ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
- พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
ดำ อ.682/2565
แดง อ.1045/2566
ผู้กล่าวหา
- ร.ต.อ.ศุภากร ภัทรสุขเกษม รอง สว.สส.สภ.เมืองเชียงราย (ตำรวจ)
ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
- พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
หมายเลขคดี
ดำ อ.682/2565
แดง อ.1045/2566
ผู้กล่าวหา
- ร.ต.อ.ศุภากร ภัทรสุขเกษม รอง สว.สส.สภ.เมืองเชียงราย
ความสำคัญของคดี
สุปรียา ใจแก้ว นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และสมาชิกกลุ่มเชียงรายปลดแอก ถูกจับกุมตามหมายจับของศาลจังหวัดเชียงรายในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และ พ.ร.บ.ความสะอาดฯ โดยเธอไม่เคยได้รับหมายเรียกมาก่อน จากการที่ตำรวจฝ่ายสืบ สภ.เมืองเชียงราย กล่าวหาว่า เธอนำป้ายผ้าข้อความ “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” ไปแขวนไว้บริเวณป้าย “ทรงพระเจริญ” ซึ่งมีพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 ในตัวเมืองเชียงราย เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2564 และโพสต์ภาพป้ายดังกล่าวในเพจ "เชียงรายปลดแอก" ภายหลังจับกุม ตำรวจยังเข้าตรวจค้นห้องพักและตรวจยึดสิ่งของ รวมทั้งโทรศัพท์ โดยไม่มีหมายค้น และคำสั่งศาลให้ตรวจยึดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แต่อย่างใด
กรณีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการตีความประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่มีอัตราโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี แต่กลับถูกตีความอย่างกว้างเกินกว่าบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของกฎหมาย และนำมาใช้ปิดกั้นการแสดงออกของประชาชนอย่างกว้างขวาง
กรณีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการตีความประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่มีอัตราโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี แต่กลับถูกตีความอย่างกว้างเกินกว่าบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของกฎหมาย และนำมาใช้ปิดกั้นการแสดงออกของประชาชนอย่างกว้างขวาง
พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี
สถิตย์พร ศรีกัน พนักงานอัยการจังหวัดเชียงราย บรรยายฟ้อง โดยสรุปกล่าวหาว่า จำเลยกระทำความผิดรวม 2 กรรม ได้แก่
1. เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2564 จำเลยกับพวกซึ่งไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้นำแผ่นป้ายผ้าที่มีข้อความ “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” ขนาดความกว้าง 1 เมตร และ ยาว 4 เมตร จำนวน 1 ผืน ไปแขวนติดไว้บริเวณป้ายข้อความ “ทรงพระเจริญ” ที่มีพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลปัจจุบัน บริเวณห้าแยกพ่อขุนเม็งราย ริมถนนพหลโยธิน ด้านหน้าอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย เพื่อใส่ความให้ประชาชนบุคคลทั่วไปที่เดินทางผ่านพบเห็นข้อความดังกล่าว เข้าใจได้ว่าหมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 ใช้งบประมาณที่ใช้เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน มากกว่างบประมาณในการเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ อันเป็นการใส่ความหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ทำให้พระมหากษัตริย์ต้องเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์
2. เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2564 จำเลยซึ่งเป็นผู้ใช้เฟซบุ๊ก และเป็นผู้ดูแลเฟซบุ๊ก (แอดมินเพจ) ชื่อบัญชี “Free Youth CEI-เชียงรายปลดแอก” ได้ภาพป้ายผ้าดังกล่าวไปโพสต์ลงในเพจเฟซบุ๊กและพิมพ์ข้อความประกอบภาพว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชนเชียงราย ส่งเข้าประกวดค่ะ” เพื่อให้ประชาชนผู้ใช้เฟซบุ๊กพบเห็นข้อความ อันเป็นการหมิ่นประมาทกษัตริย์ต่อบุคคลที่สามและประชาชนทั่วไป อันเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ และก่อให้เกิดความตื่นตระหนกของประชาชน
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดเชียงราย คดีหมายเลขดำที่ อ.682/2565 ลงวันที่ 24 มิ.ย. 2565)
1. เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2564 จำเลยกับพวกซึ่งไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้นำแผ่นป้ายผ้าที่มีข้อความ “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” ขนาดความกว้าง 1 เมตร และ ยาว 4 เมตร จำนวน 1 ผืน ไปแขวนติดไว้บริเวณป้ายข้อความ “ทรงพระเจริญ” ที่มีพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลปัจจุบัน บริเวณห้าแยกพ่อขุนเม็งราย ริมถนนพหลโยธิน ด้านหน้าอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย เพื่อใส่ความให้ประชาชนบุคคลทั่วไปที่เดินทางผ่านพบเห็นข้อความดังกล่าว เข้าใจได้ว่าหมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 ใช้งบประมาณที่ใช้เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน มากกว่างบประมาณในการเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ อันเป็นการใส่ความหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ทำให้พระมหากษัตริย์ต้องเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์
2. เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2564 จำเลยซึ่งเป็นผู้ใช้เฟซบุ๊ก และเป็นผู้ดูแลเฟซบุ๊ก (แอดมินเพจ) ชื่อบัญชี “Free Youth CEI-เชียงรายปลดแอก” ได้ภาพป้ายผ้าดังกล่าวไปโพสต์ลงในเพจเฟซบุ๊กและพิมพ์ข้อความประกอบภาพว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชนเชียงราย ส่งเข้าประกวดค่ะ” เพื่อให้ประชาชนผู้ใช้เฟซบุ๊กพบเห็นข้อความ อันเป็นการหมิ่นประมาทกษัตริย์ต่อบุคคลที่สามและประชาชนทั่วไป อันเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ และก่อให้เกิดความตื่นตระหนกของประชาชน
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดเชียงราย คดีหมายเลขดำที่ อ.682/2565 ลงวันที่ 24 มิ.ย. 2565)
ความคืบหน้าของคดี
-
วันที่: 25-02-2021นัด: จับกุมตามหมายจับเวลาประมาณ 16.10 น. สุปรียา ใจแก้ว นักศึกษาวิชาเอกรัฐประศาสนศาสตร์ สำนักวิชาบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และสมาชิกกลุ่มเชียงรายปลดแอก ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิง 2 นายพร้อมเจ้าหน้าที่ชายนอกเครื่องแบบชายอีกจำนวนหนึ่ง เข้าแสดงหมายจับของศาลจังหวัดเชียงรายที่ 20/2564 ลงวันที่ 19 ก.พ. 2564 พร้อมจับกุมตัวจากหอพักในจังหวัดเชียงรายไปยัง สภ.เมืองเชียงราย
หมายจับระบุว่าคดีมี พ.ต.ท.ภาสกร สุขะ รองผู้กำกับการ (สอบสวน) สภ.เมืองเชียงราย เป็นผู้ร้องขอออกหมายจับ ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (2) และโฆษณาด้วยการปิดแผ่นประกาศหรือใบปลิวโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ มาตรา 10
หลังสุปรียาถูกนำตัวไปถึง สภ.เมืองเชียงราย ตำรวจได้มีการตั้งแผงเหล็กกั้นรอบทางเข้าออกของสถานีตำรวจ พร้อมกับวางกำลังตำรวจส่วนหนึ่งดูแล ก่อนที่ทนายความเครือข่ายของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้เดินทางไปพบ นอกจากนั้นยังมีนักกิจกรรมและประชาชนในจังหวัดเชียงรายที่ทราบข่าวประมาณ 15 คน เดินทางไปติดตามสถานการณ์ที่หน้าสถานีตำรวจ
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จัดทำบันทึกการจับกุม โดยมีการระบุชื่อชุดตำรวจที่เข้าทำการจับกุม ทั้งจาก สภ.บ้านดู่, สภ.เมืองเชียงราย และตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย กว่า 52 นาย และระบุว่า การจับกุมอยู่ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5
ต่อมา ร.ต.อ.ศรีเดช สุวรรณ์ รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.เมืองเชียงราย และ ร.ต.อ.หญิง วิชชุลดา เกื้อพหุชน รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.เมืองเชียงราย ได้แจ้งข้อกล่าวหาสุปรียาใน 3 ข้อกล่าวหาตามหมายจับดังกล่าว โดยระบุว่าคดีมี ร.ต.อ.ศุภากร ภัทรสุขเกษม เป็นผู้กล่าวหา
