ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
  • พ.ร.บ.ธงฯ
ดำ อ.80/2565
แดง อ.1294/2566

ผู้กล่าวหา
  • ศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย (ประชาชน)
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
  • พ.ร.บ.ธงฯ
ดำ อ.80/2565
แดง อ.1294/2566

ผู้กล่าวหา
  • ศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย (ประชาชน)
ผู้ถูกดำเนินคดี

ข้อหา

  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
  • พ.ร.บ.ธงฯ

หมายเลขคดี

ดำ อ.80/2565
แดง อ.1294/2566
ผู้กล่าวหา
  • ศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย

ข้อหา

  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
  • พ.ร.บ.ธงฯ

หมายเลขคดี

ดำ อ.80/2565
แดง อ.1294/2566
ผู้กล่าวหา
  • ศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย

ความสำคัญของคดี

วิธญา คลังนิล และยศสุนทร รัตตประดิษฐ์ 2 นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสมาชิกกลุ่มศิลปิน "artn’t" ถูกดำเนินคดี "หมิ่นประมาทกษัตริย์" ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ธงฯ มาตรา 51 จากกรณีการแสดงงานศิลปะระหว่างการชุมนุม "ยุทธการไล่ประยุทธ์" เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2564 บริเวณสนามรักบี้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยถูกกล่าวหาว่า แสดงแผ่นพลาสติกคล้ายธงชาติไทย แต่ไม่มีแถบสีน้ำเงิน ซึ่งสื่อว่าทั้งสองไม่ประสงค์ให้มีสถาบันกษัตริย์ในประเทศไทย และข้อความที่มีผู้ชุมนุมเขียนบนงานศิลปะดังกล่าวเข้าข่ายหมิ่นประมาทกษัตริย์

คดีนี้มีศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ เป็นอีกกรณีที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่มีอัตราโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี แต่กลับเปิดโอกาสให้บุคคลใดก็ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษแม้ไม่ได้เป็นผู้เสียหาย ทำให้ข้อกล่าวหาดังกล่าวถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งบุคคลอื่นที่มีความเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน

พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี

เจริญ จองแก พนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ บรรยายฟ้องโดยสรุปว่า

ขณะเกิดเหตุประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 2 บัญญัติว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” และมาตรา 3 บัญญัติว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อํานาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ” และมาตรา 6 บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้”

เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2564 จําเลยทั้งสองได้ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ด้วยการนําแผ่นพลาสติกใส ขนาด 1.40 X 3.75 เมตร จํานวน 1 ผืน ด้านกว้างแบ่งเป็น 5 แถบ ตลอดความยาวของแผ่นพลาสติกใสดังกล่าว 1 แถบตรงกลาง ไม่มีการระบายสีต่อจากแถบตรงกลางออกไปทั้งสองข้างระบายด้วยสีขาว ต่อจากแถบสีขาวออกไปทั้งสองข้างระบายเป็นแถบสีแดง มีรูปลักษณ์และสัดส่วนคล้ายธงชาติไทย แต่ไม่มีแถบสีน้ำเงินดังกล่าว ซึ่งสีน้ำเงินในแถบตรงกลางของธงชาติไทยเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นการสื่อให้เห็นว่าผู้จัดทําหรือใช้วัตถุคล้ายธงดังกล่าวไม่ประสงค์ที่จะให้มีสถาบันกษัตริย์ในประเทศไทย คงให้มีแต่สีขาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของศาสนา และสีแดงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชาติเท่านั้น

ในวัตถุคล้ายธงชาติไทยดังกล่าว มีข้อความว่า “FUCK 112 IF YOU USE 112 FUCK YOU TOO, พอแล้วไอ้ษัตร์, สุนัขทรงเลี้ยงออกไป, พอทีภาษีกูเลี้ยงหอย” ซึ่งข้อความดังกล่าวมีความหมายตรงตัวอักษร เป็นคําด่าและเปรียบเทียบ กล่าวคือ คําว่า “ษัตร์” จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2542 ไม่ปรากฏคําดังกล่าว จึงไม่สามารถแปลความหมายได้ ซึ่งหากจะเขียนคําพ้องเสียง อาจเขียนได้หลายแบบ แต่ผู้เขียนได้จงใจเขียนคําว่า “ษัตร์” ที่เป็นคําย่อให้สั้นของคําว่า “กษัตริย์” และได้ใช้คําว่า “ไอ้” นําหน้า ซึ่งเป็นคําไม่สุภาพเป็นคําด่า มานําหน้าคําว่า “ษัตร์” สื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ว่าคือ ไอ้กษัตริย์

ส่วนข้อความว่า “Fuck 112” เมื่อดูคําแปลจากพจนานุกรม คําว่า Fuck หมายความว่า การมีเพศสัมพันธ์ และเลข 112 หมายความถึง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่บัญญัติว่า ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ฯ ส่วนคําว่า “สุนัขทรงเลี้ยงออกไป” ก็เป็นถ้อยคําราชาศัพท์ที่ใช้กับพระมหากษัตริย์

จากหลายถ้อยคําที่ปรากฏ ฟังได้ว่า คําว่า ไอ้ษัตร์ ดังกล่าว ย่อมตีหมายความไปถึงคําว่าไอ้กษัตริย์ ส่วนคําว่า “สุนัขทรงเลี้ยง” เมื่อประชาชนทั่วไปได้เห็น พบเห็นข้อความดังกล่าวทําให้เข้าใจได้ว่าพระมหากษัตริย์เป็นผู้สนับสนุนผู้นํารัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่น ทําให้พระมหากษัตริย์ได้รับการเสื่อมเสีย และจําเลยทั้งสองได้ถือวัตถุคล้ายธงดังกล่าวคนละด้าน แล้วร่วมกันชูแสดงแก่ประชาชน และทําให้ประชาชนที่พบเห็นเข้าใจทันทีว่าข้อความที่แสดงบนแผ่นวัตถุคล้ายธงชาติไทย และรูปลักษณะของวัตถุคล้ายธงชาติไทยดังกล่าวสื่อถึงพระมหากษัตริย์ในรัชกาลปัจจุบัน

โดยประการที่น่าจะทําให้พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ เสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง อันเป็นการจาบจ้วง ล่วงเกิน ดูหมิ่น ใส่ความ หมิ่นประมาท และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ เป็นการทําลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นศูนย์รวมของศรัทธาและเคารพบูชาของประชาชนชาวไทย ทําให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพต่อพระมหากษัตริย์ซึ่งอยู่ในฐานะที่ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้ เป็นการทําด้วยวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทําภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต ซึ่งเป็นการกระทําความผิดเกี่ยวกับความมั่งคงแห่งราชอาณาจักร และเป็นการร่วมกันใช้ ชัก หรือแสดงธงที่คล้ายคลึงกับธง โดยไม่มีสิทธิ ตามพระราชบัญญัติธง พ.ศ.2522

(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดเชียงใหม่ คดีหมายเลขดำที่ อ.80/2565 ลงวันที่ 18 ม.ค. 2565)

ความคืบหน้าของคดี

  • เวลา 09.00 น. ที่ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ วิธญา คลังนิล นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ และยศสุนทร รัตตประดิษฐ์ นักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ธงฯ จากกรณีการแสดงงานศิลปะ

    ก่อนหน้านี้ ทั้งสองคนได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ ว่าได้ส่งหมายเรียกผู้ต้องหาไปยังภูมิลำเนาของทั้งสองคน กำหนดให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 3 พ.ค. 2564 โดยนักศึกษาทั้ง 2 ราย ต่างยังไม่ได้รับหมายเรียกตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งไว้แต่อย่างใด จึงขอเลื่อนการนัดหมายออกมา

    เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการตั้งรั้วเหล็กกั้นทางเข้าอาคารสถานีตำรวจ และมีการวางกำลังตำรวจในเครื่องแบบราว 15 นาย และนอกเครื่องแบบอีกไม่ต่ำกว่า 20 นาย อยู่โดยรอบ ขณะที่มีนักศึกษา อาจารย์ และประชาชนราว 40 คน เดินทางมาให้กำลังใจ

    เจ้าหน้าที่ตำรวจยังมีการประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงให้ทราบ โดยอ้างถึงคำสั่งของจังหวัดเชียงใหม่ เรื่องการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงห้ามการรวมตัวทำกิจกรรมเกินกว่า 10 คน ด้วย

    ก่อนเข้ารับทราบข้อกล่าวหา วิธญาได้แสดง Performance Art โดยบางขณะได้มีการกรีดหน้าอกตัวเองเป็นเลข “112” ทำให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามเข้ามาห้าม และดึงตัวไม่ให้แสดงต่อ ส่วนยศสุนทรได้ใส่เสื้อที่ใช้สีเขียนเป็นข้อความ “ในนามของศิลปะ” มารับทราบข้อกล่าวหา ก่อนที่ต่อมานักศึกษาทั้งสองคน พร้อมทนายความจะเข้าไปยังสถานีตำรวจ

    พ.ต.ท.เอนก ไชยวงค์ รองผู้กำกับ (สอบสวน) สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ ได้เป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหาต่อทั้งสองคน ใน 2 ข้อกล่าวหา ได้แก่ ข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ “ใช้ ชัก หรือแสดงธงที่คล้ายคลึงกับธง ตาม พ.ร.บ.ธง พ.ศ. 2522"

    พฤติการณ์ข้อกล่าวหาระบุว่า เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2564 เวลาประมาณ 17.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ ได้ออกสืบสวนหาข่าวความเคลื่อนไหว กรณีมีการชุมนุมแสดงออกทางการเมืองของมวลชนในพื้นที่ บริเวณสนามรักบี้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีมวลชนเข้าร่วมประมาณ 70 คน โดยมีวิธญา คลังนิล และยศสุนทร รัตตประดิษฐ์ ทำการกางแผ่นพลาสติกใส ระบายสีประกอบด้วยแถบสีขาวและสีแดง ลักษณะคล้ายธงชาติไทย แต่ไม่มีสีน้ำเงิน ลงบนพื้นสนามในพื้นที่จัดกิจกรรม เบื้องต้นยังไม่มีข้อความใดบนแผ่นพลาสติกดังกล่าว

    ต่อมาพิธีกรได้กล่าวเชิญชวนมวลชนผู้ร่วมกิจกรรม เข้ามาเขียนความคิดเห็นลงในแผ่นพลาสติกดังกล่าว จากนั้นทั้งสองคนได้นำแผ่นพลาสติกขึ้นมาถือแสดง ปรากฏภาพตามสื่อต่างๆ ก่อนเก็บแผ่นพลาสติกดังกล่าว และดำเนินกิจกรรมอื่นต่อ

    ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนฯ ได้สืบสวนหาตัวผู้กระทำผิด และตรวจสอบภาพวัตถุคล้ายธงชาติไทยจากสื่อต่างๆ ประกอบกับภาพจากการลงพื้นที่ในวันเกิดเหตุ ผู้เข้าร่วมชุมนุมได้เขียนถ้อยคำหรือข้อความในลักษณะดูหมิ่น เหยียดหยาม หรือลบหลู่ ถอดข้อความแล้วปรากฏว่ามีข้อความที่เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และตาม พ.ร.บ.ธงฯ ในธงดังกล่าวด้วย อาทิเช่น “FUCK 112 IF YOU USE 112 FUCK YOU TOO” “สุนัขทรงเลี้ยงออกไป” “พอทีภาษีกูเลี้ยงหอย”

    ข้อความที่ปรากฏสื่อถึงองค์พระมหากษัตริย์ ล้วนแต่เป็นถ้อยคำดูหมิ่นแทบทั้งสิ้น ประกอบกับวัตถุคล้ายธงชาติไทย แต่ไม่มีแถบสีน้ำเงินดังกล่าว ซึ่งสีน้ำเงินเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นการสื่อให้เห็นว่าผู้จัดทำวัตถุคล้ายธงดังกล่าว ไม่ประสงค์ที่จะให้มีสถาบันกษัตริย์ในประเทศ คงให้มีแต่สีขาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของศาสนา และสีแดง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชาติเท่านั้น

    จากคำให้การของนายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้กล่าวหาที่ 2 ให้การว่า ประมาณวันที่ 24 มี.ค. 2564 ขณะอยู่ที่สำนักงานสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เปิดโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน เข้าไปในแอพพลิเคชั่นเฟซบุ๊ก พบว่ามีการเสนอข่าวผ่านทางสื่อมวลชนอย่างแพร่หลายมีข้อความว่า “เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 มี.ค. 64 เมื่อกลุ่มคณบดีและรองคณบดี คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมกับเจ้าหน้าที่จากหอศิลป์ ได้เข้ามายึดผลงานศิลปะของนักศึกษา และบอกว่ามีการใช้พื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต จากนั้นก็เอาผลงานของนักศึกษาใส่ถุงดำ และเอาขึ้นรถกระบะ นักศึกษาจึงพากันประท้วง และพยายามเอาของคืน” ซึ่งปรากฏพบวัตถุคล้ายธงผืนดังกล่าวนี้ในข่าว และในส่วนการจัดแสดงนิทรรศการดังกล่าวด้วย ซึ่งเป็นวัตถุคล้ายธงเดียวกันกับในเหตุชุมนุมเมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2564

    หลังรับทราบข้อกล่าวหาและพฤติการณ์ดังกล่าว นักศึกษาทั้งสองคนได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และจะให้การเป็นหนังสือเพิ่มเติมต่อไป

    ทนายความได้ชี้แจงว่านักศึกษาทั้งสองไม่มีพฤติการณ์หลบหนีและไม่สามารถไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานได้ จึงอยากให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพิจารณาปล่อยตัวนักศึกษาทั้งสองในชั้นสอบสวนเลย

    จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ให้ทั้งสองคนพิมพ์ลายนิ้วมือ และลงบันทึกประจำวันไว้ โดยไม่มีการนำตัวไปขอฝากขังที่ศาล ตามที่พนักงานสอบสวนแจ้งกับทนายความและผู้ต้องหาไว้ในตอนแรก และได้นัดให้มารายงานตัวอีกครั้งในวันที่ 31 พ.ค. 2564

    ทั้งนี้กรณีงานศิลปะลักษณะคล้ายธงชิ้นนี้ ปรากฏเป็นข่าวข้อพิพาท เมื่อวันที่ 22 มี.ค. 2564 หลังผู้บริหารของคณะวิจิตรศิลป์เข้ามาเก็บงานแสดงศิลปะของนักศึกษาใส่ถุงดำ ขณะเดียวกันในคืนก่อนหน้านั้น ก็ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบงานศิลปะถึงในพื้นที่หอศิลปวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วย ก่อนที่เมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2564 ศรีสุวรรณ จรรยา จะได้เดินทางไปที่ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแสดงงานศิลปะดังกล่าว

    (อ้างอิง: บันทึกแจ้งข้อกล่าวหา สภ.ภูพิงค์ราชนิเวศน์ ลงวันที่ 11 พ.ค. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/29512)
  • หลังวิธญาเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในคดี 112 จากการแสดง Performance art หรือ ศิลปะการแสดงสด ที่หน้าป้ายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2564 แล้ว พ.ต.ท.เอนก ไชยวงค์ รองผู้กำกับ (สอบสวน) สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ แจ้งว่าคดี 112 จากการแสดงงานศิลปะคล้ายธงชาติของวิธญาและยศสุนทร ทำการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว จึงขอส่งตัวทั้งสองพร้อมสำนวนคดีไปให้พนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ในวันนี้

    จากนั้นตำรวจได้นำตัวทั้งสองขึ้นรถตู้ของตำรวจไปส่งที่สำนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ หลังเจ้าหน้าที่ของสำนักงานอัยการได้รับสำนวนคดีไว้แล้ว ได้นัดหมายเพื่อคำสั่งทางคดีต่อไปในวันที่ 19 ต.ค. 2564 เวลา 10.00 น.

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/36072)
  • อัยการยังไม่มีคำสั่ง เลื่อนไปฟังคำสั่งในวันที่ 22 พ.ย. 2564
  • อัยการยังไม่มีคำสั่ง เลื่อนไปฟังคำสั่งในวันที่ 20 ธ.ค. 2564
  • อัยการยังไม่มีคำสั่ง เลื่อนไปฟังคำสั่งในวันที่ 18 ม.ค. 2565
  • ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องศิวัญชลี วิธญเสรีวัฒน์ หรือ วิธญา คลังนิล (ชื่อเดิม) และยศสุนทร รัตตประดิษฐ์ ในข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ธงฯ มาตรา 51 โดยไม่ได้คัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้งสองระหว่างการพิจารณาคดีระบุว่า ให้อยู่ในดุลยพินิจของศาล และขอให้ศาลริบของกลาง ซึ่งเป็นแผ่นพลาสติกคล้ายธงชาติดังกล่าว

    เวลาประมาณ 10.00 น. ศิวัญชลีและยศสุนทร พร้อมด้วยอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่เตรียมมาเป็นนายประกันให้นักศึกษาทั้งสองราย และอาจารย์ที่เดินทางมาสังเกตการณ์ในคดี ได้เดินทางเข้ารายงานตัวตามนัดหมายของพนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ ก่อนจะถูกส่งตัวพร้อมสำนวนคดีไปฟ้องที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ในเวลาประมาณ 11.00 น.

    จำเลยทั้งสองได้ถูกนำตัวไปควบคุมไว้ในห้องขังใต้ศาลจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อรอกระบวนการประกันตัว ระหว่างนั้นเองอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่สองคนได้ยื่นขอประกันตัวนักศึกษาทั้งสอง โดยใช้ตำแหน่งอาจารย์

    จนกระทั่งเวลาประมาณ 16.00 น. ศาลจังหวัดเชียงใหม่มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวนักศึกษาทั้งสองคน โดยใช้ตำแหน่งอาจารย์เป็นประกันตลอดการพิจารณาคดี ก่อนจะปล่อยตัวทั้งสองออกจากห้องควบคุมตัว หลังถูกควบคุมตัวไว้เป็นเวลากว่า 5 ชั่วโมง

    ศาลกำหนดวันนัดพร้อมสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 30 พ.ค. 2565 เวลา 09.00 น.

    (อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดเชียงใหม่ คดีหมายเลขดำที่ อ.80/2565 ลงวันที่ 18 ม.ค. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/39706)
  • นัดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยในวันที่ 8-10 ก.พ. และ 2 พ.ค. 2566
  • ก่อนเริ่มการสืบพยานศาลได้อธิบายคำฟ้องให้ศิวัญชลีและยศสุนทรฟังอีกครั้ง และสอบถามว่าจะให้การรับสารภาพหรือจะต่อสู้คดี ทั้งสองยืนยันให้การต่อสู้ว่าสิ่งที่ตนทำนั้นไม่เป็นความผิด ฝ่ายโจทก์จึงได้นำพยานบุคคลเข้าสืบทั้งหมด 7 ปาก และจำเลยนำพยานบุคคลเข้าสืบจำนวน 6 ปาก

    จำเลยทั้งสองต่อสู้คดีโดยยอมรับว่า ได้นำแผ่นพลาสติกดังกล่าวไปจัดแสดงเป็นงานศิลปะที่สนามรักบี้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขณะมีเวทีชุมนุมขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยเป็นการแสดงในลักษณะเปิดให้ประชาชนที่พบเห็นมีส่วนร่วม ในลักษณะศิลปะที่สร้างการมีส่วนร่วม สามารถใช้ปากกาเขียนข้อความอะไรก็ได้ลงบนแผ่นพลาสติก ซึ่งจำเลยทั้งสองไม่ใช่ผู้เขียนข้อความตามฟ้อง ไม่ได้ตั้งใจชูแสดงข้อความ ไม่ได้อ่านข้อความที่มีผู้เขียนไว้โดยละเอียด และข้อความทั้งหมดก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 112 อีกทั้งการตีความงาน “แถบสีนามธรรม” ดังกล่าว ยังขึ้นอยู่กับความคิดและการให้ความหมายของผู้ชมงานศิลปะที่แตกต่างกันไป

    ++ศรีสุวรรณ จรรยา: อ้างพบเห็นรูปภาพวัสดุคล้ายธงชาติในเฟซบุ๊ก มีข้อความหมิ่นเหม่ จึงรวบรวมหลักฐานแจ้งความแกนนำพรรควิฬาร์ กับทราย เจริญปุระ

    ศรีสุวรรณ จรรยา ในฐานะหนึ่งในผู้กล่าวหาในคดีนี้ เบิกความว่า เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2564 ได้ดูเฟซบุ๊ก ทราบว่าจะมีการจัดการชุมนุมต่อต้านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่สนามรักบี้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ขึ้นในวันที่ 14 มี.ค. 2564 เวลาประมาณ 17.20 น.

    ต่อมา เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2564 เวลา 18.00 น. ศรีสุวรรณได้ดูสื่อโซเชียลมีเดีย เห็นว่ามีภาพกิจกรรมการชุมนุมและเห็นป้ายลักษณะคล้ายธงชาติ ซึ่งไม่มีสีน้ำเงิน แต่เป็นแถบสีใส หากเปรียบเทียบสีขาวและสีแดงด้านบนและด้านล่าง มีความกว้างส่วนตรงกลางกว้างกว่าแถบสีอื่นๆ

    พยานได้ขยายดูรูปหลายครั้ง พบว่าบนป้ายดังกล่าวมีตัวอักษรทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษคำว่า “Fuck112” ซึ่งเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ประชาชนทั่วไปย่อมทราบดีว่าหมายถึงประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นตัวบทกฎหมายปกป้องสถาบันฯ

    พยานจึงรู้สึกไม่สบายใจในหลาย ๆ ข้อความที่เห็นหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดมาตรา 112 จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานไปแจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ โดยร้องทุกข์กล่าวโทษต่อแกนนำกลุ่มพรรควิฬาร์ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นผู้จัดทำ และ ‘ทราย’ อินทิรา เจริญปุระ นักแสดงซึ่งมีภาพว่าไปร่วมการชุมนุมดังกล่าว แต่ไม่ได้แจ้งความดำเนินคดีต่อจำเลย 2 คนนี้ และไม่รู้จักจำเลยทั้งสองมาก่อน

    ต่อมาศรีสุวรรณตอบทนายจำเลยถามค้านรับว่า ตนไม่ทราบว่าเฟซบุ๊กที่ตนเห็นภาพกิจกรรมที่สนามรักบี้เป็นของใคร ไม่ทราบว่าผู้ใดเผยแพร่ภาพและผู้ใดทำวัตถุคล้ายธงชาติดังกล่าว ในรูปภาพที่ศรีสุวรรณนำมาแจ้งความมีภาพวัสดุคล้ายธงชาติวางอยู่บนพื้นปูนและไม่ทราบว่าจะเป็นภาพกิจกรรมในวันเกิดเหตุหรือไม่ ทั้งนี้ สีขาวและสีแดงก็ประกอบอยู่ในธงชาติของประเทศอื่นทั่วไป

    ศรีสุวรรณตอบพนักงานอัยการถามติงระบุว่า วัสดุคล้ายธงดังกล่าวไม่ว่าจะวางที่ไหน เวลาใดก็ไม่ใช่สาระสำคัญ

    ++ตำรวจผู้กล่าวหา: ได้วัสดุคล้ายธงมาจากคณบดีคณะวิจิตรศิลป์ จึงทราบว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดทำ เนื่องจากมาแจ้งความว่าถูกลักทรัพย์

    พ.ต.ท.อานนท์ เชิดชูตระกูลทอง รองผู้กำกับสืบสวน สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ เบิกความว่า ในวันเกิดเหตุวันที่ 14 มี.ค. 2564 เวลา 12.00 น. พ.ต.ท.อานนท์ ได้รับแจ้งว่ามีการนัดชุมนุมขับไล่นายกรัฐมนตรีในช่วงเย็นที่สนามรักบี้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตนกับเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนประมาณ 4-5 คน เจ้าพนักงานชุดสืบสวนภาค 5 และตำรวจสันติบาลเข้าสังเกตการณ์บริเวณดังกล่าวโดยแต่งตัวนอกเครื่องแบบ เนื่องจากหากแต่งชุดตำรวจอาจถูกกดดัน และไม่สามารถเข้าไปสถานที่ดังกล่าวได้

    เมื่อไปถึงสนามรักบี้ ตนก็ไม่สามารถเข้าไปในบริเวณงานได้เนื่องจากกิจกรรมมีการคัดกรองบุคคลและเจ้าพนักงานตำรวจที่เข้าไปมักจะหน้าเดิม ๆ จึงยืนอยู่บริเวณขอบสนาม ในกิจกรรมมีพิธีกร 2 คน ผู้ร่วมกิจกรรมประมาณ 70 คน อายุประมาณ 18-30 ปี ทั้งเพศชายและหญิงคละกัน บางส่วนแต่งกายชุดนักศึกษาและชุดธรรมดา

    ขณะนั้นมีชาย 2 คน ถือวัสดุคล้ายธงชาติ กว้างประมาณ 1.2 เมตร ยาวประมาณ 3 เมตรกว่า วัสดุคล้ายธงมีแถบแนวนอน 5 แถบ แถบแนวบนสุดและล่างสุดเป็นสีแดง ถัดมาเป็นสีขาวและตรงกลางเป็นพลาสติกใส โดยแถบที่เป็นพลาสติกใสตรงกลางมีความกว้างกว่าแถบสีที่เหลือ ส่วนแถบสีที่เหลือมีความกว้างเท่ากัน

    เบื้องต้นทางตำรวจเห็นเป็นธง แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นธงอะไร จากนั้นพิธีกร 2 คนบนเวทีได้กล่าวถึงการต่อต้านรัฐบาล และได้เชิญชวนให้ผู้ร่วมกิจกรรมเข้ามาเขียนข้อความลงบนวัสดุดังกล่าวที่วางอยู่บริเวณกลางค่อนไปทางขอบสนาม และชาย 2 คนดังกล่าวก็ยืนอยู่บริเวณที่ธงวางอยู่ด้วย

    ต่อมา มีประชาชนต่างเข้ามาเขียนข้อความลงบนวัสดุดังกล่าว และอีกราว 20 นาที ชาย 2 คนได้ยกธงขึ้นชู และยืนบริเวณดังกล่าวประมาณ 10 นาที ระหว่างนั้นมีประชาชนส่วนหนึ่งเข้ามาให้ความสนใจและถ่ายรูปไว้ ต่อมาจึงพับเก็บ ระหว่างนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาของพยาน แอบเดินไปถ่ายภาพวัสดุและนำมาเล่าให้ตนฟัง จากนั้นก็มีการชุมนุมต่อ แต่ตนได้กลับไปแล้ว

    ตามภาพที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ถ่ายรูปมามีข้อความว่า “พอแล้วไอ้ษัตร์” เมื่อเปิดพจนานุกรมแล้ว ไม่พบคำว่า “ษัตร์” โดยตนเข้าใจว่าตัดมาจากคำว่า “กษัตริย์” นอกจากนี้ยังพ้องเสียงว่าสัตว์ด้วย ส่วนคำว่า “ไอ้” เป็นคำไม่สุภาพ ซึ่งพออนุมานว่าเป็นการด่าพระมหากษัตริย์ว่า “ไอ้สัตว์”

