการโต้แย้งกันอยู่เป็นเวลานาน

    ทนายจำเลยแถลงว่า จำเลยต้องการยืนยันว่ากระบวนการถามค้านเป็นวิธีการหนึ่งในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม จึงขอทำอย่างเต็มที่ โดยมีพยานเอกสารในการถามค้าน

    อานนท์กล่าวเสริมว่า การไม่นำเอาพยานเอกสารมาให้เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม ในคดีที่แล้วของศาลนี้ เมื่อไม่มีพยานเอกสาร ศาลก็พิพากษาว่าผมพูดเท็จ โดยอานนท์ยืนยันว่า พยานเอกสารที่ขอให้ศาลออกหมายเรียกไปทั้งหมดเป็นพยานเอกสารสำคัญ ซึ่งไม่ได้จะส่งผลแค่ในคดีนี้เท่านั้น แต่จะส่งผลถึงคดีมาตรา 112 ทุกคดี

    พนักงานอัยการกล่าวว่า พยานปากที่สืบไปมีลักษณะการเบิกความคล้ายพยานปาก อภิวัฒน์ ขันทอง ซึ่งเจ้าของสำนวนเดิมให้เลื่อนการถามค้านไปจนกว่าจะได้พยานเอกสารมาพิสูจน์ข้อเท็จจริง

    ศาลกล่าวว่า ประเทศไทยปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อพระมหากษัตริย์เป็นประมุขจะไปก้าวก่ายได้หรือไม่ และแม้สิ่งที่พูดเป็นความจริงก็เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทได้ อานนท์จึงแถลงโต้แย้งว่า เรื่องการใช้งบประมาณแผ่นดินเป็นเรื่องสาธารณะ โดยมีทนายความเสริมว่า นอกจากมาตรา 112 แล้ว จำเลยยังถูกฟ้องตามมาตรา 116 ด้วย ซึ่งจำเป็นต้องพิสูจน์ว่าจำเลยพูดโดยสุจริตหรือไม่

    หลังจากการโต้แย้งกัน ศาลขอพักการพิจารณาเป็นเวลา 10 นาที เพื่อขึ้นไปปรึกษากับองค์คณะ โดยกล่าวว่า การพิจารณาคดีจะเอาแต่ใจไม่ได้ ศาลไม่ได้รังเกียจรังงอนจำเลย แต่ทุกคนมีหน้าที่ เป็นบุญแล้วที่จำเลยได้ผู้พิพากษาแบบนี้ ความจริงศาลไม่ได้อยากได้คดีการเมือง หากท่านไปเจอองค์คณะอื่นอาจแย่กว่านี้

    ต่อมา ศาลกลับมานั่งพิจารณาคดีพร้อมกล่าวว่า ฝ่ายจำเลยเคยตกลงกับผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเดิมว่า จะให้ถามค้านหลังจากได้พยานเอกสาร จึงจะให้เลื่อนการถามค้านไปก่อน

    หลังจากนั้น ศาลให้พนักงานอัยการนำพยานปาก พ.ต.ท.โชคอำนวย วงษ์บุญฤทธิ์ พนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม เข้าซักถามจนจบ และค้างการถามค้านไว้ ก่อนขึ้นไปปรึกษาผู้บริหารศาลเรื่องการออกหมายเรียกพยานเอกสาร

    ต่อมา ศาลกลับมานั่งพิจารณาคดีอีกครั้ง และมีคำสั่งตามคำร้องขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานเอกสาร ฉบับลงวันที่ 2 พ.ย. 2565 ว่า เอกสารการเดินทางของพระมหากษัตริย์และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง กรณีเห็นว่าคดีสามารถวินิจฉัยได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เอกสารดังกล่าว จึงไม่อนุญาต

    อานนท์และทนายความได้ทวงถามเหตุผลศาลที่ไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารให้ แต่ศาลตอบเพียงเหตุผลในข้างต้น และหากฝ่ายจำเลยไม่เห็นด้วย ก็ขอให้ทำเป็นคำแถลงคัดค้านคำสั่งศาล

    อานนท์แถลงว่า หากมาตรา 112 ไม่ให้พิสูจน์ความจริง แล้วผมจะได้ความเป็นธรรมตอนใด ศาลกล่าวว่า จะได้ความเป็นธรรมตอนพิพากษา

    อานนท์จึงลุกขึ้นแถลงว่า เมื่อผมไม่สามารถได้รับความยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรมที่ล้มเหลวขนาดนี้ได้ ผมขอถอดเสื้อประท้วงท่าน พร้อมถอดเสื้อนักโทษสีน้ำตาลออก เพื่อยืนยันสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมของตนเอง

    ศาลกล่าวว่า ท่านถอดเสื้อ แต่งตัวไม่เรียบร้อย อาจมีมาตรการ โดยหากยังดื้อดึง จะออกข้อกำหนดให้คดีนี้พิจารณาลับ

    ทนายความแถลงว่า ข้อเท็จจริงเท่านี้เพียงพอให้วินิจฉัยแล้วหรือ ศาลทราบเรื่องงบประมาณของสถาบันพระมหากษัตริย์ว่ามีรายละเอียดการใช้จ่ายอย่างไรหรือ ศาลทราบรายละเอียดการเดินทางของในหลวงรัชกาลที่ 10 หรือ ศาลกล่าวว่า ศาลวินิจฉัยว่าหมิ่นหรือไม่หมิ่น ไม่ก้าวก่ายเรื่องการใช้งบประมาณของสถาบันพระมหากษัตริย์

    ทนายความกล่าวว่า จะทำคำร้องคัดค้านคำสั่งของศาลต่อไป และชี้แจงว่า สิ่งที่จำเลยเรียกร้องคือให้กระบวนการยุติธรรมช่วยเป็นธรรมกับเขา โดยพยานเอกสารเรื่องการเดินทางของรัชกาลที่ 10 เป็นข้อมูลในอดีต ไม่สามารถกระทบกระเทือนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ แต่หากไม่มีพยานเอกสารมายืนยัน จำเลยก็ไม่มีโอกาสได้ต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดนั้นเป็นความจริง

    เลื่อนไปสืบพยานโจทก์ต่อในวันที่ 27 – 28 พ.ย. 2567

    องค์คณะผู้พิพากษาที่ออกนั่งพิจารณาคดีในวันนี้ ได้แก่ เรืองฤทธิ์ บัวลอย, เทอดศักดิ์ อินทรปรีชา, ภัคภร กมลรัตนกุล และปภัสสร เที่ยงสุทธิสกุล

    (อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 4 มิ.ย. 2567 และ https://tlhr2014.com/archives/67638)
  • ทนายจำเลยยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งศาลที่ไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารการเดินทางของรัชกาลที่ 10 และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องให้ มีรายละเอียดว่า

    การที่ศาลมีคำสั่งว่า “ตามที่จำเลยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 2 พ.ย. 2565 เพื่อขอเอกสารการเดินทางของพระมหากษัตริย์ และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง กรณีเห็นว่าคดีสามารถวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องใช้เอกสารดังกล่าว จึงไม่อนุญาต” นั้น จำเลยขอคัดค้าน ด้วยเหตุผลและข้อกฎหมาย สามารถสรุปได้เป็น 2 ประการ ดังนี้

    ประการแรก จำเลยเห็นว่าเอกสารดังกล่าวจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้มาเพื่อต่อสู้คดีและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลย จำเลยจึงประสงค์ให้ศาลใช้อำนาจตามกฎหมายออกหมายเรียกมาเพื่อใช้ประกอบการสืบพยานหรือถามค้านพยานโจทก์เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองตามที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยปราศรัยข้อความอันเป็นเท็จ

    เอกสารการเดินทางไปประทับที่เยอรมันและสวิตเซอร์แลนด์ของรัชกาลที่ 10 เป็นประเด็นโดยตรงแห่งคดีที่จำเลยปราศรัยถึงตามคำฟ้อง หากศาลไม่ออกหมายเรียกเอกสารข้อมูลการเดินทางของรัชกาลที่ 10 มาในสำนวนคดีนี้ จำเลยย่อมไม่สามารถนำสืบต่อสู้ได้ว่าสิ่งที่จำเลยปราศรัยเป็นความจริง เช่นเดียวกับข้อมูลเอกสารการใช้จ่ายงบประมาณของส่วนราชการในพระองค์ ตามที่จำเลยขอให้ศาลออกหมายเรียก ล้วนเป็นประเด็นโดยตรงแห่งคดี