พนักงานสอบสวนบรรยายพฤติการณ์ที่กล่าวหาโดยสรุปว่า เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2564 เวลา 03.30 น. ผู้ต้องหาได้นำป้ายผ้าข้อความ “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” ไปแขวนไว้บริเวณป้ายข้อความ “ทรงพระเจริญ” ซึ่งมีพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 บริเวณห้าแยกพ่อขุนเม็งราย อำเภอเมืองเชียงราย เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้เห็นและอ่านข้อความ ก่อนหลบหนีไป
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจพบเฟซบุ๊กชื่อ “Free Youth CEI เชียงรายปลดแอก” ที่มีผู้ต้องหาเป็นผู้ดูแล ได้เผยแพร่ภาพการติดป้ายดังกล่าวเมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2564 คณะพนักงานสอบสวนได้ตรวจสอบ รวบรวมพยานหลักฐาน และพิสูจน์ทราบตัวผู้กระทำความผิด ประกอบกับพิจารณาข้อกฎหมายและข้อความบนป้ายผ้า เชื่อว่ากลุ่มผู้กระทำมีความประสงค์จะสื่อความหมายให้ประชาชนทั่วไปที่พบเห็น เข้าใจว่า คำว่า “สถาบันฯ” หมายถึง สถาบันพระมหากษัตริย์ และองค์พระมหากษัตริย์ และคำว่า “งบเยียวยาประชาชน” ในสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในปัจจุบัน ประชาชนที่ได้รับผลกระทบมีความเดือดร้อนและรอคอยรัฐบาลจัดสรรงบประมาณมาเพื่อสำหรับช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และเครื่องหมาย “>” ทางคณิตศาสตร์ หมายความว่า มากกว่า
จึงทำให้เห็นได้ว่าเจตนาของผู้กระทำ ต้องการสื่อให้ประชาชนทั่วไปที่พบเห็นป้ายผ้า เข้าใจความหมายโดยรวมว่า งบประมาณที่ใช้สำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์เพียงสถาบันเดียว มากกว่างบประมาณที่ใช้ในการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจทั่วประเทศ การกระทำดังกล่าว จึงเป็นการมุ่งประสงค์ให้องค์พระมหากษัตริย์เสื่อมเสียพระเกียรติยศ เป็นการล่วงละเมิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 6 องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะล่วงละเมิดไม่ได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้
ผู้กล่าวหาจึงอ้างว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการ
สุปรียาได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และขอให้การเพิ่มเติมในรายละเอียดเป็นหนังสือในภายหลัง
ระหว่างการสอบปากคำ พนักงานสอบสวนยังได้ระบุว่าทางตำรวจได้มีการขอหมายค้นของศาลจังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจค้นห้องพักของสุปรียา แต่ว่าหมายค้นดังกล่าวได้เลยกำหนดระยะเวลาที่จะเข้าตรวจค้นได้แล้ว ซึ่งตำรวจสามารถไปขอออกหมายค้นใหม่ได้ และควบคุมตัวสุปรียาไว้ได้จนถึงวันเสาร์ แต่หากสุปรียาต้องการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวนคืนนี้เลย จะต้องนำเจ้าหน้าที่ไปตรวจค้นห้องพักด้วยความเต็มใจ
ต่อมา ในเวลาประมาณ 21.00 น. สุปรียาได้ยินยอมนำเจ้าหน้าที่ไปตรวจค้น โดยได้มีชุดเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบชาย 1 นาย หญิง 1 นาย และเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบอีก 3 นาย เข้าตรวจค้นหอพักของสุปรียา พร้อมด้วยทนายความและอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเดินทางไปร่วมเป็นพยาน
หลังการตรวจค้น ตำรวจได้ทำการตรวจยึดหน้ากากอนามัยสีดำ 1 อัน เสื้อกันหนาวแขนยาวสีดำ 1 ตัว และรองเท้าผ้าใบสีดำ 1 คู่ โดยอ้างว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกับเครื่องแต่งกายของผู้ที่นำป้ายข้อความไปติดซึ่งกล้องวงจรปิดบันทึกภาพไว้ได้
จากนั้น ตำรวจได้พาตัวสุปรียากลับไปยัง สภ.เมืองเชียงราย เวลา 21.25 น. เพื่อจัดทำบันทึกตรวจยึด แต่แล้วตำรวจกลับแจ้งสุปรียาและทนายความว่า ตำรวจจะไม่ให้ประกันตัวจนกว่าสุปรียาจะยินยอมให้ยึดโทรศัพท์มือถือเป็นของกลางในคดีด้วย โดยที่ตำรวจไม่ได้มีคำสั่งศาลสำหรับยึดเครื่องมือสื่อสารโดยเฉพาะแต่อย่างใด
หลังการโต้เถียงและยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ไม่มีอำนาจตรวจยึด ตำรวจยืนยันว่าจะตรวจยึดโทรศัพท์มือถือโดยอ้างอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85 แม้สุปรียาและทนายความจะไม่ยินยอม ทำให้สุปรียาปฏิเสธจะลงชื่อในบันทึกการตรวจยึด และขอให้บันทึกข้อความว่า ผู้ต้องหาไม่ยินยอมให้ตรวจยึดและเข้าถึงข้อมูลภายในอุปกรณ์แต่อย่างใด
หลังการตรวจยึดเสร็จสิ้นเวลาประมาณ 23.20 น. อาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายได้ยื่นขอประกันตัวสุปรียาในชั้นสอบสวน ด้วยเงินสดจำนวน 150,000 บาท ซึ่งเป็นหลักทรัพย์จากกองทุนราษฎรประสงค์ ก่อนพนักงานสอบสวนจะอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวสุปรียา
จนเวลาประมาณ 24.00 น. เศษ หลังจัดทำเอกสารบันทึกประจำวันเสร็จสิ้น สุปรียาจึงได้รับการปล่อยตัวจาก สภ.เมืองเชียงราย
ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 19 ระบุเรื่องการยึดและอายัดระบบคอมพิวเตอร์ พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับการแต่งตั้ง จะต้องยื่นคําร้องต่อศาลที่มีเขตอํานาจเพื่อมีคําสั่งอนุญาตให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดําเนินการตามคําร้อง ทำให้การตรวจยึดโทรศัพท์มือถือซึ่งนับว่าเป็นระบบคอมพิวเตอร์ประเภทหนึ่งตามกฎหมายฉบับนี้ จะต้องมีคำสั่งอนุญาตของศาลก่อน ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนจึงเห็นว่าการตรวจยึดโทรศัพท์มือถือในกรณีนี้ของพนักงานสอบสวนสภ.เมืองเชียงราย จึงเป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
(อ้างอิง: บันทึกการจับกุม สภ.เมืองเชียงราย ลงวันที่ 25 ก.พ. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/26313) -
วันที่: 09-06-2021นัด: ส่งตัวอัยการพนักงานสอบสวนนัดหมายส่งสำนวนและส่งตัวผู้ต้องหาให้พนักงานอัยการจังหวัดเชียงราย อัยการนัดฟังคำสั่งวันที่ 6 ก.ค. 2564 เวลา 09.30 น.
-
วันที่: 06-07-2021นัด: ฟังคำสั่งอัยการอัยการยังไม่มีคำสั่ง เลื่อนไปฟังคำสั่งวันที่ 22 ก.ค. 2564
-
วันที่: 22-07-2021นัด: ฟังคำสั่งอัยการอัยการยังไม่มีคำสั่ง เลื่อนไปฟังคำสั่งวันที่ 18 ส.ค. 2564
-
วันที่: 14-10-2021นัด: ฟังคำสั่งอัยการอัยการยังไม่มีคำสั่ง เลื่อนไปฟังคำสั่งวันที่ 16 พ.ย. 2564
-
วันที่: 16-11-2021นัด: ฟังคำสั่งอัยการอัยการยังไม่มีคำสั่ง เลื่อนไปฟังคำสั่งวันที่ 14 ธ.ค. 2564
-
วันที่: 14-12-2021นัด: ฟังคำสั่งอัยการอัยการยังไม่มีคำสั่ง เลื่อนไปฟังคำสั่งวันที่ 13 ม.ค. 2565
-
วันที่: 13-01-2022นัด: ฟังคำสั่งอัยการอัยการยังไม่มีคำสั่ง เลื่อนไปฟังคำสั่งวันที่ 14 ก.พ. 2565
-
วันที่: 14-02-2022นัด: ฟังคำสั่งอัยการอัยการยังไม่มีคำสั่ง เลื่อนไปฟังคำสั่งวันที่ 15 มี.ค. 2565
-
วันที่: 18-05-2022นัด: ฟังคำสั่งอัยการพนักงานอัยการจังหวัดเชียงรายนัดสุปรียารายงานตัวเพื่อส่งฟ้องคดี หลังจากอัยการนัดฟังคำสั่งในทุกๆ เดือน มาเป็นเวลาเกือบ 1 ปี
เวลา 10.00 น. สุปรียาเดินทางมาจากกรุงเทพมหานคร มาถึงสำนักงานอัยการจังหวัดเชียงรายเพื่อรายงานตัว แต่เจ้าหน้าที่สำนักงานอัยการแจ้งว่าให้เลื่อนวันฟ้องคดีออกไปก่อนเป็นวันที่ 9 มิ.ย. 2565 สุปรียาและทนายความขอพูดคุยกับอัยการเจ้าของสำนวน ขอให้ส่งสำนวนฟ้องคดี เพราะได้เตรียมตัวมาแล้ว และเพื่อลดภาระการเดินทางซ้ำหลายครั้ง แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่าอัยการไม่เข้ามาที่สำนักงานอัยการจึงไม่สามารถมาพูดคุยด้วยได้ สุปรียาจึงขอเลื่อนวันนัดรายงานตัวไปเป็นวันที่ 24 มิ.ย. 2565 แทน
ตั้งแต่สุปรียาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมที่บริเวณที่พักในจังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2564 จนปัจจุบันเป็นเวลานานกว่า 1 ปีแล้ว โดยคดีของเธอยังอยู่ในชั้นพิจารณาของพนักงานอัยการ ที่ผ่านมาเธอมีภาระต้องเดินทางมารายงานตัวตามนัดของเจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานอัยการจำนวนหลายครั้ง ส่งผลกระทบทั้งทางด้านโอกาสทางการงาน เศรษฐกิจ และความกังวลของครอบครัว
“ทุกวันนี้แซนทำงานหาเงินสู้คดี”
หลังจากที่สุปรียาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เธอได้เข้าทำงานและย้ายที่อยู่อาศัยไปที่กรุงเทพมหานคร การมีคดีการเมืองหลายคดีในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ทำให้การเดินทางมารายงานตัวแต่ละครั้ง สร้างภาระต่อเธออย่างมาก โดยต้องใช้เงินจำนวนมากและจำเป็นจะต้องลางานหลายวัน
“ถ้าเชียงใหม่ก็มีค่าโรงแรมด้วย แต่เชียงรายไปนอนกับเพื่อน ถ้านัดเช้าต้องจองโรงแรมใกล้ ๆ ค่าโรงแรมก็ 800-900 บาท พยายามไม่ให้เกิน 1,000 เพราะต้องมาหลายครั้ง ไป-กลับครั้งหนึ่ง ถ้ารวมตั๋วเครื่องบินก็ 3,000-5,000 แล้ว”