    และคำว่า “Fuck 112 if you use 112 fuck you too” คำว่า Fuck หมายถึงการมีเพศสัมพันธ์ ถือเป็นคำสบถด้านลบ ส่วน 112 หมายถึงประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จึงเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ และคำว่า “สุนัขทรงเลี้ยงออกไป” เป็นคำราชาศัพท์ เป็นคำที่ใช้กับพระมหากษัตริย์ และคำว่า “112 NO GOD NO KING ONLY HUMAN 14/3/2564” ซึ่งหมายถึงไม่เอามาตรา 112 ไม่เอาพระเจ้า ไม่เอาพระมหากษัตริย์ เอาแค่มนุษย์

    ภายหลังผู้ใต้บังคับบัญชาได้จัดทำรายงานสืบสวน สามารถระบุตัวบุคคลที่ชูวัสดุดังกล่าวได้ คือจำเลยทั้งสอง โดยเปรียบเทียบวัสดุดังกล่าว กับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2564 ที่มี รศ.อัศวิณีย์ หวานจริง คณบดีคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในขณะนั้น เข้าไปตรวจสอบที่หอศิลป์ อาคารเรียน Media Arts and Design โดยมีการตรวจยึดผืนผ้าที่มีลักษณะคล้ายธงชาติ ก่อนทางผู้บริหารคณะวิจิตรศิลป์มีมติให้นำส่งวัสดุคล้ายธงชาติดังกล่าวให้ตำรวจ เมื่อดูข้อความทั้งหมดปรากฏว่ามี 35 ข้อความ ที่มีการเพิ่มขึ้นมาจากภาพถ่ายในวันที่ 14 มี.ค. 2564

    ต่อมา เมื่อวันที่ 22 มี.ค. 2564 จำเลยทั้งสองเดินทางมาที่ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับคณบดีคณะวิจิตรศิลป์ว่า ได้ทำการลักทรัพย์ไปจากจำเลยทั้งสอง พ.ต.ท.อานนท์ จึงเข้าใจได้ว่าวัสดุคล้ายธงชาตินี้เป็นของจำเลยทั้งสอง เพราะคณบดีฯ ได้นำมามอบไว้ก่อนแล้ว

    ทั้งนี้ พยานเข้าใจว่าคณบดีคณะวิจิตรศิลป์ เป็นครูบาอาจารย์ ประกอบกับตำรวจก็เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสอง คงไม่มีการเติมข้อความลงในวัสดุดังกล่าว และเมื่อสอบถามคณบดีฯ แล้ว ก็ได้รับแจ้งว่าไม่ใช่งานศิลปะตามวิชาการเรียนการสอนของคณะวิจิตรศิลป์ อีกทั้งจำเลยที่ 1 ก็เรียนอยู่คณะมนุษยศาสตร์ด้วย

    ในวันที่ 23 เม.ย. 2564 ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ทำรายงานสืบสวนยืนยันตัวผู้กระทำความผิดในคดีนี้คือจำเลยทั้งสอง พยานจึงได้แจ้งความดำเนินคดีตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.ธง พ.ศ. 2522 เนื่องจากเห็นว่าจำเลยใช้วัสดุคล้ายธงที่มีแถบสีใส นำสีน้ำเงินตรงกลางออก และเปลี่ยนเป็นพลาสติกใส ซึ่งสีน้ำเงินหมายถึงพระมหากษัตริย์ จึงเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์

    ภายหลัง พ.ต.ท.อานนท์ ได้ทราบว่าจำเลยทั้งสองเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองมาโดยตลอด และเคยถูกดำเนินคดีในลักษณะดังกล่าวมาหลายคดี

    ต่อมา พ.ต.ท.อานนท์ ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ในกิจกรรมวันที่ 14 มี.ค. 2564 ขณะที่จำเลยทั้งสองนำวัสดุดังกล่าวมาวางที่สนามรักบี้ ขณะนั้นพยานรับว่ายังไม่มีตัวอักษรใดๆ บนวัสดุ แม้เห็นจำเลยทั้งสองเดินไปมาบริเวณใกล้เคียง แต่ไม่เห็นทั้งสองเขียนข้อความลงบนวัสดุดังกล่าวแต่อย่างใด

    ขณะที่คณบดีคณะวิจิตรศิลป์ได้ตรวจค้นอาคารเรียน และพบกับวัสดุคล้ายธงดังกล่าว อยู่กลางห้องปฏิบัติการ ไม่ได้อยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งสอง เป็นไปได้ว่าวัสดุคล้ายธงไม่ได้อยู่กับจำเลยทั้งสองตั้งแต่วันที่ 14 มี.ค. ถึง 19 เม.ย. 2564 แต่ไปอยู่ที่อื่น ซึ่งในระหว่างนั้นอาจมีการเขียนข้อความเพิ่มขึ้นก็ได้

    ทั้งนี้ บนวัสดุยังมีข้อความเป็นภาษาเยอรมัน ซึ่งไม่ได้ถูกฟ้องมาด้วย หากแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Fuck you mr.ten (the king of germany) พยานเข้าใจว่าหมายถึงรัชกาลที่ 10 ส่วนคำว่า the king of germany น่าจะกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ เพราะทรงเสด็จไปประพาสที่เยอรมนีบ่อยครั้ง ทั้งนี้เป็นความเข้าใจส่วนตัวของพยาน

    ในการชุมนุมบริเวณสนามรักบี้ ในวันที่ 14 มี.ค. 2564 ไม่มีการปราศรัยถึงพระมหากษัตริย์ ในขณะที่จำเลยทั้งสองชูแผ่นพลาสติกคล้ายธงชาติดังกล่าว พยานไม่ได้จับเวลาว่าชูไว้ถึง 10 นาที ตามที่เบิกความไป แต่จำเลยทั้งสองก็ไม่ได้พับเก็บโดยทันที แต่มีการยกแสดงให้ประชาชนทั่วไปได้ดูก่อนจึงจะเก็บ

    เมื่อเห็นจำเลยทั้งสองยกชูขึ้นแล้ว พ.ต.ท.อานนท์ ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่เกิน 15 เมตร สามารถอ่านข้อความที่มีขนาดใหญ่ได้ แต่ไม่ได้เข้าจับกุมทันที เพราะต้องนำข้อความไปตีความเสียก่อนว่าเป็นความผิดหรือไม่ โดยได้ทำหนังสือเสนอให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณา ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พ.ต.ท.อานนท์ ก็ยังไม่มั่นใจว่ามีความผิดหรือไม่ อีกทั้งบุคคลภายในบริเวณดังกล่าวก็ไม่มีผู้ใดเข้าไปห้ามหรือตักเตือนจำเลยทั้งสอง

    นอกจากนี้ขณะที่มีบุคคลอื่นมาเขียนข้อความลงบนวัสดุดังกล่าว พยานเห็นจำเลยที่ 2 ยืนอยู่บริเวณดังกล่าว แต่ไม่เห็นว่ามีการสั่งให้บุคคลอื่นเขียน ทั้งนี้ข้อความส่วนใหญ่ไม่ได้กล่าวถึงพระมหากษัตริย์ และข้อความทั้ง 4 ข้อความตามคำฟ้องคดีนี้ ก็ไม่มีการเจาะจงว่ากล่าวถึงผู้ใด

    พ.ต.ท.อานนท์ ตอบอัยการถามติงว่า แม้พยานจะไม่ได้ยึดวัสดุดังกล่าวมาจากจำเลยทั้งสอง แต่ในขณะกิจกรรมวันเกิดเหตุ ตนก็พบเห็นข้อความตามคำฟ้องคดีนี้แล้ว และเหตุที่ไม่สามารถเข้าควบคุมตัวจำเลยได้ทันทีเนื่องจากวันเกิดเหตุมีผู้ชุมนุมประมาณ 70 คน ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจมีเพียง 5 คน จึงไม่สามารถเข้าปะทะกับผู้ชุมนุมได้

    ทั้งนี้ แม้ว่าพยานจะเสนอให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาการกระทำว่าเป็นความผิดหรือไม่ก็ตาม แต่แท้จริงแล้ว พยานก็เข้าใจว่าการกระทำน่าจะ ‘หมิ่นเหม่’ เป็นความผิดแล้ว

    ++2 ตำรวจผู้พบเห็นเหตุการณ์: สันติบาลสืบสวนหาข่าว พบชาย 2 คนนำแผ่นพลาสติกมาวางก่อนพิธีกรจะประกาศเชิญชวนบุคคลทั่วไปมาเขียนข้อความ

    ร.ต.อ.ชาตรี สกุลโสภิตจิตร กองกับการ 3 กองบังคับการสันติบาล 1 ขณะเกิดเหตุทำหน้าที่สืบสวนหาข่าวเกี่ยวกับความมั่นคง และ ร.ต.อ.รัฐชวพงค์ กันธวงค์ กองกำกับการสืบสวนภูธรจังหวัดเชียงใหม่

    ทั้งคู่เบิกความถึงเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ 14 มี.ค. 2564 ว่าทั้งสองได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ไปสืบสวนหาข่าวที่สนามรักบี้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมีการจัดกิจกรรมทางการเมืองชื่อว่า “ยุทธการไล่ประยุทธ์” ทั้งคู่ไปถึงก่อนเวลาประมาณ 17.00 น. พร้อมกับเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบอีกคนหนึ่ง โดยไปประจำอยู่บริเวณรอบสนามรักบี้และบริเวณใกล้เคียง พบว่ามีการเตรียมเวทีปราศรัย ห้องสุขา มีประชาชนส่วนหนึ่งเริ่มเข้ามา โดยส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา

    ต่อมา มีพิธีกร 2 คนขึ้นมากล่าวเปิดงาน และมีมวลชนทยอยเข้ามาเพิ่ม จนมีประมาณ 70-80 คน จนถึง 17.00 น. เศษ มีชายสองคนเข้ามาบริเวณกิจกรรม พร้อมนำแผ่นพลาสติกสีใสมาคลี่ออกที่บริเวณกลางลานสนาม ห่างจากเวทีประมาณ 20 เมตร แผ่นดังกล่าวมีแถบสีทั้งหมด 5 แถบ ได้แก่ สีแดง สีขาว สีใส สีขาว และสีแดง โดยแถบสีใสมีขนาดใหญ่กว่าสีขาวและแดง จากนั้นพิธีกรได้เชิญชวนให้ประชาชนเข้ามาเขียนข้อความลงบนแผ่นพลาสติกดังกล่าวประมาณ 20 นาที ก่อนจะมีการเก็บ โดย ร.ต.อ.รัฐชวพงค์ ได้ถ่ายรูปภาพและวิดีโอของกิจกรรมทั้งหมดไว้

    ร.ต.อ.รัฐชวพงค์ เบิกความต่อว่า เวลาประมาณ 18.00 น. ซึ่งครบเวลา 20 นาทีที่ให้ประชาชนเข้ามาเขียนข้อความแล้ว พิธีกรมีการเรียกให้ทุกคนยืนเคารพธงชาติ และชายสองคนได้นำแผ่นดังกล่าวขึ้นมาชูและเคลื่อนที่เล็กน้อยอยู่ประมาณ 10-20 นาที ระหว่างนั้นพยานไม่ได้สังเกตว่ามีข้อความใดบ้างบนวัสดุดังกล่าว จากนั้นทั้งสองก็ได้ม้วนธงเก็บและเดินออกจากสนามไป ต่อมาจึงสืบทราบภายหลังว่าชายสองคนคือจำเลยทั้งสอง

    ร.ต.อ.ชาตรี ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ขณะสังเกตการณ์บริเวณสนามรักบี้ ตนเดินไปเดินมารอบ ๆ เพื่อดูบรรยากาศรวม ๆ ไม่ได้ประจำที่ใดที่หนึ่ง ในตอนแรก เห็นว่ายังไม่มีข้อความบนแผ่นดังกล่าว และพยานก็ไม่เห็นว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้เขียนข้อความลงบนแผ่นพลาสติกดังกล่าว อีกทั้งในขณะจำเลยทั้งสองยกแผ่นพลาสติกขึ้นนั้น ตนก็ไม่เห็นข้อความอะไร เนื่องจากอยู่ด้านหลัง

    ด้าน ร.ต.อ.รัฐชวพงค์ ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ระหว่างกิจกรรมไม่มีผู้ใดมาห้ามพยานไม่ให้เข้าไปในพื้นที่งานกิจกรรม แต่มีการกั้นเทปสีเหลืองไว้ ในการสังเกตการณ์ พยานจึงนั่งอยู่ประจำจุดและเดินไปเดินมาบ้าง เห็นจำเลยทั้งสองนำแผ่นพลาสติกมาคลี่บริเวณที่ตนนั่งอยู่ จนมีบุคคลเข้ามาเขียนข้อความ และจำเลยทั้งสองชูขึ้นมา แต่พยานไม่เห็นข้อความบนวัสดุดังกล่าว และไม่แน่ใจว่ามีประชาชนเข้ามายืนดูวัสดุหรือไม่

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/58719)
  • ++นักวิชาการกฎหมาย: เข้าใจว่าข้อความตามฟ้องไม่ได้สื่อถึงกษัตริย์โดยตรง แต่เมื่อพิจารณาภาพรวม การเขียนอยู่บนธง ทำให้เข้าใจได้ว่าหมายถึงกษัตริย์

    ผศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ นวานุช อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ รับหน้าที่สอนวิชากฎหมายอาญา เบิกความว่า เมื่อประมาณปลายเดือน เม.ย. 2564 พนักงานสอบสวนได้เรียกให้มาเป็นพยานที่ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ เพื่อให้มาแปลข้อความ และสอบถามความเห็นทางกฎหมายว่า เข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือไม่