    ประการที่สอง เหตุผลในคำสั่งเพียงว่า “กรณีเห็นว่าคดีสามารถวินิจฉัยได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เอกสารดังกล่าว จึงไม่อนุญาต” คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่ปรากฏเหตุผลที่ชัดแจ้งเพียงพอให้จำเลยเข้าใจคำสั่งได้

    จำเลยไม่อาจเข้าใจได้ว่า “คดีสามารถวินิจฉัยได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เอกสารดังกล่าว” นั้น ศาลหมายถึงการวินิจฉัยความผิดฐานใด เฉพาะความผิดตามมาตรา 112 หรือไม่ หรือหมายรวมถึงความผิดอื่น ๆ ตามที่โจทก์ฟ้องด้วย

    กรณีที่ศาลสั่งว่า “สามารถวินิจฉัยคดีได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เอกสารดังกล่าว” นั้น ศาลจะวินิจฉัยอย่างไร และวินิจฉัยไปในทางที่เป็นคุณกับจำเลยหรือไม่ ศาลจะวินิจฉัยเป็นคุณแก่จำเลยได้อย่างไรในเมื่อจำเลยไม่สามารถเข้าถึงพยานหลักฐานในการต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง

    เหตุผลเดียวที่จำเลยพอจะอนุมานหรือคาดเดาไปได้จากคำสั่งดังกล่าว คือ ศาลเห็นว่าแม้จำเลยจะมีพยานหลักฐานมานำสืบหักล้างพยานโจทก์ได้หนักแน่นเพียงใดก็ตามว่าสิ่งที่จำเลยกล่าวปราศรัยล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น แต่ศาลเห็นว่าการพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้และยอมให้มีการเรียกพยานเอกสารมาเพื่อพิสูจน์ความจริงเช่นนั้นในศาลไม่ได้ หากนัยของคำสั่งศาลเป็นเช่นนั้น ย่อมเสมือนว่าจำเลยได้ถูกศาลพิพากษาไปแล้วล่วงหน้าก่อนจะได้นำพยานหลักฐานเข้าสืบต่อศาล

    คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นธรรมกับจำเลยอย่างยิ่ง และขัดแย้งต่อหลักการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม ซึ่งหลักการดังกล่าวพึงดำรงอยู่และถูกยึดถือปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมไม่ว่าจะเป็นคดีทั่วไปหรือคดีในความผิดตามมาตรา 112 ก็ตาม แต่ในคดีความผิดตามมาตรา 112 จำเลยกลับต้องพบเจอกับการปฏิเสธและงดเว้นการใช้อำนาจของศาลในการออกหมายเรียกพยานหลักฐานเข้ามาในสำนวนคดีเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่จำเลยปราศรัยเป็นความจริง

    คดีนี้ไม่ใช่คดีแรกที่ศาลสถิตยุติธรรมของไทยพร้อมใจกันปฏิเสธและงดเว้นการใช้อำนาจดังกล่าว จนกระทบต่อหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานในการต่อสู้คดีและการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของจำเลยจำนวนมาก ผ่านการใช้ดุลยพินิจของศาลที่ขัดแย้งต่อมโนสำนึกพื้นฐานว่าด้วยความยุติธรรมที่กระบวนการยุติธรรมพึงยึดถือและเคารพ

    ในตอนท้ายของคำร้องยังระบุว่า “การปฏิเสธและงดเว้นการใช้อำนาจของศาลในลักษณะดังกล่าว ในท้ายที่สุดแล้วอาจถือได้ว่าเป็นรอยด่างพร้อยของกระบวนการยุติธรรมในสังคมไทยที่จะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่ายุคสมัยหนึ่ง จำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต้องเผชิญชะตากรรมในการถูกจำกัดสิทธิขั้นพื้นฐานในการต่อสู้คดีและการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมเช่นใด”

    (อ้างอิง: คำร้องคัดค้านคำสั่งศาล ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 6 มิ.ย. 2567 และ https://tlhr2014.com/archives/67752)
  • ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 711 อานนท์ถูกเบิกตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาศาล โดยมีประชาชนจำนวนมากเดินทางมาให้กำลังใจและร่วมฟังการสืบพยาน รวมถึงธงชัย วินิจจะกูล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ต่อมา เรืองฤทธิ์ บัวลอย ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนและองค์คณะออกนั่งพิจารณาคดีระบุว่า วันนี้ให้ทนายจำเลยถามค้านพยานโจทก์ต่อจากที่ค้างไว้

    ทนายความแถลงโต้แย้งว่า ศาลยังไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารให้ ทำให้ฝ่ายจำเลยไม่มีเอกสารในการถามค้าน อานนท์แถลงว่า เนื่องจากศาลไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารเรื่องการเดินทางของรัชกาลที่ 10 และเรื่องการใช้เงินงบประมาณให้ ฝ่ายจำเลยจึงยังไม่สามารถถามค้านได้ แม้ประสงค์จะถามค้าน

    ศาลกล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 แล้ว เรื่องพยานเอกสารที่ฝ่ายจำเลยขอมานั้น เป็นเรื่องที่จะล่วงละเมิดมิได้ ศาลขอสั่งให้ท่านสืบพยานไปเลยหรืองดสืบพยาน อานนท์แถลงโต้แย้งว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 6 กับเรื่องการออกหมายเรียกพยานเอกสารนั้น เป็นคนละเรื่องกัน ศาลจึงเพิ่มเติมว่า การเดินทางของพระมหากษัตริย์ เป็นเรื่องปกติที่ท่านจะเดินทางไปต่างประเทศ ส่วนเรื่องงบประมาณ ท่านก็ใช้เงินส่วนพระองค์ โดยศาลยืนยันว่าไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารดังกล่าวให้

    ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 6 วางหลักไว้ว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้”

    อานนท์จึงแถลงว่า หากท่านไม่ออกหมายเรียกให้ก็สั่งไป ผมขอถอดเสื้อประท้วงอีกครั้ง พร้อมถอดเสื้อนักโทษสีน้ำตาลออก

    ทันทีที่อานนท์ถอดเสื้อออก ศาลกล่าวว่า ศาลสั่งให้พิจารณาคดีลับ และไม่อนุญาตให้ไปแถลงข่าว มิฉะนั้นจะลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล และสั่งให้ตำรวจศาลเชิญทุกคนออกจากห้องพิจารณาคดี หากไม่ออกจะถือเป็นการละเมิดอำนาจศาล และจะให้ตำรวจศาลนำตัวไปขัง ประชาชนคนหนึ่งจึงยกมือขอลุกขึ้นแถลง แต่ศาลไม่อนุญาต หลังทุกคนออกไปจากห้องพิจารณาคดี ตำรวจศาลได้ยืนเฝ้าประตูห้องพิจารณาคดีไว้ทั้งภายในและภายนอก

    ทนายจำเลยเปิดเผยว่า หลังศาลสั่งพิจารณาคดีเป็นการลับ อานนท์ได้เขียนคำร้องขอตั้งข้อรังเกียจศาลและเปลี่ยนตัวผู้พิพากษา ระบุว่า ระหว่างพิจารณา จำเลยแถลงคัดค้านการไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารซึ่งเป็นเอกสารสำคัญ ศาลยืนยันไม่ออกหมายเรียกให้โดยให้เหตุผลว่า การออกหมายเรียกพยานจะผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 จากนั้นจึงสั่งพิจารณาคดีลับ ไล่ผู้เข้าฟังออกจากห้องพิจารณา ห้ามแถลงข่าว และยกตัวอย่างต่อไปว่า ถ้านักการเมืองทำไม่ดี การไปด่าเขาก็ผิดกฎหมายแล้ว รวมทั้งมีถ้อยคำอื่น ๆ ที่แสดงถึงอคติ ซึ่งทำให้จำเลยรับรู้ถึงความไม่ยุติธรรมในการพิจารณาคดีของผู้พิพากษาคนนี้ ซึ่งต่อมา อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้อง

