ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
- การชุมนุม
- พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (มาตรา 9)
- พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
ดำ อ.1304/2564
แดง อ.1250/2566
ผู้กล่าวหา
- พ.ต.ท.ตรีเพชร ป่าหวาย สว.สส.สภ.เมืองเชียงใหม่ (ตำรวจ)
ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
- การชุมนุม
- พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (มาตรา 9)
- พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
หมายเลขคดี
ดำ อ.1304/2564
แดง อ.1250/2566
ผู้กล่าวหา
- พ.ต.ท.ตรีเพชร ป่าหวาย สว.สส.สภ.เมืองเชียงใหม่
ความสำคัญของคดี
“ฮ่องเต้" ธนาธร วิทยเบญจางค์ อายุ 22 ปี รองนายกสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และแกนนำพรรควิฬาร์ ถูกดำเนินคดีข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากการอ่านแถลงการณ์และปราศรัยในระหว่างกิจกรรมคาร์ม็อบ “ล้านนาต้านศักดินาทัวร์” ที่บริเวณหน้าตำรวจภูธรภาค 5 และลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2564 โดยถูกกล่าวหาว่า เนื้อหาแถลงการณ์และคำปราศรัยทำให้คนฟังเข้าใจได้ว่า กล่าวถึงรัชกาลที่ 10 และมีลักษณะใส่ความ จาบจ้วง ทำให้รัชกาลที่ 10 เสื่อมเสียพระเกียรติ
ธนาธรได้รับการประกันตัวทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณา โดยใช้ตำแหน่งอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่ศาลกำหนดเงื่อนไข ห้ามกระทำการในลักษณะเดียวกับที่ถูกกล่าวหาอีก รวมทั้งให้รายงานตัวต่อผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งศาลตั้งเป็นผู้กำกับดูแล ทุก 15 วัน ซึ่งสร้างภาระต่อธนาธรที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่เป็นอย่างมาก
ในคดีที่มีแจ้งการแจ้งข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และต้องประกันตัวต่อศาล ศาลมักกำหนดเงื่อนไขในการประกันตัวที่อาจเป็นการกระทบต่อเสรีภาพของผู้ถูกดำเนินการเกินสมควร
ธนาธรได้รับการประกันตัวทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณา โดยใช้ตำแหน่งอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่ศาลกำหนดเงื่อนไข ห้ามกระทำการในลักษณะเดียวกับที่ถูกกล่าวหาอีก รวมทั้งให้รายงานตัวต่อผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งศาลตั้งเป็นผู้กำกับดูแล ทุก 15 วัน ซึ่งสร้างภาระต่อธนาธรที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่เป็นอย่างมาก
ในคดีที่มีแจ้งการแจ้งข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และต้องประกันตัวต่อศาล ศาลมักกำหนดเงื่อนไขในการประกันตัวที่อาจเป็นการกระทบต่อเสรีภาพของผู้ถูกดำเนินการเกินสมควร
พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี
เลิศศักดิ์ เลิศสิทธิ์สมบูรณ์ พนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ บรรยายฟ้องมีเนื้อหาโดยสรุปว่า
1. จำเลยกับพวกร่วมกันจัดการชุมนุมรวมกลุ่มกันเกิน 20 คน อันเป็นความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดโรคในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยจำเลยกับพวกเป็นแกนนำ หรือผู้จัด หรือผู้รับผิดชอบให้มีการจัดการชุมนุมทางการเมือง ได้โพสต์เชิญชวนทางเฟซบุ๊กให้ประชาชนทั่วไปมาร่วมการชุมนุม “ล้านนาต้านศักดินาทัวร์ คาร์ม็อบเชียงใหม่ ยกระดับการชุมนุม เรียกร้องให้ตำรวจเป็นผู้พิทักษ์ของประชาชน ในวันที่ 15 สิงหาคม 2564 ที่หน้าสำนักงานตำรวจภูธรภาค 5 เพื่อยื่นข้อเสนอแก่ผู้บัญชาการและไปบันเทิงต่อที่ลานประตูท่าแพ”
กระทั่งวันที่ 15 สิงหา มีการรวมกลุ่มของบุคคลเกินกว่า 20 คน และจัดกิจกรรมชุมนุมบริเวณด้านหน้าตำรวจภูธรภาค 5 และใช้ยานพาหนะเคลื่อนขบวนไปตามท้องถนนจนมาสิ้นสุดด้านหน้าลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์
2. จำเลยยังได้หมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ โดยการอ่านแถลงการณ์ประกาศข้อเรียกร้องต่อผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ประจำการอยู่ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ที่ 1 บริเวณหน้าตำรวจภูธรภาค 5 ท่ามกลางประชาชนจำนวนมากที่มาร่วมกันชุมนุมทางการเมือง โดยมีสาระสำคัญโจมตีรัฐบาลและเรียกร้องให้ตำรวจเป็นผู้พิทักษ์ของประชาชน โดยมีตอนหนึ่งของแถลงการณ์มีข้อความที่กล่าวถึง "สถาบันกษัตริย์" ทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่าข้อความที่จำเลยอ่านดังกล่าวสื่อถึงกษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน โดยทรงเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองในการบริหารประเทศ และทรงเห็นแก่อำนาจและผลประโยชน์ส่วนพระองค์ยิ่งกว่าชีวิตและเสรีภาพของประชาชน
3. หลังจากนั้น จำเลยยังได้กล่าวคำปราศรัยที่บริเวณหน้าอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ท่ามกลางประชาชนจำนวนมากที่มาร่วมชุมนุม โดยได้กล่าวคำด่าและเปรียบเทียบ และทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจทันทีว่าข้อความที่จำเลยกล่าวสื่อถึงกษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน
การกระทำดังกล่าวมีลักษณะเป็นการจาบจ้วง ล่วงเกิน ดูหมิ่น ใส่ความ หมิ่นประมาท และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ โดยประการที่น่าจะทำให้พระมหากษัตริย์เสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดเชียงใหม่ คดีหมายเลขดำที่ อ.1304/2564 ลงวันที่ 18 พ.ย. 2564)
1. จำเลยกับพวกร่วมกันจัดการชุมนุมรวมกลุ่มกันเกิน 20 คน อันเป็นความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดโรคในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยจำเลยกับพวกเป็นแกนนำ หรือผู้จัด หรือผู้รับผิดชอบให้มีการจัดการชุมนุมทางการเมือง ได้โพสต์เชิญชวนทางเฟซบุ๊กให้ประชาชนทั่วไปมาร่วมการชุมนุม “ล้านนาต้านศักดินาทัวร์ คาร์ม็อบเชียงใหม่ ยกระดับการชุมนุม เรียกร้องให้ตำรวจเป็นผู้พิทักษ์ของประชาชน ในวันที่ 15 สิงหาคม 2564 ที่หน้าสำนักงานตำรวจภูธรภาค 5 เพื่อยื่นข้อเสนอแก่ผู้บัญชาการและไปบันเทิงต่อที่ลานประตูท่าแพ”
กระทั่งวันที่ 15 สิงหา มีการรวมกลุ่มของบุคคลเกินกว่า 20 คน และจัดกิจกรรมชุมนุมบริเวณด้านหน้าตำรวจภูธรภาค 5 และใช้ยานพาหนะเคลื่อนขบวนไปตามท้องถนนจนมาสิ้นสุดด้านหน้าลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์
2. จำเลยยังได้หมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ โดยการอ่านแถลงการณ์ประกาศข้อเรียกร้องต่อผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ประจำการอยู่ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ที่ 1 บริเวณหน้าตำรวจภูธรภาค 5 ท่ามกลางประชาชนจำนวนมากที่มาร่วมกันชุมนุมทางการเมือง โดยมีสาระสำคัญโจมตีรัฐบาลและเรียกร้องให้ตำรวจเป็นผู้พิทักษ์ของประชาชน โดยมีตอนหนึ่งของแถลงการณ์มีข้อความที่กล่าวถึง "สถาบันกษัตริย์" ทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่าข้อความที่จำเลยอ่านดังกล่าวสื่อถึงกษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน โดยทรงเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองในการบริหารประเทศ และทรงเห็นแก่อำนาจและผลประโยชน์ส่วนพระองค์ยิ่งกว่าชีวิตและเสรีภาพของประชาชน
3. หลังจากนั้น จำเลยยังได้กล่าวคำปราศรัยที่บริเวณหน้าอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ท่ามกลางประชาชนจำนวนมากที่มาร่วมชุมนุม โดยได้กล่าวคำด่าและเปรียบเทียบ และทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจทันทีว่าข้อความที่จำเลยกล่าวสื่อถึงกษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน
การกระทำดังกล่าวมีลักษณะเป็นการจาบจ้วง ล่วงเกิน ดูหมิ่น ใส่ความ หมิ่นประมาท และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ โดยประการที่น่าจะทำให้พระมหากษัตริย์เสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดเชียงใหม่ คดีหมายเลขดำที่ อ.1304/2564 ลงวันที่ 18 พ.ย. 2564)
ความคืบหน้าของคดี
-
วันที่: 27-08-2021นัด: รับทราบข้อกล่าวหาที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ ธนาธร วิทยเบญจางค์ หรือ “ฮ่องเต้” อายุ 22 ปี นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รองนายกสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และแกนนำพรรควิฬาร์ ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตามหมายเรียก เหตุจากการปราศรัยในระหว่างกิจกรรมคาร์ม็อบ “ล้านนาต้านศักดินาทัวร์” ที่บริเวณลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2564
ก่อนหน้านี้ ธนาธรได้รับหมายเรียกผู้ต้องหา ครั้งที่ 1 ลงวันที่ 18 ส.ค. 2564 คดีที่มี พ.ต.ท.ตรีเพชร ป่าหวาย สารวัตรสืบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ เป็นผู้กล่าวหา ในข้อหา “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์” ธนาธรจึงได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนตามวันนัดในหมายเรียกผู้ต้องหา
บรรยากาศก่อนการเข้ารับทราบข้อหา ที่ด้านหน้าสถานีตำรวจมีการวางแผงเหล็กกั้นรอบสถานีหลายชั้น พร้อมตั้งจุดตรวจกระเป๋าของผู้ที่จะผ่านเข้าออกทุกคน ทั้งยังมีการติดป้ายห้ามทำกิจกรรมหรือชุมนุมภายใต้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
ขณะเดียวกันมีตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบกว่า 20 นาย ยืนเฝ้าระวังอยู่โดยรอบสถานี บางส่วนเป็นเจ้าหน้าที่ในชุดสีเขียวจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ และมีเพื่อนนักศึกษา นักกิจกรรม และอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เดินทางมาติดตามการเข้ารับทราบข้อหาราว 20 คนด้วย
เวลา 10.40 น. หลังนายธนาธรเดินทางมาถึง ได้อ่านแถลงการณ์ข้อเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และองค์กรนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ออกมาดูแลปกป้องนักศึกษาที่ถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกทางการเมือง หลังมีนักศึกษาของมหาวิทยาลัยถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ไปแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ราย โดยมีเพื่อนนักศึกษาชูป้ายข้อความ “เราหมดศรัทธาในสถาบันกษัตริย์แล้ว” “ตัวหญิงเองก็ลำบาก” อยู่ด้านหลังอีกด้วย
ต่อมา ธนาธรพร้อมทนายความ เพื่อน และอาจารย์จากคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เข้าพบพนักงานสอบสวน พ.ต.ท.เกริกชัย กิตติ สารวัตรสอบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ ได้แจ้งพฤติการณ์ข้อกล่าวหาโดยสรุประบุว่า เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2564 ทางกลุ่มพรรควิฬาร์, ประชาคมมอชอ และกลุ่มลำพูนปลดแอก ได้นัดหมายทำกิจกรรมใช้ชื่อว่า “ล้านนาต้านศักดินาทัวร์” โดยรวมตัวบริเวณแยกดอนจั่น ไปยังตำรวจภูธรภาค 5 โดยมีการเรียกร้องผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 รับข้อเสนอให้ตำรวจอยู่ข้างประชาชน ก่อนเคลื่อนไปยังลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ โดยมีผู้เข้าร่วมประมาณ 200 คน เป็นรถยนต์ประมาณ 100 คัน และจักรยานยนต์ประมาณ 100 คัน
ต่อมาเวลาประมาณ 17.00 น. ได้มีบุคคลที่เป็นแกนนำเริ่มกล่าวปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาล สลับกับการแสดงดนตรี จนเวลาประมาณ 18.23 น. ธนาธรได้ขึ้นปราศรัย โดยมีเนื้อหาบางส่วนที่กล่าวถึงพระนามของกษัตริย์รัชกาลที่ 10 และปัญหาของการใช้มาตรา 112 โดยการปราศรัยดังกล่าวได้มีการเผยแพร่สดผ่านเพจเฟซบุ๊กพรรควิฬาร์ด้วย
พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหา “หมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต่อธนาธรข้อหาเดียว เขาได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และจะให้การเพิ่มเติมเป็นหนังสือภายใน 30 วัน
จากนั้นเวลา 11.25 น. พนักงานสอบสวนได้แจ้งว่าจะยื่นขอศาลฝากขังธนาธรในช่วงบ่าย แม้เขาจะมาพบตามหมายเรียกก็ตาม โดยพนักงานสอบสวนให้ธนาธรลงชื่อในเอกสารคำร้องขอฝากขังต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ โดยระบุการอนุญาตประกันตัวให้ “ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล” และเนื่องด้วยสถานการณ์โรคแพร่ระบาดโคโรนา 2019 พนักงานสอบสวนจึงยื่นคำร้องผ่านระบบออนไลน์
ในขณะรอการพิจารณาของศาล เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวธนาธรไว้ในพื้นที่ด้านในสถานีตำรวจและไม่อนุญาตให้ออกไปด้านนอกสถานี โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบยืนเฝ้าอยู่บริเวณทางเข้าออกตลอดเวลา
ขณะเดียวกันทางทนายความได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ ขอคัดค้านการฝากขังและขอให้มีการไต่สวนพนักงานสอบสวน
เวลา 13.40 น. พนักงานสอบสวนเชิญตัวธนาธรไปยังห้องสำหรับคอนเฟอเรนซ์กับศาล โดยการพิจารณาออนไลน์ ผู้พิพากษาสอบถามธนาธรว่าเป็นนักศึกษาหรือไม่ และเข้าพบพนักงานสอบสวนเองหรือไม่ พร้อมแจ้งกับทนายความว่าให้ยื่นคำร้องขอประกันเข้ามา และให้งดการไต่สวนคำร้องคัดค้านการฝากขัง
จนเวลา 16.39 น. ศาลจังหวัดเชียงใหม่อนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหา และมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยใช้ตำแหน่งอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และให้แต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้กำกับดูแล
ศาลยังกำหนดเงื่อนไขการประกันตัว ได้แก่ ห้ามกระทำการในลักษณะเดียวกับที่ถูกกล่าวหาอีก ห้ามเข้าร่วมกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ห้ามเดินทางออกนอกประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล และให้รายงานตัวต่อผู้กำกับดูแล คือผู้ใหญ่บ้าน ตามกำหนดนัด และให้มารายงานตัวต่อศาลในวันที่ 22 พ.ย. 2564 ต่อไป
ในการปล่อยตัว ตำรวจได้นำตัวธนาธรขึ้นรถควบคุมผู้ต้องขังจากสถานีตำรวจ ไปปล่อยตัวที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ในเวลาประมาณ 17.00 น.
(อ้างอิง: บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา สภ.เมืองเชียงใหม่ ลงวันที่ 27 ส.ค. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/34145) -
วันที่: 26-10-2021นัด: รายงานตัวต่อผู้กำกับดูแล (แจ้งข้อหาเพิ่มเติม)เวลา 08.30 น. ขณะธนาธรไปรายงานตัวต่อผู้ใหญ่บ้านในอำเภอสันทราย ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลตามคำสั่งของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย จาก สภ.เมืองเชียงใหม่ นั่งรออยู่ คือ พ.ต.ท.เกริกชัย กิตติ และ พ.ต.ท.สันติ คำใส รองผู้กำกับ (สอบสวน) สภ.เมืองเชียงใหม่ ทั้งสองแจ้งกับธนาธรว่าจะแจ้งข้อเท็จจริงและข้อกล่าวหาเพิ่มเติม
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจยื่นเอกสาร 2 ฉบับ มาให้ธนาธร คือบันทึกการแจ้งข้อเท็จจริงและข้อกล่าวหาเพิ่มเติม และใบต่อคำให้การ ซึ่งมีการพิมพ์บันทึกข้อความคำให้การมาก่อนแล้วทั้งหมด แม้ว่าเขาจะไม่เคยให้การใดๆ มาก่อน
ธนาธรเห็นว่ากระบวนการดังกล่าวไม่ถูกต้อง ผิดวิสัยจากปกติ จึงไม่ยอมลงลายมือชื่อและไม่ยอมรับเอกสารไว้ พร้อมแจ้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองว่าเขามีสิทธิจะต้องพบและปรึกษากับทนายความก่อน และขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายเรียกมาให้ถูกต้องตามกระบวนการ
ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งได้ยื่นหมายเรียกผู้ต้องหาครั้งที่ 2 ฉบับลงวันที่ 26 ต.ค. 2564 ให้ไปรายงานตัวต่อ พ.ต.ท.เกริกชัย กิตติ ในวันที่ 27 ต.ค. 2564 เวลา 10.00 น. แม้ว่าธนาธรจะไม่เคยได้รับหมายเรียกครั้งที่ 1 มาก่อนก็ตาม เขาก็รับหมายเรียกผู้ต้องหาไว้และขับรถออกมาจากบ้านผู้ใหญ่บ้าน