“เอาจริงๆ คิดถึงคนที่ไม่ได้มีกำลังจะเดินทางสู้คดี เขาจะเป็นยังไง”
แม้ว่าสุปรียาจะได้งานอยู่ในทีมโฆษกของพรรคเพื่อไทย แต่เธอจำเป็นจะต้องลางานหลายวัน หลายครั้งเพื่อรายงานตัวต่อสู้คดี ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตการทำงานของเธออย่างมาก
“วันนี้จริง ๆ มีงานปราศรัยใหญ่สำหรับการเลือกตั้ง ส.ก. ซึ่งแซนเป็นทีมงานหนึ่งที่จะต้องคุมเวทีก็เลยไม่ได้ไป”
“แซนกังวลเรื่องการลางาน เพราะเรามาบ่อยมาก วันลาหยุด ลากิจของแซนมันเยอะกว่าใครทุกคนที่เขาทำงานอยู่ตรงนั้น”
“เราพร้อมสู้คดีที่ถูกกล่าวหา แต่มันเหมือนเป็นการกลั่นแกล้งกัน เพราะคุณกำหนดเวลามาชัดเจนแล้ว ล่วงหน้ามาไม่รู้กี่วัน อย่างนัดวันนี้คุณบอกว่าจะส่งฟ้อง พอมาถึงเวลาคุณก็ไม่ส่ง กลายเป็นว่าเราต้องเสียทั้งค่าเดินทาง ทั้งเสียเวลาหมดเลย”
(อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/43899) -
วันที่: 24-06-2022นัด: ฟังคำสั่งอัยการ (ฟ้อง)เวลา 09.30 น. สุปรียาพร้อมทนายความเดินทางเข้ารายงานตัวต่อพนักงานอัยการจังหวัดเชียงราย หลังคดีใช้เวลาพิจารณาในชั้นอัยการกว่า 1 ปี โดยอัยการกำหนดให้สุปรียาไปรายงานตัวทุกเดือน กระทั่งมีคำสั่งฟ้องในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(2)
เมื่อสุปรียาเข้ารายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานอัยการจังหวัดเชียงราย เจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้สุปรียาเดินทางไปรอบริเวณศาลจังหวัดเชียงราย เพื่อรอเจ้าหน้าที่อัยการไปเรียก เมื่อยื่นฟ้องคดีแล้วและส่งมอบการควบคุมตัวไปยังศาลจังหวัดเชียงราย
ต่อมาสุปรียาพร้อมทนายความได้รออยู่บริเวณศาล จนกระทั่งเวลา 13.30 น. มีเจ้าหน้าที่อัยการมาเรียกให้สุปรียาเข้าไปอยู่ในห้องควบคุมตัวใต้ถุนศาล
ในขณะเดียวกันทนายความได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างพิจารณา โดยขอวางเงินประกัน 150,000 บาท ซึ่งเป็นเงินจากกองทุนราษฎรประสงค์ ทั้งนี้อัยการไม่ได้คัดค้านการปล่อยชั่วคราวจำเลย
ศาลได้สอบถามคำให้การจำเลยขณะอยู่ในห้องคุมขัง จำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ต่อมาเวลาประมาณ 16.00 น. ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวระหว่างพิจารณา พร้อมนัดคุ้มครองสิทธิในวันที่ 7 ก.ค. 2565 และนัดพร้อมวันที่ 23 ก.ย. 2565 รวมเวลาที่จำเลยถูกควบคุมตัวไว้กว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง
หลังการประกันตัว สุปรียาได้ทวิตบอกเล่าเหตุการณ์ระหว่างถูกคุมตัวไว้ว่า “เรานั่งอยู่คนเดียวทั้งห้องคือโล่ง แล้วติดกับประตูที่รับส่งนักโทษ เราเห็นนักโทษจากเรือนจำเดินเข้าออกผ่านซี่กรงไปมาช้า ๆ ตลอดหลายชั่วโมง บวกกับกลิ่นห้องน้ำที่สร้างขึ้นมาแบบไม่ถูกสุขลักษณะ และได้กลิ่นบุหรี่เป็นพัก ๆ มันเอียนจนไมเกรนขึ้นจนอ้วกไปสามรอบ”
สำหรับคำฟ้องพนักงานอัยการจังหวัดเชียงรายบรรยายฟ้องโดยสรุปกล่าวหาว่า จำเลยกระทำความผิดรวม 2 กรรม ได้แก่
1. เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2564 จำเลยกับพวกได้นำแผ่นป้ายผ้าที่มีข้อความ “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” ไปแขวนติดไว้บริเวณป้ายข้อความ “ทรงพระเจริญ” ที่มีพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลปัจจุบัน ด้านหน้าอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช เพื่อให้ประชาชนที่พบเห็นข้อความดังกล่าวเข้าใจได้ว่า งบประมาณที่ใช้เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบันมากกว่างบประมาณในการเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ อันเป็นการใส่ความ หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์
2. เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2564 จำเลยซึ่งเป็นแอดมินเพจ “Free Youth CEI-เชียงรายปลดแอก” ได้ภาพป้ายผ้าดังกล่าวไปโพสต์ลงในเพจและพิมพ์ข้อความประกอบภาพว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชนเชียงราย ส่งเข้าประกวดค่ะ” อันเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ และก่อให้เกิดความตื่นตระหนกของประชาชน
ท้ายฟ้องอัยการขอให้ศาลสั่งริบป้ายผ้าข้อความของกลางด้วย
ทั้งนี้ สุปรียาถูกกล่าวหาในคดีจากการแสดงออกทางการเมืองทั้งหมด 3 คดี โดยเป็นคดีที่จังหวัดเชียงราย 2 คดี คือ คดีตามมาตรา 112 คดีนี้ และคดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และยังมีคดีที่จังหวัดเชียงใหม่อีก 1 คดี ในคดีตามมาตรา 116 และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หลังจากถูกดำเนินคดี เธอยังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เชียงรายเข้าติดตามอย่างต่อเนื่อง แม้จะย้ายไปอยู่ในกรุงเทพฯ แล้วก็ตาม
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดเชียงราย คดีหมายเลขดำที่ อ.682/2565 ลงวันที่ 24 มิ.ย. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/45278) -
วันที่: 07-07-2022นัด: นัดคุ้มครองสิทธิ
-
วันที่: 23-09-2022นัด: ตรวจพยานหลักฐานโจทก์อ้างพยานบุคคลเข้าสืบ 6 ปาก จำเลยอ้างพยานบุคคล 5 ปาก ศาลอนุญาตให้ใช้เวลาสืบฝ่ายละนัดครึ่ง นัดสืบพยานในวันที่ 4-6 ก.ค. 2566
-
วันที่: 04-07-2023นัด: สืบพยานโจทก์ก่อนการสืบพยาน อัยการโจทก์แถลงต่อศาลว่า เนื่องจากเพิ่งเข้ามารับผิดชอบในคดีนี้ จึงขอยื่นบัญชีระบุพยานบุคคลเพิ่มเติมอีก 8 ปาก จากเดิมที่อัยการคนก่อนได้ยื่นบัญชีพยานไว้จำนวน 6 ปาก รวมเป็น 14 ปาก แม้ศาลจะพยายามพูดคุยให้ฝ่ายจำเลยรับปากคำพยานบางปาก โดยไม่ต้องนำมาสืบ แต่ฝ่ายจำเลยยืนยันปฏิเสธ
คดีนี้จำเลยต่อสู้ว่า พยานหลักฐานของโจทก์ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้วางป้ายข้อความตามฟ้อง ขณะเดียวกัน ยังต่อสู้ว่าข้อความในป้าย ไม่ได้เข้าข้ายความผิดตามมาตรา 112 แต่อย่างใด โดยข้อความไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าหมายถึง “สถาบันฯ” ใด
แม้จะมีผู้ตีความไปว่าข้อความสื่อถึงว่า “งบประมาณสถาบันกษัตริย์มากกว่างบประมาณเยียวยาประชาชน” ก็ไม่ได้เป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ เพราะข้อความไม่ได้หมายถึงบุคคลใด “สถาบัน” มีองค์ประกอบที่กว้างกว่าตัวบุคคล และข้อความไม่ได้มีถ้อยความเป็นการบ่งบอกว่าดีหรือไม่ดี ทั้งหน้าที่จัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานต่าง ๆ เป็นของรัฐบาล ไม่ใช่สถาบันกษัตริย์ โดยพยานความคิดเห็นของฝ่ายโจทก์เองจำนวน 2 ปาก ทั้งด้านกฎหมายและภาษาไทย ก็เห็นว่าข้อความไม่ได้เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 แม้จะติดอยู่ใกล้พระบรมฉายาลักษณ์ก็ตาม
สำหรับการพิจารณาคดี พบว่าได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจศาลอยู่ร่วมในห้องพิจารณาตลอดการสืบพยาน นอกจากนั้นยังมี Court Martial แวะเวียนมาสังเกตการณ์ในห้องพิจารณาเกือบตลอดด้วย
++พยานโจทก์ปากที่ 1 ผู้ดูแลที่พัก
อัจฉรา กันจินะ ผู้ดูแลหอพักที่จำเลยเคยพัก เบิกความโดยสรุปว่า พยานเป็นลูกจ้างของบริษัทดูแลจัดการที่พักที่จำเลยในคดีนี้เคยพัก โดยรู้จักกับจำเลยมาในช่วงปี 2563 ที่จำเลยต้องมาจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ แต่ไม่ได้สนิทสนม และไม่ทราบมาก่อนว่าเป็นนักกิจกรรมทางการเมือง
พยานเบิกความว่า สุปรียาเป็นผู้ใช้รถยนต์ที่มีแผ่นป้ายทะเบียนตรงกับรถยนต์ที่ถูกกล่าวหาว่าใช้เป็นยานพาหนะในคดีนี้ แต่เมื่ออัยการนำภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดจากสถานที่เกิดเหตุมาให้ดู พยานยืนยันได้เพียงว่าเป็นรถเก๋งสีเทาเหมือนกันเท่านั้น แต่ไม่สามารถระบุได้ว่ามีแผ่นป้ายเดียวกันหรือไม่ เนื่องจากภาพถ่ายดังกล่าวเป็นเวลากลางคืนแสงสว่างไม่เพียงพอ
เมื่ออัยการนำภาพผู้ก่อเหตุให้พยานดู พยานไม่สามารถยืนยันได้ว่าบุคคลในภาพคือสุปรียา เนื่องจากบุคคลดังกล่าวสวมเสื้อกันหนาว และสวมใส่หน้ากากอนามัย โดยในช่วงเกิดเหตุเป็นฤดูหนาว และยังมีสถานการณ์โควิด-19 ประชาชนทั่วไปก็จะสวมใส่เสื้อแขนยาว และหน้ากากอนามัยเป็นปกติวิสัย
++พยานโจทก์ปากที่ 2 ตำรวจหญิงผู้ร่วมจับกุม-ค้นห้องพัก
ร.ต.อ.หญิง วัลลภา มูลเมือง พนักงานสอบสวนหญิงที่เข้าร่วมในการตรวจค้นจับกุมสุปรียา เบิกความโดยสรุปว่า ช่วงเวลาที่มีการจับกุมและตรวจค้นห้องพัก พยานดำรงตำแหน่งรองสารวัตรสอบสวน สภ.เมืองเชียงราย