    นอกจากนี้ หลังจากการปรึกษากับผู้บริหารศาลอาญา ศาลยืนยันให้พิจารณาคดีโดยลับและให้พนักงานอัยการนำพยานโจทก์เข้าสืบ แต่ทนายจำเลยยืนยันไม่ถามค้าน เนื่องจากศาลไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารสำคัญเข้ามาในคดี ศาลจึงถือว่าจำเลยไม่ติดใจถามค้าน ทำให้การสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้น และศาลได้สั่งให้ทนายจำเลยนำพยานจำเลยเข้าสืบต่อในวันพรุ่งนี้ (28 พ.ย. 2567) โดยไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี แม้ฝ่ายจำเลยแถลงว่า ตามที่นัดไว้เดิมพรุ่งนี้เป็นนัดสืบพยานโจทก์ ทำให้ฝ่ายจำเลยยังไม่ได้ขอหมายเรียกพยานจำเลย และยังไม่ได้เตรียมเอกสารในการสืบพยานจำเลย

    อีกทั้งศาลได้ตั้งเรื่องละเมิดอำนาจศาลกับอานนท์กรณีถอดเสื้อในห้องพิจารณาคดี โดยระบุว่า ศาลเคยได้ปรามจำเลยในการถอดเสื้อในครั้งก่อนแล้ว ครั้งนี้จำเลยยังมาทำการถอดเสื้อ เป็นการก่อความวุ่นวายและแสดงตนไม่เรียบร้อยในศาล ไม่เคารพการพิจารณาคดี
    .
    ++ทนายจำเลยระบุ การไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารส่งผลให้จำเลยไม่อาจเข้าถึงความยุติธรรม – ไม่ปรากฏว่า ศาลอ้างเหตุตามกฎหมายในการสั่งพิจารณาคดีลับ

    เกี่ยวกับประเด็นที่ศาลอ้างว่า เอกสารที่ฝ่ายจำเลยขอออกหมายเรียกขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 นั้น ทนายจำเลยมีความเห็นทางกฎหมายว่า อำนาจในการออกหมายเรียกพยานเอกสารเป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของศาล เพื่ออำนวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในคดีอาญา ซึ่งเป็นคดีที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลอย่างร้ายแรง สิทธิในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่และสิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างยิ่งในกระบวนการยุติธรรม การเข้าถึงหรือได้มาซึ่งพยานหลักฐานเพื่อต่อสู้คดีและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลยก็เป็นหนึ่งในสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมาย, ตามรัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และจำเลยพึงได้รับสิทธินั้น

    การที่ศาลให้เหตุผลว่า เอกสารที่จำเลยขอหมายเรียกนั้นเป็นเอกสารเกี่ยวข้องกับในหลวง รัชกาลที่ 10 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ นั้น ทนายความเห็นว่า เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ไม่ได้มุ่งหมายให้ตีความบังคับใช้ไปในลักษณะดังกล่าว อีกทั้งการออกหมายเรียกเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลตามกฎหมาย และไม่มีบทบัญญัติใดห้ามศาลออกหมายเรียกพยานเอกสารดังกล่าวไว้

    ในกรณีที่ห้าม เช่น ห้ามมิให้ศาลออกหมายเรียกพระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ก็จะบัญญัติไว้ชัดเจน แต่อำนาจออกหมายเรียกพยานเอกสารไม่ได้บัญญัติไว้ ศาลจึงมีอำนาจออกหมายเรียกได้ ส่วนเมื่อออกหมายเรียกไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว หากหน่วยงานไม่ส่งเอกสารตามหมายเรียกด้วยเหตุผลประการใด ก็เป็นเรื่องของหน่วยงานนั้น ๆ จะพิจารณาต่อไป การที่ศาลปฏิเสธไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารให้จำเลย ส่งผลให้จำเลยไม่สามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานในการได้รับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรมและไม่อาจเข้าถึงความยุติธรรมได้

    ส่วนการที่ศาลมีคำสั่งให้พิจารณาคดีลับนั้นเป็นไปโดยชอบหรือไม่ ทนายจำเลยมีความเห็นทางกฎหมายว่า อำนาจสั่งให้พิจารณาคดีลับเป็นอำนาจของศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 177 ซึ่งบัญญัติเหตุผลหรือเงื่อนไขในการสั่งพิจารณาลับไว้ว่า ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันความลับอันเกี่ยวกับความปลอดภัยของประเทศมิให้ล่วงรู้ถึงประชาชน อย่างไรก็ตาม ในการสั่งพิจารณาคดีลับของศาลในคดีนี้ ไม่ปรากฏเหตุผลชัดเจนว่า มีเหตุตามกฎหมายประการใด

    ทั้งนี้ ก่อนที่ศาลจะสั่งพิจารณาคดีลับ ประชาชนที่เข้ามาฟังการพิจารณาก็นั่งฟังอย่างสงบเรียบร้อย ไม่ได้ก่อความวุ่นวายใด ๆ ปรากฏเพียงประชาชนบางคนยกมือขึ้นเพื่อขออนุญาตศาล ซึ่งยังไม่ปรากฏว่าประชาชนดังกล่าวยกมือขออนุญาตศาลเพื่อการใด เพราะศาลไม่อนุญาตให้พูดและสั่งให้ทุกคนออกไปจากห้องพิจารณาคดี และไม่ปรากฏว่า ศาลให้เหตุผลในการสั่งพิจารณาคดีลับโดยอ้างเหตุว่าเพื่อป้องกันความลับอันเกี่ยวกับความปลอดภัยของประเทศมิให้ล่วงรู้ถึงประชาชนแต่อย่างใด ซึ่งหากอ้างเหตุผลเรื่องนี้ก็จะเป็นเรื่องประหลาด เพราะในช่วงสืบพยานโจทก์ก็เป็นการพิจารณาคดีโดยเปิดเผยตลอดมา และที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมในคดีมาตรา 112 ซึ่งเคยสั่งพิจารณาคดีลับเมื่อนานมาแล้ว แต่ปัจจุบันมีพัฒนาการในส่วนนี้ คือ พิจารณาโดยเปิดเผยเป็นส่วนใหญ่

    การพิจารณาคดีโดยเปิดเผย นอกจากจะมีส่วนช่วยทำให้จำเลยได้รับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม (fair trial) แล้ว ยังทำให้ประชาชนคงความเชื่อมั่นต่อสถาบันศาลว่าจะไม่มีการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมเมื่อการพิจารณาคดีอยู่ในสายตาประชาชนอย่างเปิดเผย

    (อ้างอิง: คำร้องตั้งข้อรังเกียจศาลและเปลี่ยนตัวผู้พิพากษา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 27 พ.ย. 2567 และ https://tlhr2014.com/archives/71395)
  • ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 711 อานนท์ถูกเบิกตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาศาล โดยมีเจ้าหน้าที่จากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ตัวแทนจากสถานทูต และประชาชนจำนวนมากเดินทางมาให้กำลังใจ และมีตำรวจศาลเฝ้าประตูอยู่ทั้งภายในและภายนอกห้องพิจารณาคดี คอยคัดกรองบุคคลที่จะเข้าห้องพิจารณาคดี

    ต่อมา เรืองฤทธิ์ บัวลอย ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนและองค์คณะออกนั่งพิจารณาคดี ยืนยันให้การพิจารณาคดีนี้เป็นไปโดยลับ

    ทนายความเปิดเผยว่า ก่อนเริ่มการพิจารณาคดี อานนท์แถลงต่อศาลว่า กระบวนพิจารณาในคดีนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมีเหตุผลสามประการ ดังนี้

    1. ศาลไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารสำคัญเข้ามาในคดี
    2. ศาลสั่งพิจารณาคดีลับโดยไม่มีเหตุตามกฏหมาย
    3. ฝ่ายจำเลยได้ตั้งข้อรังเกียจและขอเปลี่ยนตัวผู้พิพากษา เนื่องจากศาลแสดงอคติ ซึ่งอาจส่งผลให้จำเลยไม่ได้รับความยุติธรรม

    จากข้างต้น ทำให้ฝ่ายจำเลยไม่สามารถสืบพยานจำเลยได้ โดยฝ่ายจำเลยจะทำคำแถลงคัดค้านกระบวนพิจารณาคดีที่ไม่ชอบภายใน 7 วัน เพื่อใช้สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาต่อไป