    พยานเห็นจากภาพว่าวัสดุดังกล่าวมีความคล้ายกับธงชาติไทย และยังปรากฏถ้อยคำไม่สุภาพ เช่น “Fuck112” ซึ่งเลข 112 ย่อมหมายถึงมาตรา 112 และ “พอแล้วไอ้ษัตร์” พยานมองว่าประโยคนี้ไม่เหมือนการด่าแบบคนธรรมดาทั่วไป โดยเหมือนว่ากำลังด่าพระมหากษัตริย์อยู่ เนื่องจากเป็นคำพ้องรูปจากคำว่า “กษัตริย์” โดยข้อความเหล่านี้ได้ปรากฏอยู่บนธง ประกอบกับธงดังกล่าวไม่มีสีน้ำเงิน โดยรวมแล้วข้อความเหล่านี้เป็นการดูหมิ่น แสดงความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ประชาชนเคารพรัก

    พันธุ์ทิพย์ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า นอกจากคดีนี้ตนเคยได้รับหนังสือจากพนักงานสอบสวนไปให้ความเห็นทางกฎหมายเกี่ยวกับมาตรา 112 ในคดีอื่น ๆ ด้วย และเคยมาเบิกความให้ความเห็นในคดีอื่นมาก่อนแล้ว เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ ส่วนหนึ่งเป็นลูกศิษย์ที่มหาวิทยาลัย น่าจะมีการแจ้งกันว่าพยานสอนกฎหมายอาญาจึงได้เชิญมา

    ในการอธิบายถ้อยคำ พันธุ์ทิพย์เห็นว่า คำว่า if you use 112 แปลว่าคุณใช้มาตรา 112 ซึ่งผู้ใช้มาตรา 112 นั้นไม่ใช่พระมหากษัตริย์ และตนไม่ขออธิบายถึงคำว่า “พอทีภาษีกูเลี้ยงหอย”

    พยานระบุว่า ความเห็นของพยาน เป็นความเห็นส่วนตัวที่ผู้อื่นอาจเห็นแตกต่างก็ได้ พยานรับว่าเมื่อพิจารณาข้อความทั้งสี่ตามคำฟ้องแล้ว ไม่ได้สื่อถึงพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันโดยตรง แต่เมื่อพิจารณาประกอบกับส่วนอื่น ๆ และในภาพรวมแล้วเห็นว่าเป็นการสื่อถึงพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน

    นอกจากนี้ พันธุ์ทิพย์ไม่ขอตอบคำถามที่ว่าเมื่อเห็นว่าคำว่า “พอแล้วไอ้ษัตร์” เป็นคำพ้องรูปคำว่ากษัตริย์นั้น แท้จริงแล้วพระมหากษัตริย์องค์ก่อน ๆ เราก็เรียกเช่นเดียวกัน หรือกษัตริย์ของต่างประเทศ ก็เรียกว่า ‘กษัตริย์’ เช่นกัน

    จากนั้นพันธุ์ทิพย์ตอบอัยการถามติงว่า ในการตีความถ้อยคำในทุกคดีที่เคยให้การไปก่อนแล้ว ตนก็ตีความตามหลักวิชาการ และถ้อยคำตามฟ้องคดีนี้ เมื่อเขียนอยู่บนธงชาติไทย จึงเข้าใจได้ว่าหมายถึงกษัตริย์ของประเทศไทย และเนื่องจากคดีนี้เกิดปี 2564 แล้วพูดถึงพระมหากษัตริย์ ก็ย่อมเข้าใจได้ว่าหมายถึงพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน

    ++นักวิชาการภาษาไทย: 3 ข้อความบนธงไม่หมิ่น มีเพียงข้อความเดียวคือ “สุนัขทรงเลี้ยง” ที่เข้าใจว่าการกระทำของรัฐบาลชุดนี้มีพระมหากษัตริย์อยู่เบื้องหลัง

    ผศ.ดร.สุนทร คำยอด อาจารย์ด้านภาษาไทย มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เบิกความว่าเมื่อช่วงเดือน เม.ย. 2564 มีเจ้าหน้าที่ตำรวจขอความคิดเห็นไปที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ผ่านทางอธิการบดี ให้ไปเป็นพยานให้ความเห็นทางภาษาไทย

    ทางตำรวจให้พยานดูภาพถ่ายวัสดุในคดีนี้แล้ว พยานเห็นว่าคำว่า “Fuck 112” และ “If you use 112 Fuck you too” นั้นไม่มีความเกี่ยวข้อง โดยเป็นเรื่องของกฎหมายที่เกี่ยวกับสถาบันฯ และคำว่า “พอแล้วไอ้ษัตร์” นั้นตนเห็นว่าก็ไม่เกี่ยวข้อง เพราะยังไม่ถึงขนาดจะสื่อไปถึงพระมหากษัตริย์

    ส่วนคำว่า “พอทีภาษีกูเลี้ยงหอย” ก็ไม่มีความหมายเกี่ยวข้อง เนื่องจากรูปประโยคไม่มีประธานในประโยค แต่คำว่า “สุนัขทรงเลี้ยง” ในประโยคเป็นคำราชาศัพท์ โดยบริบทมีความเกี่ยวข้องกับการเมือง ทั้งข้อความยังถูกเขียนลงบนธง สามารถสื่อถึงหัวหน้ารัฐบาลมีความหมายทำนองว่า ให้หัวหน้ารัฐบาลไปให้พ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากสุนัขจะต้องมีเจ้าของ แสดงว่าการกระทำของรัฐบาลชุดนี้มีพระมหากษัตริย์อยู่เบื้องหลัง

    นอกจากนี้ข้อความว่า “ไอ้ษัตร์” หากเติม “ก” เข้าไปแล้วจะมีความหมายได้ โดยจะหมายถึงองค์พระมหากษัตริย์ เป็นการกล่าวถึงตำแหน่ง คำว่า “ไอ้” เป็นคำสรรพนามที่ใช้เรียกแบบไม่เหมาะสม เป็นคำบริภาษ

    ต่อมา สุนทรตอบทนายจำเลยถามค้านว่า นอกจากคดีนี้ตนเคยให้การในคดีมาตรา 112 อีกหลายคดี ตามรูปภาพที่ปรากฏคำว่า “ษัตร์” ตนเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก โดยการตีความคำว่า “ไอ้ษัตร์” นั้นเป็นคำบริภาษ ซึ่งเป็นคำไม่สุภาพหรือคำด่า ซึ่งในประโยคไม่มีประธานของประโยค ส่วนคำว่าสุนัขทรงเลี้ยงนั้น คำว่า “ทรง” เป็นคำราชาศัพท์สามารถใช้กับพระมหากษัตริย์ พระราชินี และราชวงศ์ไล่ลงมาก็ได้

    ++พนักงานสอบสวน: คณบดีวิจิตรศิลป์ช่วยนำวัสดุมาส่งเป็นพยานหลักฐาน พร้อมรายงานเหตุการณ์ภาพนิ่งและเคลื่อนไหว แม้จำเลยไม่ได้เขียนข้อความ แต่นำมาชูแสดงต่อบุคคลทั่วไป

    ร.ต.อ.นพรัตน์ วงค์สุตา พนักงานสอบสวนในคดี เบิกความว่าในวันที่ 14 มี.ค. 2564 ขณะที่ตนเป็นพนักงานสอบสวนเวรอยู่ที่ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุของสถานีตำรวจว่ามีการชุมนุมแสดงออกที่บริเวณสนามรักบี้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทราบว่ามีเจ้าหน้าที่ทำรายงานประมวลเหตุการณ์ส่งไปที่ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่

    ต่อมาเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2564 พ.ต.ท.อานนท์ เชิดชูตระกูลทอง ผู้กล่าวหาคดีนี้ได้เข้ามากล่าวโทษว่ามีการแสดงออกทางการเมืองโดยร้องทุกข์ต่อจำเลยทั้งสองในคดีนี้ ที่ได้ทำการกางพลาสติกคล้ายธงชาติที่มีข้อความเข้าข่ายเป็นความผิดมาตรา 112 และในวันดังกล่าวยังมีศรีสุวรรณ จรรยา มากล่าวหาบุคคลอื่น ๆ จากกรณีเดียวกันด้วย โดยชี้นำให้มีการสืบสวนเกี่ยวกับกรณีที่มีสำนักข่าวหนึ่งลงภาพบุคคลชูวัสดุคล้ายธงชาติที่มีข้อความเข้าข่ายเป็นความผิด

    คดีนี้มีพนักงานสอบสวนร่วมกันประมาณ 10 นาย ทั้งจาก สภ.ภูพิงค์ฯ และตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ โดยสรุปความเห็นว่ามี 4 ข้อความที่เข้าข่ายเป็นความผิด

    ร.ต.อ.นพรัตน์ ยังได้รับรายงานอีกว่า มีคณะผู้บริหารคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้มอบวัสดุคล้ายธงชาติแก่ตำรวจชุดสืบสวน โดยมีการจัดทำรายงานประจำวันเป็นหลักฐานไว้ โดยเมื่อเปรียบเทียบภาพถ่ายวัสดุที่มีชายสองคนชูในวันที่ 14 มี.ค. 2564 จึงเห็นว่าเป็นผืนเดียวกัน เจ้าพนักงานสืบสวนจึงได้รวบรวมถ้อยคำที่เขียนอยู่บนวัสดุออกมาเป็นทั้งหมด 35 ข้อความ

    ต่อมา พยานได้รับหนังสือจากคณะวิจิตรศิลป์ ลงลายมือชื่อโดย รศ.อัศวินีย์ หวานจริง ถึงผู้กำกับ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ ขอส่งประมวลเหตุการณ์ พร้อมภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน 2564 โดยมีรายงานเหตุการณ์ที่คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ว่า วัตถุที่ถูกยึดนั้นไม่ใช่งานศิลปะตามที่นักศึกษากล่าวอ้าง แต่เป็นธงชาติที่ไร้สีน้ำเงิน และรายงานระบุว่า ในวันที่ 22 มี.ค. 2564 ผู้บริหารได้เดินดูความเรียบร้อยของพื้นที่รอบหอศิลปวัฒนธรรม เห็นกองผ้าถูกวางทับด้วยไม้อัด เมื่อคลี่ออกมาพบว่ามีลักษณะเป็นผืนคล้ายธงชาติไทยดังกล่าว ซึ่งหมิ่นเหม่ต่อการผิดกฎหมาย และเมื่อสอบถามนักศึกษาบริเวณดังกล่าวก็ไม่มีผู้ใดรับว่าเป็นเจ้าของ

    อย่างไรก็ตามเมื่อ ร.ต.อ.นพรัตน์ สอบถามจำเลยทั้งสองจึงทราบว่า วัสดุดังกล่าวเป็นการแสดงผลงานศิลปะของจำเลย ตามความเห็นของพยาน แม้จำเลยทั้งสองไม่ได้เป็นผู้เขียนข้อความ แต่เป็นผู้แสดงข้อความซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตา 112 แล้ว พยานได้สอบถามความเห็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและนักภาษาไทยแล้ว จำเลยทั้งสองยังชูวัสดุดังกล่าวในช่วงเวลาที่มีการเคารพธงชาติ จึงมีลักษณะการใช้แทนธงชาติ

    จากนั้นพนักงานสอบสวนตอบทนายจำเลยถามค้านโดยรับว่า มีธงชาติของต่างประเทศที่มีแถบสีขาวและแดงลักษณะนี้เช่นกัน อีกทั้งวัสดุอื่น ๆ ก็สามารถใช้สีขาวและแดงได้ และเมื่อบุคคลอื่นเห็นวัสดุดังกล่าวก็อาจเข้าใจว่าไม่คล้ายธงชาติก็ได้

    นอกจากนี้ในชั้นสอบสวน ทางตำรวจไม่เคยเรียกให้คณบดีคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาให้การ และตามบันทึกเหตุการณ์ที่นำมามอบให้นั้น แท้จริงแล้วเหตุการณ์เป็นอย่างไร ทางตำรวจก็ไม่ทราบ

    แม้ว่าศรีสุวรรณ จรรยา จะมากล่าวหาบุคคลอื่น ๆ แต่จากการสืบสวน ก็ไม่พบว่าบุคคลที่ศรีสุวรรณกล่าวหา เป็นผู้เขียนข้อความหรือชูแสดงข้อความดังกล่าว จึงไม่ได้ออกหมายเรียกทั้งสองคนนี้

    สำหรับการแจ้งข้อกล่าวหาต่อจำเลยทั้งสองระบุเพียง 4 ข้อความ ซึ่งไม่มีข้อความใดที่ระบุเจาะจงว่าหมายถึงพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน และไม่มีการเรียกบุคคลที่อยู่ในที่ชุมนุมมาให้การว่าเมื่ออ่านข้อความแล้วรู้สึกอย่างไร อย่างไรก็ดี บุคคลทั่วไปเมื่ออ่านข้อความแล้วก็อาจมีความเห็นแตกต่างกันได้ และหากไม่พิจารณาดูบริบทใกล้เคียงข้อความดังกล่าว ก็ไม่อาจยืนยันข้อเท็จจริงได้

    ร.ต.อ.นพรัตน์ ตอบอัยการถามติงว่า ในวันที่ 22 มี.ค. 2564 มีเหตุการณ์กระทบกระทั่งกันระหว่างผู้บริหาร คณบดีคณะวิจิตรศิลป์กับนักศึกษา แต่วัสดุคล้ายธงที่ตรวจยึดเป็นของกลางนั้นเป็นเหตุจากการชูแสดงที่เกิดขึ้นในวันที่ 14 มี.ค. 2564

    แม้ว่าพนักงานสอบสวนได้ถอดถ้อยคำตามพยานหลักฐานแล้ว พบสุ่มเสี่ยงมาเพียง 4 คำ ซึ่งในความเห็นของพยาน คำว่า “พอแล้วไอ้ษัตร์” คนทั่วไปเขียนว่า “ไอ้สัตว์” หรือ “ไอ้สัด” ตามภาษาวัยรุ่น แต่เมื่อถ้อยคำนี้ใช้ “ษัตร์” ซึ่งพ้องรูปกับคำว่ากษัตริย์ และเขียนอยู่บนวัสดุคล้ายธงไม่มีสีน้ำเงินย่อมหมายถึงพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยที่เกิดเหตุในปี 2564 จึงย่อมหมายความถึงพระมหากษัตริย์ในรัชกาลปัจจุบัน