พยานอ้างว่า ในวันที่ 25 ก.พ. 2564 สุปรียาประสงค์ให้ไปตรวจค้นห้องพักในเวลาประมาณ 21.00 น. ซึ่งเป็นเวลากลางคืน และตำรวจได้ตรวจยึดของกลาง ได้แก่ เสื้อกันหนาวสีดำ รองเท้าผ้าใบ และหน้ากากอนามัยสีดำสกรีนตัวอักษร “ผนงรจตกม” จากห้องพัก นอกจากนั้นยังยึดโทรศัพท์มือถือซึ่งสุปรียานำติดตัวมาด้วย โดยในการตรวจค้นห้องพักมี พ.ต.ท.ภาสกร สุขะ ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนในคดีเข้าร่วมด้วย
พยานระบุว่า สิ่งของที่ตรวจยึดนั้น เมื่อนำไปเทียบกับภาพถ่ายผู้ก่อเหตุจากกล้องวงจรปิด เห็นว่ามีลักษณะตรงกัน แต่พยานรับว่า หลังการจับกุม ตำรวจไม่ได้มีการเข้าไปค้นห้องพักในทันที แต่กลับนำตัวสุปรียามาควบคุมตัวไว้ที่ สภ.เมืองเชียงราย ก่อน แล้วจึงไปตรวจค้น โดยพยานก็ไม่ทราบว่าการค้นดังกล่าวมีหมายค้นหรือไม่ แต่เข้าใจว่าสามารถเข้าไปตรวจค้นในยามวิกาลได้ เนื่องจากผู้ต้องหายินยอม
นอกจากนั้นในการตรวจค้นก็ไม่พบป้ายผ้า เศษผ้า แปรงทาสี หรือร่องรอยการเขียนป้าย รวมทั้งที่เสื้อผ้า รองเท้า หน้ากากอนามัย ก็ไม่ได้มีร่องรอยเปื้อนสีแต่อย่างใด
++พยานโจทก์ปากที่ 3 ตำรวจฝ่ายสืบสวน ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ
ร.ต.อ.ศุภากร ภัทรสุขเกษม เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน เป็นผู้ร่วมจับกุมและรวบรวมพยานหลักฐานในคดี เบิกความโดยสรุปว่า พยานดำรงตำแหน่งเป็นรองสารวัตรสืบสวน สภ.เมืองเชียงราย ในปี 2563-66
เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2564 เวลาประมาณ 06.00 น. พยานได้รับแจ้งว่ามีผู้นำป้ายผ้าที่มีข้อความว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” มาวางไว้บริเวณพุ่มไม้ ใต้พระบรมฉายาลักษณ์ บริเวณห้าแยกพ่อขุนเม็งราย พยานได้ไปถ่ายภาพและตรวจยึดไว้ โดยเห็นว่าข้อความดังกล่าวมีลักษณะ “หมิ่นเหม่” จะเป็นความผิดตามมาตรา 112 จึงได้รายงานต่อผู้บังคับบัญชาและได้รับคำสั่งให้ดำเนินการสืบสวนต่อไป
พยานระบุว่า ป้ายผ้าดังกล่าววางไว้ในลักษณะพาดบนพุ่มไม้ ไม่มีเชือกมัด ห่างจากพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ประมาณ 1 ศอก และบริเวณห้าแยกพ่อขุนเม็งรายตามปกติมีรถสัญจรไปมาคับคั่ง แต่ในวันที่ 4 ม.ค. 2564 เวลา 06.00 น. นั้นการจราจรเบาบาง และไม่มีรถคันใดสนใจจอดดูป้ายดังกล่าว
พยานได้ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดของร้านค้าในบริเวณดังกล่าว พบว่าในช่วงเช้ามืด มีรถยนต์สีเทา ซึ่งมีสติกเกอร์สีเหลืองติดอยู่ที่กระจกหลัง ไม่เห็นแผ่นป้ายทะเบียน ขับมาจอดในซอยเล็ก ๆ ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 200 เมตร จากนั้นมีบุคคล 3 คน ซึ่งดูจากรูปร่างน่าจะเป็นชาย 2 คน หญิง 1 คน นำป้ายผ้าดังกล่าวมาวางไว้ จากนั้นกลับไปที่รถและขับไป
แต่พยานรับว่า ไม่ได้ขอไฟล์วิดีโอจากกล้องวงจรปิดไว้ และไม่ได้สอบปากคำเจ้าของร้านค้าด้วย และไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิดใดเลยที่มีภาพจำเลย หรือภาพแผ่นป้ายทะเบียนรถอย่างชัดเจน
ร.ต.อ.ศุภากร ยังเบิกความด้วยว่า ในตอนแรกมีแหล่งข่าวซึ่งเป็นสื่อมวลชนในจังหวัดเชียงรายได้ส่งภาพถ่ายป้ายดังกล่าวมาให้ แต่พยานรับว่าไม่ได้เรียกสื่อมวลชนดังกล่าวมาสอบปากคำ เนื่องจากเป็นสายลับ และไม่สามารถติดต่อได้
พยานยังเบิกความว่า เพจเฟซบุ๊ก “Free Youth CEI-เชียงรายปลดแอก” เป็นกลุ่มกิจกรรมที่สุปรียาเคยร่วมกิจกรรมด้วย ก็มีการโพสต์ภาพถ่ายป้ายดังกล่าว แต่เมื่อทนายจำเลยถามค้าน พยานรับว่าไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นเจ้าของเพจ แต่ได้รับมอบหมายให้ติดตามเพจดังกล่าวเป็นระยะ ก่อนหน้านี้ ไม่เคยดำเนินคดีกับเพจดังกล่าว เนื่องจากไม่เข้าข่ายความผิดใด
พยานได้รวบรวมพยานหลักฐานแล้วขอออกหมายจับจากศาลจังหวัดเชียงราย หมายจับดังกล่าวออกในวันที่ 20 ก.พ. 2564 และดำเนินการจับกุมในวันที่ 25 ก.พ. 2564 ในช่วงเย็น ก่อนนำตัวสุปรียาไปที่ สภ.เมืองเชียงราย จากนั้นเวลาประมาณ 20.00 น. ตำรวจนำตัวไปค้นห้องพักและตรวจยึดสิ่งของ
พยานยืนยันว่า รถยนต์ที่สุปรียาใช้เป็นคันเดียวกันกับรถที่ใช้ก่อเหตุจากภาพในกล้องวงจรปิด เนื่องจากมีสติกเกอร์สีเหลืองที่มีข้อความเดียวกันติดอยู่คล้ายกัน แม้จะไม่เห็นแผ่นป้ายทะเบียนชัดเจนก็ตาม เมื่อทนายจำเลยถามค้าน พยานรับว่าไม่ได้ยึดรถคันดังกล่าวไว้เป็นพยานหลักฐาน เนื่องจากไม่แน่ใจว่าเป็นรถคันเดียวกันหรือไม่
หลังการสืบสวน ร.ต.อ.ศุภากร รวบรวมพยานหลักฐานและส่งสำนวนให้คณะกรรมการคดีความมั่นคง ตำรวจภูธรภาค 5 คณะกรรมการมีความเห็นว่ามีความผิดตามมาตรา 112 พยานจึงมาร้องทุกข์กล่าวโทษตามคำสั่งของคณะกรรมการ โดยพยานไม่มีอำนาจตัดสินใจว่าจะดำเนินคดีใดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชา
พยานเบิกความถึงข้อความในป้าย เข้าใจว่าเป็นการสื่อว่า “พระมหากษัตริย์ใช้เงินเกินตัวในสถานการณ์การเกิดโรคระบาดโควิด” แต่เมื่อทนายจำเลยถามค้าน พยานรับว่า ตัวพยานเองเห็นว่าข้อความดังกล่าวไม่เป็นความผิด หากป้ายผ้าดังกล่าวไม่ได้ติดที่จุดเกิดเหตุดังกล่าว พยานจะไม่ดำเนินคดี
ร.ต.อ.ศุภากร ยังระบุว่า ในวันที่ 4 ม.ค. 2564 นั้น ยังมีการติดป้ายผ้าที่มีข้อความในลักษณะเดียวกับคดีนี้อีก 2 แห่ง ในเขตอำนาจสอบสวน สภ.บ้านดู่ จ.เชียงราย แต่ไม่มีผู้ใดถูกดำเนินคดี
++พยานโจทก์ปากที่ 4 ตำรวจฝ่ายสืบสวน
ด.ต.สินชัย ศรีมณเทียร เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.เมืองเชียงราย เบิกความโดยสรุปว่า ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้รวบรวมพยานหลักฐานในคดีนี้ โดยมี ร.ต.อ.ศุภากร เป็นหัวหน้าชุดสืบสวน
พยานได้ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดจากร้านค้าบริเวณห้าแยกพ่อขุนเม็งราย และพบว่า วันที่ 4 ก.พ. 2564 เวลาประมาณ 03.00 น. มีรถยนต์มาจอดในซอยหน้าร้านค้า ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 500 เมตร มีชาย 1 คน หญิง 1 คน ออกมาจากรถ จากนั้นไปพักที่ศาลาริมทาง ก่อนจะนำป้ายผ้าที่มีข้อความว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” มาติดไว้ที่จุดเกิดเหตุแล้วถ่ายรูป จากนั้นเดินกลับไปที่รถโดยใช้เส้นทางอีกทาง ในลักษณะเป็นวงกลม แล้วขับรถออกไป
จากนั้นผู้ก่อเหตุนำป้ายไปแขวนที่บริเวณหน้าสนามบินจังหวัดเชียงราย และบริเวณสะพานลอยหน้ามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ตามลำดับ
อย่างไรก็ตามเมื่อทนายจำเลยถามค้าน พยานกลับเบิกความว่า ไม่ได้ทำการบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดในขณะที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวกำลังวางป้ายผ้าและถ่ายภาพ แม้จะมีภาพเคลื่อนไหวในช่วงเวลาดังกล่าวก็ตาม และไฟล์ภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิด ก็เก็บไว้ที่ สภ.เมืองเชียงราย ไม่ได้นำส่งให้อัยการด้วย
นอกจากนั้นเพจเฟซบุ๊ก “Free Youth CEI” ที่โพสต์ภาพถ่ายป้ายผ้าดังกล่าว พยานเชื่อว่าเป็นของจำเลยในคดีนี้ เนื่องจากสุปรียาเคยปรากฏตัวในการไลฟ์สดของเพจเป็นประจำ เมื่อทนายจำเลยถามค้าน พยานให้การว่าไม่มีพยานหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าของเพจเฟซบุ๊กดังกล่าว
พยานยังเป็นผู้ตรวจสอบหมายเลขทะเบียนรถยนต์ที่จำเลยใช้งาน แล้วพบว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นของญาติจำเลย และรถยนต์คันดังกล่าวมีสติกเกอร์สีเหลืองติดที่กระจกหลังรถยนต์ในลักษณะเดียวกับรถยนต์ที่ปรากฏในภาพจากกล้องวงจรปิด เมื่อทนายจำเลยถามค้าน พยานรับว่าหมายเลขทะเบียนรถยนต์ที่นำไปตรวจสอบนั้น ไม่ได้นำมาจากภาพที่ปรากฏในกล้องวงจรปิด แต่ไม่ได้ระบุว่านำมาจากที่ใด
หลังรวบรวมพยานหลักฐาน ได้จัดทำรายงานเสนอต่อผู้บังคับบัญชา และพยานยังเข้าร่วมในการจับกุมในวันที่ 25 ก.พ. 2564 แต่ไม่ได้ร่วมตรวจยึดของกลางในห้องพักของจำเลยด้วย
พยานให้ความเห็นต่อข้อความว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” หมายถึง สถาบันพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 มีงบประมาณมากกว่างบเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยพยานเองก็ไม่ทราบว่างบประมาณใดมากหรือน้อยกว่ากัน แต่ข้อความดังกล่าวน่าจะทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่างบสถาบันกษัตริย์มีมากเกินไป
(อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/62612) -
วันที่: 05-07-2023นัด: สืบพยานโจทก์ (ต่อ)++พยานโจทก์ปากที่ 5 ตำรวจสันติบาล