    ศาลจึงเห็นว่า เมื่อฝ่ายจำเลยไม่นำพยานเข้าสืบ ถือว่าไม่ติดใจสืบพยาน และให้งดสืบพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 174

    ทั้งนี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 174 วรรคท้าย วางหลักไว้ว่า ในระหว่างพิจารณา ถ้าศาลเห็นว่าไม่จําเป็นต้องสืบพยานหรือทําการอะไรอีก จะสั่งงดพยานหรือการนั้นเสียก็ได้

    ต่อมา ศาลได้ระบุว่าห้ามแถลงข่าว เนื่องจากเป็นคดีเกี่ยวกับความมั่นคง อานนท์จึงได้โต้แย้งเกี่ยวกับการสั่งพิจารณาคดีลับและห้ามเผยแพร่โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ศาลให้อานนท์หยุดแถลง แต่อานนท์ยืนยันโต้แย้งในประเด็นนี้ ศาลจึงสั่งให้ตำรวจศาลและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัวอานนท์ออกไปจากห้องพิจารณาคดี อานนท์ถูกนำตัวไปขังที่ห้องขังใต้ถุนศาลในทันที แม้คดีจะยังไม่เสร็จการพิจารณา

    คดีเสร็จสิ้นการพิจารณา ศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 19 ธ.ค. 2567 เวลา 09.00 น.

    ทั้งนี้ ฝ่ายจำเลยจะยื่นคำแถลงคัดค้านกระบวนพิจารณาคดีที่ไม่ชอบดังกล่าวต่อไป

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/71421)
  • อานนท์ยื่นคำร้องตั้งข้อรังเกียจศาล และคัดค้านกระบวนการพิจารณาคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย พร้อมเรียกร้องให้คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมสอบสวนและดำเนินการทางวินัยตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 มาตรา 62

    ++คำร้องตั้งข้อรังเกียจศาลของ “อานนท์” ระบุ พฤติกรรมของผู้พิพากษามีอคติต่อคดี 112 และมีเจตนาปกปิดการใช้อำนาจโดยมิชอบในการพิจารณาคดี อาจทำให้เสียความยุติธรรมในการพิพากษา

    สำหรับคำร้องตั้งข้อรังเกียจศาลซึ่งอานนท์ยื่นเป็นครั้งที่ 2 มีใจความสำคัญระบุไว้หลายประการ ดังนี้

    เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2567 จำเลยได้ยื่นคำร้องตั้งข้อรังเกียจนายเรืองฤทธิ์ บัวลอย ไว้แล้ว ต่อมา อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาได้ยกคำร้องของจำเลย ซึ่งจำเลยไม่เห็นด้วย เนื่องจากอธิบดีสั่งคำร้องไปโดยไม่ได้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 14 ที่ศาลจะต้องฟังคำของคู่ความที่เกี่ยวข้องและของผู้พิพากษาที่ถูกคัดค้าน และทำการสืบพยานบุคคลเหล่านั้นได้นำมาตามสมควร แล้วจึงออกคำสั่ง

    การมีคำสั่งยกคำร้องของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาทั้งที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่านายเรืองฤทธิ์ บัวลอย มีอคติชัดเจนกับคดีมาตรา 112 ส่งผลให้การปฏิบัติหน้าที่ในการพิจารณาคดีดังกล่าวในวันถัดมา (28 พ.ย. 2567) ยังคงดำเนินไปภายใต้อคติ ด้วยพฤติการณ์หลายประการ ดังต่อไปนี้

    1. นายเรืองฤทธิ์ ผู้พิพากษาในคดีนี้ ได้ออกข้อกำหนดห้ามนำข้อมูลในห้องพิจารณาคดีไปเผยแพร่ เนื่องจากเป็นคดีที่เกี่ยวกับความมั่นคงและสั่งพิจารณาคดีลับ จำเลยได้โต้แย้งโดยมีใจความโดยสรุปว่า ไม่มีการสืบพยาน ไม่มีการเบิกความในประเด็นที่ละเอียดอ่อน ไม่มีเหตุห้ามที่เข้าใจได้ ขอให้ศาลชี้แจงเหตุผล ศาลจะทำตามอำเภอใจไม่ได้

    จำเลยเห็นว่าคำสั่งและข้อกำหนดดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากการสั่งพิจารณาคดีลับโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และภายใต้สิทธิของจำเลยที่ควรจะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเปิดเผย การสั่งห้ามเผยแพร่สิ่งที่เกิดขึ้นในห้องพิจารณานี้ ซึ่งไม่มีเนื้อหาใดที่เกี่ยวกับความมั่นคงหรือกระทบต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีเจตนาปกปิดพฤติกรรมการใช้อำนาจที่ล้นเกินในทางมิชอบของตัวเองไม่ให้ปรากฏต่อสาธารณชน ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย เป็นเหตุอันมีสภาพร้ายแรงซึ่งอาจทำให้การพิจารณาหรือพิพากษาคดีเสียความยุติธรรมไป

    2. ทนายจำเลยได้ถามกับศาลว่า ท่าทีของศาลต่อการพิจารณาคดีเป็นแบบนี้ในทุกคดีความที่ศาลรับผิดชอบหรือไม่ นายเรืองฤทธิ์ได้ตอบโดยมีใจความว่า เป็นแบบนี้ถ้าเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ และในระหว่างการโต้แย้งของจำเลยด้วยเหตุผล เกี่ยวกับเหตุผลและขอบเขตที่ห้ามเผยแพร่ข้อมูลในห้องพิจารณาคดี นายเรืองฤทธิ์ได้สั่งให้จำเลยหยุดพูด ถ้าไม่เช่นนั้นจะเอาตัวลงไปขัง เมื่อจำเลยไม่หยุด ศาลจึงให้ตำรวจศาลนำตัวจำเลยลงไปขัง อีกทั้งยังพูดกับทนายจำเลยในทำนองเดียวกันว่า ถ้ามีใครพูดอะไร จะเอาไปขังให้หมด และห้ามทนายจำเลยยื่นคำร้องผ่านเจ้าหน้าที่ประจำห้องพิจารณาคดี อ้างเหตุว่า วุ่นวาย การพิจารณาคดีมันไม่สงบมานานแล้ว

    ต่อพฤติกรรมดังกล่าวของนายเรืองฤทธิ์ จำเลยได้ยื่นหนังสือร้องเรียนไปยังคณะกรรมการตุลาการในวันที่ 3 ธ.ค. 2567 เพื่อขอให้ดำเนินการสอบสวนทางวินัยตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 มาตรา 62 เนื่องด้วยพฤติกรรมของศาลในคดีนี้ ย่อมมีฐานะเป็นคู่กรณีของจำเลย และไม่อยู่ในฐานะอันควรจะเป็นผู้พิพากษาร่วมในคดีนี้

    พฤติกรรมของนายเรืองฤทธิ์ข้างต้นแสดงให้เห็นถึงการใช้อำนาจภายใต้อคติต่อคดีมาตรา 112 ที่ชัดเจน ถือว่ามีพฤติกรรมอันขัดต่อประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการ ข้อ 3 ที่กำหนดว่า “ในการนั่งพิจารณาคดี ผู้พิพากษาจักต้องวางตนเป็นกลางและปราศจากอคติ ทั้งพึงสำรวมตนให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ แต่งกายเรียบร้อย ใช้วาจาสุภาพ ฟังความจากคู่ความและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างตั้งใจ ให้ความเสมอภาค และมีเมตตาธรรม” นายเรืองฤทธิ์ บัวลอย จึงไม่มีคุณสมบัติเพียงพอและไม่สมควรเป็นผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีพิพากษาคดี เพราะไม่สามารถอำนวยความเป็นธรรมแก่จำเลยได้ และย่อมมีเหตุอันควรรังเกียจ ซึ่งกรณีดังกล่าวนอกจากส่งผลกระทบต่อจำเลยแล้ว ยังกระทบต่อมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมทางอาญาหรือสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชนอย่างมาก โดยเฉพาะประชาชนที่ถูกฟ้องเป็นจำเลยในความผิดตามมาตรา 112

