ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
ดำ อ.260/2565
แดง อ.636/2566

ผู้กล่าวหา
  • พ.ต.ท.อานนท์ เชิดชูตระกูลทอง รอง ผกก.สส.สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ (ตำรวจ)
ผู้ถูกดำเนินคดี

ข้อหา

  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)

หมายเลขคดี

ดำ อ.260/2565
แดง อ.636/2566
ผู้กล่าวหา
  • พ.ต.ท.อานนท์ เชิดชูตระกูลทอง รอง ผกก.สส.สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์

ความสำคัญของคดี

วิธญา คลังนิล หรือศิวัญชลี วิธญเสรีวัฒน์ นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสมาชิกกลุ่มศิลปิน artn’t ถูกดำเนินคดีในข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” จากการแสดง Performance Art ที่หน้าป้ายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2564 โดยรอง ผกก.สส.สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ ผู้กล่าวหาอ้างว่า การแสดงดังกล่าว ซึ่งในตอนหนึ่งวิธยาได้นอนหงายใช้เท้าขวาชี้ไปบนฟ้านั้น เป็นการชี้ไปที่รูป ร.10 ซึ่งอยู่ด้านบนป้ายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อันเป็นการแสดงกริยาสบประมาท ดูถูกเหยียดหยามกษัตริย์ และเป็นความผิดตามมาตรา 112

กรณีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการตีความประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่มีอัตราโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี แต่กลับถูกตีความและนำไปใช้เอาผิดประชาชนอย่างกว้างขวาง จนกระทบต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน

พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี

ณัฐเมธส์ สิริไตรรัตนกุล พนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ บรรยายคำฟ้อง ระบุเนื้อหาโดยสรุปว่า

เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2564 เวลาประมาณ 18.00 น. จำเลยเจตนาเลือกสถานที่ที่มีป้ายข้อความ “ทรงพระเจริญ” และที่มีรูปพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ทำการแสดงสัญลักษณ์ด้วยป้ายผ้าที่มีข้อความว่า “คืนสิทธิประกันตัวให้ประชาชน” และด้วยการปีนขึ้นไปบนป้ายชื่อมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ใช้น้ำสีแดงเทราดใส่เนื้อตัว โดยมุ่งประสงค์ให้น้ำสีแดงได้กระเด็นไปเลอะเทอะเปรอะเปื้อนพระบรมฉายาลักษณ์ และป้ายข้อความ “ทรงพระเจริญ” ซึ่งประดิษฐานอยู่เหนือป้ายชื่อมหาวิทยาลัย

จากนั้นจำเลยได้แสดงกิริยาท่าทางเคลื่อนไหวร่างกายต่างๆ ด้วยการนั่งห้อยขา นั่งยองๆ แสดงท่าครุฑ ยืนเอาถังสีสวมครอบศีรษะ และนอนหงายโดยใช้เท้าขวา ซึ่งเป็นอวัยวะเบื้องต่ำชี้ขึ้นไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ อันเป็นการแสดงพฤติกรรมที่มีลักษณะเป็นการแสดงออกทางกิริยาท่าทางจาบจ้วง ล่วงเกิน ดูหมิ่น หมิ่นประมาท และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ โดยการไม่ถวายพระเกียรติพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นศูนย์รวมของศรัทธาและเคารพบูชาของประชาชนชาวไทย โดยประการที่น่าจะทำให้พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง

และโดยสัญลักษณ์ป้ายผ้าข้อความ “คืนสิทธิประกันตัวให้ประชาชน” นั้น เมื่อประชาชนทั่วไปได้พบเห็นทำให้เข้าใจได้ว่าพระมหากษัตริย์เป็นผู้สนับสนุนผู้นำรัฐบาลปัจจุบัน ให้กระทำการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งจำเลยมีเจตนาให้ประชาชนเกิดความแตกแยก และเคลือบแคลงสงสัยในพระมหากษัตริย์ และระบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และออกมาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก เพื่อก่อความไม่สงบในบ้านเมือง อันเป็นการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพต่อพระมหากษัตริย์ซึ่งอยู่ในฐานะที่ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้ และเป็นการทำด้วยวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชม หรือแสดงกิริยาทั่วไปที่วิญญูชนพึงกระทำโดยสุจริต

(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดเชียงใหม่ คดีหมายเลขดำที่ อ.260/2565 ลงวันที่ 28 ก.พ. 2565)

ความคืบหน้าของคดี

  • ที่สถานีตำรวจภูธรภูพิงคราชนิเวศน์ วิธญา คลังนิล นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสมาชิกกลุ่มศิลปิน artn’t ในจังหวัดเชียงใหม่ ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกในคดีที่มี พ.ต.ท.อานนท์ เชิดชูตระกูลทอง เป็นผู้กล่าวหา ในข้อกล่าวหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากการแสดง Performance Art หรือ ศิลปะการแสดงสด ที่หน้าป้ายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2564

    ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนสิงหาคม วิธญาได้รับหมายเรียกผู้ต้องหาจาก สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ แต่เนื่องจากในช่วงดังกล่าว เขาเดินทางไปทำโครงการศิลปะที่จังหวัดนราธิวาส บ้านเกิดของเขา และได้มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า-2019 จนเกิดการล็อคดาวน์ระบบขนส่งสาธารณะในจังหวัด ทำให้วิธญาไม่สามารถเดินทางกลับมาจังหวัดเชียงใหม่ได้ จึงได้ขอเลื่อนการเข้ารับทราบข้อหาออกมาก่อน

    บรรยากาศก่อนการรับทราบข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จัดเตรียมกำลังทั้งในเครื่องแบบ, ชุดปฏิบัติการพิเศษและเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ รวมไม่น้อยกว่า 60 นาย กระจายตัวโดยรอบ อีกทั้งมีการตั้งแผงเหล็กกั้นรอบสถานี ให้มีทางเข้าออกเพียงทางเดียว และมีการตั้งจุดคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิผู้ที่จะเข้าไปภายใน ตำรวจยังพยายามป้องกันไม่ให้ประชาชนที่เดินทางมาให้กำลังใจวิธญา ราว 10 คน เข้าไปในพื้นที่บริเวณ สภ. ได้ โดยมีการติดตามบันทึกภาพนิ่งและวิดีโอประชาชนไว้โดยตลอด อีกทั้งยังมีการประกาศห้ามการชุมนุมมั่วสุมตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นระยะ

    ส่วนวิธญาได้เดินทางมายังสถานีตำรวจโดยการแต่งชุดคอสเพลย์เป็นตัวละคร “ลูฟี่” ในการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง "วันพีซ" โดยมีการแสดงขนาดสั้นก่อนเดินทางเข้ารับทราบข้อหา

    พ.ต.ท.อดุลย์ สวยสม รองผู้กำกับการสอบสวน สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ ได้แจ้งข้อกล่าวหากับวิธญา โดยสรุปว่า เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2564 วิธญากับพวกราว 7 คน ได้จัดกิจกรรมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ บริเวณประตูทางเข้า-ออก หน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยผู้ต้องหาได้สวมใส่ชุดสีขาว และปืนขึ้นไปบนป้ายชื่อมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเหนือถัดขึ้นไปเป็นป้ายอักษรข้อความว่า “ทรงพระเจริญ” และมีป้ายพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 อยู่