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้ใหญ่บ้านได้โทรหาธนาธร แจ้งว่าเขาลืมเอกสารไว้และให้กลับเข้ามารับ เขาไม่ทราบว่าคือเอกสารอะไร เมื่อกลับเข้าไป จึงได้รับเอกสาร 2 ฉบับเดิม เพิ่มเติมคือมีการลงลายมือชื่อของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และผู้ใหญ่บ้านได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในเอกสารดังกล่าว พร้อมระบุในช่องลายมือชื่อของเขาว่า “ผู้ต้องหาไม่ยอมลงลายมือชื่อ” เอง โดยเขาไม่ยินยอม ไม่ได้รับแจ้งข้อกล่าวหา ไม่ได้รับการแจ้งสิทธิ และไม่เคยให้การใดๆ ต่อเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยื่นเอกสารดังกล่าว ให้ธนาธรพร้อมแจ้งว่า วันพรุ่งนี้ไม่ต้องไปรายงานตัวตามหมายเรียกแล้ว เนื่องจากมีการแจ้งข้อกล่าวหาและสอบสวนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้บันทึกคำให้การดังกล่าว ระบุคำให้การของเขาว่า เขาไม่มีทนายความและไม่ประสงค์ที่จะให้พนักงานสอบสวนจัดหาทนายความหรือบุคคลที่เขาไว้วางใจหรือผู้หนึ่งผู้ใดร่วมฟังการสอบสวน และยังระบุว่าเขาไม่มีถ้อยคำอื่นที่จะให้การเพิ่มเติมอีก ซึ่งไม่เป็นความจริง เนื่องจากเขามีทนายความและต้องการพบและปรึกษากับทนายความก่อนเข้ารับทราบข้อหา
กล่าวได้ว่ากระบวนการดังกล่าวไม่เป็นไปกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและมีความเร่งรัดอย่างผิดวิสัยหลายประการ เมื่อทนายความสอบถามขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชี้แจงเหตุการณ์ดังกล่าว ได้คำตอบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินกระบวนการแจ้งข้อกล่าวหาและสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว พร้อมสรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการ โดยวันที่ 27 ต.ค. 2564 ผู้ต้องหาจะมาตามหมายเรียกหรือไม่ก็ได้ และผู้ต้องหามีสิทธิจะมีทนายความหรือไม่ก็ได้ เป็นสิทธิของผู้ต้องหา
ทั้งนี้ ในเอกสารแจ้งข้อกล่าวหาที่ธนาธรได้รับมา ระบุว่าคณะทำงานคดีความมั่นคง ภาค 5 ได้ร่วมประชุมพิจารณาเห็นว่าเข้าข่ายเป็นความผิด มีมติให้จัดให้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับผู้ต้องหา จากพฤติการณ์การชุมนุมคาร์ม็อบ “ล้านนาต้านศักดินาทัวร์” เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2564 ที่หน้าตำรวจภูธรภาค 5 ต่อเนื่องอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ หลังจากการรับทราบข้อกล่าวหาก่อนหน้านี้ มีการแจ้งพฤติการณ์เฉพาะกรณีกิจกรรมที่อนุสาวรีย์สามกษัตริย์
ในข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ได้ระบุถึงพฤติการณ์ที่ผู้ต้องหาได้อ่านแถลงการณ์ และยื่นหนังสือเรียกร้องไว้ให้กับนายตำรวจเวรรักษาการณ์ที่หน้าตำรวจภูธรภาค 5 โดยเอกสารข้อเรียกร้องดังกล่าวมีข้อความ “เป็นความผิดของสถาบันกษัตริย์ ที่เห็นแก่อำนาจและผลประโยชน์ของตนเองสำคัญกว่าชีวิตและเสรีภาพของประชาชนในประเทศ” ในบรรทัดที่ 15 ซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
นอกจากแจ้งพฤติการณ์เพิ่มแล้ว ตำรวจยังระบุข้อกล่าวหาอื่นๆ เพิ่มเติมอีก คือ ร่วมกันจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค ฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งในการแจ้งข้อกล่าวหาก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ระบุข้อหานี้ไว้ด้วย
ในบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดทำขึ้นเอง ยังระบุว่าเขาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และเจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้บังคับ ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือกระทำการมิชอบด้วยประการใดๆ แต่อย่างใด
(อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/37008) -
วันที่: 18-11-2021นัด: ยื่นฟ้องพนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ยื่นฟ้องธนาธรต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ ในข้อหา "หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ" ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, ร่วมกันจัดกิจกรรมและร่วมกันชุมนุมที่มีการรวมตัวกันมากกว่า 20 คน ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด โดยไม่ได้รับอนุญาต ฝ่าฝืนข้อกำหนดและคำสั่งที่ออกตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ มาตรา 34
ทั้งนี้ อัยการกล่าวหาว่า ธนาธรหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ จากการอ่านแถลงการณ์ประกาศหน้าตำรวจภูธรภาค 5 มีข้อความกล่าวถึง "สถาบันกษัตริย์" และปราศรัยหน้าอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ มีข้อความที่ทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่าสื่อถึงรัชกาลที่ 10 โดยประการที่น่าจะทำให้กษัตริย์เสื่อมเสียพระเกียรติ
ท้ายฟ้อง อัยการคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว และขอให้ศาลนับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ของศาลจังหวัดลำพูนด้วย
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดเชียงใหม่ คดีหมายเลขดำที่ อ.1304/2564 ลงวันที่ 18 พ.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/38049) -
วันที่: 19-11-2021นัด: รายงานตัวต่อศาล (รับทราบฟ้อง)เวลา 09.00 น. ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ธนาธรเดินทางเข้ารายงานตัวต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ หลังเจ้าหน้าที่ศาลติดต่อให้เข้ารายงานตัว เนื่องจากพนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ได้ยื่นฟ้องคดีแล้ว
กระทั่งเวลาประมาณ 11.00 น. มีเจ้าหน้าที่ศาลเรียกธนาธรให้เข้าไปอยู่ในห้องขังเพื่อควบคุมตัวใต้ถุนศาล หลังจากนั้นทนายความได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างพิจารณาโดยใช้สัญญาประกันเดิมในชั้นสอบสวน
ต่อมา ผู้พิพากษาได้อ่านฟ้องให้ธนาธรฟัง และถามคำให้การจำเลยผ่านจอภาพซึ่งคอนเฟอเรนซ์มาจากห้องพิจารณา เขาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ระหว่างการรอปล่อยตัวชั่วคราวมีเพื่อนนักศึกษาและอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตัวแทนจากสภานักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มารอให้กำลังใจ และรอคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราวที่ศาลด้วย
จนกระทั่งเวลาประมาณ 16.00 น. ศาลจังหวัดเชียงใหม่มีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวธนาธร โดยใช้หลักประกันเดิม คือใช้ตำแหน่งอาจารย์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รวมแล้วธนาธรถูกควบคุมตัวอยู่ในห้องขังนาน 5 ชั่วโมง
ศาลยังกำหนดให้จำเลยเข้ารายงานตัวกับผู้ใหญ่บ้าน ที่ถูกตั้งเป็นผู้กำกับดูแลทุกๆ 15 วัน หรือเดือนละ 2 ครั้งอีกด้วย และกำหนดวันนัดพร้อมคดีต่อไปในวันที่ 21 มี.ค. 2565 เวลา 09.00 น.
(อ้างอิง:คำฟ้อง ศาลจังหวัดเชียงใหม่ คดีหมายเลขดำที่ อ.1304/2564 ลงวันที่ 18 พ.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/38049) -
วันที่: 21-03-2022นัด: พร้อมนัดพร้อมเพื่อสอบคําให้การและตรวจพยานหลักฐาน นรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายจําเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี ระบุเหตุผลว่า เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นทนายความ ทําให้ยังไม่มีโอกาสได้สอบข้อเท็จจริงและปรึกษาหารือกับจําเลยเกี่ยวกับแนวทางคดี ประกอบกับทนายจําเลยติดนัดพิจารณาคดีอื่นที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ทําให้ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ ศาลอนุญาตเลื่อนนัดสอบคําให้การและตรวจพยานหลักฐานไปเป็นวันที่ 6 มิ.ย. 2565 เวลา 09.00 น.