    จำเลยจึงขอเรียนต่อศาลว่า กระบวนการยุติธรรมจะดำรงความน่าเชื่อถือได้นั้น ผู้พิพากษาและตุลาการที่ทำหน้าที่พิจารณาคดีจะต้องอยู่ในฐานะที่เป็นกลาง ปราศจากอคติ แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว อันมีสภาพร้ายแรง จำเลยจึงขอตั้งข้อรังเกียจ และคัดค้านกระบวนการพิจารณาคดีของผู้พิพากษา คือ นายเรืองฤทธิ์ บัวลอย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 27 และมาตรา 15 ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หมวด 2 ว่าด้วยการคัดค้านผู้พิพากษา และขอให้ศาลงดกระบวนพิจารณาทั้งปวงไว้ก่อนจนกว่าศาลซึ่งมีอำนาจสูงกว่าตามลำดับจะได้ผู้ชี้ขาดคำคัดค้านนี้

    ทั้งนี้ ในการสั่งคำร้องนี้ ขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 14 คือ ให้อธิบดีฯ ฟังคำแถลงของคู่ความที่เกี่ยวข้องและของผู้พิพากษาที่ถูกคัดค้าน กับทำการสืบพยานหลักฐานที่บุคคลเหล่านั้นได้นำมาและพยานหลักฐานอื่นตามที่เห็นสมควรก่อน แล้วจึงมีคำสั่งต่อไป

    โดยจำเลยขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญามีคำสั่งให้จัดเก็บวีดิโอจากกล้องวงปิด, ไฟล์ภาพและเสียงกระบวนพิจารณาคดีที่เกิดขึ้นในห้องพิจารณาคดีที่ 711 ตั้งแต่เริ่มจนจบกระบวนพิจารณาคดีวันที่ 27 และ 28 พ.ย. 2567 เป็นการเร่งด่วน เพื่อให้จำเลยได้ตรวจดูและคัดลอกข้อมูลเพื่อใช้เป็นหลักฐานสำคัญ และเพื่อให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญามีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอในการสั่งคำร้องตั้งข้อรังเกียจศาลอย่างเป็นธรรมต่อไป
    .

    ++"อานนท์" ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณานัดสืบพยาน 2 นัดสุดท้าย ชี้ศาลไม่ออกหมายเรียกเอกสาร-สั่งพิจารณาลับ ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย-อาจทำให้การพิพากษาคดีเสียความยุติธรรม

    ในส่วนคำร้องคัดค้านกระบวนการพิจารณาคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายมีรายละเอียดโดยสรุปดังนี้

    คดีนี้ศาลนัดฟังคําพิพากษาในวันที่ 19 ธ.ค. 2567 จําเลยขอคัดค้านกระบวนพิจารณาคดีโดยไม่ชอบของศาลในระหว่างการพิจารณาคดีวันที่ 27 และ 28 พ.ย. 2567 มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

    1. การที่ศาลไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารให้จําเลยด้วยเหตุผลว่าเอกสารที่จําเลยขอหมายเรียกนั้นเป็นเอกสารเกี่ยวข้องกับในหลวงรัชกาลที่ 10 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 6 ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ นั้น เป็นการตีความและบังคับใช้กฎหมายโดยไม่ชอบและขัดต่อเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ กล่าวคือ มาตรา 6 ไม่ใช่บทบัญญัติที่จะนํามาใช้อย่างกฎหมายวิธีสบัญญัติ การที่ศาลไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารให้จําเลยนํามาใช้ประกอบการต่อสู้คดี นอกจากเป็นการปฏิเสธสิทธิขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมของจําเลย ยังเป็นการเป็นแสดงอคติอย่างชัดเจนขัดกับประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการอันสมควรตั้งข้อรังเกียจ

    อํานาจในการออกหมายเรียกพยานเอกสารเป็นอํานาจหน้าที่ของศาลโดยตรงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 231, มาตรา 239 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 92 เนื่องจากสิทธิในการได้รับโอกาสให้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญฯ และกติกาสากล รวมถึงกฎหมายระหว่างประเทศหลายฉบับ

    โดยเฉพาะคดีนี้เป็นคดีมีอัตราโทษสูง จําเลยควรได้รับสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม (Right to Fair Trial) แต่ศาลกลับปฏิเสธไม่ใช้อํานาจให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ ทําให้จําเลยเสียเปรียบในทางคดีและไม่เป็นธรรมกับจําเลยอย่างยิ่ง และขัดกับหลักการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม เป็นการดําเนินกระบวนพิจารณาคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทําให้จําเลยได้รับความเสียหาย เป็นเหตุอันมีสภาพร้ายแรงซึ่งอาจทําให้การพิจารณาหรือพิพากษาคดีเสียความยุติธรรมไป

    2. เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2567 นายเรืองฤทธิ์ บัวลอย สั่งพิจารณาคดีลับ โดยไม่มีเหตุตามกฎหมาย ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 177 บัญญัติเหตุผลหรือเงื่อนไขในการสั่งพิจารณาลับไว้ว่า ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันความลับอันเกี่ยวกับความปลอดภัยของประเทศมิให้ล่วงรู้ถึงประชาชน แต่ในการสั่งพิจารณาคดีลับของศาลไม่ปรากฏเหตุตามกฎหมายประการใด

    อีกทั้งไม่ปรากฏเหตุวุ่นวายใด ๆ โดยก่อนการสั่งพิจารณาคดีลับ ประชาชนที่เข้ามาฟังการพิจารณาก็นั่งฟังอย่างสงบเรียบร้อย และไม่ปรากฏว่าศาลให้เหตุผลในการสั่งพิจารณาคดีลับโดยอ้างเหตุว่าเพื่อป้องกันความลับอันเกี่ยวกับความปลอดภัยของประเทศมิให้ล่วงรู้ถึงประชาชนแต่อย่างใด ซึ่งในการสืบพยานโจทก์ที่ผ่านมา พยานได้เบิกความถึงคําปราศรัยของจําเลยที่พยานเห็นว่ามีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ก็มีการพิจารณาคดีโดยเปิดเผยตลอดมา

    การสั่งพิจารณาคดีลับของนายเรืองฤทธิ์ บัวลอย จึงเป็นการสั่งโดยไม่มีเหตุอันจะอ้างตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 177 ได้ จึงเป็นการสั่งคดีโดยไม่ชอบ ทําให้จําเลย
    ได้รับความเสียหายจากกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนี้ เพราะการพิจารณาคดีโดยเปิดเผยเป็นส่วน
    หนึ่งของสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม และเป็นการรับรองว่า หากมีการใช้กฎหมายหรือกระบวนการพิจารณาคดีดําเนินไปอย่างไม่ถูกต้อง หรือมีการดําเนินคดีที่ลําเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ความไม่ถูกต้องนั้นจะปรากฏต่อสายตาสาธารณะ จะนําไปสู่การตรวจสอบการใช้อํานาจตุลาการเพื่อให้เกิดการแก้ไขปรับปรุงและพัฒนามาตรฐานต่อไป

    3. วันที่ 28 พ.ย. 2567 นายเรืองฤทธิ์ บัวลอย แจ้งว่าศาลออกข้อกําหนดห้ามนําข้อมูลในห้องพิจารณาไปเผยแพร่ เนื่องจากเป็นคดีเกี่ยวกับความมั่นคงและมีการสั่งพิจารณาคดีลับ จําเลยเห็นว่าคําสั่งหรือข้อกําหนดห้ามเผยแพร่สิ่งที่เกิดขึ้นในห้องพิจารณา ทั้งที่ไม่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความมั่นคงหรือกระทบศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นคําสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นผลสืบเนื่องมาจากการสั่งพิจารณาคดีลับโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทําให้จําเลยได้รับความเสียหาย เป็นเหตุอันมีสภาพร้ายแรงซึ่งอาจทําให้การพิจารณาหรือพิพากษาคดีเสียความยุติธรรมไป

    4. เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2567 จําเลยได้ยื่นคําร้องขอตั้งข้อรังเกียจนายเรืองฤทธิ์ บัวลอย เนื่องจากไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารที่จําเลยจําเป็นต้องใช้ต่อสู้คดี และใช้คําพูดที่แสดงอคติต่อจําเลยชัดเจน เป็นการแสดงให้จําเลยรับรู้ได้ว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมในการพิจารณาพิพากษาคดีนี้ แต่นายเรืองฤทธิ์ บัวลอย กลับไม่ถอนตัวจากการพิจารณาคดี