    ผู้ต้องหาได้สาดเทน้ำสีแดงราดเนื้อตัวตนเองจนเปียกโชกทั้งตัว เป็นที่อุจาดตาแก่ผู้คนที่สัญจรไปมาที่พบเห็น นอกจากนั้นทําให้สีกระเด็นและเปรอะเปื้อนตั้งแต่ป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ ป้ายข้อความทรงพระเจริญ ลงมายังป้ายชื่อมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก่อนแสดงการเคลื่อนไหวร่างกายอันเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เช่น นั่งห้อยขา, นั่งยองๆ, ยืนเอาถังสีสวมครอบศีรษะ, แสดงท่าครุฑ ซึ่งเป็นของสูง เนื่องจากครุฑเป็นตราพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ เทพพาหนะของพระนารายณ์ ใช้เป็นสัญลักษณ์ของพระราชอํานาจแห่งพระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขของชาติ

    ผู้ต้องหายังแสดงท่านอนหงายโดยใช้เท้าขวาชี้ขึ้นไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ที่อยู่ใกล้กัน ซึ่งตามประเพณีวัฒนธรรมของไทยย่อมทราบกันดีว่า เท้าเป็นของต่ำ การกระทําตลอดจนการแสดงทั้งหมดที่กล่าวมา มีลักษณะเป็นการหยาบคาย อันเป็นการไม่ถวายพระเกียรติต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นการแสดงกริยาสบประมาท ดูถูกเหยียดหยาม ต่อองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงดํารงอยู่ในฐานะเป็นที่เคารพสักการะของปวงชนคนไทย เป็นการประทุษร้ายต่อความรู้สึกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และความรู้สึกของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ

    ผู้กล่าวหาและพนักงานสอบสวนเห็นว่าพฤติการณ์ของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐาน “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทฯ”

    ด้านวิธญาได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ส่วนรายละเอียดอื่นๆ นั้น จะขอให้การเป็นหนังสือต่อพนักงานสอบสวนภายใน 20 วัน ต่อไป

    หลังการรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว วิธญาได้ถูกนำตัวไปพิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ก่อนตำรวจปล่อยตัวเขากลับไปโดยไม่มีการควบคุมตัว เนื่องจากผู้ต้องหาไม่ได้มีพฤติการณ์ที่จะหลบหนี ทั้งเข้ามาพบพนักงานสอบสวนด้วยตนเอง

    (อ้างอิง: บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ ลงวันที่ 5 ต.ค. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/36072)
  • พนักงานสอบสวนนัดส่งตัววิธญาพร้อมสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ อัยการนัดฟังคำสั่งในวันที่ 20 ธ.ค. 2564
  • อัยการยังไม่มีคำสั่ง เลื่อนฟังคำสั่งไปวันที่ 18 ม.ค. 2565 เวลา 10.00 น.
  • อัยการยังไม่มีคำสั่ง เลื่อนฟังคำสั่งไปวันที่ 21 ก.พ. 2565 เวลา 10.00 น.
  • พนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่มีคำสั่งฟ้องวิธญา แต่เนื่องจากวิธญายังไม่ได้เตรียมเรื่องหลักทรัพย์ประกันตัว จึงขอเลื่อนนัดฟ้องคดีไปในวันที่ 28 ก.พ. 2565
  • พนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่มีคำสั่งฟ้องวิธญา หรือศิวัญชลี วิธญเสรีวัฒน์ ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หลังวิธญาเข้ารายงานตัวกับพนักงานอัยการในช่วงสาย อัยการได้แจ้งว่าจะยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงบ่าย ทำให้ตั้งแต่เวลาราว 13.15 น. เขาถูกนำตัวไปควบคุมที่ห้องขังใต้ถุนศาลจังหวัดเชียงใหม่

    ด้านทนายความได้ยื่นขอประกันตัว โดยขอใช้ตำแหน่งนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นนายประกัน ต่อมาเวลาประมาณ 17.40 น. ศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวจำเลย พร้อมกำหนดวันนัดคุ้มครองสิทธิในวันที่ 19 เม.ย. 2565 และนัดพร้อมวันที่ 25 ก.ค. 2565 เวลา 09.00 น. รวมเวลาที่จำเลยถูกคุมขังใต้ถุนศาลราว 4 ชั่วโมงเศษ

    คำฟ้องณัฐเมธส์ สิริไตรรัตนกุล พนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวหาว่า การแสดง Performance Art ของวิธญา ที่หน้าป้ายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2564 วิธญามีเจตนาเลือกสถานที่ที่มีป้ายข้อความ “ทรงพระเจริญ” และที่มีรูปพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ก่อนแสดงกิริยาท่าทางเคลื่อนไหวร่างกายต่างๆ โดยช่วงหนึ่งได้นอนหงายโดยใช้เท้าขวา ซึ่งเป็นอวัยวะเบื้องต่ำชี้ขึ้นไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ อันเป็นการแสดงพฤติกรรมที่มีลักษณะจาบจ้วง ล่วงเกิน ไม่ถวายพระเกียรติพระมหากษัตริย์ อีกทั้งป้ายผ้าข้อความ “คืนสิทธิประกันตัวให้ประชาชน” ทำให้ประชาชนที่พบเห็นเข้าใจได้ว่า พระมหากษัตริย์เป็นผู้สนับสนุนรัฐบาลให้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งจำเลยมีเจตนาให้ประชาชนเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในพระมหากษัตริย์ และระบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

    อัยการยังคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา โดยอ้างว่าคดีมีอัตราโทษสูง และเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักร เกรงว่าจำเลยจะหลบหนีและไปก่อคดีเช่นเดียวกับคดีนี้ซ้ำอีก

    คดีนี้นับเป็นคดีมาตรา 112 คดีที่ 2 ของศิวัญชลี ที่ถูกอัยการฟ้องคดีที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ก่อนหน้านี้เขากับเพื่อนกลุ่ม Artn’t ได้ถูกฟ้องกรณีแสดงงานศิลปะคล้ายธงชาติที่ไม่มีสีน้ำเงินมาแล้วคดีหนึ่ง

    ขณะที่หากนับคดีจากการชุมนุมทางการเมืองทั้งหมด ศิวัญชลีถูกกล่าวหามาแล้วรวม 9 คดี โดยนอกจากในจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 7 คดี มีคดีที่เขาถูกกล่าวหาจากกิจกรรมคาร์ม็อบที่นราธิวาส บ้านเกิดของเขา และคดีจากการชุมนุม #ม็อบ12ธันวา64 #ราษฎรพิพากษามาตรา112 ที่สี่แยกราชประสงค์ ในกรุงเทพมหานคร โดยที่เขาเพียงแต่ไปอ่านบทกวีสั้นๆ ในงานดังกล่าวเท่านั้น ทำให้เขาถูกกล่าวหาในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