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/58719)
  • ++จำเลยที่ 1: ทำชิ้นงานศิลปะร่วมกับเพื่อน ต้องการให้เป็น ‘งานศิลปะบนพื้นที่สาธารณะ’ โดยมีปฏิสัมพันธ์กับคน บุคคลทั่วไปสามารถเขียนข้อความอะไรก็ได้

    ศิวัญชลี วิธญเสรีวัฒน์ หรือวิธญา คลังนิล หรือ "รามิล" เคยเป็นประธานสภานักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสมาชิกสภานักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ เบิกความว่า การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย สามารถมีการเรียนข้ามไปคณะอื่นได้ ทั้งนี้ในคณะมนุษยศาสตร์ สาขาปรัชญา ที่ตนเรียนอยู่ ก็มีการเรียนการสอนวิชาสุนทรียศาสตร์ด้วย โดยความคิดเกี่ยวกับศิลปะของตนนั้นเป็นวิชาเกี่ยวกับผัสสะทั้ง 5 ของมนุษย์ ต้องการสื่อถึง “งานศิลปะและการรับรู้ผ่านงานศิลปะ” จึงได้เลือกไปเรียนเพิ่มเติมที่คณะวิจิตรศิลป์ คือวิชาปรัชญาศิลปะ และวิชาศิลปะการแสดงหรือ Performance Art เพราะต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม

    สำหรับเหตุการณ์ในวันที่ 14 มี.ค. 2564 จำเลยทั้งสองอยู่ที่คณะวิจิตรศิลป์ ตึก Media art and design ซึ่งแยกออกมาจากพื้นที่หลักของคณะ จากนั้นเวลา 16.00 น.เศษ พยานทราบจากเฟซบุ๊กว่า จะมีการจัดกิจกรรมขึ้นที่สนามรักบี้ ซึ่งตนมีงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่จำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนที่ได้ทำไว้ก่อนแล้ว จึงตั้งใจจะนำไปวางกับเพื่อนคณะวิจิตรศิลป์อีกคนหนึ่ง และเรียกประเภทของงานนี้ว่า “งานศิลปะในพื้นที่สาธารณะ” ซึ่งจำเป็นต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมเพื่อให้ชิ้นงานเสร็จสมบูรณ์ได้ หากสถานที่มีผู้คนจำนวนมากก็จะทำให้เกิดความหลากหลาย พยานจึงได้จัดทำรูปวาดโดยใช้วัสดุที่มีทั้งผ้า พลาสติก และสีในงานชิ้นนี้

    สำหรับการเลือกใช้สีแดงและสีขาวเนื่องจาก “การมองเห็นสีและแสง” กล่าวคือเมื่อสีแดงอยู่ในที่มืดจะเป็นสีทึบ แต่สีขาวจะสะท้อนแสง และสิ่งที่อยู่เหนือสัญลักษณ์ต่าง ๆ คือ “ไม่มีสีหรือสีใส” เพราะในสีนี้เราจะเห็นและไม่เห็นเมื่ออยู่ในพื้นที่แตกต่างกัน หากมีแสงเราจะเห็น แต่ถ้าไม่มีแสงเราจะไม่เห็น

    ในการเลือกตำแหน่งที่จะวางสีต่าง ๆ พยานจะเลือกตามองค์ประกอบศิลป์ โดยดูภาพรวมของงานที่จะจัดวาง ทั้งนี้ งานเป็นวัสดุผ้าและวัสดุที่เป็นพลาสติกโดยใช้สีทาบ้านประมาณ 2-3 ลิตร ราว 4-5 ถัง เนื่องจากต้องการให้มีพื้นผิวที่หนา ทำให้ชิ้นงานมีน้ำหนักประมาณ 4-5 กิโลกรัม

    จากนั้นพยานจึงนำชิ้นงานไปวางไว้ในพื้นที่ชุมนุม ในบริเวณที่จัดงานมีการขายของ เวทีปราศรัย โดยได้เตรียมปากกาเมจิกมาด้วยมากกว่า 1 สี ซึ่งตนไม่ได้บอกว่าให้คนต้องเข้ามาเขียนและไม่ได้เชิญชวน เมื่อยืนดูผลงานอยู่ครู่หนึ่ง และต่อมาได้ไปนั่งฟังการปราศรัย ทำให้ไม่ได้นั่งเฝ้าอยู่ตลอดเวลา

    ต่อมา พิธีกรได้ทำการประกาศเชิญชวนโดยที่ตนไม่ได้ร้องขอ คนที่เขียนก็ตัดสินใจเขียนของเขาเอง และประชาชนบริเวณนั้นก็ทราบเป็นวิธีปฏิบัติอยู่แล้วว่า หากมีสิ่งของหรือชิ้นงานที่เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็น ก็สามารถเข้ามาเขียนได้ โดยตนนำงานไปวางไว้ตั้งแต่เวลาประมาณ 17.10 น. และทิ้งงานไว้ประมาณ 40 นาที ก่อนไปเก็บชิ้นงานเนื่องจากท้องฟ้าเริ่มมืด และคนก็เริ่มไม่มาเขียนแล้ว

    ระหว่างที่พยานเข้าไปเก็บชิ้นงานก็ได้ยินเสียงพิธีกรประกาศให้ยืนเคารพธงชาติ ซึ่งตนก็ไม่ได้สนใจเพราะจำเป็นต้องเก็บชิ้นงานก่อน ระหว่างนั้นก็ได้เห็นข้อความที่มีคนเขียนไว้คร่าว ๆ แต่ไม่ได้อ่านโดยละเอียด ก่อนเก็บชิ้นงานโดยการพับ เหตุที่พยานและเพื่อนยืนคนละด้านกัน เพื่อพับเก็บชิ้นงานเพราะเกรงว่าสีที่ทาไว้อาจจะแตกได้

    จากนั้นจึงไปนั่งฟังปราศรัยต่ออีกประมาณ 30 นาทีจึงเดินทางกลับ นำเอาชิ้นงานดังกล่าวไปเก็บไว้ที่ตึกปฏิบัติการ คณะวิจิตรศิลป์ (LAB) ซึ่งเป็นห้องสำหรับเรียนและสามารถเก็บของได้ ทั้งนี้ตนก็ไม่ได้ดูชิ้นงานดังกล่าว แต่ไปทำงานศิลปะชิ้นอื่น ๆ ต่อไป

    วันที่ 21 มี.ค. 2564 พยานนั่งทำงานอยู่ที่ตึกปฏิบัติการ คณะวิจิตรศิลป์ จากนั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาในพื้นที่ 2 นาย ซึ่งโดยปกติแล้วจะไม่มีเจ้าหน้าที่เข้ามา แล้วแจ้งว่ามาดูแลความเรียบร้อยให้ และจากนั้นก็เดินทางกลับ

    ต่อมา วันรุ่งขึ้นช่วงกลางวัน จำเลยที่ 2 ทราบข่าวจากเพื่อนว่า “ไม่ทราบใครมาเอางานไป” พยานจึงเดินทางไปที่ตึกปฏิบัติการ คณะวิจิตรศิลป์ พบว่ามีกลุ่มบุคคลใส่ชุดสีเดียวกัน คล้ายเป็นเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมรถขนของจอดอยู่บริเวณหน้าตึก พร้อมเก็บของ ๆ ตนและเพื่อนใส่ถุงดำพร้อมกับแจ้งว่า “มาเก็บขยะ” แต่สิ่งที่บุคคลกลุ่มนี้ทำคือการเก็บผลงานของนักศึกษาไป

    พยานเห็นเช่นนั้นจึงแจ้งไปว่า “เก็บไปทำไม เอาของออกมาก่อน” จากนั้นนักศึกษาเข้ามาในที่เกิดเหตุจำนวนมากขึ้น พยานได้ไปพูดคุยกับผู้หญิงในที่เกิดเหตุ ซึ่งมาทราบภายหลังคือคณบดีของคณะวิจิตรศิลป์และเหล่าผู้บริหาร พยานยังได้ไปขวางรถไม่ให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวนำของ ๆ นักศึกษาออกไปจากพื้นที่

    สุดท้ายแล้วกลุ่มบุคคลดังกล่าวออกไป แต่ทิ้งผลงานบางส่วนไว้ พบว่ามีชิ้นงานของตนและเพื่อน ๆ อยู่ รวมทั้งชิ้นงานในคดีนี้ด้วย ตนเห็นว่าการกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง จำเลยทั้งสองและเพื่อนนักศึกษาคนอื่น ๆ จึงไปแจ้งความไว้ในเย็นวันดังกล่าว เนื่องจากชิ้นงานได้รับความเสียหาย

    ชิ้นงานดังกล่าวตนได้ทิ้งไว้ที่คณะวิจิตรศิลป์ตั้งแต่ช่วงวันที่ 22 มี.ค. 2564 หลังจากนั้น 1 สัปดาห์เป็นช่วงปิดเทอม ทางคณะวิจิตรศิลป์ได้ประกาศปิดตึกในช่วงโควิด-19 กำลังระบาด เพื่อทำการฆ่าเชื้อ โดยทำการปิดทุกพื้นที่ในคณะ แม้นักศึกษาก็ไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ได้

    ต่อมา วันที่ 1 พ.ค. 2564 มีเจ้าหน้าที่ตำรวจโทรมาที่เบอร์ส่วนตัวพยาน แจ้งว่า “โดนคดี ม.112” และเรียกให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาโดยไม่มีหมายเรียก พยานได้ให้การกับเจ้าหน้าที่ไปว่าตนไม่ใช่ผู้เขียนข้อความ แต่เพียงไปร่วมชุมนุมเท่านั้น และผลงานคล้ายธงนั้นก็เป็นเพียงผลงานชิ้นหนึ่งในวันเกิดเหตุ พยานยังไม่ได้ดูข้อความโดยละเอียด โดยไม่ได้พิจารณาว่าสื่อความหมายอย่างไร ก่อนจะเก็บผลงานเท่านั้น ทั้งนี้ พยานเห็นว่าข้อความไม่เข้าข่ายมาตรา 112 แต่อย่างใด

    จากนั้นรามิลตอบอัยการถามค้านว่า ขณะที่เกิดเหตุพยานไม่ได้ลงทะเบียนเรียนวิชาใด แต่ผลงานที่ทำนี้จะใช้ประกอบวิทยานิพนธ์ซึ่งในขณะนั้นยังไม่ได้ลงทะเบียนวิชาวิจัยวิทยานิพนธ์ แต่มีหัวข้อคร่าว ๆ เกี่ยวกับภาพจำของร่องรอยในระบบสัญลักษณ์

    ทั้งนี้ ในวันเกิดเหตุพยานทราบว่า เป็นงานชุมนุมเกี่ยวกับการขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ คิดว่าคนในที่ชุมนุมน่าจะมีอุดมการณ์ในการขับไล่คล้ายกัน โดยสาเหตุที่พยานไม่ได้นำชิ้นงานไปวางเพื่อสำรวจความคิดเห็นที่ตลาดนัด เนื่องจากต้องการบริบทสังคมทางการเมือง อีกทั้งเมื่อถูกยึดชิ้นงานไป จึงไม่สามารถนำไปสำรวจตามพื้นที่อื่น ๆ ได้อีก

    รามิลยังตอบทนายจำเลยถามติงด้วยว่า ชิ้นงานดังกล่าวเป็นงานปฏิบัติทดลองเพื่อเก็บข้อมูลไปเรื่อย ๆ โดยผลงานดังกล่าวมีข้อความที่เขียนถึงความรู้สึกที่หลากหลาย ไม่ได้เกี่ยวกับมาตรา 112 อย่างเดียว ข้อความส่วนใหญ่ก็เป็นการตำหนิรัฐบาลอีกด้วย

    ++จำเลยที่ 2: ไม่มีเจตนาทำงานให้คล้ายธงชาติ แต่ “แถบสีนามธรรม” สะท้อนความคิด-ความหมายของผู้มองงานศิลปะ การตีความย่อมเป็นสิทธิแต่ละคน

    ยศสุนทร รัตตประดิษฐ์ นักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เบิกความว่าตนเคยทำงานศิลปะอื่น ๆ มาก่อนทั้งในและนอกวิชาเรียน และยังเคยจัดแสดงงานศิลปะของตนที่พิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ โดยในสาขาวิชานี้จะสอนการทำงานศิลปะหลายรูปแบบ ผลงานของพยานจึงออกมาหลากหลายรูปแบบเช่นกัน

    คดีนี้พยานมีความสนใจในเรื่องปรัชญา และได้เจอจำเลยที่ 1 ตามงานกิจกรรมต่าง ๆ ผลงานในคดีนี้เกิดขึ้นจากการที่ตนและเพื่อนเกิดไอเดียร่วมกันว่า “งานศิลปะที่ไม่ได้อยู่แค่ในหอศิลป์” และอยากได้ผลงานที่มีผู้คนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย จึงคุยกันว่าจะทำชิ้นงานที่ทำงานร่วมกันจากเด็กต่างคณะกัน แต่ไม่ได้มีการกำหนดว่าต้องเขียนอะไรในผลงาน และให้ผู้เข้ามาเขียนนั้นคิดและเขียนด้วยตนเอง โดยยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเอาเช่นงานชิ้นนี้ไปวางไว้ที่ไหน แต่มีความคิดไว้คร่าว ๆ ว่าต้องเป็นสถานที่ที่มีคนเยอะ