    อีกทั้งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากลับมีคําสั่งยกคําร้องตั้งข้อรังเกียจศาลของจําเลยทันที โดยไม่ได้ดําเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 14 ที่ศาลจะต้องฟังคำของคู่ความที่เกี่ยวข้องและของผู้พิพากษาที่ถูกคัดค้าน และทำการสืบพยานบุคคลเหล่านั้นได้นำมาตามสมควร แล้วจึงออกคำสั่ง คำสั่งยกคําร้องฯ ของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาจึงไม่เป็นไปตามขั้นตอนที่กฎหมายกําหนด และเป็นคําสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการละเลยไม่พิจารณาประเด็นเรื่องเป็นอิสระปราศจากอคติของนายเรืองฤทธิ์ บัวลอย ทําให้จําเลยได้รับความเสียหาย เป็นเหตุอันมีสภาพร้ายแรงซึ่งอาจทําให้การพิจารณาหรือพิพากษาคดีเสียความยุติธรรมไป จึงขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27

    (อ้างอิง: คำร้องตั้งข้อรังเกียจศาลและคำร้องคัดค้านกระบวนการพิจารณาคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 3 ธ.ค. 2567 และ https://tlhr2014.com/archives/71505)
  • อานนท์ได้ยื่นคําร้องขอเลื่อนนัดฟังคําพิพากษา มีรายละเอียดโดยสรุปดังนี้

    คดีนี้ ศาลนัดฟังคําพิพากษาในวันที่ 19 ธ.ค. 2567 เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2567 จําเลยได้ยื่นคําร้องขอตั้งข้อรังเกียจนายเรืองฤทธิ์ บัวลอย และคําร้องคัดค้านกระบวนพิจารณาคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาโดยไม่ชอบ ภายหลังยื่นคําร้อง ทนายความจําเลยได้ติดตามคําสั่งศาลอย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่ 13 ธ.ค. 2567 เจ้าหน้าที่ศาลแจ้งว่า ศาลยังไม่สั่งคําร้องทั้งสองฉบับ

    นอกจากนี้ จําเลยได้มีหนังสือถึงคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ฉบับลงวันที่ 3 ธ.ค. 2567 เรื่องขอให้สอบสวนและดําเนินการทางวินัยตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 62 ทนายความจําเลยได้สอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ ทราบว่าอยู่ระหว่างดําเนินการ

    จําเลยจึงขอให้ศาลเลื่อนอ่านคําพิพากษาในวันที่ 19 ธ.ค. 2567 ออกไปก่อน เพื่อให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาได้ดําเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 14 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กรณีที่จําเลยตั้งข้อรังเกียจนายเรืองฤทธิ์ บัวลอย รวมทั้งในประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้องต่อไป หากวันที่ 19 ธ.ค. 2567 ยังคงมีการพิพากษาคดีต่อไป ย่อมไม่เป็นธรรมกับจําเลยอย่างยิ่ง และอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของศาลอาญาที่พิจารณาคดีมาตรา 112 อย่างไม่เป็นธรรมกับจําเลย ขาดการตรวจสอบ ไม่โปร่งใสและไม่เป็นอิสระปราศจากอคติ และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

    (อ้างอิง: คำร้องขอเลื่อนนัดฟังคําพิพากษา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.1629/2564 ลงวันที่ 16 ธ.ค. 2567)
  • ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 711 มีประชาชน, นักวิชาการ, สื่อมวลชน, เจ้าหน้าที่องค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชน, ตัวแทนจากสถานทูตอังกฤษ, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, สวิสเซอร์แลนด์, เบลเยียม และคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย เดินทางมาสังเกตการณ์คดี จนเต็มบริเวณทั้งภายในและภายนอกห้องพิจารณาคดี

    อานนท์ถูกเบิกตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาศาลล่าช้า โดยเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์แจ้งว่า ลืมเบิกตัวมา ทำให้ต้องกลับไปนำตัวอานนท์มา จนเวลาประมาณ 11.00 น. อานนท์ในชุดนักโทษพันธนาการด้วยกุญแจข้อเท้าถูกนำตัวขึ้นมาที่ห้องพิจารณาคดี

    หลังศาลออกนั่งพิจารณาคดีและอ่านคำพิพากษาคดีอื่นเสร็จสิ้น ศาลได้กล่าวว่าจะอ่านคำพิพากษาในคดีของอานนท์แบบธรรมดาก่อน แต่ถ้าก่อความวุ่นวาย ศาลจะพิจารณาคดีลับ และศาลจะสั่งขังเลย เนื่องจากศาลออกข้อกำหนดไว้แล้ว

    ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจศาล 2 นาย ซึ่งเฝ้ารักษาความปลอดภัยอยู่บริเวณประตูห้องพิจารณาคดีได้ให้ประชาชนทยอยเข้ามาในห้องพิจารณาคดี แต่หากเก้าอี้ในห้องพิจารณาคดีเต็มแล้วจะไม่อนุญาตให้ประชาชนเข้ามาเพิ่มอีก ทนายจำเลยจึงแถลงว่า ขอให้ประชาชนได้เข้ามายืนในห้องพิจารณาอย่างเรียบร้อยได้หรือไม่ เนื่องจากประชาชนหลายคนเดินทางมาศาลแต่เช้าเพื่อจะเข้าฟังคำพิพากษาคดีนี้ แต่ศาลไม่อนุญาต โดยกล่าวว่า ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ศาลต้องรับผิดชอบความเรียบร้อยในห้องพิจารณาคดี ทนายไม่ได้มารับผิดชอบด้วย

    ทำให้มีประชาชนเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่สามารถเข้ามาในห้องพิจารณาคดีได้ แต่ภายนอกห้องพิจารณาคดีก็มีประชาชนอีกกว่า 50 คน ยืนอยู่เต็มไปจนถึงหน้าห้องพิจารณาคดีที่ 714 เพื่อรอเจออานนท์หลังเสร็จการพิจารณาคดี

    ++ศาลยกทุกคำร้องของจำเลย ชี้ไม่มีเหตุตั้งข้อรังเกียจผู้พิพากษา – ไม่มีเหตุเพิกถอนกระบวนพิจารณาคดี – ไม่มีเหตุให้คัดถ่ายวิดีโอในห้องพิจารณาคดี เนื่องจากไม่มีการสืบพยาน ส่วนคำร้องถึง กต. อยู่ระหว่างดำเนินการ

    ในระหว่างการสืบพยานคดีนี้ มีประเด็นโต้แย้งกันระหว่างทนายจำเลยและศาลในเรื่องการออกหมายเรียกพยานเอกสารสำคัญที่จะใช้ประกอบการถามค้านพยานโจทก์ และการที่ศาลมีคำสั่งให้พิจารณาคดีลับ ตลอดจนออกข้อกำหนดห้ามนำข้อมูลในห้องพิจารณาคดีไปเผยแพร่ กระทั่งให้งดการสืบพยานจำเลย และนัดวันฟังคำพิพากษาต่อมา ทำให้อานนท์ยื่นคำร้องตั้งข้อรังเกียจศาล, คำร้องคัดค้านกระบวนพิจารณาคดีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย, คำร้องขอคัดตรวจดูวิดีโอในห้องพิจารณาคดีที่ 711 และขอให้จัดเก็บกล้องวิดีโอในห้องพิจารณาคดี 711 ตลอดจนยื่นคำร้องให้มีการสอบสวนและดำเนินการทางวินัย ต่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ประธานศาลฎีกา และคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม เพื่อโต้แย้งความไม่เป็นธรรมในกระบวนการพิจารณาคดีนี้ รวมถึงคำร้องขอให้เลื่อนนัดอ่านคำพิพากษา เนื่องจากอยู่ระหว่างการยื่นคำร้องให้มีการสอบสวนและดำเนินการทางวินัย

    ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลได้อ่านคำสั่งต่อคำร้องดังกล่าว สรุปได้ดังนี้

    คำร้องตั้งข้อรังเกียจศาลและขอเปลี่ยนตัวผู้พิพากษา: ศาลได้เสนอคำร้องต่ออธิบดีศาลอาญาให้พิจารณาแล้ว เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องของจำเลยยังไม่มีเหตุที่จะตั้งข้อรังเกียจหรือคัดค้านองค์คณะผู้พิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 27 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีความแพ่ง มาตรา 11, มาตรา 13 และมาตรา 14 ให้ยกคำร้อง