ร.ต.อ.ณพ วงศ์ชัย เป็นตำรวจสันติบาล ทำหน้าที่ด้านการข่าว เบิกความโดยสรุปว่า ดำรงตำแหน่งรองสารวัตรกองกำกับการ 3 กองบัญชาการตำรวจสันติบาล แต่มาปฏิบัติหน้าที่ที่จังหวัดเชียงราย ทำหน้าที่สืบสวนหาข่าวเกี่ยวกับพรรคการเมือง และกลุ่มเห็นต่างทางการเมือง
พยานเป็นผู้จัดทำรายงานเกี่ยวกับประวัติการมีส่วนร่วมในการชุมนุมทางการเมืองของสุปรียา โดยรายงานดังกล่าวระบุว่า สุปรียาเป็นเจ้าของเพจเฟซบุ๊ก “Anti Dictatorship-CEI” ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “Free Youth CEI” ทั้งยังเป็นผู้ถอดเทปคำปราศรัยของสุปรียาในการชุมนุมที่สวนตุง ในช่วงปี 2563 ที่ถูกนำมาเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้อีกด้วย
พยานเบิกความว่าป้ายข้อความว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” นั้นหมายความว่า งบของรัฐบาลที่จัดสรรให้สถาบันพระมหากษัตริย์มากกว่างบเยียวยาประชาชนในช่วงโควิด แต่เห็นว่าการนำป้ายผ้าดังกล่าวมาติดที่พระบรมฉายาลักษณ์ ทำให้ “งบสถาบันฯ” ย่อมหมายถึงรัชกาลที่ 10 โดยตรง เนื่องจากสามารถนำไปติดที่อื่นได้ แต่กลับนำไปติดบริเวณดังกล่าว การนำป้ายผ้ามาติดบริเวณดังกล่าว คิดว่าเนื่องจากต้องการให้ประชาชนเห็นเป็นจำนวนมาก
เมื่อทนายจำเลยถามค้าน ในเรื่องที่เห็นว่าสุปรียาเป็นเจ้าของเพจเฟซบุ๊กนั้น พยานรับว่าไม่เคยตรวจสอบไปยังกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง เพียงแต่ได้รับรายงานมาจากผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น
พยานไม่ทราบว่าคดีจากการเข้าร่วมการชุมนุมคดีอื่นของจำเลย ศาลชั้นต้นมีพิพากษายกฟ้องไปแล้ว แต่ทราบว่ารัฐธรรมนูญรับรองสิทธิในการเข้าร่วมการชุมนุม และสุปรียามีสิทธิเข้าร่วมการชุมนุมได้
ในการถอดเทปการปราศรัยของจำเลยระหว่างการชุมนุมที่สวนตุง จ.เชียงราย ซึ่งพยานเป็นผู้ถอดเทปนั้น ไม่มีการพูดถึงสถาบันกษัตริย์เลย
ส่วนในประเด็นลักษณะการติดป้ายผ้าใต้พระบรมฉายาลักษณ์มีลักษณะใดนั้น พยานไม่ทราบ เนื่องจากเมื่อพยานไปถึงจุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้เก็บป้ายผ้าไปแล้ว
++พยานโจทก์ปากที่ 6 ทนายความให้ความคิดเห็น
อภิชัย พรหมมินทร์ ประกอบอาชีพทนายความ เบิกความโดยสรุปว่า พนักงานสอบสวนได้เรียกพยานเข้าพบในฐานะนักกฎหมาย เพื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
พนักงานสอบสวนให้พยานดูรูปถ่ายป้ายผ้าที่มีข้อความว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” พยานเห็นว่าคำว่า “สถาบันฯ” นั้นเข้าใจว่าหมายถึงสถาบันสูงสุด จะหมายถึงตัวกษัตริย์หรือไม่ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ ส่วนคำว่า “งบเยียวยาประชาชน” นั้นหมายถึงงบที่รัฐบาลจัดสรรเยียวยาประชาชนจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19
เมื่อนำป้ายผ้าไปวางใต้พระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ทำให้พยานเห็นว่าสื่อได้ว่า งบที่รัฐบาลใช้เยียวยาประชาชนน้อยกว่างบที่จัดสรรให้ใช้ส่วนพระองค์ ป้ายผ้าจึงหมายถึงการกล่าวถึงตัวบุคคล
พยานเบิกความว่า ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ที่ระบุว่ากษัตริย์ล่วงละเมิดมิได้ น่าจะหมายความรวมถึงการตำหนิติเตียนไม่ได้ด้วย
เมื่อทนายจำเลยถามค้าน อภิชัยเบิกความว่าไม่ได้เป็นเจ้าของสำนักงานทนายความ เป็นเพียงทนายประจำสำนักงาน ส่วนที่พยานให้การว่าคำว่า “สถาบันฯ” หมายถึง “สถาบันกษัตริย์” เนื่องจากไม่ได้ดูความหมายตามพจนานุกรม ซึ่งหมายถึง “สถาบันที่สังคมสร้างขึ้น”
พยานไม่ทราบว่า คำว่า “งบ” หมายถึง “งบประมาณแผ่นดิน” หรือไม่ ไม่ทราบว่า มีการเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับงบประมาณของสถาบันกษัตริย์ในช่วงดังกล่าวหรือไม่ และไม่ทราบว่า งบของสถาบันกษัตริย์ คือการจัดสรรให้หน่วยงาน ไม่ใช่งบที่จัดสรรให้ส่วนพระองค์ รวมทั้ง พยานยังไม่ทราบว่าหลักการ The King can do no wrong คืออะไร
อภิชัยไม่เคยว่าความในคดีตามมาตรา 112 แต่เคยให้ความเห็นต่อพนักงานสอบสวนในหลายคดี และเคยเป็นพยานในคดี 112 อีก 1 คดีด้วย แต่ไม่สามารถให้ความเห็นว่า ป้ายผ้าในคดีนี้เป็นความผิดหรือไม่ ต้องให้ศาลเป็นผู้วินิจฉัย
(อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/62612) -
วันที่: 06-07-2023นัด: สืบพยานโจทก์ (ต่อ)++พยานโจทก์ปากที่ 7 อาจารย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
ผศ.สุรชัย อุฬารวงศ์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เบิกความว่าพนักงานสอบสวนได้มาพบพยานที่มหาวิทยาลัย และให้ดูภาพถ่ายป้ายผ้าในคดีนี้
พยานให้ความเห็นว่า ข้อความดังกล่าวหมายถึง งบประมาณที่ฝ่ายนิติบัญญัติจัดสรรให้กับสถาบันกษัตริย์ มากกว่างบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้เยียวยาภัยพิบัติโรคโควิด-19 เนื่องจากในช่วงปี 2564 มีข่าวการประท้วงเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ นอกจากนั้นการนำป้ายผ้าดังกล่าวไปติดใต้พระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ก็ยิ่งทำให้คนทั่วไปเห็นว่าหมายถึงสถาบันกษัตริย์ และทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่าหมายถึงสถาบันกษัตริย์ได้รับงบประมาณมากกว่างบเยียวยาประชาชน นอกจากนั้นบริเวณห้าแยกพ่อขุนเม็งรายมีประชาชนสัญจรผ่านไปผ่านมาเป็นจำนวนมาก ประชาชนย่อมเห็นป้ายดังกล่าวได้
เมื่อทนายจำเลยถามค้าน สุรชัยรับว่า เป็นอาจารย์สอนกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะเดินทางมาพบ ก็ไม่ทราบมาก่อนว่าต้องให้การในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญ
พยานไม่เคยค้นคว้าความหมายในทางภาษาศาสตร์ของคำว่า “สถาบัน” มาก่อน ในความหมายถึงสถาบันทางสังคม ไม่ใช่ตัวบุคคล
พยานรับว่า ช่วงเวลาดังกล่าวมีการถกเถียงกันในสังคมอย่างปกติเรื่องงบประมาณสถาบันกษัตริย์ และพยานทราบว่าสำนักข่าวประชาไทเคยทำข่าวเกี่ยวกับงบประมาณของสถาบันกษัตริย์ด้วย โดยพยานทราบว่า งบประมาณเหล่านี้เป็นงบประมาณที่หน่วยงานต่าง ๆ ขอในการจัดสรร ไม่ใช่งบประมาณที่พระมหากษัตริย์ขอส่วนพระองค์ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการ The King can do no wrong
ป้ายผ้าดังกล่าวเมื่อนำไปติดใต้พระบรมฉายาลักษณ์ พยานจึงเห็นว่าหมายถึงสถาบันกษัตริย์ และหากนำไปติดสถานที่อื่นย่อมไม่เป็นความผิด นอกจากนั้น พยานรับว่าการวิพากษ์วิจารณ์งบประมาณของสถาบันกษัตริย์ ก็เป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ทั้งนี้ อัยการแถลงขอเลื่อนนัดสืบพยานเนื่องจากไม่สามารถติดตามพยานปากอื่นมาให้การได้ ศาลอนุญาต และให้เลื่อนไปสืบพยานในวันที่ 26-27 ต.ค. 2566
(อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/62612) -
วันที่: 26-10-2023นัด: สืบพยานโจทก์ (ต่อ)++พยานโจทก์ปากที่ 8 อาจารย์นิติศาสตร์ ม.แม่ฟ้าหลวง
สุชิน กฤตลักษณ์วงศ์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เบิกความว่า ในเวลาที่พยานให้การกับพนักงานสอบสวน ยังดำรงตำแหน่งเป็นรองคณบดี โดยทางตำรวจมีหนังสือไปยังมหาวิทยาลัยว่าจะมาขอพบเพื่อขอความเห็น และคณบดีในเวลานั้นได้มอบหมายให้พยานไป พยานจึงเดินทางไปที่ สภ.เมืองเชียงราย เนื่องจากสะดวกกว่า
พนักงานสอบสวนให้ดูรูปภาพป้ายผ้าข้อความในคดีนี้ สุชินให้ความเห็นว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวในสังคมมีการถกเถียงในประเด็นเรื่องการจัดสรรงบประมาณของสำนักงานทรัพย์สินส่วนกษัตริย์ คำว่า “งบสถาบันฯ” จึงมีความหมายว่า “งบประมาณของสำนักงานทรัพยสินส่วนกษัตริย์” ส่วนคำว่า “งบเยียวยาประชาชน” คือ “งบประมาณในการเยียวยาสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19”
ป้ายผ้าดังกล่าวจึงหมายถึง “งบประมาณของสำนักทรัพย์สินส่วนกษัตริย์มากกว่างบประมาณในการเยียวยาประชาชน” แม้ว่าจะนำป้ายไปติดไว้ใต้พระบรมฉายาลักษณ์ ก็ไม่ได้ทำให้ความหมายเปลี่ยนไป
ในกรณีนี้ไม่เป็นความผิดเนื่องจากต้องพิจารณา 2 ประเด็น ได้แก่
1. ไม่มีการดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้าย
2. คำว่า “งบสถาบันฯ” หมายความถึงงบประมาณของสำนักทรัพย์สินส่วนกษัตริย์ ไม่ได้หมายถึงพระมหากษัตริย์
พยานเห็นว่า แม้ว่าจะสามารถระบุตัวบุคคลได้ ก็ไม่เป็นความผิด เนื่องจากการกระทำไม่เป็นความผิด พยานเห็นว่า นอกจากนั้นการตีความกฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัด ดังนั้นพยานจึงตีความเฉพาะข้อความในแผ่นป้าย ไม่นำบริบทสถานที่ที่ติดป้ายผ้ามาตีความประกอบ