    ทั้งนี้ ตนมีความสนใจที่จะสร้างผลงานที่เป็นภาพจำของผู้อื่น จึงใช้สีและแสงเข้ามาใช้ในงานชิ้นนี้ ตอนแรกคิดว่าจะต้องมีวัสดุแผ่นหนึ่ง และมีผู้คนเข้ามาเขียนในวัสดุนี้ โดยตัดสินใจใช้วัสดุสี่เหลี่ยมเป็นพลาสติกและผ้าเนื่องจากง่ายต่อการทำงานศิลปะ

    การใช้สี กาว และการวางตำแหน่งของแถบสี แต่ละสีก็ทั้งมีความหมายและไม่มีความหมาย ซึ่งจะสะท้อนความคิดของคนที่มีต่อสีนั้น และเหตุผลที่ใช้แถบสีแดง ขาว แล้วใส นั้นเนื่องจากต้องการทำให้ดูโดดเด่น ผู้คนสามารถสังเกตได้ และจะทำให้ผู้คนเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับชิ้นงานได้ง่าย

    ทั้งนี้ ตนไม่ได้มีเจตนาทำให้คล้ายธงชาติแต่อย่างใด การที่พยานโจทก์อาจมองว่าเป็นธง ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใดมองชิ้นงานนี้เป็นสิ่งใด ซึ่งพยานอาจได้ข้อมูลจากการทำงานกลับมาว่ามีผู้คนคิดเห็นว่างานดังกล่าวคล้ายกับธงก็ได้เช่นกัน ส่วนการเลือกใช้สีใสนั้นเนื่องจากต้องการให้มีมิติของสีและโปร่งใสด้วย โดยตนตั้งชื่อผลงานว่า “แถบสีนามธรรม” โดยชิ้นงานดังกล่าวรอให้บุคคลอื่นที่เข้ามาปฏิสัมพันธ์กับชิ้นงาน เป็นผู้ตีความหมาย

    นอกจากนี้ผลงานชิ้นดังกล่าวเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่พยานสนใจ คือการนำศิลปะออกนอกหอศิลป์ เป็นแนวคิดการทำวิทยานิพนธ์ของตน เนื่องจากช่วงปี 4 พยานยังไม่ผ่านการประเมินจึงดรอปเรียน เนื่องจากต้องการเวลาและเก็บข้อมูลเพื่อทำงานวิทยานิพนธ์เพียงอย่างเดียว ซึ่งงานชิ้นนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในการทดลองเก็บข้อมูล เพื่อนำไปใช้ในวิทยานิพนธ์ตัวจริง

    ยศสุนทรตอบอัยการถามค้านว่า ขณะเกิดเหตุเป็นช่วงปี 4 เทอมที่ 2 ซึ่งเขาดรอปเรียนแล้ว จึงไม่สามารถลงทะเบียนเรียนวิชาอื่นได้ แต่ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาวิทยานิพนธ์

    ยศสุนทรรับว่า เสรีภาพในการทำงานศิลปะควรได้รับการคุ้มครอง แต่เสรีภาพในการทำงานศิลปะก็ควรอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ซึ่งพยานเข้าใจว่าผลงานศิลปะในคดีนี้ ไม่ได้เป็นความผิดตามกฎหมายใด ๆ

    ++ภัณฑารักษ์: การตีความงานทางนามธรรมเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล และเห็นว่าผลงานในคดีนี้ไม่ใช่ธงชาติ

    กิตติมา จารีประสิทธิ์ ภัณฑารักษ์และนักเขียน เบิกความว่า เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2564 พนักงานสอบสวนได้เรียกตนไปให้ปากคำ โดยเชิญมาให้ความเห็นเกี่ยวกับงานศิลปะ

    เมื่อได้ดูภาพในคดีนี้แล้วมองว่าเป็นงานศิลปะที่มีส่วนร่วมกับผู้คน โดยศิลปินจะทำชิ้นงานขึ้นมา 1 ชิ้น แต่ชิ้นงานยังไม่เสร็จสิ้น จำเป็นต้องนำงานไปให้ผู้คนมีส่วนร่วมก่อน เช่น ในงานศิลปะของคุณฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช ศิลปินที่ทำแกงเขียวหวานขึ้นมา ให้ผู้คนที่เข้ามาชมงานศิลปะได้ทานและให้ความเห็น หรืองานศิลปะที่มีการติดตั้งโทรศัพท์และให้ผู้คนโทรไปหาใครก็ได้ โดยงานศิลปะประเภทนี้ ศิลปินจะไม่ได้เป็นผู้เดียวที่ทำงาน แต่คือผู้คนที่เข้ามามีส่วนร่วมด้วย

    ตามที่ได้ให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวน ผลงานที่เป็นของกลางในคดีนี้ จำเป็นจะต้องดูกระบวนการทำงานด้วย ซึ่งตามหลักทัศนศิลป์ อย่างแรกที่เห็นจากงานชิ้นนี้ คือแผ่นพลาสติกและมีแถบสี ซึ่งเป็นสีแม่บท หรือสีปฐมภูมิ และเป็นผ้าขนาดยาว แต่อย่างไรก็ดี งานชิ้นนี้ให้ผู้คนมามีส่วนร่วมถึงจะเสร็จสมบูรณ์ โดยผลงานศิลปะบางอย่าง เมื่อดูแล้วจะเข้าใจในทันทีเพราะมีความหมายเดียว แต่งานนามธรรมนั้นสามารถมีความรู้สึกต่องานได้มากมาย

    พยานยังกล่าวถึงลักษณะของสีขาว ซึ่งสื่อความหมายถึงความบริสุทธิ์ สีแดงสื่อถึงความร้อนแรง และ 2 สีนี้เป็นคู่สีตรงกันข้ามกัน จะทำให้เกิดการตัดกันของสีในชิ้นงาน

    พยานเบิกความว่า ตนไม่ทราบเจตนาของศิลปิน การจะตีความจึงต้องตีความตามที่ตาเราเห็นเท่านั้น โดยจะไปกำหนดความหมายงานศิลปะชัดเจนว่าศิลปินเองต้องการเช่นนั้นไม่ได้ การตีความนั้นขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้ชม ผลงานชิ้นนี้ใช้วิธีการมีส่วนร่วมโดยการเขียนลงไปในชิ้นงาน ดังนั้น ศิลปินจึงไม่สามารถชี้นำให้ผู้อื่นที่เข้ามาเขียน หรือกำหนดการมีส่วนร่วมได้

    สำหรับการพิจารณาว่าผลงานนี้เป็นธงหรือไม่นั้น จะมีค่าสีที่บ่งบอกว่าคือธงชาติไทยอยู่ โดยค่าสี RGB ของธงชาติไม่ตรงกับผลงานชิ้นนี้ ดังนั้น พยานมองว่าผลงานนี้ไม่ใช่ธงชาติ

    อีกทั้งในอดีตเคยมีการนำธงชาติมาทำเป็นผลงานอยู่ตลอด ทั้งศิลปินแห่งชาติหรือศิลปินในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เอง ก็มีการทำงานศิลปะที่เห็นว่าเป็นธงชาติอย่างชัดเจน ซึ่งจะมีการใช้สีที่มีความใกล้เคียงกับที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ธง พ.ศ. 2522 มาตรา 60 อาทิเช่น ผลงานของอาจารย์ในคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อปี 2557 เป็นธงชาติที่มี 3 สี และเปิดโอกาสให้ผู้คนเข้ามาขีดเขียนในธงดังกล่าวได้ โดยศิลปินจะสื่อว่าเป็นงานใดนั้น จะมีการตั้งชื่อว่า “ธง/Flag”

    หรือจะเป็นศิลปินที่ทำผลงานที่มีชื่อว่า “Yellow flag with olive tree sky” ซึ่งงานชิ้นนี้มีการเปลี่ยนสีธงชาติไทยจากที่ใช้สีแดงให้เป็นสีเหลือง โดยให้ความหมายว่า เป็นธงชาติสีเหลืองโดยสื่อถึงกลุ่มอนุรักษ์นิยมในการเมืองของไทย ความหมายนี้ศิลปินเป็นผู้ให้ความหมายด้วยตนเองไว้เลย

    นอกจากนี้ในตอนที่พยานเคยเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สามารถมีการเรียนข้ามศาสตร์กันได้ ทำให้นักศึกษาได้เรียนศาสตร์อื่น ๆ ด้วย เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจและมีความรู้ในศาสตร์อื่น รวมทั้งวิชาศิลปะร่วมสมัยก็สามารถมีการมุ่งเน้นไปที่ความรู้ทางสังคมและการเมือง หากมีความรู้หลายศาสตร์จะทำให้นักศึกษาเข้าใจและผลิตผลงานได้ดีมากขึ้น การเรียนการสอนสามารถสร้างความร่วมมือกันของคณะต่าง ๆ เพื่อเปิดสอนรายวิชาให้นักศึกษาที่อยู่คณะอื่นมาเรียนวิชาในคณะวิจิตรศิลป์ได้ และนักศึกษาในคณะวิจิตรศิลป์เอง สามารถไปเรียนในคณะอื่นได้เช่นกัน

    กิตติมาตอบอัยการถามค้านโดยรับว่า ตาม พ.ร.บ.ธง เพิ่งจะมีการกำหนดค่าของสีในปี 2560 และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่องรูปธงชาติ ตาม พ.ร.บ.ธง กำหนดค่ามาตรฐานวัดสีธงในลักษณะที่เป็นการแนะนำเท่านั้น ซึ่งมีการใช้ระบบสีเป็น Cielab D64 ไม่ได้กำหนดในรูปแบบของ RGB และตนก็ไม่เคยเห็นศิลปินคนใดนำธงชาติมาเขียนด้วยข้อความหยาบคาย

    อย่างไรก็ตาม พยานตอบทนายจำเลยถามติงว่า ค่า Cielab D64 สามารถแปลงเป็นค่า RGB ได้และค่าสีแบบ RGB เป็นที่นิยมมากกว่า

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/58719)
  • ++นักวิชาการสื่อศิลปะ: มช. มีวัฒนธรรมการเรียนข้ามศาสตร์ ศิลปะแบบมีส่วนร่วมชวนให้ตั้งคำถาม เป็นการส่งเสริมประชาธิปไตย และศิลปินไม่สามารถคาดเดาผลของงานได้

    ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ อาจารย์ประจำวิชาสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เบิกความว่า ปัจจุบันตนสอนวิชาเกี่ยวกับวัฒนธรรมการทัศนา ทฤษฎีการวิพากษ์วิจารณ์ทางศิลปะและศิลปะร่วมสมัย โดยการเรียนการสอนเน้นเรื่องการผสมผสานความคิดเชิงปรัชญา แนวคิดทางสังคมศาสตร์ และกระบวนการทำงานทางศิลปะ

    การเรียนการสอนทำตั้งแต่กระบวนการทางความคิดและกระบวนการทางศิลปะ ทั้งนี้กระบวนการทางปรัชญามีความสำคัญในมหาวิทยาลัยทั่วโลก เนื่องจากทำให้เห็นกระบวนการตั้งคำถามและปฏิบัติการ การเปลี่ยนแปลงทางความคิดในทางปฏิบัติ และทำให้เกิดความคิดเชิงวิพากษ์

    ทั้งนี้ งานศิลปะไม่สามารถกำหนดได้ว่าผู้ชมจะมีความคิด หรือมีส่วนร่วมอย่างไร โดยงานในแต่ละงาน ผู้ชมสามารถตีความหมายได้ด้วยตนเอง ซึ่งศิลปินอาจมีความรู้สึกหรือความคาดหวังอยู่ภายใน แต่ศิลปินไม่สามารถคาดเดาผล หรือคำตอบ หรือผลของการมีส่วนร่วมของผู้ชมได้ และยังสามารถมองได้ว่างานศิลปะยังเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างประชาธิปไตย โดยการเปิดโอกาสให้ผู้คนมีส่วนร่วมได้

    ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้น นักศึกษาสามารถลงทะเบียนเรียนข้ามคณะกันได้ หรือนักศึกษาอาจมาขออนุญาตอาจารย์ผู้สอนเพื่อนั่งฟัง (Sit in) ด้วยก็ได้ เป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกมาลงเรียนได้ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมการเรียนของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มาตั้งแต่ตนเป็นนักศึกษา พยานเห็นว่าจำเลยทั้งสองเคยมานั่งเรียนในคณะวิจิตรศิลป์

    สำหรับวัตถุประสงค์ในการทำงานศิลปะมีหลากหลาย มีงานศิลปะแบบหนึ่งที่เรียกว่า ‘งานศิลปะแบบมีส่วนร่วม’ กล่าวคือศิลปินต้องการให้คนมีส่วนร่วมโดยการแสดงความคิดเห็น เป็นส่วนสำคัญในการสร้างให้สาธารณะชนรู้ว่าเขากำลังเป็นส่วนหนึ่งในการผลิตชิ้นงานได้ เมื่อสังคมตั้งคำถามในประเด็นใด งานศิลปะประเภทนี้ก็มีส่วนในการช่วยตั้งคำถามและหาคำตอบจากผู้ชม มีลักษณะใกล้เคียงกับการทำโพล

    ชิ้นงานศิลปะในคดีนี้เป็นเพียงผืนผ้าที่มีแถบสี ไม่มีลักษณะเป็นธง โดยข้อความที่ปรากฏอยู่บนงานศิลปะ ข้อความว่า “FUCK 112 IF YOU USE 112 FUCK YOU TOO” เห็นว่าเป็นเพียงถ้อยคำหยาบคายที่ไม่ใช่การร่วมเพศ และผู้บังคับใช้มาตรา 112 ก็ไม่ใช่กษัตริย์

    คำว่า “ษัตร์” ในเชิงภาษาศาสตร์ก็ไม่มีความหมาย คำว่า “พอทีภาษีกูเลี้ยงหอย” อ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นการตั้งคำถามมากกว่าจะสื่อความหมายชี้นำทางใดทางหนึ่ง