-
วันที่: 06-06-2022นัด: ตรวจพยานหลักฐานโจทก์แถลงขอสืบพยานบุคคล 9 ปาก ด้านทนายจำเลยขอสืบพยานบุคคล 10 ปาก แต่ศาลสั่งตัดพยานรวม 5 ปาก ได้แก่ พล.อ.ประยุทธ์, กรรมการบริษัทสยามไบโอไซน์, เลขาธิการสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และ รมต.กระทรวงสาธารณสุข กำหนดนัดสืบพยานฝ่ายละ 2 นัด ในวันที่ 16-19 พ.ค. 2566
-
วันที่: 16-05-2023นัด: สืบพยานโจทก์ก่อนเริ่มการสืบพยาน จำเลยได้แถลงขอให้การรับสารภาพตามฟ้องในกรณีการปราศรัยที่ลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ไม่ขอต่อสู้ในกระทงนี้ แต่ยังขอต่อสู้ว่ากรณีการอ่านแถลงการณ์ที่หน้ากองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ไม่เข้าข่ายองค์ประกอบมาตรา 112 และกิจกรรมไม่เป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
สืบพยานโจทก์ทั้งหมด 6 ปาก พยานจำเลย 3 ปาก ก่อนการสืบพยาน ฝ่ายอัยการโจทก์ยังได้ยื่นบัญชีพยานหลักฐานเพิ่มเติม เป็นไฟล์คลิปวิดีโอการกล่าวปราศรัยของจำเลย ศาลได้รับไว้ โดยเปิดให้คู่ความตรวจสอบ นอกจากนั้นระหว่างเริ่มสืบพยาน ฝ่ายโจทก์ได้ขอเปิดคลิปวิดีโอพยานหลักฐาน เฉพาะในส่วนที่จำเลยอ่านแถลงการณ์ที่หน้าตำรวจภูธรภาค 5 ซึ่งมีความยาวประมาณ 3 นาที
ในภาพรวมของการสืบพยานฝ่ายโจทก์ เบิกความคล้ายคลึงกันว่า ประโยคหนึ่งในแถลงการณ์ที่จำเลยอ่าน สื่อถึงพระมหากษัตริย์ และเข้าใจได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นสถาบันฯ ทั้งการชุมนุมดังกล่าวไม่ได้มีการขออนุญาตต่อเจ้าพนักงาน ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และไม่มีมาตรการป้องกันโรค ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19
ในส่วนของการต่อสู้คดีของฝ่ายจำเลย จำเลยระบุว่า ตนเป็นเพียงผู้อ่านแถลงการณ์ที่ได้รับมาเท่านั้น และเนื้อหาในแถลงการณ์ดังกล่าวเป็นข้อเรียกร้องต่อทางตำรวจ และวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มผู้มีอำนาจซึ่งเป็นชนชั้นนำโดยรวม โดยไม่ได้เจาะจงตัวบุคคลใด ทั้งองค์ประกอบของมาตรา 112 ไม่ได้คุ้มครองทั้ง “สถาบันพระมหากษัตริย์” แต่คุ้มครองเฉพาะบุคคลใน 4 สถานะตามที่บัญญัติในตัวบท
นอกจากนั้นจำเลยยังไม่ได้เป็นผู้จัดกิจกรรมดังกล่าว แต่เป็นผู้เข้าร่วม ซึ่งได้มีมาตรการระมัดระวังในการแพร่ระบาดของโรคแล้ว โดยฝ่ายจำเลยนำพยานนักวิชาการทางกฎหมายและภาษาไทย เข้าเบิกความถึงความเห็นต่อแถลงการณ์ที่จำเลยอ่านด้วย
++ผู้กล่าวหาเข้าแจ้งความ เห็นว่าจำเลยกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ในขณะปราศรัย
พยานโจทก์ปากที่ 1 ว่าที่ พ.ต.ท.เฉลิมพล บุญทาวัน ผู้กล่าวหาในคดีนี้ เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุ พยานรับราชการสารวัตรสืบสวน สภ.แม่ปิง ในวันที่ 11 ส.ค. 2564 เพจเฟซบุ๊กของพรรควิฬาร์ได้โพสต์เรื่องการจัดกิจกรรมคาร์ม็อบ “ล้านนาต้านศักดินาทัวร์” ตัวพยานจึงถูกเรียกไปสังเกตการณ์การชุมนุม เพราะในช่วงดังกล่าวนั้น มีการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง และมีข้อเรียกร้องต่อทางตำรวจให้ปฏิบัติตาม
ในวันที่ 15 ส.ค. 2564 วันเกิดเหตุ ชุดความมั่นคงของ สภ.แม่ปิง จัดประชุมชี้แจงการปฏิบัติงาน จากนั้นจึงลงพื้นที่เฝ้าระวังในช่วงเวลาประมาณ 12.20 น. โดยตอนบ่ายเริ่มมีกลุ่มผู้ชุมนุมเข้ามาและไม่ได้แจ้งการชุมนุม ลักษณะการรวมตัวมีการปิดเลนถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ และเปิดให้ใช้สัญจรเพียงทางหลัก
ต่อมา ผู้กำกับ สภ.แม่ปิง ในขณะนั้น ได้ประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงให้ผู้ชุมนุมนั้นชุมนุมโดยสงบ การปราศรัยของผู้ชุมนุมเริ่มต้นขึ้นเวลาประมาณ 15.15 น. ผ่านรถที่ติดตั้งเครื่องขยายเสียง ก่อนเคลื่อนขบวนไปยังกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 มีผู้เข้าร่วมโดยรวมประมาณ 500 คน ใช้รถยนต์ส่วนตัวประมาณ 150 คน รถจักรยานยนต์ประมาณ 300 คน โดยบริเวณที่จัดกิจกรรมนั้นเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ผู้เข้าร่วมการชุมนุมอยู่ห่างกันพอสมควร
เหตุที่ผู้ชุมนุมไปยังตำรวจภูธรภาค 5 เพื่อยื่นหนังสือข้อเรียกร้องต่อผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ในเวลาประมาณ 16.00 น. ผู้กำกับ สภ.แม่ปิงได้ชี้แจงต่อผู้ชุมนุมอีกรอบเมื่อผู้ชุมนุมได้มาถึง และการปราศรัยก็อยู่ในลักษณะกีดขวางการจราจร ไม่มีการแจ้งการชุมนุมและขอใช้เครื่องขยายเสียง
พยานเบิกความต่ออีกว่า จำเลยได้อ่านแถลงการณ์ในเวลาประมาณ 16.25 น. และได้กล่าวพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ชุดความมั่นคงได้บันทึกเอาไว้ และได้ยื่นเอกสาร ทั้งยังมีกิจกรรมปามะเขือเทศใส่หน้ารูปพลเอกประยุทธ์ ก่อนเดินทางต่อไปยังอนุสาวรีย์สามกษัตริย์
ทนายจำเลยถามค้าน พยานตอบว่า ได้เข้าไปดูเพจพรรควิฬาร์ ไม่ได้เป็นผู้ติดตามเพจ แต่มีเจ้าหน้าที่ สภ.แม่ปิง ชุดความมั่นคง กดติดตามไว้ เจ้าหน้าที่ชุดความมั่นคงมีวัตถุประสงค์เพื่อปฏิบัติงานสืบสวน ป้องกันและปราบปราม เพื่อความคล่องตัวและความสะดวกในการติดตามกรณี ตั้งมานานแล้วก่อนมีการชุมนุม
เมื่อมีการประกาศจัดกิจกรรม พยานไม่ได้ส่งข้อความไปเตือนให้แอดมินเพจทราบ เกี่ยวกับกฎหมายการชุมนุม พยานไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ก่อตั้งและใครเป็นหัวหน้ากลุ่มพรรควิฬาร์ และไม่ทราบว่ากลุ่มล้านนาต้านศักดินา เป็นคนละกลุ่มกับพรรควิฬาร์ ทั้งยังไม่ทราบว่าใครเป็นคนโพสต์ประชาสัมพันธ์ในเพจพรรควิฬาร์
พยานทราบว่า ข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม สื่อถึงช่วงเกิดเหตุที่ประชาชนไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาล หลังวันเกิดเหตุ ไม่ได้มีข้อมูลว่ามีประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุม
พยานรับว่า รถส่วนตัวที่เข้าร่วมขบวนจะขับตามกันเป็นขบวน แม้มีกลุ่มผู้ชุมนุมบางคนลงจากรถมา แต่ก็โดยสวมหน้ากากอนามัย และไม่ถึงขนาดนั่งอยู่กับที่จนแออัด ทั้งช่วงเวลาดังกล่าวอากาศปลอดโปร่ง ทางตำรวจก็ไม่ได้เชิญเจ้าหน้าที่สาธารณสุขให้มาคัดกรองผู้เข้าร่วม ทั้งตัวพยานก็ไม่ได้มีอาการที่เสี่ยงติดเชื้อโควิด-19
ในการอ่านแถลงการณ์ของจำเลย พยานระบุว่าใช้เวลาอ่านประมาณ 7 นาที เนื้อหาหลักเป็นการโจมตีการทำงานของรัฐบาลและตำรวจ โดยอ้างว่าตำรวจไม่ได้ออกมาปกป้องผู้ชุมนุม ส่วนการแสดงออกโดยปามะเขือเทศใส่ภาพ พล.อ.ประยุทธ์ นั้น ไม่มีสัญลักษณ์ใดที่หมายถึงสถาบันกษัตริย์
พยานรับว่า ข้อความในแถลงการณ์ทั้งหมดเป็นการสื่อถึงชนชั้นนำในสังคม ไม่ได้เจาะจงถึงใครคนใดคนหนึ่ง และพยานไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ร่างเนื้อหา แต่เห็นว่าผู้ชุมนุมได้ปรินท์เอกสารมายื่นกับเจ้าหน้าที่ โดยมีผู้แทนของผู้บัญชาตำรวจภูธรภาค 5 มารับ ทั้งยังแจกกับประชาชนทั่วไป
พยานเบิกความว่า ข้อความที่จำเลยแถลงได้มีการบันทึกภาพเคลื่อนไหวไว้ และผู้กล่าวหาได้ไปแจ้งความตามมาตรา 112 ต่อจากนั้นผู้ชุมนุมก็ได้เคลื่อนพลไปหน้าอนุสาวรีย์สามกษัตริย์
++พยานนักวิชาการกฎหมาย อ่านแถลงการณ์แล้วมองว่าเข้าข่าย ม.112 แม้ไม่ได้เจาะจงตัวบุคคล