แม้ว่าผู้นำป้ายผ้าไปติดที่ห้าแยกพ่อขุนเม็งราย เนื่องจากต้องการให้ประชาชนที่สัญจรผ่านไปมาเห็น แต่พยานไม่อาจให้ความเห็นได้ว่าการกระทำดังกล่าวเหมาะสมหรือไม่ ปัจเจกบุคคลย่อมมีความเห็นแตกต่างกันไป พยานรับว่าในภาพถ่าย ป้ายผ้าไม่ได้วางไว้ชิดติดกับพระบรมฉายาลักษณ์ แต่วางบนแปลงดอกไม้ข้างทางเท้า
สุชินเบิกความว่า การจัดสรรงบประมาณเป็นหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ องค์พระมหากษัตริย์ไม่สามารถของบประมาณเองได้ ดังนั้น ป้ายผ้าดังกล่าวย่อมหมายความถึงการเปรียบเทียบว่าหน่วยงานได้มากกว่าหรือน้อยกว่า ซึ่งไม่ได้มีความหมายว่าดีหรือไม่ดี
พยานเบิกความรับว่า อำนาจในการจัดสรรงบประมาณเป็นหนึ่งในอำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นของประชาชน ประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์การจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลได้
++พยานโจทก์ปากที่ 9 นายทหารการข่าว มทบ.37
พ.อ.อิสระ เมาะราษี ปัจจุบันพยานเป็นข้าราชการบำนาญ ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งรักษาการหัวหน้าการข่าวของมณฑลทหารบกที่ 37 มีหน้าที่หาข่าวเกี่ยวกับความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดเชียงราย
ช่วงเช้าวันที่ 4 ม.ค. 2564 พยานได้รับแจ้งจากหน่วยงานข่าวของตำรวจว่า มีป้ายข้อความมาติดที่ใต้พระบรมฉายาลักษณ์ บริเวณห้าแยกพ่อขุนเม็งราย ป้ายดังกล่าวมีข้อความว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” พยานไปยังสถานที่เกิดเหตุ และสั่งให้ตำรวจนำป้ายดังกล่าวออก
พยานเห็นว่าคำว่า “งบ” หมายถึง “งบประมาณ” คำว่า “สถาบัน” หมายถึงตัวองค์กษัตริย์ เพราะไปติดใต้พระบรมฉายาลักษณ์ “งบเยียวยาประชาชน” หมายถึงงบประมาณของรัฐบาลที่เอามาเยียวยาประชาชนในภาวะฉุกเฉิน และในช่วงเวลานั้นมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ข้อความดังกล่าวน่าจะหมายถึงงบประมาณในการเยียวยาโควิด-19
พยานเห็นว่าบริเวณห้าแยกพ่อขุนเม็งรายมีประชาชนสัญจรผ่านไปมามาก และป้ายผ้าดังกล่าวมีขนาดใหญ่มากพอให้สามารถเห็นได้ชัดเจน พยานให้ความเห็นต่อพนักงานสอบสวนว่า ป้ายผ้าดังกล่าวเป็นความผิดตามมาตรา 112
เมื่อพยานได้ดูภาพถ่ายผู้ก่อเหตุจากกล้องวงจรปิด เบิกความว่า “คลับคล้ายคลับคลา” ว่าคือสุปรียาโดยดูจากรูปร่าง เนื่องจากพยานเคยติดตามในฐานะหัวหน้าข่าว ซึ่งสุปรียาเคลื่อนไหวเกี่ยวกับประชาธิปไตย และเรื่องสถาบันกษัตริย์
พ.อ.อิสระ เบิกความว่า สุปรียาเริ่มเคลื่อนไหวตั้งแต่ปี 2562 โดยต่อต้านรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย แต่ไม่ทราบว่านอกจากคดีนี้แล้ว สุปรียายังถูกดำเนินคดีจากการชุมนุมอื่น ซึ่งศาลมีคำพิพากษายกฟ้องไปแล้ว
ขณะเกิดเหตุ พยานซึ่งทำงานด้านการข่าวได้รับรู้ข่าวสารบ้านเมือง และทราบว่ามีการจัดสรรงบประมาณประจำปีในสภาผู้แทนราษฏรซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ จะได้รับการจัดสรรจากรัฐบาล แต่พยานไม่ทราบว่างบสถาบันฯ หมายถึงงบประมาณของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และไม่ทราบว่างบประมาณของสำนักทรัพย์สินฯ จะถูกจัดสรรให้พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์หรือไม่อย่างไร
ส่วนที่พยานอ้างว่าติดตามจำเลยในหน้าที่ ก็ไม่ได้มอบพยานหลักฐานใดให้พนักงานสอบสวน เพียงแต่เล่าให้ฟังเท่านั้น
พ.อ.อิสระ เบิกความว่า ในการรับราชการทหารได้ปฏิญาณตนที่จะปกป้องสถาบันกษัตริย์ และหลังจากที่พยานได้เห็นป้ายผ้าดังกล่าวแล้วยังคงรักและเคารพสถาบันกษัตริย์ไม่เสื่อมคลาย
++พยานโจทก์ปากที่ 10 นักวิชาการภาษาไทย
สุกัญญา ขลิบเงิน อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ เอกภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เกี่ยวกับคดีนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้หนังสือไปยังมหาวิทยาลัยเพื่อขอความเห็นทางวิชาการ โดยได้เดินทางมาพบพยานที่มหาวิทยาลัย
เมื่อพยานได้ดูป้ายข้อความในคดีนี้ ได้ให้ความเห็นว่า คำว่า “สถาบัน”, “งบเยียวยา” ไม่สื่อความหมายใด ๆ เป็นเพียงคำนามวลี จนกว่าจะนำไปใช้ประกอบกับคำอื่น เมื่อพิจารณาเฉพาะข้อความตามภาพถ่ายแล้วย่อมสามารถสื่อความหมายไปในทางใดได้ ต้องดูบริบทอื่นประกอบ
การดูบริบทประกอบก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตของแต่ละบุคคล การตีความอยู่ที่พื้นฐานความรู้ของแต่ละคน ในฐานะนักวิชาการ พยานจะไม่ชี้นำว่าข้อความดังกล่าวสื่อไปในทางใด ทางการเมือง ศาสนา หรือเศรษฐกิจ
คำว่า “สถาบัน” ต้องไปบวกกับคำอื่นจึงจะมีความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น ตามพจนานุกรมคำว่า “สถาบัน” หมายถึงการจัดตั้งทางสังคม มีความหมายกว้างไม่ได้เฉพาะเจาะจง ต้องนำมาบวกกับคำนามจึงจะมีความหมาย
คำว่า “งบ” หมายถึง “เงิน” ในกรณีนี้จะหมายถึงงบอะไรก็ขึ้นอยู่กับพื้นประสบการณ์ของผู้รับสาร ซึ่งย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล หากคนที่ไม่ติดตามข่าวสารการเมืองเห็นข้อความดังกล่าวก็จะไม่สามารถตีความได้ว่าหมายถึงอะไร และข้อความดังกล่าวไม่สามารถสื่อถึงเกียรติยศชื่อเสียงได้
นอกจากนั้น พยานเบิกความว่าในการให้เห็นกับตำรวจ พนักงานสอบสวนได้ใช้คำถามนำว่าข้อความดังกล่าวเป็นความผิดหรือไม่ ทำให้พยานให้การว่าไม่เป็นความผิด เพราะไม่มีถ้อยคำหยาบคาย
++พยานโจทก์ปากที่ 11 ข้าราชการบำนาญให้ความเห็น
ระพล สภารัตน์ ข้าราชการบำนาญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เบิกความว่าประมาณปี 2564 ขณะพยานไปติดต่อราชการที่ สภ.เมืองเชียงราย พนักงานสอบสวนได้ขอความเห็นในคดีนี้
พนักงานสอบสวนได้ถามพยานว่า “งบเยียวยา” หมายถึงอะไร พยานตอบว่าขึ้นอยู่กับบริบท เช่น งบเยียวยาโควิด-19 หรืองบเยียวยาภัยพิบัติ และถามว่า “สถาบัน” หมายถึงอะไร พยานตอบว่าหมายถึงสิ่งที่สังคมจัดตั้งขึ้น ส่วนจะหมายถึงสถาบันใดนั้นขึ้นอยู่กับคำต่อท้าย
จากนั้นพนักงานสอบสวนให้ดูภาพถ่ายป้ายผ้าที่มีข้อความว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” ที่ติดอยู่กับใต้พระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 และถามนำว่าเหมาะสมหรือไม่ พยานจึงตอบว่าไม่เหมาะสม เนื่องจากพระบรมฉายาลักษณ์เป็นสิ่งที่เคารพบูชา การนำป้ายผ้าดังกล่าวไปติดย่อมไม่เหมาะสม
พยานเห็นว่า เมื่อนำป้ายไปติดที่พระบรมฉายาลักษณ์ย่อมหมายถึงงบสถาบันกษัตริย์ เมื่อเอาไปติดที่วัดย่อมทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่าหมายถึงงบเกี่ยวกับวัด ดังนั้นเมื่อนำป้ายผ้าไปติดที่พระบรมฉายาลักษณ์ ย่อมทำให้ประชาชนธรรมดาเข้าใจผิดว่างบสถาบันกษัตริย์มากกว่างบเยียวยาประชาชน
พยานไม่ทราบว่า งบสถาบันกษัตริย์มากกว่างบเยียวยาประชาชนจริงหรือไม่ และไม่ทราบว่าป้ายดังกล่าวถูกติดไว้บริเวณใด จนกระทั่งอัยการให้ดูรูปภาพ และชี้นำว่าอยู่บริเวณห้าแยกพ่อขุนเม็งราย
พยานรับว่า ได้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองมาตลอด และทราบว่าการจะจัดสรรงบประมาณให้แต่ละหน่วยงานต่าง ๆ เป็นหน้าที่ของรัฐสภา
ในความเข้าใจของพยาน สถาบันกษัตริย์หมายถึงพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ แต่เมื่อป้ายผ้าดังกล่าวอยู่ใต้พระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ย่อมหมายถึงรัชกาลที่ 10 ไม่ได้หมายถึงพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่น
เมื่อทนายจำเลยถามค้านว่า พยานให้การกับพนักงานสอบสวนว่า งบประมาณก้อนหนึ่งมากกว่าก้อนหนึ่งไม่ได้หมายความว่ามีผลดีหรือไม่ดีอย่างไร ใช่หรือไม่ พยานรับว่า ใช่ และเมื่อพยานได้เห็นป้ายผ้าดังกล่าวแล้วก็ยังเคารพรักสถาบันกษัตริย์ไม่มีเสื่อมคลาย
(อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/62612) -
วันที่: 27-10-2023นัด: สืบพยานโจทก์-จำเลยก่อนสืบพยานในวันนี้อัยการแถลงขอเลื่อนสืบพยานอีกครั้งเนื่องจากไม่สามารถติดตามพยานอีก 2 ปากมาสืบได้ แต่ศาลไม่อนุญาตให้เลื่อน และสั่งตัดพยานโจทก์ โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพียงพยานความคิดเห็น ได้แก่ เชิดชาติ หิรัญโร อาจารย์ด้านภาษาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และกิตติพงศ์ กมลธรรมวงศ์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง ซึ่งปากหลังนี้ เป็นนักวิชาการที่มาเป็นพยานโจทก์ในคดีมาตรา 112 ในหลายสิบคดี
++พยานโจทก์ปากที่ 12 พนักงานสอบสวน
ร.ต.อ.ศรีเดช สุวรรณ์ พนักงานสอบสวน เกี่ยวกับคดีนี้พยานได้รับแต่งตั้งจากคณะกรรมการพิจารณาคดีความมั่นคงของตำรวจภูธรภาค 5 ให้เป็นหนึ่งในคณะพนักงานสอบสวนร่วมกับ พ.ต.ท.ภาสกร สุขะ และผู้กำกับการ สภ.เมืองเชียงราย