    ส่วนคำว่า “สุนัขทรงเลี้ยงออกไป” คำว่าสุนัขตนคิดถึงคุณฟูฟูและคุณทองแดง ซึ่งไม่เห็นว่าเป็นการหมิ่นประมาทแต่อย่างใด ดังนั้นข้อความทั้ง 4 ขึ้นอยู่กับผู้อ่านและการตีความของแต่ละบุคคล เข้าใจว่าเมื่อจำเลยทั้งสองอ่านอาจจะเข้าใจว่าไม่เป็นการหมิ่นประมาทก็ได้

    พยานทราบว่าในขณะเกิดเหตุที่คณะวิจิตรศิลป์มีการปิดกั้นการแสดงงานศิลปะของนักศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามมิให้นักศึกษาแสดงผลงานที่เกี่ยวกับการเมือง แต่ตนเห็นว่างานศิลปะที่นักศึกษาทำนั้นอยู่ในกรอบของการเรียนการสอนและไม่ควรถูกปิดกั้น

    เมื่อเกิดเหตุคดีนี้คณบดีคณะวิจิตรศิลป์ควรเรียกนักศึกษาไปพูดคุยเพื่อหาทางออกร่วมกัน การไปแจ้งความดำเนินคดีจะทำให้เกิดความขัดแย้ง ทั้งนี้คณะผู้บริหารยังเคยไปเก็บผลงานของนักศึกษาที่ยังทำงานไม่เสร็จ โดยสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยศิลปากรเคยออกแถลงการณ์ยืนยันที่จะรักษาสิทธิและเสรีภาพในการสร้างสรรค์ของศิลปินด้วย

    ศรยุทธตอบพนักงานอัยการถามค้านว่า พยานไม่เคยเรียนด้านนิติศาสตร์ และเห็นว่า งานศิลปะย่อมต้องเข้าใจและรู้จักกฎหมายมากขึ้น ในขณะเดียวกันนักกฎหมายก็ย่อมต้องรู้จักงานศิลปะและสุนทรียะด้วยเช่นกัน ในการตีความทางศิลปะของแต่ละบุคคลสามารถมีความแตกต่างกันได้ แต่ไม่ควรนำความคิดเห็นหนึ่งมาอยู่เหนือความคิดเห็นอื่นๆ

    ++นักวิชาการปรัชญา: การตีความและการสื่อความหมายถ้อยคำทั้ง 4 นี้ไม่มีความชัดเจน บุคคลสามารถเข้าใจแตกต่างกันได้ และความหมายของถ้อยคำอาจเปลี่ยนแปลงไปตามสังคม

    อาจารย์จากคณะมนุษยศาสตร์ สาขาปรัชญาและศาสนา เบิกความว่า ปรัชญาเป็นเรื่องของการตีความ โดยวิชาปรัชญาจะมีศาสตร์ของการตีความ โดยมีหลักว่าระหว่างความจริงและภาษาในการสื่อสารนั้น ภาษาไม่สามารถแสดงออกได้ตรงตามความจริงทั้งหมด จึงจำเป็นจะต้องมีการตีความ และการตีความต้องอาศัยความคิดทางปรัชญา

    เมื่อระหว่างความจริงและภาษาในการสื่อสารมีช่องว่างอยู่ จึงจำเป็นต้องตีความให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่สุด ซึ่งสามารถแบ่งประเภทการสื่อสารออกเป็น 2 วิธี คือ Connote และ Denote โดย Connote หมายความถึง การที่เรากำหนดคำ ๆ หนึ่ง แล้วนิยามความหมายให้กับคำนั้น เนื่องจากคำ ๆ หนึ่งไม่ได้สื่อถึงสิ่งของนั้นโดยตรง เนื่องจากผู้ฟังอาจมีความแตกต่างทางด้านภาษา

    แต่อีกวิธีการหนึ่ง Denote คือการสื่อสารด้วยวิธีอื่นที่บ่งชี้ถึงความจริงนั้น เช่น การชี้สิ่งของก็จะสื่อถึงสิ่งนั้นโดยตรง ทุกคนก็จะเข้าใจตรงกัน ดังนี้จึงควรมีการแบ่งแยกคำให้หลากหลายมากขึ้นให้ครอบคลุมกับความจริงให้มากที่สุด เมื่อเวลาสื่อสารจะได้มีคำที่ตรงกับความเป็นจริง มิฉะนั้นหากไม่มีคำที่ตรงกับความจริงก็จะต้องใช้หลายถ้อยคำเพื่ออธิบายความจริง ซึ่งจะเป็นการตีความและอาจจะได้ความหมายไม่ตรงความจริงได้

    เพื่อการสื่อความหมายที่ไม่คลุมเครือ การสื่อความหมายของคำต้องมีการตกลงกันมากกว่า 1 คน ไม่ใช่สิ่งที่ถูกบัญญัติโดยคนเดียว ดังนั้น การจะสื่อสารภาษาที่จะสื่อความจริงได้ คนในสังคมจะต้องเข้าใจความหมายตรงกัน โดยที่พจนานุกรมมีหน้าที่กำหนดความหมายของแต่ละคำ ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญ แต่อย่างไรก็ตาม คำอาจมีความหมายที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตลอด กรณีการบัญญัติคำใหม่ หากผู้บัญญัติคำไม่ได้อธิบายความหมายเอาไว้ ทำให้ผู้เห็นข้อความนั้นอาจตีความหรือเข้าใจความหมายไม่ตรงกับเจตนาของผู้บัญญัติคำนั้นก็ได้ และผู้ที่อ่านแต่ละคนอาจให้ความหมายที่ไม่ตรงกันก็ได้

    ทั้งนี้ ภาษาและสังคมสอดคล้องกัน เมื่อภาษาเปลี่ยนก็จะทำให้สังคมเปลี่ยนไป และเมื่อภายหลังสังคมเปลี่ยนก็สามารถทำให้ภาษาเปลี่ยนไปได้เช่นกัน

    พยานเห็นว่า คำว่า “สุนัขทรงเลี้ยงออกไป” และ “พอทีภาษีกูเลี้ยงหอย” เป็นวลีไม่ใช่ประโยค สื่อความหมายไม่ชัดเจน ส่วนคำว่า “FUCK YOU 112 IF YOU USE 112 FUCK YOU TOO” ไม่สื่อความหมาย และคำว่า “ษัตร์” ไม่มีความหมายตามพจนานุกรม

    ก่อนตอบพนักงานอัยการถามค้านว่า ในวันเกิดเหตุคดีนี้พยานไม่ได้อยู่ที่สนามรักบี้ด้วย และเคยให้การไว้ในชั้นสอบสวน แต่ไม่ได้ให้ความเห็นสำหรับคำทั้ง 4 ข้อความนี้ไว้

    ++นักวิชาการนิติศาสตร์: ม.112 ไม่ใช่กฏหมายความมั่นคงโดยแท้ การกระทำของจำเลยไม่เข้าองค์ประกอบ การบังคับใช้กฎหมายต้องมีความระมัดระวัง เพราะอาจส่งผลร้ายต่อความเชื่อมั่นของประชาชนด้วย

    กฤษณ์พชร โสมณวัตร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ทำความเห็นทางวิชาการเกี่ยวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ธงฯ มายื่นส่งต่อศาล โดยสรุปได้เป็น 4 ส่วน

    1. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่ใช่กฎหมายความมั่นคงโดยแท้ แต่เป็นกฎหมายที่คุ้มครองเกียรติยศส่วนบุคคลของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เท่านั้น ซึ่งเกียรติยศส่วนบุคคลนั้นย่อมมิใช่ความมั่นคงของรัฐ อีกทั้งคำพูดและการแสดงออกของบุคคลย่อมไม่สามารถสั่นคลอนความมั่นคงของสถาบันการเมืองใด ๆ ในระดับที่จะเป็น “ภัย” ได้โดยสภาพ

    2. องค์ประกอบความผิดของมาตรา 112 ประกอบไปด้วยการกระทำ 3 ลักษณะ ได้แก่ 1) การดูหมิ่น 2) การหมิ่นประมาท และ 3) การแสดงความอาฆาตมาดร้าย ต่อบุคคล 4 สถานะ ได้แก่ พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นอกจากนี้ ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดต้องมีเจตนาในการกระทำความผิด ได้แก่ เจตนาประสงค์ต่อผลและเจตนาย่อมเล็งเห็นผล

    โดยพฤติการณ์ที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้ คือจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของแผ่นไวนิลที่ประกอบไปด้วยสีแดงและสีขาว โดยจำเลยทั้งสองอนุญาตให้ประชาชนทั่วไปเขียนข้อความลงไปบนแผ่นไวนิลดังกล่าว ซึ่งข้อความที่ถูกกล่าวหาล้วนแต่มิใช่ข้อความที่จำเลยทั้งสองเขียน

    นอกจากนี้ บนแผ่นไวนิลดังกล่าวยังปรากฏถ้อยคำอื่น ๆ ที่เป็นการติชมการทำงานของรัฐบาลโดยชอบธรรมกระจัดกระจายกันอย่างไม่เป็นระบบ ลักษณะโดยรวมของข้อความทั้งหมดจึงเป็น ‘การบ่น’ ที่คลุมเครือจับใจความไม่ได้ เนื้อหาสาระโดยรวมจึงมิใช่การยืนยันข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญของการ “ใส่ความ” และการกระทำของจำเลยจึงมิได้มีลักษณะที่ชัดเจนว่าต้องการสื่อสารข้อความที่ถูกกล่าวหาโดยตรงต่อบุคคลอื่น

    3. สถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์กับสังคมไทยกลายเป็นประเด็นถกเถียงในการเมืองไทยร่วมสมัยตั้งแต่ปลายทศวรรษ 2540 เพราะประชาชนกลุ่มหนึ่งได้เรียกร้องให้พระมหากษัตริย์ในขณะนั้นใช้พระราชอำนาจเพื่อแทรกแซงกระบวนการทางการเมือง ซึ่งนำไปสู่สถานการณ์ที่ประชาชนสองฝ่ายขัดแย้งซึ่งกันและกันและมีการใช้ผรุสวาทต่อกันในทางสาธารณะมาเกือบสองทศวรรษ

    สังคมไทยจึงเป็นสังคมที่อยู่ในบรรยากาศของการวิวาทะกันระหว่างประชาชนในเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์มาอย่างยาวนาน ซึ่งในบริบทของการวิวาทะกันนั้น การแสดงพฤติกรรมที่ไม่เรียบร้อยกลายเป็นสถานการณ์ปกติ ทั้งนี้ ในประเด็นของการดูหมิ่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ประกอบกับมาตรา 393 นั้น การมีวิวาทะกันไปมานั้นย่อมไม่เข้าลักษณะของการดูหมิ่น

    4. การใช้และการตีความกฎหมายอาญานั้นย่อมส่งผลกระทบอย่างสำคัญต่อระบบการเมืองและระบบกฎหมาย เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์ จึงอ้างถึงข้อเสนอของเฮอร์เบิร์ต แอล. แพคเกอร์ (Herbert L. Packer) เรื่องนโยบายการใช้กฎหมายอาญาภายใต้ข้อจำกัดของมาตรการทางอาญา (Limit of the Criminal Sanction) ไว้ 6 ประการ เพื่อเป็นหลักในการพิจารณาความเหมาะสมของการตรากฎหมายและการใช้กฎหมายอาญา ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นวิสัยทัศน์ในการพิจารณากรณีตามฟ้องได้ ดังนี้

    ประการแรก การกระทำที่ถือว่าควรเป็นความผิดอาญานั้นต้องเป็นที่เห็นได้ชัดในหมู่ชนส่วนมากว่า เป็นการกระทำที่กระทบกระเทือนต่อสังคม และหมู่ชนส่วนมากมิได้ให้อภัยการกระทำเช่นนั้น

    ในประเด็นนี้ ถ้อยคำตามฟ้องทั้งสี่ในคดีนี้นั้นมีความหมายที่ไม่ชัดเจน และมีลักษณะเป็นเพียงการล้อเลียนเสียดสี ซึ่งไม่ใช่การเหยียดหยาม หรือการใส่ความ ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าอาจมีประชาชนจำนวนหนึ่งจะไม่สบายใจต่อข้อความดังกล่าว แต่ถ้อยคำดังกล่าวยังไม่ถึงระดับของการดูหมิ่นที่ใช้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

    ประการที่สอง การกระทำที่ถือว่าเป็นความผิดทางอาญาจะไม่ขัดแย้งกับวัตถุประสงค์การลงโทษ ทั้งนี้ ในบริบททางการเมืองปัจจุบันที่มิได้มีฉันทามติที่ชัดเจนว่าการกระทำของจำเลยมีความชั่วร้าย หากมีการลงโทษเกิดขึ้น ย่อมนำมาสู่สภาวะ “ยอมรับโทษ แต่ไม่ยอมรับผิด” ซึ่งย่อมไม่นำไปสู่ความเป็นไปได้ในการป้องปรามผู้กระทำผิด หรือการปรับเปลี่ยนพฤตินิสัยของผู้กระทำ และจะกลายเป็นพื้นฐานให้เกิดความขัดแย้งเกลียดชังระหว่างประชาชนสองฝ่ายและกระทบต่อสถานะและความนิยมต่อพระมหากษัตริย์ในทัศนะของประชาชนต่อไปมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม

    ประการที่สาม การปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญาจะไม่นำไปสู่การลดลงของการกระทำที่สังคมเห็นว่าเหมาะสม กล่าวคือในสังคมประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ย่อมยึดถือหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนและเรียกร้องให้ประชาชนมีส่วนรวม ตลอดจนแสดงออกทางการเมือง เพื่อรักษาสิทธิและเสรีภาพสำหรับตนเองและผู้อื่น หรือที่เรียกในทางวิชาการว่า “ประชาสังคม” (Civil Society) ซึ่งพฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองเป็นพลเมืองที่ตื่นตัวและสนใจปัญหาสังคม โดยเฉพาะในด้านสิทธิมนุษยชน พฤติกรรมของจำเลยจึงมิใช่อาชญากร จึงไม่สมควรรับผิดและโทษเยี่ยงอาชญากร