    คำร้องคัดค้านกระบวนพิจารณาคดีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย: ศาลมีคำสั่งว่า กรณีไม่มีเหตุอันที่จะเพิกถอนกระบวนพิจารณาคดี ให้ยกคำร้อง

    คำร้องขอให้เลื่อนนัดอ่านคำพิพากษา: ศาลมีคำสั่งว่า ไม่มีเหตุที่จะเลื่อน ให้ยกคำร้อง

    คำร้องขอตรวจดูวิดีโอในห้องพิจารณาคดีที่ 711 (ยื่นเมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2567): ศาลให้ยกคำร้องเนื่องจากไม่มีการสืบพยาน กรณีไม่มีเหตุให้คัดถ่าย

    คำร้องขอให้จัดเก็บกล้องวิดีโอในห้องพิจารณาคดี 711 (ยื่นเมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2567): ศาลมีคำสั่งว่า กรณีไม่มีการสืบพยาน จึงไม่อนุญาต

    คำร้องให้มีการสอบสวนและดำเนินการทางวินัย ต่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ประธานศาลฎีกา และคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม: อยู่ระหว่างการดำเนินการ

    ศาลกล่าวเพิ่มเติมว่า มีอะไรก็ให้อุทธรณ์ไปตามกฎหมาย ศาลอาจจะถูกหรือผิดก็ได้

    ++พิพากษาผิด ม.112 และ ม.116 จำคุก 4 ปี ลดเหลือ 2 ปี 8 เดือน ชี้ปราศรัยใส่ร้ายพระราชกรณียกิจของกษัตริย์ ขัดต่อ รธน. ม.6 – การกระทำไม่อยู่ในความมุ่งหมาย รธน.

    หลังจากนั้นศาลเริ่มต้นอ่านคำพิพากษา โดยสรุปคำฟ้องให้จำเลยฟังโดยย่อ และอ่านต่อไปว่า โจทก์นำสืบได้ความว่า วันที่ 1 ส.ค. 2563 จำเลยโพสต์เฟซบุ๊กว่าได้รับเชิญจากผู้จัดให้ไปปราศรัยเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ การชุมนุมได้รับอนุญาตชุมนุมจาก สน.ชนะสงคราม ไม่พบว่ามีการขออนุญาตใช้เครื่องขยายเสียง แต่เจ้าหน้าที่ตรวจความเข้มเสียงพบว่าไม่เกิน 115 เดซิเบลเอ ไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด (ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 15 พ.ศ. 2540 เรื่อง กําหนด มาตรฐานระดับเสียงโดยทั่วไป ข้อ 2 กําหนดมาตรฐานระดับเสียงโดยทั่วไปไว้สูงสุดไม่เกิน 115 เดซิเบลเอ)

    สถานที่ชุมนุมเป็นพื้นที่เปิดโล่ง มีจุดคัดกรองโดยกลุ่มมอกะเสด จำเลยเป็นเพียงผู้ร่วมชุมนุม การชุมนุมเป็นไปโดยสงบเรียบร้อย ไม่พบความวุ่นวาย

    ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การชุมนุมได้รับอนุญาตโดย สน.ชนะสงคราม มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่
    .
    **ฐานฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ตามฟ้องข้อ 1.1 และใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้า โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามฟ้องข้อ 1.4

    เห็นว่า ในการชุมนุม ผู้ชุมนุมใช้เครื่องขยายเสียงขนาดเล็ก นักวิชาการสุขาภิบาลชำนาญการ สำนักงานเขตพระนคร วัดความเข้มเสียงแล้ว ปรากฏว่าต่ำกว่า 115 เดซิเบลเอ ไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

    ในขณะเกิดเหตุมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จึงต้องปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคด้วย พยานโจทก์ซึ่งเป็นตำรวจเบิกความว่า มีผู้ชุมนุมประมาณ 50 คน ตั้งเวทีขนาดเล็ก ส่วนใหญ่สวมหน้ากากอนามัย มีจุดคัดกรองโดยกลุ่มมอกะเสด สถานที่ชุมนุมเป็นพื้นที่โล่ง สัญจรไปมาได้สะดวก ในวันเกิดเหตุการชุมนุมเรียบร้อยดี เป็นไปโดยสงบ ไม่มีเหตุวุ่นวาย เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพตามกฏหมาย และได้รับอนุญาตการชุมนุมจากหัวหน้า สน.ชนะสงคราม

    ดังนั้น จำเลยกับพวกจึงใช้เสรีภาพในการชุมนุมตามกฏหมาย จำเลยเพียงแค่ได้รับเชิญมาปราศรัย การนำสืบของโจทก์ ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้จัดการชุมนุม จำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้องข้อ 1.1 และ 1.4

    **ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (3) ตามฟ้องข้อ 1.2

    เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก และปราศรัยพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่บ่อยครั้ง ทั้งในวิดีโอปรากฏว่าจำเลยพูดข้อความตามฟ้องข้อ 1.2 จริง จำเลยพูดพาดพิงการกระทำของพระมหากษัตริย์ตามฟ้องข้อ 1.2 หลายครั้ง โดยการปราศรัยในการชุมนุม จำเลยกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต และเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์

    แม้การกระทำของจำเลยจะไม่เหมาะสม และไม่สมควรกระทำเช่นนี้ แต่ไม่ถึงขนาดเป็นความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ. 2550 ตามฟ้องข้อ 1.2

    **ฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ตามมาตรา 112 และฐานยุยงปลุกปั่น ตามมาตรา 116 ตามฟ้องข้อ 1.3

    โจทก์มีพยานโจทก์ซึ่งเป็นตำรวจยืนยันว่า จำเลยปราศรัยตามฟ้องข้อ 1.3 และมีพยานโจทก์ซึ่งเป็นตำรวจได้บันทึกภาพและเสียงไว้ อัฑฒ์ มาฆลักษณ์ พยานโจทก์เบิกความว่า การกระทำของจำเลยเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ การแสดงความคิดเห็นแม้สามารถทำได้ แต่จำเลยทำให้ประชาชนเข้าใจผิด จาบจ้วง ให้ร้ายพระมหากษัตริย์

    ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยพูดว่าพระมหากษัตริย์แทรกแซงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อฟังประกอบข้อความบางส่วนที่จำเลยลงในเฟซบุ๊กของจำเลยเพื่อเชิญชวนให้ประชาชนมาฟังการปราศรัยในวันที่ 3 ส.ค. 2563 มีข้อความที่ว่า “…กฎหมายที่มีล้วนแล้วแต่ปิดปากไม่ให้ผู้ที่มีความคิดเห็นต่างจากฝ่ายกษัตริย์นิยมสามารถแสดงความคิดเห็นได้ ซึ่งผิดหลักการเสรีภาพในการแสดงออก และการแสดงความคิดเห็น หลายคนถูกจำคุก หลายชีวิตต้องลี้ภัย หลายคนต้องเสียชีวิต และหลายชีวิตต้องสูญหายโดยไม่สามารถสืบหาร่อยรอยได้ เพียงเพราะมีความแตกต่างทางความคิด” แม้ว่าความนี้ไม่ได้กล่าวถึงพระมหากษัตริย์โดยตรง ซึ่งเป็นข้อความตามที่ระบุไว้ในฟ้องข้อ 1.2 และศาลวินิจฉัยว่าไม่มีความผิดก็ตาม

    แต่เมื่อฟังเชื่อมโยงประกอบกับการที่จำเลยเชิญชวนคนมาฟังการปราศรัย และที่จำเลยได้พูดข้อความตามที่ฟ้องในข้อ 1.3 นี้ กล่าวหาพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีข้อความบางส่วนว่า “…พอมีการผ่านการออกเสียงประชามติมา เกิดการแทรกแซงการประกาศใช้รัฐธรรมนูญโดยสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นครั้งแรก คือเมื่อมีการผ่านประชามติออกมา ประยุทธ จันทร์โอชา นำรัฐธรรมนูญ ขึ้นทูลเกล้า พระมหากษัตริย์รับสั่งให้แก้รัฐธรรมนูญในสาระสำคัญอยู่หลายประการ ซึ่งถ้าในประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเหตุการณ์นี้ไม่มีทางเกิดขึ้น เพราะนี่เป็นการแทรกแซงการประกาศใช้รัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการ…” กรณีจำเลยกล่าวปราศรัยในส่วนนี้เป็นการใส่ร้ายพระมหากษัตริย์ว่าแทรกแซงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อันฝ่าฝืนต่อความเป็นจริง เป็นการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ และเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงเห็นเจตนาจำเลยได้ว่า จำเลยกล่าวอ้างใส่ร้ายพระมหากษัตริย์โดยมุ่งหวังให้เกิดความวุ่นวายในสังคม และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครอง

    รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 6 ห้ามไม่ให้ผู้ใดล่วงละเมิดพระมหากษัตริย์ จำเลยเป็นนักกฎหมายจะต้องตระหนักในกฎหมายข้อนี้ดีกว่าบุคคลทั่วไป แต่จำเลยปราศรัยใส่ร้ายพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ เป็นการละเมิดต่อพระมหากษัตริย์ดังกล่าว อันเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 6

    พยานโจทก์มีน้ำหนักเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้แล้ว และศาลวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำผิดในส่วนนี้มิเกี่ยวกับเอกสารที่จำเลยขอให้มีหมายเรียก คดีพอวินิจฉัยได้ ศาลจึงมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 174 วรรคท้าย การที่จำเลยมิได้สืบพยานหาทำให้ข้อเท็จจริงและคำวินิจฉัยของศาลเปลี่ยนแปลงไปไม่ อีกทั้งหากศาลเรียกเอกสารมาตามที่จำเลยร้องขอ จักเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 6 ทั้งจะทำให้จำเลยกับบุคคลที่เกี่ยวข้องมีความผิดและเกิดความวุ่นวายในสังคมไม่หยุดหย่อน ส่งผลเสียต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและขัดต่อการปกครองแห่งราชอาณาจักรไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

    ที่จำเลยอ้างในทำนองว่ามีเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญนั้น เห็นว่า หลักการตามมาตรา 34 ของรัฐธรรมนูญ ระบุว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การโฆษณา หรือสื่อความหมายอื่น จำเลยจะได้รับสิทธิตามบทบัญญัติมาตรานี้ก็ต่อเมื่อจำเลยกระทำเพื่อคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานในการมีสิทธิเสรีภาพของบุคคลอันจะต้องแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การโฆษณา หรือสื่อความหมายอื่น ซึ่งต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และไม่เป็นการละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น

    การปราศรัยและการประกาศโฆษณาปราศรัยของจำเลยตามฟ้องข้อ 1.3 ทำให้พระมหากษัตริย์และสถาบันพระมหากษัตริย์เสื่อมเสียพระเกียรติ การกระทำของจำเลยไม่อยู่ในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญที่จำเลยจะอ้างว่าวิพากษ์วิจารณ์ตามเจตนาแห่งรัฐธรรมนูญ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ และฐานกระทำการโดยวาจาหรือกระทำการอื่นประกาศโฆษณาเพื่อแสดงความเห็น อันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต ทั้งเป็นการกระทำเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแห่งแผ่นดิน

    พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 112 และมาตรา 116 (2) (3) การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำการโดยวาจาหรือกระทำการอื่นประกาศโฆษณาเพื่อแสดงความเห็น อันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต ลงโทษจำคุก 4 ปี จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง เห็นควรลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน

    ศาลยังให้นับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาของศาลนี้ ได้แก่ อ.649/2562 (คดีชุมนุมคนอยากเลือกตั้ง ARMY57 คดีนี้ศาลพิพากษายกฟ้อง), อ.1308/2562 (คดีชุมนุมคนอยากเลือกตั้ง UN62 ยังอยู่ระหว่างพิจารณา), อ.287/2564 และ อ.539/2564 (คดีชุมนุม 19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ยังอยู่ระหว่างพิจารณา) ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

    ผู้พิพากษาที่ลงนามในคำพิพากษา ได้แก่ เรืองฤทธิ์ บัวลอย และเทอดศักดิ์ อินทรปรีชา
    .
    ทั้งนี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนมีข้อสังเกตว่า ระวางโทษจำคุกตามมาตรา 116 กำหนดไว้ไม่เกิน 7 ปี ในขณะที่ระวางโทษจำคุกตามมาตรา 112 กำหนดไว้ตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี บทบัญญัติที่มีโทษจำคุกหนักสุดจึงเป็นมาตรา 112 มิใช่มาตรา 116 ดังที่ศาลได้ระบุไว้ในคำพิพากษา

    หลังการอ่านคำพิพากษา เอกชัย หงส์กังวาน ได้ยกมือและแถลงต่อศาลว่า เหตุใดจึงลงโทษจำคุก 4 ปี ไม่หยิบยกมาเพียง 3 ปี ศาลกล่าวว่า ให้เอาตัวไปขัง ศาลจะไต่เอง ทำให้เกิดความวุ่นวาย เอกชัยแถลงว่า ไม่ได้ก่อความวุ่นวาย เพียงต้องการสอบถาม อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ตำรวจศาลนำตัวเอกชัยออกไปจากห้องพิจารณาคดี ก็ไม่ได้เกิดเหตุการณ์นำตัวเอกชัยไปขังที่ห้องขังใต้ถุนศาลแต่อย่างใด

    หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เข้านำตัวอานนท์กลับไปที่ห้องขังใต้ถุนศาล เพื่อรอขึ้นรถผู้ต้องขังกลับเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทันที โดยเมื่อเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เปิดประตูห้องพิจารณาคดีออกไป มีประชาชนยืนรอให้กำลังใจอานนท์จำนวนมาก โดยประชาชนทุกคนชูมือทำสัญลักษณ์ 3 นิ้ว พร้อมตะโกนว่า “ยกเลิก 112” ตลอดระยะเวลาที่อานนท์เดินผ่าน จนเสียงดังเข้ามาในห้องพิจารณาคดี ก่อนอานนท์จะถูกนำตัวเดินลับไป

    วันเดียวกันทนายความได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ตามความประสงค์ของอานนท์ ต่อมา ในเวลาประมาณ 16.00 น. ศาลอาญามีคำสั่งให้ส่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราวให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย โดยศาลอุทธรณ์มีคำสั่งในวันต่อมาใไม่อนุญาตให้ประกัน ระบุว่า "พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ข้อหามีอัตราโทษสูง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี 8 เดือน และให้นับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษจำคุกในคดีอื่น หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวมีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยในระหว่างอุทธรณ์ ให้ยกคำร้อง"

    ปัจจุบันอานนท์ถูกพิพากษาจำคุกในคดีมาตรา 112 คดีนี้เป็นคดีที่ 6 แล้ว และยังมีคดีตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ถูกลงโทษจำคุก 2 เดือนด้วย ทำให้ปัจจุบันอานนท์มีโทษจำคุกรวมแล้ว 18 ปี 10 เดือน 20 วัน ทุกคดียังอยู่ระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษา ยังไม่มีคดีใดสิ้นสุด

    (อ้างอิง: คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขแดงที่ อ.4019/2567 ลงวันที่ 20 ธ.ค. 2567 และ https://tlhr2014.com/archives/71845)
  • ทนายยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่ให้ประกันของศาลอุทธรณ์ลงวันที่ 20 ธ.ค. 2567 ต่อศาลฎีกา

    วันเดียวกันศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันอานนท์ ระบุว่า "พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดี ประกอบกับศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี 20 วัน และให้นับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษจำคุกในคดีอื่น หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ มีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยอาจจะหลบหนี คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง"

    (อ้างอิง: คำสั่ง ศาลฎีกา ลงวันที่ 27 ธ.ค. 2567)

ชั้นสอบสวน

ผู้ถูกดำเนินคดี :
อานนท์ นำภา

การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต

ศาลชั้นต้น

ผู้ถูกดำเนินคดี :
อานนท์ นำภา

ชื่อองค์คณะผู้พิพากษา :
  1. เรืองฤทธิ์ บัวลอย
  2. เทอดศักดิ์ อินทรปรีชา

ผลการพิพากษา
ลงโทษ
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ : 19-12-2024

ศาลอุทธรณ์

ผู้ถูกดำเนินคดี :
อานนท์ นำภา

ผลการพิพากษา
-
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
ไม่อนุญาต

แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์