คณะกรรมการฯ มีคำสั่งให้ ร.ต.อ.ศุภากร ภัทรสุขเกษม มาร้องทุกข์กล่าวโทษ พยานได้สอบปากคำ ร.ต.อ.ศุภากร และ ด.ต.สินชัย ศรีมณเทียร เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนดังกล่าวได้ส่งมอบรายงานการสืบสวนให้กับพยาน
พยานและคณะพนักงานสอบสวน ได้สอบปากคำพยานผู้เชี่ยวชาญและประชาชนทั่วไปเพิ่มเติมรวม 11 ปาก หลังรวบรวมพยานหลักฐาน ได้ขอออกหมายจับต่อศาลจังหวัดเชียงรายในวันที่ 19 ก.พ. 2564 และได้รับอนุมัติหมายจับในวันที่ 20 ก.พ. 2564 จากนั้นนำหมายจับดังกล่าวไปจับกุมตัวสุปรียาในวันที่ 25 ก.พ. 2564
เมื่อจับกุมจำเลยแล้ว ก็นำตัวมาควบคุมไว้ที่ สภ.เมืองเชียงราย ก่อนดำเนินการสอบสวนโดยมีทนายความ และผู้ไว้วางใจเข้าร่วม จากนั้น พยานอ้างว่าทางตำรวจจึงกลับไปตรวจค้นห้องพักของจำเลยในเวลากลางคืน เนื่องจากจำเลยอนุญาตให้ตรวจค้น โดยพยานรับว่า ไม่เคยขอออกหมายค้นและหลังการจับกุมก็ไม่ได้ขอออกหมายค้น
พยานรับว่าระหว่างการควบคุมตัวสุปรียาที่ สภ.เมืองเชียงราย ก่อนไปค้นห้องพัก มีการสื่อสารกับจำเลยผ่านทางทนายว่าหากจำเลยไม่ยินยอมให้ค้นห้องพัก จะควบคุมตัวจำเลยไว้ก่อนเพื่อไปขอหมายค้นในภายหลัง
หลังจากค้นห้องพักได้ตรวจยึดเสื้อกันหนาวสีดำ รองเท้าผ้าใบ หน้ากากผ้าสีดำ และโทรศัพท์มือถือ แต่พยานไม่ทราบว่าสิ่งของที่ยึดมา จะเป็นชิ้นเดียวกันกับของคนร้ายหรือไม่ มีเพียงคำให้การของชุดสืบสวนเท่านั้นที่ยืนยันว่าเป็นเสื้อผ้าชุดเดียวกันกับที่ผู้ก่อเหตุ
พยานส่งโทรศัพท์มือถือไปตรวจสอบการสื่อสารจากเครือข่ายโทรศัพท์ พบว่าในวันเกิดเหตุมีการใช้สัญญาณในพื้นที่จังหวัดเชียงราย แต่ไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์ได้เนื่องจากจำเลยไม่ยินยอมให้เข้าถึงข้อมูล พยานทราบว่าสามารถขอคำสั่งศาลเพื่อเข้าถึงข้อมูลโทรศัพท์มือถือได้ แต่พยานไม่เคยดำเนินการ
หลังจากค้นห้องพักสุปรียา ทางตำรวจได้ดำเนินการสอบสวนอีกครั้งหนึ่ง สุปรียาได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และไม่ยินยอมลงลายมือชื่อในบันทึกการสอบสวนครั้งแรก และในบันทึกตรวจยึด
นอกจากนั้นพยานยังส่งป้ายผ้าไปตรวจร่องรอย DNA ที่หลงเหลือ แต่ไม่สามารถยืนยันตัวบุคคลได้ และตรวจสอบไปยังบริษัทเฟซบุ๊กและกระทรวงดิจิทัลฯ ว่าบุคคลใดเป็นเจ้าของเพจเฟซบุ๊กที่โพสต์ภาพป้าย แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าบุคคลใดเป็นเจ้าของ มีเพียงคำให้การจากชุดสืบสวนเท่านั้นที่ยืนยันว่าเพจดังกล่าวเป็นของสุปรียา อีกทั้ง พยานไม่สามารถยืนยันได้ว่ารถยนต์ที่สุปรียาใช้งานจะเป็นรถยนต์คันเดียวกันกับที่ใช้ก่อเหตุหรือไม่
นอกจากนั้นระหว่างการสืบพยาน อัยการได้นำภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิด ซึ่งเป็นภาพรถยนต์ที่ใช้ในการก่อเหตุมาแสดงต่อศาล แต่ก็ไม่สามารถระบุหมายเลขแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ได้
จากหลักฐานที่พยานรวบรวม ร.ต.อ.ศรีเดช ระบุว่า สุปรียาเคยเคลื่อนไหว #ยกเลิก112 ซึ่งหมายถึงการยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมาย ไม่ใช่การพูดถึงสถาบันกษัตริย์
นอกจากนั้นพยานยังได้สอบปากคำนักวิชาการด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง ที่อยู่ไกลออกไป ทั้งที่ได้สอบปากคำนักวิชาการด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยในจังหวัดเชียงรายไว้แล้ว 2 ปากในคดีนี้
พยานไม่ทราบว่าคดีจากการชุมนุมอื่นของสุปรียา ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องไปแล้ว
++พยานจำเลย
สุปรียา ใจแก้ว จำเลย อ้างตนเป็นพยาน เบิกความโดยสรุปว่า พยานทราบเรื่องคดีนี้เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2564 เวลาประมาณ 16.00 น. ขณะกำลังจะออกจากที่พักไปทางอาหาร สุปรียาถูกแสดงหมายจับที่บริเวณลานจอดรถที่พัก เมื่อถูกจับก็ยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับ
ขณะถูกจับมีเจ้าหน้าที่มาประมาณ 52 คน และถูกนำตัวไปยัง สภ.เมืองเชียงราย ระหว่างนั้นสุปรียาไม่ได้ให้การใด ๆ จนกว่าจะมีทนายความ ทั้งก่อนที่ทนายความจะมาถึง พยานถูกให้พิมพ์ลายนิ้วมือและถูกเก็บตัวอย่าง DNA จากกระพุ้งแก้ม หลังจากนั้นจึงได้พบทนายความ และผู้ไว้วางใจ ในเวลาประมาณ 18.00 น.
ระหว่างถูกควบคุมตัวที่ สภ.เมืองเชียงราย สุปรียารู้สึกกังวลหวาดกลัวและแสดงอาการอารมณ์เสีย ทนายความจึงแยกสุปรียาออกมานั่งห่างจากตำรวจ การสอบสวนดังกล่าวจึงเป็นการสื่อสารผ่านทางทนายความ
สุปรียาสื่อสารว่าจะไม่ให้การใด ๆ และปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสื่อสารผ่านทนายว่าต้องการจะไปค้นห้องพักของสุปรียา โดยอ้างว่ามีหมายค้น แต่เลยเวลาค้นไปแล้ว สุปรียาต้องลงลายมือชื่อยินยอมให้ไปค้นห้องพัก ไม่เช่นนั้นจะควบคุมตัวไว้ตั้งแต่วันพฤหัสบดี และจะไปออกหมายค้นในวันจันทร์ เนื่องจากติดวันหยุด สุปรียาจึงยินยอมลงลายมือชื่อในบันทึกให้ตรวจค้น
ขณะไปค้นเวลาประมาณ 21.00 น. มีเจ้าหน้าที่มากกว่า 10 นาย โดยมีทนายความ และผู้ไว้วางใจของพยาน เข้าร่วมด้วย ก่อนค้นเจ้าหน้าที่ไม่ได้แจ้งว่าจะค้นเพื่อพบอะไร เจ้าหน้าที่ได้แยกกันไปค้นโดยที่สุปรียาไม่ได้ไปด้วยทุกจุด ก่อนมีการตรวจยึดของกลางอ้างว่าเพื่อนำไปตรวจสอบ เธอไม่ยินยอมลงลายมือชื่อในบัญชีตรวจยึดของกลาง
หลังจากจากค้นห้องพัก สุปรียาถูกนำตัวมายัง สภ.เมืองเชียงราย พนักงานสอบสวนขอยึดโทรศัพท์มือถือที่ใช้อยู่ เมื่อสุปรียาปฏิเสธ พนักงานสอบสวนก็ข่มขู่ว่าจะควบคุมตัวไว้จนถึงวันจันทร์ เพื่อขอหมายศาล สุปรียาจึงยินยอมให้ตรวจยึด แต่ไม่ยินยอมให้เข้าถึงข้อมูลในในโทรศัพท์
หลังจากยอมให้ค้นห้องและตรวจยึดสิ่งของ พนักงานสอบสวนจึงยอมให้ประกันตัวระหว่างสอบสวน สุปรียาจึงได้รับการปล่อยตัวในคืนนั้น
ระหว่างถูกแสดงหมายจับ สุปรียาได้อัปเดตสถานการณ์ผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังมีเพื่อนฝูงโทรศัพท์เข้ามาสอบถามเป็นระยะด้วย
เกี่ยวกับเพจเฟซบุ๊ก “Free Youth CEI” สุปรียาเบิกความว่า ไม่ได้เป็นเจ้าของเพจ แต่รู้จักกับผู้ดูแลเพจ เนื่องจากพบกันตามสถานที่ชุมนุม นอกจากนั้นในคดีจากการชุมนุมคดีอื่น สุปรียาถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ดูแลเพจดังกล่าว ศาลได้มีคำพิพากษาความว่า “พิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นผู้ดูแจเพจเฟซบุ๊กดังกล่าว” การที่สุปรียาถูกสันนิษฐานเช่นนั้นเนื่องจากอยู่ในที่ชุมนุมและร่วมกิจกรรม จึงถูกดำเนินคดีในข้อหาเป็นผู้จัดการชุมนุม แต่สุดท้ายศาลก็พิพากษายกฟ้อง
ภาพถ่ายป้ายผ้าที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้ก็มาจากการโพสต์เพจเฟซบุ๊กหลายเพจ และมีการแชร์ภาพดังกล่าวกันอย่างกว้างขวางในเวลานั้น
เมื่อสุปรียาได้อ่านข้อความในภาพแล้ว รู้สึกเฉย ๆ เนื่องจากช่วงเวลานั้นมีการวิพากษ์วิจารณ์การจัดการวิกฤตโรคระบาดโควิดของรัฐบบาล และการจัดสรรงบประมาณอย่างไม่เป็นธรรมในลักษณะนี้เป็นจำนวนมาก
นอกจากนั้นยังมีการดำเนินจากการแขวนป้ายผ้าวิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะเดียวกันนี้ที่จังหวัดลำปาง โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องไปแล้ว
หลังถูกดำเนินคดีคดีนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้ไปคุกคามยายของเธอในจังหวัดเชียงรายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยายได้รับผลกระทบทางสุขภาพ ป่วยจนถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล ตัวพยานเองต้องย้ายไปอยู่กับแม่ที่กรุงเทพฯ และได้รับผลกระทบเช่นกัน
เมื่อย้ายที่อยู่ก็ต้องยุติการเรียนที่มหาวิทยาลัย จึงไปสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง และไปสมัครงานที่พรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน
ในการถามค้านของอัยการ สุปรียาให้การรับถึงบัญชีเฟซบุ๊กส่วนตัวที่เธอใช้ มาตั้งแต่ปี 2553 แต่เพิ่งนำมาผูกบัญชีกับโทรศัพท์มือถือ และเธอได้ใช้บัญชีดังกล่าวไลฟ์สดเหตุการณ์ระหว่างถูกจับกุมเป็นระยะด้วย
การสืบพยานจำเลยดำเนินถึงเวลาประมาณ 19.30 น. จึงเสร็จสิ้น จากนั้นศาลนัดฟังคำพิพากษา ในวันที่ 28 ธ.ค. 2566 โดยต้องส่งร่างคำพิพากษาให้อธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 ตรวจก่อน
(อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/62612) -