พยานโจทก์ปากที่ 2 ผศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ นวานุช คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ เบิกความว่า วันที่ 27 ต.ค. 2564 สภ.เมืองเชียงใหม่ ได้เรียกพยานไปถามความคิดเห็นในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านนิติศาสตร์ ว่าข้อความที่จำเลยอ่านในแถลงการณ์ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือไม่ โดยให้ดูคลิปที่จำเลยอ่านแถลงการณ์และปราศรัย
พยานเห็นว่าในช่วงหนึ่งของแถลงการณ์ที่มีการกล่าวถึงความผิดของสถาบันกษัตริย์นั้น เข้าข่ายมาตรา 112 พยานเห็นว่า ข้อความพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ในลักษณะที่ว่าเห็นแก่อำนาจและผลประโยชน์มากกว่าเสรีภาพของประชาชน นับเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ และยังให้ความเห็นต่อคำปราศรัยของจำเลยที่อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ในลักษณะเดียวกัน
เมื่อทนายจำเลยถามค้าน พยานเบิกความว่า ได้ดูจากคลิปที่จำเลยอ่านแถลงการณ์อย่างน้อยประมาณ 20 นาที ไม่เกิน 1 ชั่วโมง มีลักษณะใกล้เคียงกับการปราศรัยบางส่วน นอกจากนั้น พนักงานสอบสวนได้ให้พยานอ่านเอกสารแถลงการณ์ด้วย
พยานรับว่า ข้อเรียกร้องตามแถลงการณ์นั้นเรียกร้องต่อตำรวจเป็นหลัก ในส่วนของความไม่พอใจต่อรัฐบาล นายทุน สถาบันที่มีอำนาจต่าง ๆ กล่าวแบบไม่ได้เจาะจง เว้นแต่ข้อความว่าสถาบันกษัตริย์ ในส่วนนี้เจาะจงเป็นการระบุชัดเจนถึงสถาบัน ไม่ใช่ตัวบุคคล
พันธุ์ทิพย์ตอบอัยการโจทก์ถามติงว่า ในความเห็นส่วนตัวพยาน สถาบันกษัตริย์ดังกล่าวนั้น หมายรวมถึงในหลวงรัชกาลที่ 10 เป็นลักษณะที่ทำให้พระองค์ท่านถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง
++ตำรวจผู้รับหนังสือข้อเรียกร้องแทน เพียงเปิดดูคร่าว ๆ ไม่ทราบว่าผิดกฎหมายหรือไม่
พยานโจทก์ปากที่ 3 พ.ต.ท.สุรชัย ท่างาม เบิกความว่า ในวันเกิดเหตุพยานเป็นร้อยตำรวจเวรที่ภูธรภาค 5 มีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อย เวลาประมาณ 16.00 น. ผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนมาอยู่ที่บริเวณหน้าตำรวจภูธรภาค 5 โดยตัวพยานทราบเรื่องนี้จากโซเชียลมีเดียว่าจะมีกลุ่มผู้ชุมนุมเข้ามายื่นหนังสือข้อเรียกร้อง และพยานได้รับคำสั่งมาจากผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ให้มารับหนังสือแทน
เมื่อได้ยินเสียงประกาศจากผู้ชุมนุม พยานจึงเดินออกไปยังบริเวณที่ชุมนุมกับตำรวจอีก 2 นาย โดยพยานได้เข้าไปพูดคุยกับจำเลยซึ่งทราบชื่อในภายหลัง สาเหตุที่ตอนนั้นพยานคุยแค่กับจำเลย เพราะเวลานั้นมีเพียงจำเลยที่ถือไมค์ พยานก็ยืนฟังปราศรัย แต่จำเนื้อหาไม่ได้ เพราะคนเยอะประมาณ 100 คน มีความแออัด ผู้ชุมนุมสวมหน้ากากอนามัยบ้าง ไม่สวมบ้าง
เมื่อมีการมอบหนังสือให้พยานและถ่ายรูปร่วมกันแล้ว มีการให้สัมภาษณ์สื่อร่วมกัน มีใจความว่า พยานจะนำหนังสือไปให้ผู้บัญชาการ ขณะเดียวกันตอนพูดคุยจำเลยไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย และจำเลยได้ถามพยานว่า จะได้คำตอบจากผู้บัญชาการตำรวจภูธณภาค 5 เมื่อใด พยานตอบไปว่า ไม่ทราบเหมือนกัน และพยานก็ไม่ทราบว่า กลุ่มผู้ชุมนุมได้ขออนุญาตการชุมนุมแล้วหรือไม่ เนื่องจากเป็นเรื่องของ สภ.แม่ปิง พยานเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้แค่เพราะว่าเป็นผู้รับหนังสือข้อเรียกร้องจากจำเลยเท่านั้น
พ.ต.ท.สุรชัย ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานอยู่เพียงแค่จุดที่รับหนังสือเท่านั้น จำไม่ได้ว่าการจราจรติดขัดหรือไม่ มีการอ่านแถลงการณ์กี่นาที เพราะผ่านมานานแล้ว โดยตามภาพถ่ายจากเอกสาร ช่วงอ่านแถลงการณ์ จำเลยไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย แต่ช่วงยื่นหนังสือมีการสวมหน้ากากอนามัย
พยานยืนฟังที่จำเลยพูดตลอดและจำไม่ได้ว่าสื่อถึงตำรวจหรือไม่ เพราะเหตุการณ์ผ่านมานานแล้ว ตอนรับหนังสือร้องเรียนมา พยานก็เปิดดูคร่าว ๆ เท่านั้น จำไม่ได้ว่าเกี่ยวกับอะไร ผิดกฎหมายหรือไม่
++พยานผู้ขับรถผ่านที่ชุมนุม เห็นว่าการชุมนุมทำให้การจราจรติดขัด
พยานโจทก์ปากที่ 4 จุลพันธุ์ พิมพิสาร ทนายความ พยานเบิกความว่า พยานได้รับเชิญจาก สภ.เมืองเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2564 ให้ไปให้ความเห็นเกี่ยวกับมาตรา 112 ในฐานะประชาชนทั่วไป
วันเกิดเหตุ ตัวพยานเองขับรถผ่านบริเวณที่ชุมนุมหน้าตำรวจภูธรภาค 5 เพราะจะเดินทางไปสนามบิน พบว่าขบวนมีรถหลายคัน ทำให้เกิดรถติด เดินทางไม่สะดวก หากพยานทราบว่ามีกิจกรรมนี้ ก็จะไม่ใช้เส้นทางนั้น พยานยังได้ดูคลิปที่ตำรวจนำมาให้ดู ซึ่งเป็นการปราศรัยที่อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เห็นว่าเข้าข่ายมาตรา 112
++เจ้าหน้าที่สืบสวนติดตามกิจกรรมที่ลานสามกษัตริย์ เห็นว่าการปราศรัยกล่าวถึงสถาบันฯ
พยานโจทก์ปากที่ 5 พ.ต.ท.ตรีเพชร ป่าหวาย พนักงานสืบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ เบิกความว่า ช่วงเกิดเหตุนั้นมีการจัดชุมนุมหลายครั้ง อาทิ บริเวณประตูท่าแพ อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ซึ่งเป็นพื้นที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
เวลาประมาณ 13.00 น. ของวันเกิดเหตุ พยานทราบว่าจะมีกลุ่มผู้ชุมนุมมา โดยได้รอฟังข่าวอยู่ที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ เพราะผู้ชุมนุมยังคงอยู่ในเขตดูแลของ สภ.แม่ปิง โดยทราบว่าผู้ชุมนุมไปยื่นหนังสือข้อเรียกร้องต่อผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และจะเคลื่อนขบวนไปต่อกันที่อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ พยานทราบแล้วไปรอที่จุดหมาย โดยขณะนั้นมีประกาศห้ามชุมนุมอยู่เพราะสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งจังหวัดเชียงใหม่อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด ห้ามมีการชุมนุมเกินกว่า 20 คน
ต่อมา ผู้กำกับ สภ.เมืองเชียงใหม่ ได้ขึ้นรถกระบะแล้วใช้เครื่องขยายเสียงประกาศต่อผู้ชุมนุมว่า การชุมนุมนี้ยังไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ผู้ชุมนุมโห่ร้องและไม่ได้ยุติการชุมนุม จากนั้นมีแกนนำขึ้นมาปราศรัยโจมตีรัฐบาล โดยจำเลยปราศรัยในลำดับที่ 3 มีการกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนเรื่องอื่น ๆ พยานจำไม่ได้ โดยในบริเวณที่มีการชุมนุม พยานเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอยู่ด้วย
พยานได้เบิกความว่า จำเลยได้ปราศรัยชวนทำกิจกรรมปามะเขือเทศจากเกษตรกรใส่ภาพใบหน้าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และมีการเอ่ยชื่อในหลวงรัชกาลที่ 10 ในส่วนนี้พยานไม่ขอเบิกความว่า จำเลยได้พูดอะไร
ก่อนการชุมนุมยุติเวลาประมาณ 19.00 น. เพราะหมดกิจกรรมและฝนตก ในวันดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่ตำรวจบันทึกวิดีโอไว้ และเห็นว่าเข้าข่ายมีความผิดมาตรา 112 จากนั้นพยานได้รับหนังสือจากตำรวจภูธรภาค 5 ให้ดำเนินคดีต่อผู้จัดกิจกรรมในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
พ.ต.ท.ตรีเพชร ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานติดตามเรื่องนี้จากโซเชียลมิเดีย คือเฟซบุ๊กเพจพรรควิฬาร์ พยานระบุว่า ทราบว่าจำเลยเป็นแอดมินเพจดังกล่าวด้วย แต่ไม่มีพยานหลักฐาน เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน โดยพยานไม่เคยทำคดีเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และไม่ได้ทำเรื่องขอให้กระทรวงดิจิทัลฯ ช่วยตรวจพิสูจน์