    (อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดเชียงใหม่ คดีหมายเลขดำที่ อ.260/2565 ลงวันที่ 28 ก.พ. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/40846)
  • ศาลอ่านและอธิบายฟ้องอีกครั้ง จําเลยให้การปฏิเสธ แถลงว่า ประสงค์จะต่อสู้คดี ศาลเห็นว่า นัดพร้อมเพื่อสอบคําให้การ ตรวจพยานหลักฐาน ตามนัดเดิมนั้น นัดนานเกินไป จึงให้เลื่อนเป็นวันที่ 9 พ.ค. 2565 เวลา 09.00 น.
  • โจทก์แถลงสืบพยานบุคคล 14 ปาก ใช้เวลา 3 นัด ด้านทนายจำเลยแถลงสืบพยาน 4 ปาก ใช้เวลา 2 นัด กำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 18 - 20 ม.ค. 2566 และสืบพยานจำเลยวันที่ 25 - 26 ม.ค. 2566
  • โจทก์นำพยานบุคคลเข้าสืบ 12 ปาก โดยพยายามนำสืบว่าจำเลยจงใจเลือกสถานที่ที่มีป้ายข้อความ “ทรงพระเจริญ” และมีพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 อยู่ พร้อมใช้น้ำสีแดงเทราดตัวไปจนเปรอะเปื้อนรูปและป้ายข้อความ ขณะที่การแสดงกิริยาเคลื่อนไหวร่างกายต่าง ๆ ด้วยการนั่งห้อยขา นั่งยอง ๆ แสดงท่าครุฑ ยืนเอาถังสีสวมครอบศีรษะ และนอนหงายโดยใช้เท้าขวา ซึ่งเป็นอวัยวะเบื้องต่ำ ชี้ขึ้นไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งฝ่ายโจทก์อ้างว่าเป็นการแสดงพฤติกรรมที่มีลักษณะจาบจ้วง ล่วงเกิน ดูหมิ่น หมิ่นประมาท และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์

    ส่วนฝ่ายจำเลยปฏิเสธและต่อสู้คดี โดยยืนยันว่าตนไปทำศิลปะการแสดงสด Performance Art ที่บริเวณบนป้ายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เนื่องจากต้องการแสดงออกเรียกร้องความเป็นธรรมต่อมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพราะที่ผ่านมาตนมีปัญหาขัดแย้งกับคณบดี ผู้บริหารคณะวิจิตรศิลป์มาก่อน ต่อเนื่องจากเหตุการณ์ปิดกั้นการแสดงออกของนักศึกษา ไม่มีเจตนากระทำต่อพระบรมฉายาลักษณ์

    ++ผู้กล่าวหา – พนักงานตำรวจผู้เห็นเหตุการณ์ เห็นจำเลยร่ายรำ ทำท่าครุฑและใช้เท้าชี้รูป แต่ไม่มีใครเข้าจับกุม

    พ.ต.ท.อานนท์ เชิดชูตระกูลทอง รองผู้กำกับฝ่ายสืบสวน สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ ผู้กล่าวหา, ส.ต.ท.พงศ์ฤทธิ์ จินะธรรม ผบ.หมู่ป้องกันและปราบปราม และ ร.ต.อ.โสภณ ตามา รองสารวัตรสืบสวน สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ ตำรวจผู้เห็นเหตุการณ์ เบิกความถึงเหตุการณ์ในวันที่ 1 พ.ค. 2564 เวลา 18.00 น. ที่บริเวณประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    เหตุการณ์เริ่มจากมีกลุ่มบุคคลประมาณ 6-8 คน กำลังทำกิจกรรมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ “ยืน หยุด ขัง” และถือป้าย “คืนสิทธิประกันตัวให้ประชาชน” ระหว่างที่ผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งสองมาถึง ก็พบจำเลยยืนอยู่บนป้ายชื่อมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมีสีแดงราดตัว และแสดงกริยาท่าทางต่างๆ ในลักษณะเป็นการร่ายรำ ยกมือ เท้าเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง และหยุดเป็นพัก ๆ เพื่อให้มีบุคคลอื่นมาถ่ายภาพ โดยรวมใช้เวลาแสดงประมาณ 40 นาที

    โดยสภาพพื้นที่ ฐานของป้ายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่สูงจากพื้นดินประมาณ 2.30 เมตร ส่วนบนสุดของป้ายมหาวิทยาลัยอยู่สูงจากพื้นดินประมาณ 4 เมตร ส่วนรูปพระบรมฉายาลักษณ์ และป้าย “ทรงพระเจริญ” อยู่สูงจากป้ายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่อีกประมาณ 90 เซนติเมตร โดยลักษณะของพระบรมฉายาลักษณ์จะอยู่บริเวณตรงกลางด้านบนของป้าย เป็นจุดเด่น ประชาชนทั่วไปสามารถพบเห็นได้

    ในการแสดงร่ายรำของจำเลย มีจังหวะที่นอนลงและใช้เท้าชี้ขึ้นไปด้านบน ซึ่งมีพระบรมฉายาลักษณ์ตั้งอยู่ ห่างออกไป 90 เซนติเมตร และจำเลยยังแสดงทำท่าครุฑ ซึ่งจากความเห็นของของผู้เชี่ยวชาญในทางนาฏศิลป์นั้น เป็นการสื่อถึงพระมหากษัตริย์ อีกทั้งการแสดงท่าครุฑนั้นเป็นของสูง จึงไม่มีการนำมาแสดงกันเป็นการทั่วไป

    นอกจากนี้พยานโจทก์ยังกล่าวถึงการแสดงออกทางการเมืองครั้งอื่น ๆ ของจำเลยที่อ้างว่าเชื่อมโยงกับประเด็นสถาบันกษัตริย์ โดยมี พ.ต.ท.นรากร ปิ่นประยูร สารวัตรสืบสวน สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ เป็นผู้จัดทำรายงานสืบสวนการทำกิจกรรมทางการเมืองครั้งอื่น ๆ ของจำเลย เพื่อพยายามแสดงว่าจำเลยมีพฤติกรรมต่อต้านกษัตริย์

    อาทิ คดีความที่จำเลยทำผืนผ้าลักษณะคล้ายธงที่มีสีแดง ขาว แต่ไม่มีสีน้ำเงิน และเชิญชวนให้บุคคลทั่วไปมาเขียนข้อความลงผืนผ้าดังกล่าว ซึ่งคดีนี้มี อัศวิณีย์ หวานจริง คณบดีคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นผู้มาร้องทุกข์กล่าวโทษ พร้อมทั้งนำธงดังกล่าวมามอบให้พนักงานสอบสวน ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการสืบพยาน และกิจกรรมการแสดง Performance art ครั้งอื่น ๆ ของจำเลยที่เป็นการแสดงออกทางการเมืองและสุ่มเสี่ยงต่อการหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ นอกจากนี้เอกสารโจทก์ยังปรากฏแผนผังอ้างความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับกลุ่มนักกิจกรรมที่เคลื่อนไหวทางการเมืองอื่น ๆ ด้วย