วันที่: 28-12-2023นัด: ฟังคำพิพากษาเวลา 09.00 น. ก่อนอ่านคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ของศาลให้ย้ายห้องพิจารณา จากเดิมนัดที่ห้องพิจารณาคดีที่ 8 ซึ่งอยู่ชั้นบนของศาล ลงมาที่ห้องพิจารณาที่ 13 ที่อยู่ด้านล่างติดกับห้องขังบริเวณใต้ถุนศาล ซึ่งปกติจะใช้ในกรณีฝากขัง ระหว่างนั่งรอเพื่อฟังคำพิพากษาเจ้าหน้าที่ตำรวจศาลแจ้งให้ผู้มาฟังคำพิพากษาในคดีอื่น ๆ ออกไปจากห้องก่อน เนื่องจากศาลกำลังจะอ่านคำพิพากษาคดีนี้
ผู้พิพากษาองค์คณะออกนั่งพิจารณาเวลา 10.00 น. และเริ่มอ่านคำพิพากษาโดยสรุปได้ความว่า โจทก์นำสืบข้อเท็จจริงได้ว่า วันที่ 4 ม.ค. 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุมีผู้นำป้ายผ้า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” ไปวางทับป้ายคำว่า “ทรงพระเจริญ” บริเวณด้านหน้าอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งราย จึงทำการยึดไว้เป็นของกลาง
จากการตรวจสอบภาพเคลื่อนไหวกล้องวงจรปิดพบว่ามีชาย 2 คน หญิง 1 คน นั่งรถยนต์มาจอดและเดินไปทางจุดเกิดเหตุ โดยมีหญิงใส่แจ็คเก็ต กางเกง และรองเท้าผ้าใบสีดำ หน้ากากอนามัยสีดำ
ต่อมาวันที่ 6 ม.ค. 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบเฟซบุ๊กเพจ “Free Youth CEI – เชียงรายปลดแอก” ได้โพสต์รูปภาพแผ่นป้ายผ้าข้อความดังกล่าว ที่แขวนไว้บริเวณป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ และพิมพ์ข้อความประกอบภาพแคปชั่นว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชนเชียงราย ส่งเข้าประกวดค่ะ” โดยเฟซบุ๊กดังกล่าวเป็นเพจเกี่ยวกับการเมือง คดีมาตรา 112 และการชุมนุมทางการเมือง
ต่อมาวันที่ 25 ก.พ. 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมจำเลยได้บริเวณหอพักของจำเลยและได้ตรวจค้นหอพัก พบเสื้อแจ็คเก็ต รองเท้าสีดำ และรถยนต์ ซึ่งตรงกับรูปพรรณสันฐานตามภาพเคลื่อนไหวกล้องวงจรปิด จึงทำการตรวจยึดไว้ และพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ ส่วนจำเลยให้การปฏิเสธว่าในวันเกิดเหตุจำเลยอยู่หอพักเพียงผู้เดียว และไม่ใช่ผู้ดูแลเพจเฟซบุ๊กดังกล่าว แต่รู้จักกับผู้ดูแลเพจในงานชุมนุมทางการเมือง และการวิพากษ์วิจารณ์งบประมาณสามารถทำได้
ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นที่ยุติว่า มีบุคคลจำนวน 3 คน นำป้ายผ้าข้อความ “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” ไปติดตั้งไว้บริเวณป้าย “ทรงพระเจริญ” ซึ่งมีพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 อยู่บริเวณด้านบน
ต่อมาในวันเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก “Free Youth CEI – เชียงรายปลดแอก” ได้โพสต์ภาพป้ายผ้าดังกล่าว และจากนั้นเมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2564 เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้และทำการตรวจยึดเสื้อแจ็คเก็ตสีดำ กางเกงและรองเท้าสีดำ พร้อมอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือของจำเลยไว้
คดีมีปัญหาต้อองวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือไม่ เห็นว่า การจะวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหรือไม่นั้น ศาลจะต้องวินิจฉัยให้ได้ความเสียก่อนว่ามีความผิดเกิดขึ้น อันเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย หรือไม่
เห็นว่า ข้อความคำว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” คำว่า “งบ” หมายถึง วงเงิน และ คำว่า “งบประมาณ” หมายถึง งบที่ต้องกันไว้สำหรับการบริหารจัดการ ส่วนคำว่า “สถาบัน” เป็นคำกลาง ๆ ไม่ชัดเจน ซึ่งจะต้องมีคำให้ครบถ้วนจึงจะเข้าใจได้ว่าหมายถึงสถาบันใด ดังนั้น “งบสถาบันฯ” คือสถาบันใด สถาบันหนึ่ง ซึ่งไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่าหมายถึงสถาบันใด
แต่การนำป้ายผ้าดังกล่าวไปติดไว้บริเวณพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 จึงถือได้ว่าหมายความถึงงบสถาบันพระมหากษัตริย์ และ “งบเยียวยาประชาชน” หมายถึงงบประมาณที่ใช้บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในช่วงแพร่ระบาดโรคไวรัสโคโรนา-2019 ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้จัดสรรงบประมาณดังกล่าวเพื่อเยียวยาประชาชน เมื่อนำไปติดบริเวณที่เกิดเหตุจึงหมายถึง “งบสถาบันพระมหากษัตริย์>งบจัดการสถานการณ์ไวรัสโคโรนา”
แต่จะเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายหรือไม่นั้น ศาลจะต้องพิจารณาจากภาวะวิสัยตามวิญญูชน โดยการหมิ่นประมาทนั้น คือการใส่ความหรือยืนยันข้อเท็จจริง ซึ่งจะต้องสามารถระบุตัวบุคคลหรือระบุได้ว่าหมายถึงบุคคลใด
เห็นว่า ใจความของข้อความคำว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” เป็นการวิพากษ์วิจารณ์งบประมาณแผ่นดิน ไม่ปรากฏว่ามีลักษณะหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย และการจัดการงบประมาณแผ่นดินนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ไม่ใช่พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ข้อความดังกล่าวจึงไม่เป็นการใส่ความหรือให้ร้ายพระมหากษัตริย์
แม้จะมีพยานโจทก์ปากเจ้าหน้าที่ตำรวจและทนายความจะเบิกความว่า ข้อความดังกล่าวหมิ่นเหม่ต่อการฝ่าฝืนกฎหมาย ทำให้เข้าใจได้ว่าพระมหากษัตริย์ใช้เงินฟุ่มเฟือยมากกว่างบประมาณที่ใช้สำหรับดูแลประชาชน หรือข้อความตามป้ายดังกล่าวไม่เหมาะสม เพราะอาจทำให้เข้าใจได้ว่าพระมหากษัตริย์ใช้งบประมาณมากกว่างบเยียวยาประชาชน รวมทั้งเห็นว่าข้อความดังกล่าวอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด
แต่ก็มีพยานโจทก์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์บางส่วนให้ความเห็นว่า ข้อความดังกล่าวไม่เป็นความผิด โดยงบสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ได้หมายถึงพระมหากษัตริย์ ซึ่งการตีความกฎหมายอาญาจะต้องตีความอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้พยานโจทก์ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาไทยยังเบิกความให้ความเห็นว่า การตีความถ้อยคำขึ้นอยู่กับพื้นฐานความรู้ของแต่ละบุคคล หากไม่ได้ติดตามการเมืองจึงไม่เข้าใจว่าข้อความดังกล่าวหมายถึงอะไร
จึงเห็นได้ว่า พยานโจทก์แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่เห็นว่าเป็นความผิดกับไม่เป็นความผิด ซึ่งการตีความจะต้องพิจารณาจากภาวะวิสัย ไม่ใช่พิจารณาลงโทษจำเลยตามอัตวิสัยตามความคิดเห็นส่วนตัวของแต่ละบุคคล จึงยังไม่เพียงพอฟังได้ว่าเป็นความผิดตามมาตรา 112
ส่วนการโพสต์รูปภาพและข้อความลงในเพจเฟซบุ๊ก โดยลักษณะความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (2) จะต้องเป็นการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ดังนั้น องค์ประกอบภายนอกที่โจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ว่าข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จอย่างไร แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานว่าเป็นข้อความอันเป็นเท็จ การกระทำดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (2)
เมื่อพยานที่โจทก์นำเข้าสืบไม่เพียงพอฟังได้ว่าเป็นความผิด โดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรค 1 ให้ศาลวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง ไม่พิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำความผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดหรือไม่ จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย พิพากษายกฟ้อง
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้มีคดีลักษณะเดียวกัน คือกรณีแขวนป้ายผ้าที่มีข้อความ “งบสถาบันกษัตริย์>วัคซีนCOVID19” ที่ศาลจังหวัดลำปางเคยมีคำพิพากษายกฟ้องคดีในลักษณะนี้เช่นกัน แต่คดีนี้ยังอยู่ระหว่างอัยการโจทก์อุทธรณ์คำพิพากษา
(อ้างอิง: คำพิพากษา ศาลจังหวัดเชียงราย คดีหมายเลขดำที่ อ.682/2565 คดีหมายเลขแดงที่ อ.1045/2566 ลงวันที่ 28 ธ.ค. 2566 และ https://tlhr2014.com/archives/62668)
สถานะ การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว หรือ ผลการพิพากษา
ชั้นสอบสวน
ผู้ถูกดำเนินคดี :
สุปรียา ใจแก้ว
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
-
ศาลชั้นต้น
ผู้ถูกดำเนินคดี :
สุปรียา ใจแก้ว
ชื่อองค์คณะผู้พิพากษา :
- ณัฐพล พัฒนสิทธิ์
- ชิตาพันธุ์ ปุรณะพรรค์
ผลการพิพากษา
ยกฟ้อง
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ :
28-10-2023
แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์