พยานยังไม่ได้ให้หน่วยงานด้านสาธารณสุขมาให้ความเห็นว่า กิจกรรรมนี้เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิดหรือไม่ พยานรับว่า กิจกรรมคาร์ม็อบ คือการใช้รถในการชุมนุมเป็นหลัก และใช้เครื่องขยายเสียง ตามภาพถ่ายในคดี การชุมนุมมีการเว้นระยะห่างกันแล้วในระดับหนึ่ง สถานที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ได้หนาแน่น ผู้เข้าร่วมคนอื่น ๆ เองก็ไม่ได้แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ใด ๆ เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์
พ.ต.ท.ตรีเพชร ตอบอัยการโจทก์ถามติงว่า ตนรับหน้าที่เพียงแต่สังเกตการณ์กิจกรรมเป็นหลัก เพื่อไม่ให้มีการกระทบกระทั่งกัน ส่วนรถคันที่พยานคิดว่าเป็นแกนนำคือคันที่มีเครื่องขยายเสียง ซึ่งจำเลยเป็นคนถือไมค์ ส่วนเรื่องการแจ้งการชุมนุมนั้น พยานไม่ทราบรายละเอียด
++รองสารวัตรสืบสวนยืนยันการจัดชุมนุมไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน
พยานโจทก์ปากที่ 6 ร.ต.อ.ธนกฤต นิธิกุลกาญน์ กองกำกับการสืบสวนสอบสวนของตำรวจภูธรภาค 5 เบิกความถึง ในขณะที่เกิดเหตุ พยานเป็นรองสารวัตรสืบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ ในช่วงเกิดเหตุมีประกาศห้ามชุมนุมหรือรวมกลุ่มเกิน 20 คน เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน โดยกิจกรรมตามฟ้องนี้ ไม่ได้การแจ้งขออนุญาตจัดกิจกรรมจากเจ้าพนักงาน
(อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/58484) -
วันที่: 19-05-2023นัด: สืบพยานจำเลย++“ฮ่องเต้” เข้าร่วมกิจกรรมจริง แต่ไม่ได้เป็นคนจัด ข้อเรียกร้องคือให้ตำรวจไม่ใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม
พยานจำเลยปากที่ 1 ธนาธร วิทยเบญจางค์ หรือ ฮ่องเต้ อายุ 23 ปี กำลังเตรียมศึกษาต่อระดับปริญญาโท ที่สาขาปรัชญา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเพิ่งจบการศึกษาระดับชั้นปริญญาตรี คณะมนุษย์ศาสตร์ สาขาปรัชญาและศาสนา ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในปีการศึกษา 2566
ในช่วงเกิดเหตุนั้น มีข่าวโยกย้ายผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 มาจากกรุงเทพฯ ซึ่งปรากฏว่าเป็นคน ๆ เดียวกับตำรวจที่ควบคุมฝูงชนและเกี่ยวข้องกับสลายการชุมนุมอย่างรุนแรงในกรุงเทพฯ พยานทราบข่าวจากพี่น้องเสื้อแดงและได้ชวนพยานมาร่วมจัดกิจกรรมคาร์ม็อบ เพื่อเรียกร้องให้ตำรวจไม่ใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม โดยจะมีขบวนรถประมาณ 5 สาย หลัก ๆ คือจะเป็นคนเสื้อแดงที่มาเข้าร่วม
ในวันเกิดเหตุ วันที่ 15 ส.ค. 2564 มีรุ่นพี่นักศึกษามารับพยานที่บ้านเวลาประมาณ 11.00 น. ไปยังถนนซุปเปอร์ไฮเวย์เชียงใหม่-ลำปาง เส้นขาเข้าเชียงใหม่ และรุ่นพี่ที่ไปรับ ก็เข้าร่วมการชุมนุมด้วยเช่นกัน เมื่อไปถึงก็มีมวลชนเสื้อแดงเริ่มตั้งขบวนแล้ว หน้าขบวนจะมีรถติดตั้งเครื่องขยายเสียงอยู่ แต่เป็นของผู้ใดไม่ทราบ
ต่อมาเวลาประมาณ 14.00 น. เริ่มเคลื่อนขบวน พยานจำสถานที่ไม่ได้ แต่จำได้ว่าเข้าคูเมือง ขบวนรถเคลื่อนตัวไปเรื่อย ๆ จนไปที่หน้าตำรวจภูธรภาค 5 ในเวลาประมาณ 16.00 น. มีมวลชนนำหนังสือข้อเรียกร้องที่เป็นแถลงการณ์มาให้พยาน เหตุที่ต้องเลือกพยานเป็นคนอ่าน เพราะพยานเป็นนักศึกษา ขณะที่พยานอ่านแถลงการณ์ก็มีตำรวจและนักข่าวรออยู่ก่อนแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีการห้ามไม่ให้อ่านแต่อย่างใด
ธนาธรระบุว่า เข้าใจว่าผู้ชุมนุมทุกคนสวมหน้ากากอนามัยและพกเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ มวลชนเองก็เตรียมอุปกรณ์ป้องกันโควิดมาเอง
พยานอ่านแถลงการณ์ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที โดยมีตำรวจมารับเอกสารแถลงการณ์ พยานจึงสอบถามไปด้วยว่าจะมีการตอบรับกลับมาเมื่อไร ตำรวจตอบพยานว่าไม่ทราบ แถลงการณ์นั้นได้มีการแจกจ่ายนักข่าวและประชาชนด้วย และพยานมาทราบทีหลังว่าจะมีกิจกรรมปามะเขือเทศใส่รูป พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อ
ในส่วนของความเกี่ยวข้องของพยานและพรรควิฬาร์นั้น ชื่อกลุ่มมีที่มาเหตุแมวของพยานตาย พยานจึงสร้างเพจขึ้นมาเพื่อเรียกร้องสวัสดิการณ์ของสัตว์ มีสมาชิกประมาณ 10 คน โดย “วิฬาร์” หมายถึงแมว สมาชิกคือผู้คนที่เลี้ยงแมวเหมือนกัน มีผู้ดูแลเพจหลายคน
สำหรับโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์กิจกรรมการชุมนุม ถูกจัดทำขึ้นโดยกลุ่มอื่น พยานเองไม่ทราบว่าผู้ใด ทางเพจพรรควิฬาร์ถูกชักชวนให้เข้าร่วมกิจกรรมด้วย จึงมีการโพสต์โปสเตอร์กิจกรรมลงหน้าเพจ โดยมีการเผยแพร่ในเพจกลุ่มประชาคมมอชอด้วย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลุ่มนักกิจกรรม การโพสต์โปสเตอร์กิจกรรมถูกทำโดยแอดมินคนอื่น ซึ่งไม่ใช่พยาน แต่พยานได้แชร์ลงสู่เฟซบุ๊กส่วนตัวด้วย กิจกรรมในครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นคนเสื้อแดง สำหรับพรรควิฬาร์มีสมาชิกที่เข้าร่วมกิจกรรมประมาณ 4-5 คน
หลังเสร็จสิ้นกิจกรรมที่หน้าตำรวจภูธรภาค 5 แล้ว มีการเคลื่อนขบวนไปยังลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เพื่อไปเข้าร่วมกิจกรรมการชุมนุมอีกกิจกรรมหนึ่งซึ่งถูกจัดขึ้นโดยกลุ่มอื่น โดยตอนแรกพยานไม่ทราบว่ามีกิจกรรมต่อเนื่องที่ลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ด้วย เพิ่งได้ทราบขณะที่อยู่หน้าภาค 5 พยานจึงตัดสินใจเข้าร่วมกิจกรรมต่อเนื่องด้วย
ที่บริเวณลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ มีมวลชนอยู่บ้างแล้วประปราย กิจกรรมเป็นไปในลักษณะฟรีไมค์ โดยมีการนำรถเครื่องเสียงในขบวนต่อเนื่องจากที่หน้าตำรวจภูธรภาค 5 มา ผู้ร่วมชุมนุมสามารถร่วมพูดแสดงออกโดยไม่จำเป็นต้องขึ้นไปอยู่บนรถเครื่องเสียง ทั้งยังมีกิจกรรมดนตรี และมีเจ้าพนักงานไม่ทราบหน่วยมาตรวจวัดอุณหภูมิด้วย โดยผู้ชุมนุมยังมีการเว้นระยะห่างระหว่างกัน ต่อมาประมาณ 19.00 น. เริ่มมีฝนตกปรอย ๆ กิจกรรมจึงถูกยกเลิกไป
ส่วนการที่พยานกล่าวคำพูดในกิจกรรมฟรีไมค์ดังกล่าว เป็นที่มาของคดีนี้ เป็นไปเพราะเกิดความโมโหและสงสารนักศึกษาบางส่วนผู้ถูกจับกุมและดำเนินคดีตามมาตรา 112 ตามที่ปรากฏในข่าว ณ ช่วงนั้น ตัวพยานก็เป็นนักศึกษาเช่นเดียวกัน ประกอบกับการที่พยานเรียนในสาขาปรัชญา ก็ได้มีการเรียนการสอนในวิชาจริยธรรมด้วย จากนั้น พยานกลับมาทบทวนคำพูดของตนเอง และได้สำนึกในการกระทำดังกล่าวแล้ว
ธนาธรตอบอัยการโจทก์ถามค้านยืนยันว่า ไม่ใช่ผู้บริหารเพจของพรรควิฬาร์ตามที่อัยการพยายามถาม เป็นเพียงสมาชิกเท่านั้น และการที่ตนแชร์โพสต์ประชาสัมพันธ์ต่อที่เฟซบุ๊กส่วนตัวนั้น คิดว่าเป็นไปตามสิทธิในการแสดงออกเท่านั้น พยานระบุว่า ตนไม่ใช่ผู้ทำการไลฟ์สดในเพจ และไม่ทราบเรื่องการจัดเตรียมมาตรการป้องกันโควิด เนื่องจากเป็นการจัดกิจกรรมกันเองของมวลชน จึงไม่ได้มีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่รัฐ
อัยการถามว่าพยานทราบมาก่อนหรือไม่ ว่าในแถลงการณ์ที่พยานอ่านมีถ้อยคำเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ พยานเบิกความไม่ เนื่องจากเอกสารดังกล่าวเพิ่งถูกแจกจ่ายในช่วงกิจกรรม จึงทำให้พยานไม่ได้มีเวลาทำความเข้าใจมากพอ อีกทั้งเนื้อหาในเอกสาร ก็ยังมีการกล่าวถึงอีกหลายสถาบัน ได้แก่ กลุ่มทุน ชนชั้นบริหาร รัฐบาล และตำรวจด้วย พยานจึงเข้าใจว่าเป็นข้อเรียกร้องกับตำรวจและรัฐบาลเพียงเท่านั้น