    จากการเห็นภาพของจำเลยที่กำลังแสดงดังกล่าว พ.ต.ท.อานนท์ ผู้กล่าวหา และพยานโจทก์ต่างเชื่อว่า จำเลยจงใจเตรียมการไปแสดงศิลปะเคลื่อนไหวที่ป้ายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เนื่องจากมีพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 และเป็นสถานที่ที่ประชาชนทั่วไปพบเห็นได้ การใช้สีราดใส่ตัว ย่อมคาดหมายได้ว่าสีจะไปเปรอะเปื้อนพระบรมฉายาลักษณ์ และการแสดงการต่อต้านผู้บริหารมหาวิทยาลัยก็สามารถไปแสดงที่อื่นได้

    พ.ต.ท.อานนท์ ตอบทนายจำเลยถามค้านรับว่า ตนเป็นหนึ่งในผู้กล่าวหาคดีผืนผ้าแถบสีลักษณะคล้ายธงชาติที่จำเลยถูกดำเนินคดีอีกคดีหนึ่งด้วย และในคดีนั้นจำเลยก็ไม่ใช่ผู้เขียนข้อความที่ไม่เหมาะสมลงบนผืนผ้าแต่อย่างใด

    ในวันเกิดเหตุคดีนี้ พ.ต.ท.อานนท์ ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง แต่ได้รับรายงานสถานการณ์เป็นระยะจาก ส.ต.ท.พงศ์ฤทธิ์ และ ร.ต.อ.โสภณ ผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ในพื้นที่เกิดเหตุ และมีการถ่ายวิดีโอภาพเคลื่อนไหวการแสดงดังกล่าวไว้ แต่โจทก์ไม่ได้ส่งเป็นหลักฐานต่อศาลแต่อย่างใด ทั้งนี้การแสดงท่าทางต่าง ๆ ของจำเลยไม่ได้มีความหมายชัดเจน แต่ พ.ต.ท.อานนท์ เข้าใจว่า เป็นการหมิ่นประมาทกษัตริย์ ซึ่งเป็นความคิดเห็นของพยานเอง

    ส่วน ส.ต.ท.พงศ์ฤทธิ์ ตอบทนายความว่า สภาพพื้นที่บนป้ายของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีพื้นที่แคบพอจะยืนอยู่ได้เท่านั้น และตนถ่ายภาพรายงานผู้บังคับบัญชาโดยเลือกถ่ายภาพนิ่งเฉพาะบางท่าทางตามที่คิดว่าควรจะถ่าย ไม่ได้ถ่ายภาพเคลื่อนไหวเป็นวิดีโอรายงาน และตนเห็นว่าการยกเท้าของจำเลยตามภาพถ่ายมีลักษณะยกขึ้นไปตรง ๆ ไม่ได้เอียงชี้ไปทางพระบรมฉายาลักษณ์ เพียงแต่ทำท่าทางดังกล่าวใกล้กับพระบรมฉายาลักษณ์ และเมื่อผู้บังคับบัญชาเห็นภาพดังกล่าวก็ไม่ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในเหตุการณ์เข้าไปทำการจับกุมจำเลยทันทีหรือสั่งการให้เข้าไปหยุดจำเลยการกระทำดังกล่าว

    นอกจากนี้ ส.ต.ท.พงศ์ฤทธิ์ และ ร.ต.อ.โสภณ รับว่า ทั้งสองไปพบจำเลยในพื้นที่เกิดเหตุหลังจากกิจกรรมเริ่มไปสักพัก หลังจากที่จำเลยปีนขึ้นไปบนป้ายมหาวิทยาลัยและเทสีแดงราดตัวแล้ว จึงไม่เห็นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ โดยทั้งสองยืนอยู่บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อฝั่งตรงข้าม ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากจุดที่จำเลยทำกิจกรรมประมาณ 20-30 เมตร นอกจากนี้ ร.ต.อ.โสภณ และ พ.ต.ท.นรากร ยังให้การต่อไปว่า เห็นจำเลยแสดงท่าทางต่าง ๆ ยกมือยกเท้าไปเรื่อย ๆ เป็นเวลา 40-50 นาที แต่โดยรวมแล้วตนเองก็ไม่เข้าใจว่าการแสดงท่าทางดังกล่าวของจำเลยต้องการสื่อถึงอะไร

    พนักงานอัยการถามติง พ.ต.ท.อานนท์, ร.ต.อ.โสภณ และ ส.ต.ท.พงศ์ฤทธิ์ ยืนยันคล้ายกันว่า การกระทำของจำเลยเป็นการแสดงออกทางร่างกาย มีการสาดสี แสดงท่าทางครุฑซึ่งเป็นของสูง และท่าทางอื่น ๆ ใกล้กลับพระบรมฉายาลักษณ์ จึงเชื่อว่าจำเลยมีเจตนา เพราะบุคคลทั่วไปจะไม่แสดงท่าทางอย่างที่จำเลยทำ และยังเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เสียดสีสถาบันกษัตริย์ แต่เหตุที่ พ.ต.ท.อานนท์ ไม่ได้สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปจับกุมจำเลยทันทีเนื่องจากไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้า โดยต้องมีการรวบรวมพยานหลักฐานและประชุมหารือกันเสียก่อน

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/55771)
  • ++พนักงานมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ – เห็นภาพนิ่งที่ตำรวจนำมาให้ดู จึงเห็นว่าเป็นการแสดงความไม่เคารพรัชกาลที่ 10

    อุดม สุภาษี เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เบิกความถึงเหตุการณ์ในวันที่ 1 พ.ค. 2564 ซึ่งอุดมเข้าเวรอยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จึงเห็นเหตุการณ์ในวันดังกล่าวว่า มีบุคคลขึ้นไปนั่งอยู่บนป้ายของมหาวิทยาลัยที่ด้านบนมีรูปพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 ตามเนื้อตัวเปื้อนสีแดงและเหยียดเท้า เหยียดมือขึ้นไปด้านบน แต่ไม่แน่ใจและไม่ทันเห็นว่าบุคคลดังกล่าวชูเท้าขึ้นหรือไม่ จากนั้นจึงโทรแจ้งศูนย์วิทยุของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเข้าไปตักเตือนว่าไม่เหมาะสม แต่กลุ่มบุคคลดังกล่าวยังทำกิจกรรมต่อไป โดยใช้เวลารวมประมาณครึ่งชั่วโมง เสร็จแล้วจึงมีบุคคลอื่นมารับตัวจำเลยไป เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว อุดมจึงเห็นว่าการกระทำของจำเลยนั้นไม่สมควร ไม่เคารพพระมหากษัตริย์

    ขวัญชัย ตันแจ้ เจ้าหน้าที่จัดการงานเอกสารของงานรักษาความปลอดภัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เบิกความถึงวันเกิดเหตุว่า ช่วงเวลาประมาณ 18.00 น. ได้รับแจ้งจากหัวหน้างานให้เข้าไปตรวจสอบเหตุการณ์แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ในพื้นที่บริเวณประตูมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่เมื่อไปถึงก็ไม่พบกิจกรรมดังกล่าวแล้ว และเห็นว่า มีกลุ่มบุคคลกำลังทำความสะอาดป้ายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และพระบรมฉายาลักษณ์อยู่ พบว่า ทั้งป้ายและรูปมีการทำความสะอาดแล้ว แต่บ่อน้ำพุหน้าป้ายมหาวิทยาลัยมีน้ำเป็นสีแดง เมื่อเห็นแล้วพยานเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการแสดงความไม่เคารพรัชกาลที่ 10