    ประการที่สี่และห้า การใช้มาตรการทางอาญาต้องกระทำโดยเสมอหน้าและเสมอภาค ตลอดจนรัฐต้องมีความสามารถในการบังคับใช้กฎหมายในทางปฏิบัติ

    ในกรณีนี้ ข้อความที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นความผิดนั้นมิใช่ข้อความที่จำเลยทั้งสองเป็นผู้เขียน ทั้งสองเป็นแต่เพียงเจ้าของแผ่นไวนิลที่อนุญาตให้ประชาชนเขียนลงไปอย่างอิสระเท่านั้น ดังนั้น หากรัฐพิจารณาว่าข้อความดังกล่าวมีความหมายเป็นการกระทำความผิดร้ายแรงก็สมควรที่จะดำเนินการต่อผู้ร่วมกระทำความผิดทุกคน

    การเจาะจงดำเนินการต่อจำเลยทั้งสองที่แสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาล ย่อมน่าสงสัยในทัศนะของสาธารณชนว่า การดำเนินคดีอาญากับกรณีดังกล่าวเป็นการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมอันเนื่องมาจากจุดยืนทางการเมือง และเป็นการดำเนินคดีเพื่อขัดขวางการแสดงออกทางการเมือง ซึ่งมิใช่ภารกิจของกฎหมายอาญาที่พึงมีต่อสังคม

    และประการสุดท้าย การลงโทษทางอาญาควรถูกใช้เป็นมาตรการสุดท้ายในการควบคุมสังคม เพราะการลงโทษทางอาญานั้นมีต้นทุนทางสังคมสูง และส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมสำหรับกรณีนี้

    เมื่อข้อความที่ถูกกล่าวหามีความหมายไม่ชัดเจนว่าเป็นการดูถูกเหยียดหยามตามนัยของวิญญูชนที่เป็นกลางทางการเมืองแล้ว การลงโทษทางอาญาจะเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมอย่างรุนแรงว่าเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมือง

    ด้วยเหตุที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มิได้มีลักษณะเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความมั่นคงของรัฐ และยังส่งผลกระทบต่อการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสดงออก การใช้และการตีความกฎหมายดังกล่าวจึงต้องพิจารณาด้วยความระมัดระวัง เพราะผลของการตีความนอกจากจะส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของจำเลยและประชาชนโดยตรงแล้ว ยังจะส่งผลร้ายต่อความเชื่อมั่นต่อระบบกฎหมายของประชาชนด้วย พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองยังไม่แสดงให้เห็นจนปราศจากข้อสงสัยว่าข้อความดังกล่าวเป็นการดูถูกเหยียดหยาม หรือเป็นการใส่ความพระมหากษัตริย์ไปในทางที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่พระองค์ ซึ่งทำให้การกระทำของจำเลยไม่เข้าหลักเกณฑ์อันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 112

    ต่อมา พยานตอบพนักงานอัยการถามค้านว่า สำหรับความเห็นทางวิชาการนี้ตนได้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงจากหนังสือและบทความทางวิชาการของอาจารย์กฎหมายหลายคน เป็นความเห็นทางวิชาการส่วนตัว อาจมีผู้อื่นให้ความเห็นที่แตกต่างออกไปก็ได้

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/58719)
  • ศิวัญชลีและยศสุนทร พร้อมด้วยทนายจำเลยเดินทางมาศาล โดยมีนายประกันที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อนนักศึกษา และเพื่อนศิลปิน รวมกว่า 10 คน เดินทางมาให้กำลังใจและติดตามคดีของทั้งสองคนที่ห้องพิจารณาคดีที่ 1

    ในช่วงเช้า ศาลได้พิจารณาคดีอื่น ๆ ที่นัดไว้ก่อน จนเวลา 11.35 น. จึงได้เรียกจำเลยและทนายความเข้ามาฟังคำพิพากษา ขณะที่ผู้มาให้กำลังใจซึ่งมีจำนวนมากไม่สามารถเข้าห้องพิจารณาได้ทั้งหมด

    ศาลอ่านคำพิพากษามีใจความโดยสรุป เห็นว่า พยานโจทก์ปากเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้พบเห็นเหตุการณ์ทั้ง 3 ปาก ได้เบิกความถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2564 ที่สนามรักบี้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบเห็นชาย 2 คน ถือวัสดุคล้ายธงชาติไปวางไว้ และมีประชาชนมาร่วมกันเขียนข้อความหลายคน โดยพยานจำได้ว่าคือจำเลยทั้งสองในคดีนี้ เจือสมกับการนำสืบของจำเลยที่เบิกความว่า ทั้งสองคนต้องการวางงานศิลปะที่มีการปฏิสัมพันธ์กับพื้นที่สาธารณะ โดยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม จึงนำวัสดุดังกล่าวไปวาง

    ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้นำวัสดุดังกล่าวไปวางไว้จริง โดยเมื่อพิจารณาแถบของวัสดุดังกล่าว มีลักษณะใกล้เคียงกับลักษณะของธงชาติ ตามมาตรา 5 อนุ 1 ของ พ.ร.บ.ธง พ.ศ. 2522 แตกต่างเพียงสัดส่วนที่ไม่ตรงกัน แม้จำเลยทั้งสองจะต่อสู้ว่า ไม่ได้มีเจตนาทำผลงานคล้ายคลึงกับธงชาติ

    ได้ความจากพยานโจทก์ทั้งสามปาก ว่าจำเลยทั้งสองได้ชูวัสดุดังกล่าวขึ้นเป็นเวลาประมาณ 10 นาที โดยพยานทั้งสามปากอยู่คนละจุดกัน แต่เบิกความในลักษณะเดียวกัน โดยมีพยาน 1 ปาก ที่ระบุว่า การชูวัสดุดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่พิธีกรเชิญชวนให้มีการเคารพธงชาติ

    แตกต่างจากที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าชูและพับเก็บโดยใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที แต่จากภาพถ่ายพยานหลักฐานในคดี บางภาพเห็นจำเลยทั้งสองหยุดนิ่งกับที่ แต่บางภาพมีการเคลื่อนที่ไปไม่น้อย ไกลเกินกว่าจะเป็นการพับเก็บตามที่จำเลยอ้าง และยังมีภาพที่บุคคลผู้เข้าร่วมกำลังยืนอยู่ด้วย จึงเชื่อว่าจำเลยชูวัสดุขณะเปิดเพลงชาติ ไม่ใช่การชูขึ้นเพื่อพับเก็บแต่อย่างใด

    นอกจากนั้น ยังพบข้อความที่เขียนบนวัสดุดังกล่าวว่า “Revolution Flag” ย่อมทำให้เข้าใจว่ามีผู้ที่มาเขียนข้อความเข้าใจว่า วัสดุดังกล่าวมีลักษณะคล้ายธงชาติ เมื่อพิจารณารูปแบบ ลักษณะ และช่วงเวลาที่จำเลยชูขึ้นประกอบกัน จึงทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจได้ว่าวัสดุดังกล่าวเป็นธงชาติ เห็นว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตาม พ.ร.บ.ธง พ.ศ. 2522 มาตรา 51 แล้ว

    ส่วนที่พยานจำเลยปากหนึ่งเบิกความถึงประกาศของสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ระบุถึงมาตรฐานของค่าสีของธงชาติ ซึ่งไม่ตรงกับสีกับวัสดุดังกล่าวนั้น ประกาศดังกล่าวก็เป็นแต่เพียงคำแนะนำเท่านั้น

    เห็นว่า การทำสีแถบคล้ายกับธงชาติ แต่มีพลาสติกใสแทนแถบบริเวณสีน้ำเงิน และชูในงานชุมนุมขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในช่วงเวลาที่มีการเคารพธงชาติ แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องการให้มีพระมหากษัตริย์ในธงชาติไทย อันเป็นลดทอนคุณค่าของพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

    ส่วนที่จำเลยทั้งสองนำปากกามาวางไว้บริเวณวัตถุดังกล่าวเพื่อทำงานศิลปะที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมนั้น จำเลยทั้งสองย่อมคาดหมายได้ว่าผู้ชมอาจเขียนข้อความอะไร

    ส่วนข้อความที่ปรากฏบนวัสดุ คำว่า “พอแล้วไอษัตร์” พบว่าถูกเขียนเป็นตัวขนาดใหญ่ ด้านที่จำเลยที่ 1 ยกชูขึ้น เจือสมกับคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ว่าได้เห็นถ้อยคำนี้ก่อนยกชูขึ้น แต่ไม่เข้าใจความหมาย

    คำว่า “ษัตร์” ไม่มีความหมายตามพจนานุกรม แต่ฟังเสียงคล้ายกับคำว่า “ไอ้สัตว์” ที่ใช้กล่าวติเตียน ด่าว่า และพ้องรูปกับคำว่า “กษัตริย์” เมื่อพิจารณาว่า ถูกเขียนลงบนวัสดุคล้ายธงชาติ ที่ไม่มีสีน้ำเงิน บุคคลย่อมทราบและเข้าใจว่าความหมายว่า “ให้พระมหากษัตริย์หยุดได้แล้ว” และมีคำว่า “ไอ้” ซึ่งเป็นคำไม่สุภาพ จึงเชื่อว่า จำเลยที่ 1 เข้าใจความหมายเช่นกัน ทั้งที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้พระมหากษัตริย์ใช้อำนาจอธิปไตยผ่านคณะรัฐมนตรี รัฐสภา และศาล และโดยที่พระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ถ้อยคำดังกล่าวเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ และคำว่า “พอแล้ว” หมายถึงพระมหากษัตริย์ในปัจจุบัน ไม่ใช่อดีต จึงเป็นการดูหมิ่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

    ส่วนจำเลยที่ 2 ถืออยู่คนละด้านกับข้อความดังกล่าว และธงยังมีขนาดใหญ่ มีข้อความขนาดเล็กถูกเขียนกระจายกันอยู่จำนวนมาก จำเลยที่ 2 อาจจะมองไม่เห็นข้อความก็เป็นได้ ทั้งโจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 เห็นข้อความดังกล่าวหรือไม่

    ส่วนข้อความอื่น ๆ ตามฟ้อง เห็นว่าเป็นตัวอักษรขนาดเล็ก เห็นได้ไม่ชัด และโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบว่าจำเลยทั้งสองเห็นข้อความหรือไม่ และเข้าใจความหมายของข้อความหรือไม่ อย่างไร การกระทำของจำเลยที่ 2 ในการชูวัสดุดังกล่าว จึงไม่เป็นความผิดในกรณีนี้

    สำหรับฟ้องของโจทก์ได้บรรยายการกระทำผิดไว้หลายประการ เมื่อมีบางการกระทำที่ครบองค์ประกอบของมาตรา 112 แล้ว จึงเห็นว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดในข้อหานี้

    จำเลยทั้งสองกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษเป็นกระทงความผิดไป ข้อหาตามมาตรา 112 ให้ลงโทษจำคุกคนละ 4 ปี และข้อหาตาม พ.ร.บ.ธงฯ มาตรา 51 ให้ลงโทษจำคุกคนละ 8 เดือน ปรับคนละ 2,000 บาท

    จำเลยทั้งสองให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสี่ ข้อหาตามมาตรา 112 คงจำคุกคนละ 3 ปี และข้อหาตาม พ.ร.บ.ธงฯ คงจำคุกคนละ 6 เดือน ปรับคนละ 1,500 บาท

    รวมโทษจำคุกคนละ 3 ปี 6 เดือน ปรับคนละ 1,500 บาท เห็นว่า จำเลยทั้งสองยังเป็นนักศึกษา ใกล้สำเร็จการศึกษาแล้ว หากต้องรับโทษจำคุกย่อมเสียประวัติ ประกอบกับจำเลยทั้งสองไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ มีกำหนด 3 ปี และให้คุมประพฤติจำเลยทั้งสอง มีกำหนด 2 ปี โดยให้รายงานตัวต่อเจ้าพนักงานคุมประพฤติทั้งหมด 8 ครั้ง และให้ยึดของกลางในคดีนี้

    ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดี ได้แก่ ภมร อนันตชัย

    หลังศาลอ่านคำพิพากษาแล้วเสร็จ เวลาประมาณ 12.00 น. ตำรวจศาลได้ควบคุมตัวนักศึกษาทั้งสองคนลงไปห้องขังใต้ถุนศาล เพื่อรอชำระค่าปรับตามคำพิพากษา โดยต้องรอชำระในช่วงบ่าย

    เวลา 14.10 น. หลังชำระค่าปรับรวม 3,000 บาท ทั้งสองคนจึงได้รับการปล่อยตัว และเดินทางไปรายงานตัวเจ้าหน้าที่คุมประพฤติตามคำพิพากษาของศาล

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/58799)

ชั้นสอบสวน

ผู้ถูกดำเนินคดี :
วิธญา คลังนิล

การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
-
ผู้ถูกดำเนินคดี :
ยศสุนทร รัตตประดิษฐ์

การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
-

ศาลชั้นต้น

ผู้ถูกดำเนินคดี :
วิธญา คลังนิล

ชื่อองค์คณะผู้พิพากษา :
  1. ภมร อนันตชัย

ผลการพิพากษา
ลงโทษ
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ : 28-08-2023
ผู้ถูกดำเนินคดี :
ยศสุนทร รัตตประดิษฐ์

ชื่อองค์คณะผู้พิพากษา :
  1. ภมร อนันตชัย

ผลการพิพากษา
ลงโทษ
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ : 28-08-2023

แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์