ส่วนการที่พยานพูดในกิจกรรมฟรีไมค์ พาดพิงถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พยานรับสารภาพไปแล้วว่าการกระทำหรือคำพูดดังกล่าวไม่สมควร แต่การแสดงออกทั้งสองมีระยะเวลาห่างกันพอสมควร จึงเป็นกิจกรรมคนละช่วงเวลากัน
ธนาธรยังตอบทนายจำเลยถามติงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ว่า พยานไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือเป็นผู้จัดหาอุปกรณ์ต่าง ๆ ในกิจกรรมการชุมนุม ส่วนเอกสารคำแถลงการณ์ข้อเรียกร้อง พยานได้อ่านก่อนขึ้นแถลงหน้าตำรวจภูธรภาค 5 ไม่นาน และโดยเนื้อหาหลักเป็นการเรียกร้องต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและรัฐบาล เพื่อไม่ให้ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมในการชุมนุมสาธารณะ
ส่วนการที่พยานไม่ยินยอมลงลายมือชื่อในบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาในการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2564 บริเวณบ้านผู้ใหญ่บ้านนั้น เนื่องจากพยานไม่ทราบมาก่อนว่าจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม อีกทั้งพยานก็ไม่มีทนายความอยู่ด้วย จึงไม่กล้าเซ็นเอกสารใด ๆ พยานเบิกความเพิ่มเติมว่าตำรวจมีท่าทีไม่ยอม เช่นนั้นพยานจึงยืนยันไม่ยอมลงลายมือชื่อ
++นักวิชาการกฎหมายชี้ ม.112 คุ้มครองเฉพาะบุคคล 4 สถานะ เห็นว่าแถลงการณ์ที่จำเลยอ่าน เพียงแสดงความเห็นต่อชนชั้นนำโดยรวม
พยานจำเลยปากที่ 2 กฤษณ์พชร โสมณวัตร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้จัดทำความเห็นทางวิชาการประกอบคดีนี้ มีใจความว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นกฎหมายที่กำหนดความผิดและโทษทางอาญา เป็นกฎหมายที่ใช้เพื่อปกป้องเกียรติยศส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เท่านั้น องค์ประกอบความผิด คือ การกระทำ 3 ลักษณะ ได้แก่ 1) การดูหมิ่น 2) การหมิ่นประมาท และ 3) การแสดงความอาฆาตมาดร้าย ต่อบุคคล 4 สถานะ ได้แก่ พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นอกจากนี้ ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดต้องมีเจตนาในการกระทำ ได้แก่ เจตนาประสงค์ต่อผลและเจตนาเล็งเห็นผล
พฤติการณ์ที่จำเลยถูกกล่าวหา คือจำเลยอ่านแถลงการณ์เรียกร้องต่อผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ โดยมีสาระสำคัญเป็นการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลในการแก้ปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นการติชมการทำงานของรัฐบาลเป็นหลัก
ลักษณะโดยรวมของข้อความทั้งหมดจึงเป็นการแสดงความอึดอัดคับข้องใจต่อสังคมไทยในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 เพราะจำเลยกล่าวถึงความสัมพันธ์เชิงชนชั้นระหว่างประชาชนกับชนชั้นนำทุกภาคส่วนของสังคมไทย ทั้งชนชั้นนำทางเศรษฐกิจ (นายทุน) ชนชั้นนำทางการเมือง (รัฐบาลและพรรคการเมือง) และชนชั้นนำทางวัฒนธรรม (สถาบันพระมหากษัตริย์) ต่อปัญหาสังคมที่หลากหลาย เนื้อหาสาระโดยรวมจึงมิใช่การยืนยันข้อเท็จจริงต่อบุคคล แต่เป็นการแสดงความคิดเห็นต่อชนชั้นนำไทยโดยรวม ซึ่งมิใช่ลักษณะของการ “ใส่ความ”
การวิพากษ์สังคมชนชั้นนำไทยโดยรวม ตลอดจนการวิพากษ์สถาบันพระมหากษัตริย์นั้นย่อมเห็นได้ชัดว่ามิใช่การมุ่งใส่ความบุคคลใดโดยเฉพาะ ซึ่งในการใช้กฎหมายและตีความกฎหมายนั้นต้องตีความตามวิสัยของวิญญูชน ซึ่งหมายถึงบุคคลทั่วไปที่มีความเป็นกลางทางการเมือง
การตีความข้อเท็จจริงคำว่า “สถาบันกษัตริย์” ให้หมายถึง “พระมหากษัตริย์” เพื่อให้เกิดผลเป็นการลงโทษบุคคลนั้น จึงขัดต่อวิธีการใช้กฎหมายอาญาที่ปรากฏอยู่ในตำรากฎหมายอาญาทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ และไม่ถูกต้องตามความหมายของคำว่า “สถาบัน” อีกด้วย
ดังนั้น คำว่า “สถาบันกษัตริย์” จึงสื่อถึงความเป็นองค์รวมขององคาพยพทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ โดยที่อย่างน้อยที่สุดย่อมต้องรวมถึงรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยพระมหากษัตริย์ แบบแผนประเพณีในราชสำนัก คณะองคมนตรี สำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ สำนักพระราชวัง เครือข่ายพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และองค์พระมหากษัตริย์ ฯลฯ
การกล่าวถึงปัญหาสังคมไทยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โดยอ้างถึงชนชั้นนำโดยรวม ทั้งรัฐบาล นายทุน เจ้าหน้าที่รัฐ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ประกอบกับการที่สถาบันพระมหากษัตริย์มีความหมายที่กว้างขวางกินความ ทั้งองค์กร บุคคล กฎเกณฑ์ และแบบแผนเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ข้อความที่จำเลยอ่านแถลงการณ์จึงมีความหมายที่คลุมเครือและไม่สื่อความหมายถึงบุคคลใดในลักษณะที่จะเป็นการลดศักดิ์ศรีของบุคคล หรือทำให้เกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียงของบุคคลใดอย่างเฉพาะเจาะจง
ธนาธรตอบอัยการโจทก์ถามค้านรับว่า ลักษณะการอ่านแถลงการณ์ของจำเลยเป็นการอ่านต่อหน้าผู้ชุมนุมไม่ได้อ่านต่อหน้าเจ้าหน้าที่โดยตรง ซึ่งเป็นการกล่าวถึงบุคคลที่ 3 แต่เห็นว่าแถลงการณ์นี้ต้องอ่านเนื้อหาทั้งหมดประกอบกัน คิดว่าบุคคลทั่วไปสามารถแยกแยะระหว่างสถาบันฯ และพระมหากษัตริย์ออกได้ ถ้อยคำในแถลงการณ์เขียนชัดเจนว่ากล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ กลุ่มทุน รัฐบาล ตำรวจ
++นักวิชาการภาษาไทย เห็นว่าการอ่านแถลงการณ์ต้องอ่านภาพรวม ผู้รับสารคือผู้พิทักษ์สันติราษฎร ทั้งคำว่า “สถาบัน” กว้างกว่าตัวบุคคล
พยานจำเลยปากที่ 3 อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้ความเห็นว่า การจะเข้าใจเนื้อหาของแถลงการณ์ในคดีนี้นั้น ต้องอ่านภาพรวมทั้งฉบับ และชื่อหัวข้อแถลงการณ์เองก็ระบุถึงผู้รับสารคือ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร” และมีลักษณะเป็นข้อเรียกร้องต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ
พยานได้จัดทำความเห็นของตนต่อแถลงการณ์ในคดีนี้ โดยเห็นว่าในแถลงการณ์ใช้คำว่า “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร” ประกอบด้วยเนื้อความ 4 ส่วน ได้แก่ ชื่อเรื่อง (บรรทัดบนสุดที่จัดหน้ากึ่งกลางและพิมพ์ตัวหนา) คำขึ้นต้น (บรรทัดต่อมาที่พิมพ์ตัวหนา) เนื้อหาสามย่อหน้าแรก และเนื้อหาที่เหลือ โดยเนื้อหาสามย่อหน้าแรกเป็นการกล่าวถึงปัญหาการบริหารประเทศของรัฐบาล อันเป็นที่มาของการชุมนุมและเสนอข้อเรียกร้องต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในเนื้อหาที่เหลือ
จะเห็นได้ว่า ข้อความที่ปรากฏเป็นเพียงความคิดเห็นต่อรัฐบาลในฐานะองค์กรที่ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน เพื่อโน้มน้าวเจ้าหน้าที่ตำรวจให้คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนและปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรม
พยานเห็นว่าคำว่า “สถาบัน” คือเป็นสถาบันประเภทหนึ่ง และมีความหมายแตกต่างจากคำว่า “พระมหากษัตริย์” คำประสมต่าง ๆ ในภาษาไทยที่มีหน่วยคำ “สถาบัน” เป็นส่วนหลัก สามารถจำแนกความหมายออกได้เป็น 2 แง่มุม แง่มุมแรกหมายถึงองค์กรหรือหน่วยงาน เช่น ประโยค “มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นสถาบันการศึกษา” และ “ธนาคารกรุงไทยเป็นสถาบันการเงิน” ในประโยคทั้งสองประโยคนี้ บ่งชี้ถึงองค์กรหรือหน่วยงานที่มีพันธกิจด้านการศึกษาและการเงิน ตามลำดับ
ส่วนแง่มุมที่สองหมายถึงสถาบันทางสังคม ซึ่งหมายถึง “ยอดรวมของรูปแบบ ความสัมพันธ์ กระบวนการ และวัตถุอุปกรณ์ที่สร้างขึ้นเพื่อสนองประโยชน์สำคัญ ๆ ทางสังคมเรื่องใดเรื่องหนึ่ง” เช่น คำว่า “สถาบันครอบครัว” และ “สถาบันศาสนา” ทั้งสองคำนี้ไม่ได้มีความหมายบ่งชี้ถึงเพียงแค่บุคคลที่เกี่ยวข้องกับสถาบันนั้น ๆ แต่มีความหมายรวมถึงหน้าที่และแบบแผนการปฏิบัติต่าง ๆ ของสถาบันนั้น ๆ ด้วย
เมื่ออัยการโจทก์ถามค้าน พยานรับว่าลักษณะการพูดของจำเลยในการชุมนุม ไม่ได้พูดต่อตำรวจแบบสองต่อสอง ในส่วนของข้อเรียกร้องต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หมายถึง ข้อเรียกร้องมุ่งตรงไปที่ผู้รับสารเป็นหลัก ซึ่งก็คือตำรวจ แต่การกล่าวในการชุมนุมเป็นการอ่านต่อบุคคลที่ 3
อัยการถามว่า หากชาวบ้านหรือบุคคลทั่วไปจะเข้าใจว่าสถาบันกษัตริย์และพระมหากษัตริย์ มีความหมายเหมือนกันได้ใช่หรือไม่ พยานตอบว่า ไม่ได้ และตามเนื้อหาในแถลงการณ์ ไม่ได้เป็นการต่อว่า แต่เป็นการอธิบายการทำงานของกลุ่มสถาบันดังกล่าว
(อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/58484) -
วันที่: 21-08-2023นัด: ฟังคำพิพากษาเวลา 09.30 น. ธนาธรและครอบครัวเดินทางมาฟังคำพิพากษา ศาลอ่านคำพิพากษาโดยสรุปเฉพาะส่วนที่เป็นการพิเคราะห์ของศาล เนื่องจากคู่ความทุกฝ่ายทราบข้อเท็จจริงในคดีโดยละเอียดตลอดการสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้ว
สำหรับข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 กรณีคำปราศรัยบริเวณอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพนั้น เมื่อโทษขั้นต่ำไม่เกินกว่า 5 ปี จึงไม่จำเป็นต้องสืบประกอบ
ส่วนข้อกล่าวหา ฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พิเคราะห์แล้ว รับฟังได้ว่า พยานโจทก์หลายปากเบิกความยืนยันว่ามีการประกาศเชิญชวนร่วมกิจกรรมชื่อ “ล้านนาต้านศักดินาทัวร์” ผ่านเฟซบุ๊กของ “พรรควิฬาร์”, “ลำพูนปลดแอก” และเฟซบุ๊กส่วนตัวของจำเลย
กิจกรรมดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมชุมนุมจำนวนมาก มีรถยนต์และจักรยานยนต์ประมาณ 300 คัน ผู้ชุมนุมประมาณ 500 คน ผู้ชุมนุมสวมใส่หน้ากากอนามัยบ้าง ไม่สวมใส่บ้าง บางช่วงของการชุมนุมมีกิจกรรมที่รวมตัวใกล้ชิดกัน จากวิดีโอพยานหลักฐานของโจทก์ โดยในช่วงเวลาดังกล่าวมีการประกาศข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ห้ามการชุมนุมเกินกว่า 20 คนที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่
ประกอบกับพฤติการณ์ของจำเลยที่มีการประกาศเชิญชวนการชุมนุมผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว มีการเดินทางร่วมไปกับรถที่ใช้ในการชุมนุม มีการอ่านแถลงการณ์ จึงเชื่อว่าจำเลยเป็นแกนนำร่วมจัดกิจกรรมดังกล่าว
ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าไม่ใช่ผู้จัดกิจกรรม ผู้ชุมนุมสวมใส่หน้ากากอนามัย ผู้ชุมนุมบางส่วนไม่ได้ลงจากรถ และจำเลยไม่ใช่ผู้โพสต์เชิญชวนการชุมนุมดังกล่าวในเพจที่ประกาศจัดกิจกรรมนั้น ฟังได้ในทำนองเดียวกับฝ่ายโจทก์ จำเลยจึงมีลักษณะเป็นแกนนำร่วม พยานหลักฐานของจำเลย ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้
เห็นว่า จำเลยมีความผิดฐาน ร่วมกันจัดกิจกรรมรวมกลุ่มเกินกว่า 20 คน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นการกระทำเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ให้จำคุก 1 เดือน
ส่วนข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 จากการอ่านแถลงการณ์บริเวณหน้ากองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 นั้น เห็นว่า พยานโจทก์ 2 ปาก ที่เป็นนักวิชาการด้านกฎหมายและนักวิชาการด้านภาษาไทยให้การยืนยันว่า ส่วนหนึ่งในแถลงการณ์ที่จำเลยอ่านนั้นเป็นการพาดพิงถึงสถาบันกษัตริย์ และอาจหมายถึงองค์พระมหากษัตริย์ได้นั้น
ศาลเห็นว่าคำว่า “สถาบันกษัตริย์” ในแถลงการณ์ดังกล่าว ไม่ได้ระบุเจาะจงถึงตัวบุคคลหรือองค์พระมหากษัตริย์ ยังไม่ชัดเจนว่าจำเลยมีเจตนากล่าวถึงองค์พระมหากษัตริย์หรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย พิพากษายกฟ้องในกระทงความผิดนี้
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในกระทงที่ให้การรับสารภาพ ลงโทษจำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุให้ลดโทษลงกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน และฐานฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ให้จำคุก 1 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 7 เดือน ไม่รอการลงโทษ
ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดี ได้แก่ รุ่งวิทย์ วิภาดาพรพงษ์
หลังฟังคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ตำรวจศาลได้ใส่กุญแจมือควบคุมตัวจำเลย และนำตัวลงไปยังห้องขังใต้ถุนศาล ก่อนทนายความจะยื่นขอประกันตัวจำเลยในชั้นอุทธรณ์
เวลา 15.15 น. ศาลจังหวัดเชียงใหม่มีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวธนาธรระหว่างอุทธรณ์ ให้วางหลักทรัพย์ 150,000 บาท ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์ โดยยังมีเงื่อนไขให้ไปรายงานตัวกับผู้ใหญ่บ้านที่ศาลตั้งเป็นผู้กำกับดูแล โดยก่อนหน้านี้จำเลยได้ยื่นคำร้องขอเปลี่ยนเป็นการรายงานตัวทางอิเล็กทรอนิกส์แทน เนื่องจากเดินทางไปศึกษาต่อในกรุงเทพฯ
ทั้งนี้ ธนาธรปัจจุบันจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และได้เริ่มศึกษาในสาขาวิชาปรัชญา ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในช่วงภาคการศึกษาปัจจุบัน เขามีบทบาทในฐานะสมาชิกของกลุ่มพรรควิฬาร์ หรือ “แมวดำ” ซึ่งทำกิจกรรมทางการเมืองในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ในช่วงปี 2563-65 ทำให้ธนาธรถูกกล่าวหาดำเนินคดีจากการชุมนุมและแสดงออกรวมแล้ว 10 คดี (สิ้นสุดไปแล้ว 2 คดี) โดยส่วนใหญ่เป็นคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และมีคดีมาตรา 112 คือคดีนี้จำนวน 1 คดี
(อ้างอิง: คำพิพากษา ศาลจังหวัดเชียงใหม่ คดีหมายเลขดำที่ อ.1304/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อ.1250/2566 ลงวันที่ 21 ส.ค. 2566 และ https://tlhr2014.com/archives/58549)
สถานะ การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว หรือ ผลการพิพากษา
ชั้นสอบสวน
ผู้ถูกดำเนินคดี :
ธนาธร วิทยเบญจางค์
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
ศาลชั้นต้น
ผู้ถูกดำเนินคดี :
ธนาธร วิทยเบญจางค์
ชื่อองค์คณะผู้พิพากษา :
- รุ่งวิทย์ วิภาดาพรพงษ์
- ณรงค์กฤษณ์ นิมโรธรรม
ผลการพิพากษา
ลงโทษ
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ :
21-08-2023
ศาลอุทธรณ์
ผู้ถูกดำเนินคดี :
ธนาธร วิทยเบญจางค์
ผลการพิพากษา
-
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์