    รัตนะ แสนเพ็ญ เจ้าหน้าที่กองกฎหมาย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เบิกความว่า ตนเป็นผู้เข้าร่วมประชุมกับรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ต่อเหตุการณ์ที่มีกลุ่มวัยรุ่นมาแสดงออกเชิงสัญลักษณ์หน้ามหาวิทยาลัย ซึ่งตนได้มีความเห็นทางกฎหมายและได้รับคำสั่งให้ไปแจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ ว่ามีกลุ่มบุคคลไปล้างสีจนทำให้บ่อน้ำพุบริเวณหน้าป้ายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เต็มไปด้วยสีแดง และใช้น้ำของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    ตามความเห็นของพยาน กิจกรรมนี้ทำให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้รับความเสียหายจากที่บริเวณดังกล่าวมีสีเปื้อน ส่วนที่มีคนใช้เท้าชี้ไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ตามความเห็นของพยาน เป็นการกระทำที่ดูหมิ่น แต่ไม่ถึงกับอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์

    อย่างไรก็ตาม อุดมตอบทนายจำเลยถามค้านรับว่า ตนเองให้การในชั้นพนักงานสอบสวนว่าไม่แน่ใจว่าเห็นเหตุการณ์ที่จำเลยเหยียดเท้าขึ้นด้านบนหรือไม่ และขวัญชัยรับว่า ตนเองไม่เห็นเหตุการณ์เลย แต่ได้ดูเพียงภาพที่ตำรวจนำมาให้ดูเท่านั้น ซึ่งเมื่อดูภาพนิ่งและวิดีโอภาพเคลื่อนไหว อาจจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันก็ได้

    ส่วนรัตนะรับว่า เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ที่จำเลยชี้เท้าขึ้นด้านบนแล้วรู้สึกว่าไม่เหมาะสมนั้นเป็นความรู้สึกส่วนตัวของพยานเอง และหากจำเลยไม่มีเจตนาทำต่อพระบรมฉายาลักษณ์ถือว่าไม่มีความผิดมาตรา 112 ส่วนความเสียหายของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีเพียงน้ำในบ่อน้ำกลายเป็นสีแดง ซึ่งสามารถเปลี่ยนน้ำได้

    ++พยานด้านนาฏศิลป์ เห็นว่าจำเลยทำท่าเลียนแบบครุฑ ซึ่งเป็นของสูงจงใจหมิ่นกษัตริย์ การแสดงนี้ไม่ใช่วัฒนธรรมอันดีงาม

    พรพิมล ยี่ตันสี รองผู้อำนวยการฝ่ายศิลปะและวัฒนธรรม วิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่ เบิกความว่า ตนได้รับหมายเรียกให้เข้ามาเป็นพยานในคดีนี้เนื่องจากตนมีความรู้ด้านการแสดง โดยพนักงานสอบสวนให้พยานแปลภาษากายจากรูปภาพเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ ปรากฏมีภาพที่จำเลยทำท่าทางคล้ายครุฑ เนื่องจากท่าทางลักษณะกางปีกเหมือนพญาครุฑ ซึ่งเป็นยานพาหนะของเทพ โดยพระมหากษัตริย์เป็นตัวแทนของพระนารายณ์ เปรียบเสมือนสมมุติเทพเป็นสัตว์สูงสุด ทั้งตราครุฑยังเป็นตราแผ่นดิน ดังนั้นตราครุฑคือตัวแทนของพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์

    ตามความเห็นของพรพิมลแล้ว การแสดงนั้นจะต้องเป็นการแสดงที่สื่อออกมาถึงสุนทรียะ แต่จากที่พยานดูภาพที่พนักงานสอบสวนนำมาให้ดู ภาพที่ออกมานั้นดูไม่งดงาม รู้สึกไม่ดี พร้อมการแสดงยังทำต่อหน้ารูปพระบรมฉายาลักษณ์ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่บังควร ไม่เหมาะสมอีกด้วย แม้ตนเองก็ไม่เข้าใจว่าการแสดงของจำเลยจะสื่อถึงอะไร แต่เห็นว่าเป็นการไม่ถวายพระเกียรติต่อพระมหากษัตริย์โดยการยกเท้าขึ้นไปด้านบน ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับในทางศิลปะของไทย

    ส่วน พิชิตชัย เกลอดู ผู้อำนวยการศูนย์ยุทธศาสตร์และเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ เบิกความต่อศาลว่า วัฒนธรรมคือสิ่งดีงามโดยมาจากการที่ทุกคนเห็นด้วยกันว่าเป็นสิ่งที่ดี และควรปฏิบัติสืบต่อกันมา ต้องเป็นที่ยอมรับและยึดถือร่วมกัน แต่เห็นว่าการแสดงของจำเลยถือว่าเป็นการแสดงออกที่ไม่เหมาะสมที่ได้กระทำกับสิ่งอันเป็นที่รักและเคารพของบุคคลอื่น เพราะสถานที่เกิดเหตุเป็นป้ายหลักของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และยังมีรูปพระบรมฉายาลักษณ์ซึ่งเป็นตัวแทนของรัชกาลที่ 10 และสถาบันกษัตริย์ ซึ่งการกระทำของจำเลยเป็นวัฒนธรรมที่ไม่ดีและไม่ควรทำ

    ต่อมา พรพิมลตอบทนายจำเลยถามค้านรับว่า ที่พยานเบิกความว่าจำเลยทำท่าครุฑนั้นเป็นเพียงการเลียนแบบครุฑ เพราะการแสดงท่าทางไม่ถูกต้องตามหลักการแสดงท่าครุฑ และพยานเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ซึ่งเป็นเพียงสาขาหนึ่งของศิลปะการแสดงซึ่งมีหลากหลายแขนง

    ทั้งนี้ พยานรู้ว่ามีตัวละครครุฑอยู่ในวรรณคดีไทย เช่น “กากี” แต่ครุฑในเรื่องดังกล่าวไม่ได้สื่อถึงพระมหากษัตริย์ ส่วนพิชิตชัยเบิกความรับว่า ในแต่ละพื้นที่และแต่ละบุคคลก็มีศิลปะและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไปได้ซึ่งเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล

    อย่างไรก็ดี พรพิมลตอบอัยการถามติงต่อไปว่า พยานไม่แน่ใจว่าบุคคลทั่วไปจะเข้าใจท่าทางจำเลยว่าแสดงเป็นครุฑหรือไม่ และจากการแสดงของจำเลยไม่ทำให้เกิดสุนทรีย์และไม่ใช่ศิลปะด้วย ซึ่งหากจำเลยลงมาแสดงบนถนนด้านล่างจะทำให้เป็นศิลปะนามธรรมทันที

    ส่วนพิชิตชัยเบิกความในประเด็นวัฒนธรรมและศิลปะต่อไปว่า การกระทำที่ไม่เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปพยานเห็นว่าไม่เป็นวัฒนธรรม โดยการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม คนทั่วไปไม่อาจยอมรับได้

    ++พยานด้านกฎหมาย – เห็นรูปภาพจำเลยใช้เท้าชี้ไปทางรูป เป็นการหมิ่นประมาทกษัตริย์

    ผศ.ดร.พันธ์ุทิพย์ นวานุช คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนอร์ทเชียงใหม่ เบิกความว่า ที่มาเป็นพยานในคดีนี้เนื่องจากพนักงานสอบสวนเป็นลูกศิษย์ของตน เมื่อเห็นรูปภาพที่พนักงานสอบสวนนำมาให้ดูเพียงภาพเดียว ซึ่งเป็นภาพมีคนกำลังนอนและเปื้อนไปด้วยสีแดงตามร่างกายและยกเท้าขวาไปทางรูปพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 พยานรู้สึกว่าเป็นการไม่สุภาพ บ่งบอกถึงการดูหมิ่นเหยียดหยามและในทางกฎหมายก็ถือว่าเข้าหลักเกณฑ์ความผิดฐานดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112

    ต่อมาพันธ์ทิพย์ตอบทนายจำเลยถามค้านรับว่า ตนเองได้มาเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญในคดีมาตรา 112 ในจังหวัดเชียงใหม่หลายคดี และในคดีนี้พนักงานสอบสวนให้ตนดูภาพเหตุการณ์ในวันดังกล่าวเพียงภาพเดียวพร้อมกับเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง โดยเป็นภาพนิ่งซึ่งตนไม่ทราบรายละเอียดของเหตุการณ์ก่อนและหลังว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ถึงแม้ตนจะไม่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดและเห็นภาพนิ่งเพียงภาพเดียวที่เป็นการกระทำไม่เหมาะสม มีสีเลอะเทอะ และใช้เท้าชี้ ก็ถือเป็นการดูหมิ่นแล้ว

    อย่างไรก็ตาม บริเวณที่เกิดเหตุมีทั้งป้ายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และรูปพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งบุคคลในภาพจะสื่อถึงป้ายมหาวิทยาลัยหรือรูป พยานไม่อาจทราบเจตนาของบุคคลดังกล่าวได้

    พันธ์ทิพย์ตอบพนักงานอัยการถามติงถึงองค์ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เห็นว่าไม่สามารถนำหลักการ “ดูหมิ่นซึ่งหน้า” ตามมาตรา 393 มาใช้กับมาตรา 112 ได้ และหลักทางกฎหมายอาญา “การกระทำเป็นเครื่องชี้เจตนา” พฤติการณ์ที่จำเลยใช้เท้าชี้ไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ก็ถือให้เห็นเจตนาของจำเลยแล้ว

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/55771)
  • ++พยานความเห็นของบุคคลทั่วไป – เข้าไปเป็นพยานที่ สภ.ด้วยตนเอง เพราะรู้สึกโกรธแค้น เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมกระทบจิตใจคนไทย

    สุกิจ เดชกุล ประธานกลุ่มไทยภักดี เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุตนเป็นประชาชนผู้เห็นเหตุการณ์ในสื่อสังคมออนไลน์ว่ามีคนไปยืนบนป้ายชื่อมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งบริเวณดังกล่าวมีพระบรมฉายาลักษณ์ตั้งอยู่ แล้วคนนั้นก็เอาสีแดงราดตัวเอง มันดูเหมือนเลือด และเอาเท้าชี้ขึ้นฟ้าต่อหน้ารูป ในฐานะประชาชนไทยเห็นว่า เป็นการกระทำที่รับไม่ได้ ต่อมา พยานจึงไปปรึกษากลุ่ม “ไทยภักดี” ทางกลุ่มเห็นว่าจะต้องดำเนินการด้านกฎหมายจึงนัดกันไปที่สถานีตำรวจ โดยตนเองได้รวบรวมรูปภาพเกี่ยวกับคดีนี้และข้อความจากสื่อต่างๆ ไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ

    สุกิจยังเบิกความต่อไปว่า เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์วันดังกล่าวแล้วทำให้รู้สึกโกรธแค้น เพราะความรักที่ตนมีต่อพระมหากษัตริย์และตนสำนึกต่อพระมหากรุณาธิคุณ โดยเหตุการณ์นี้ทำร้ายความรู้สึกของปวงชนชาวไทย ลบหลู่ดูหมิ่นต่อพระมหากษัตริย์

    ต่อมา สุกิจตอบทนายจำเลยถามค้านรับว่า ตนอยู่ในกลุ่มไทยภักดีโดยในช่วงเกิดเหตุ ตนมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อต่อต้านการชุมนุมของนักศึกษาในช่วงนั้นด้วย โดยกลุ่มไทยภักดีปกป้องสถาบันกษัตริย์จากการบิดเบือนเรื่องจริง-ใส่ร้ายป้ายสีพระมหากษัตริย์ และในกลุ่มมีการแบ่งปันข้อมูลของผู้กระทำความผิดต่อพระมหากษัตริย์ นอกจากคดีนี้ตนยังเคยแจ้งความดำเนินคดีมาตรา 112 กับนักศึกษาอีกคดีด้วย

    ส่วน มนตรี วงศ์เกษม ซึ่งเป็นบุคคลทั่วไปก็เห็นภาพที่เผยแพร่บนสื่อโซเชียลมีเดีย เห็นบุคคลกระทำการอันไม่บังควรโดยสาดสีไปที่พระบรมฉายาลักษณ์และแสดงท่าทางต่าง ๆ จึงเดินทางไปที่ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ เพื่อขอเป็นพยานในฐานะประชาชนทั่วไป โดยรู้สึกว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการดูถูก ดูหมิ่น โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นพระมหากษัตริย์ แค่ทำการชี้เท้าไปที่ใครก็ถือว่าเป็นการดูหมิ่นได้

    มนตรีตอบทนายความถามค้านรับว่า ตนเองรู้จักกับสุกิจ แต่ตนไม่ได้อยู่ในกลุ่มไทยภักดี โดยตนได้บันทึกทั้งภาพและวิดีโอส่งให้กับพนักงานสอบสวนแล้ว ในฐานะประชาชนก็เห็นว่าแต่ละคนมีความเห็นที่แตกต่างกันได้

    ++พนักงานสอบสวน – ไม่เคยมีวิดีโอวันเกิดเหตุในสำนวน มีแต่รูปภาพที่ฝ่ายสืบส่งมาให้

    ในคดีนี้มี พ.ต.ท.อดุลย์ สวยสม เป็นพนักงานสอบสวน ผู้รวบรวมพยานหลักฐาน สอบสวนพยานทั้งหมดในคดี จัดทำสำนวนและมีความเห็นสมควรสั่งฟ้องจำเลยส่งต่ออัยการ โดยพยานยืนยันว่าไม่มีคลิปวิดีโอเหตุการณ์วันเกิดเหตุในคดีนี้ เนื่องจากชุดสืบสวนไม่ได้ส่งคลิปวิดีโอให้พนักงานสอบสวน

    พ.ต.ท.อดุลย์ ตอบทนายจำเลยถามค้านถึงที่มาของพยานความเห็น สุกิจและมนตรี เนื่องจากทั้งสองเดินทางมาให้การด้วยตนเองที่สถานีตำรวจ แต่ไม่ใช่ผู้แจ้งความ โดยทั้งสองไม่ได้มอบหลักฐานอะไรไว้ให้ตน และตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ทำให้เห็นแต่เพียงรูปภาพที่ฝ่ายสืบสวนส่งมาให้เท่านั้น การถ่ายภาพจากมุมใดแตกต่างกันออกไป แต่ในบางครั้งไม่ว่าถ่ายจากมุมใดก็ให้ความหมายอย่างเดียวกัน ซึ่งการสร้างรูปภาพถูกจัดองค์ประกอบโดยผู้ถ่ายภาพ และความรู้สึกในการดูภาพนิ่งของแต่ละคนก็สามารถมีความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไปได้

    นอกจากนี้จำเลยให้การปฏิเสธมาตั้งแต่ชั้นสอบสวนว่าไม่มีเจตนาดูหมิ่นกษัตริย์ เพียงแต่ต้องการต่อต้านการลิดรอนสิทธิเสรีภาพโดยผู้บริหารมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เท่านั้น และเห็นว่าจำเลยไม่ได้ทำท่าครุฑแต่เพียงขยับเคลื่อนไหวร่างกายไปมาเท่านั้น

    ต่อมา พนักงานอัยการถามติงถึงพฤติการณ์ของจำเลยในอีกคดีหนึ่ง ซึ่งจำเลยเคยทำผืนผ้าแถบสีคล้ายธงชาติ มีลักษณะดูหมิ่นหรือแอบแฝงการดูหมิ่นกษัตริย์มาก่อน และคณะทำงานของพยานเป็นผู้มีความเห็นสมควรสั่งฟ้อง โดยจะต้องเข้าที่ประชุมหารือกันก่อนและคณะทำงานจะเป็นผู้มีความเห็นฟ้องหรือไม่ฟ้องไปตามลำดับชั้น แต่ในความเห็นพยานก็เห็นว่าควรสั่งฟ้อง

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/55771)
  • ++จำเลย – การแสดงตั้งใจสื่อถึง มช. เนื่องด้วยเหตุขัดแย้งกับผู้บริหารคณะวิจิตรศิลป์ ถึงความรู้สึกถูกกดขี่

    ศิวัญชลี วิธญเสรีวัฒน์ หรือวิธญา คลังนิล จำเลยในคดีนี้ เบิกความต่อศาลถึงเหตุการณ์วันที่ 1 พ.ค. 2564 ว่า ตนเห็นโพสต์ในโซเชียลมีเดียเชิญชวนเข้าร่วมกิจกรรม “ยืน หยุด ขัง” เพื่อเรียกร้องสิทธิประกันตัวผู้ต้องหาคดีการเมือง ที่บริเวณหน้าประตูทางเข้า-ออกมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงคิดว่าจะไปเข้าร่วมแสดง Performance Art

    จากนั้นเวลาประมาณ 17.00 น. ตนได้ไปซื้อถังและน้ำสีแดง แล้วจึงเกิดทางมาที่จุดเกิดเหตุเวลาประมาณ 17.30 น. ซึ่งมีกลุ่มบุคคลทำกิจกรรม ยืน หยุด ขัง อยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่ได้นัดกันมา จากนั้นตนจึงขึ้นไปบนป้ายของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    จำเลยย้อนเล่าถึงเหตุการณ์ช่วงเดือน มี.ค. 2564 ที่กลุ่มนักศึกษารวมทั้งตน มีเหตุขัดแย้งกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยคณบดี อัศวิณีย์ หวานจริง และคณะผู้บริหารของคณะวิจิตรศิลป์ได้นำเอางานศิลปะของนักศึกษาไปจากอาคารเรียนของคณะที่มีชิ้นงานหลายชิ้นที่เอาไว้ส่งธีสิส (Thesis) เพื่อเรียนจบ รวมไปถึงผลงานที่กำลังพัฒนาของนักศึกษาคนอื่น ๆ โดยเอาไปใส่ในถุงดำ เพราะกลัวว่าผลงานเหล่านี้จะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง จึงเกิดความไม่พอใจจากนักศึกษา

    กลุ่มนักศึกษารวมทั้งตนจึงเดินทางไปสอบถามเหล่าผู้บริหารถึงคำตอบของเหตุการณ์ดังกล่าว แต่สุดท้าย ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ กลับมา หลายวันต่อมากลุ่มนักศึกษาจึงเดินทางไปสอบถามที่กองพัฒนาการศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อสอบถามถึงแนวทางการแก้ปัญหาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่ทางมหาวิทยาลัยตอบกลับมาโดยใช้คำเรียกนักศึกษาว่าเป็น “กลุ่มบุคคล” ดูเหมือนว่ามหาวิทยาลัยจะไม่ได้มองว่าตนและกลุ่มนักศึกษาเป็นนักศึกษาเลย และตอบมาในประเด็นการลิดรอนสิทธิต่าง ๆ ว่าฝ่ายผู้บริหารได้ทำถูกต้องแล้ว ทำให้ตนรู้สึกว่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ไม่ให้ความสำคัญกับเสรีภาพการแสดงออกของนักศึกษาเลย ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วศิลปินจะสร้างสรรค์ผลงานย่อมขึ้นอยู่ว่าผู้สร้างผลงานจะสื่อความหมายออกมาในเรื่องใด หากศิลปินมีความสนใจทางด้านสังคมก็จะผลิตงานศิลปะทางสังคมออกมา

    นอกจากนี้ก่อนเหตุการณ์วันดังกล่าวหนึ่งวัน มีเหตุการณ์ที่คุณแม่ของเพนกวิน (พริษฐ์ ชิวารักษ์) ซึ่งขณะนั้นถูกคุมขังระหว่างพิจารณามาหลายวันแล้ว ส่งผลให้แม่ของเพนกวินไปแสดงออกเชิงสัญลักษณ์คือการโกนหัวตนเองที่ศาลอาญา พยานจึงเกิดความรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมและสร้างความสะเทือนใจกับตนเป็นอย่างมาก

    ทั้งสองเหตุการณ์เป็นสาเหตุให้ตนเลือกจะไปแสดงศิลปะการแสดงสดตรงป้ายชื่อมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อสื่อสารถึงมหาวิทยาลัย ถึงการกดขี่ผู้ไม่มีอำนาจอย่างนักศึกษา

    เมื่อตนมาถึงที่เกิดเหตุ ก็ขึ้นไปบนป้ายของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทันที ตรงบริเวณฐานของป้ายจะมีส่วนที่ยื่นออกมาเล็กน้อย พื้นที่จากป้ายมหาวิทยาลัยจนถึงฐานของป้าย ประมาณ 30 – 40 ซม. ยาวตลอดป้าย จากนั้นตนจึงได้ทำการแสดง Performance Art ซึ่งเป็นกลุ่มการแสดงประเภท Body Movement ซึ่งหากจะเข้าใจความหมายของการแสดงประเภทนี้จะต้องดูการแสดงทั้งหมดเพื่อทราบความหมายของมัน เพราะการแสดงมีการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง

    ต่อมาตนเอาสีราดตัวพร้อมกับแสดง แต่สีที่ราดไปนั้นทำให้พื้นที่ยืนอยู่เกิดความลื่น อีกทั้งพื้นที่ดังกล่าวมีพื้นที่จำกัดตนจึงใช้ได้เพียงร่างกายในท่ายืน นั่ง นอน และยกแขนขาได้เพียงเล็กน้อย เพราะจำเป็นจะต้องรักษาสมดุลร่างกาย จึงทำให้การเคลื่อนไหวต้องมีจังหวะที่ช้า โดยรวมแล้วการแสดงดังกล่าวตนต้องการจะสื่อถึงความเจ็บปวดของมนุษย์ผ่านที่แคบ เพื่อเรียกร้องหรือสื่อถึงบรรยากาศทางการเมืองที่มีความอึดอัดในตอนนั้น โดยการแสดงท่าทางตนเองไม่ได้คิดไว้ว่าภาพที่ได้ถูกผู้อื่นถ่ายจะออกมาอย่างไร คิดเพียงอย่างเดียวคือแสดงเคลื่อนไหวโดยไม่ให้ตกลงไป

    นอกจากนี้พยานยังเคยแสดง Body Movement มาบ่อยครั้งหลายสถานที่ โดยมักจะเลือกสถานที่เพื่อสื่อถึงกลุ่มคนที่อยู่ที่นั่นและมีความเกี่ยวข้องกับสถานที่นั้น ๆ รวมทั้งคดีนี้ที่ตนเลือกสถานที่เป็นป้ายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เพื่อสื่อถึงกลุ่มนักศึกษาและผู้บริหารของมหาวิทยาลัย

    ป้ายหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ยังเป็นสถานที่ที่นักศึกษาใช้จัดกิจกรรมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์มาโดยตลอด และในการแสดงตนสามารถควบคุมเพียงท่าทางเท่านั้น ไม่สามารถควบคุมมุมกล้องที่บุคคลอื่นถ่ายมาได้ ซึ่งภาพที่ปรากฏในมุมที่แตกต่างกันจะสื่อถึงความหมายที่แตกต่างออกไป โดยในระหว่างการสืบพยานทนายความได้นำวิดีโอคลิปในวันเกิดเหตุเปิดให้ศาลดู

    ต่อมา จำเลยตอบพนักงานอัยการถามค้านว่า การแสดง Body Movement ของตนไม่มีชื่อเรียก ซึ่งแสดงถึงความอึดอัดใจ ไม่ได้สื่อถึงพระบรมฉายาลักษณ์แต่อย่างใด โดยตนขึ้นไปแสดงบนป้ายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เท่านั้น และที่ผ่านมาตนเองก็ไม่เคยจัดกิจกรรมหรือแสดงออกถึงการต่อต้านพระมหากษัตริย์มาก่อน

    อย่างไรก็ตาม ตนไม่ขอตอบคำถามพนักงานอัยการว่า รักสถาบันกษัตริย์หรือไม่ เนื่องจากเห็นว่าไม่เกี่ยวกับคดีนี้ เพราะการแสดงดังกล่าวไม่ได้สื่อถึงสถาบันกษัตริย์มาตั้งแต่ต้น

    ++พยานผู้เชี่ยวชาญด้านการละคอน ตีความหมาย Performance Art จะต้องดูตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่สามารถตีความเพียงรูปภาพเดียว การตีความหมายของแต่ละคนแตกต่างกันได้ แต่จะต้องไม่ใช้ความเห็นตัวเองเหนือกว่าความเห็นอื่น

    ภาสกร อินทุมาร หัวหน้าสาขาวิชาการละคอน คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เบิกความต่อศาลว่า คำว่า Performance Art คือ “ศิลปะการแสดงสด” เป็นการแสดงแขนงใหม่ โดยการแสดงปกติจะมีบทมาให้นักแสดงเพื่อให้ทำการแสดงตาม

    ในการแสดง Performance Art นั้น เป็นศาสตร์ที่เกี่ยวกับการละครและการแสดง สรุปคือ เป็นการแสดงด้วยร่างกายซึ่งไม่มีโครงสร้างการเล่าเรื่อง หรือบทที่ชัดเจน โดยมุ่งเน้นไปที่การเคลื่อนไหวทางร่างกายเพื่อสื่อความหมายหรือประเด็นบางอย่างออกมาแก่ผู้ชม

    อย่างไรก็ดี นอกจากการเคลื่อนไหวตอนทำการแสดงแล้ว พื้นที่ที่ใช้แสดงก็เป็นปัจจัยต่อผู้แสดงด้วย รวมไปถึงสภาวะภายในของผู้แสดงด้วย สิ่งสำคัญของการแสดง Performance Art นั้นเป็นพื้นที่เปิดกว้างให้มีการตีความได้อย่างเต็มที่แล้วแต่ผู้ดูจะตีความ ซึ่งต่างจากการแสดงปกติที่มีการวางบทบาทไว้อย่างชัดเจนให้ตีความได้ตามที่ผู้แสดงจะถ่ายทอดออกมาเท่านั้น ทั้งนี้ในมหาวิทยาลัยที่ตนสอนอยู่ก็มีการเรียนการสอนวิชาศิลปะการแสดง Performance Art นี้ด้วย

    พยานเห็นว่า การตีความ ดูความหมายของการแสดงไหนก็ตาม จะต้องดูตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่สามารถดูแค่ภาพเพียงภาพเดียวและตีความออกมาได้เลย ตามภาพนิ่งที่โจทก์อ้างในคดีนี้ เมื่อพยานดูแล้วเห็นว่ายากต่อการตีความ เพราะไม่เห็นการแสดงทั้งหมดที่เกิดขึ้น ซึ่งหากเห็นคลิปวิดีโอภาพเคลื่อนไหวร่างกายก็สามารถตีความออกมาได้อีกแบบหนึ่ง

    หลังจากนั้นทนายความเปิดคลิปวิดีโอภาพเคลื่อนไหวเหตุการณ์ดังกล่าวให้ดู พยานให้ความเห็นว่า ผู้แสดงพยายามเล่นกับสีแดงที่สื่อถึงเลือด และร่างกายบิดเบี้ยวสื่อถึงความเจ็บปวดของคนๆ หนึ่ง และที่แคบสื่อถึงพื้นที่ของเสรีภาพที่ถูกจำกัดเสรีภาพจากผู้บริหารหรือผู้นำที่มีอำนาจในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ การนำป้ายพระบรมฉายาลักษณ์เข้ามาตีความนั้นไม่สามารถทำได้ เนื่องจากผู้แสดงไม่ได้แสดงกิริยาต่อรูปแต่อย่างใด

    ต่อมา ภาสกรตอบพนักงานอัยการถามค้านว่า ตนเคยเคลื่อนไหวเรียกร้องกรณีนักศึกษาถูกจับกุมด้วย ประชาชนทั่วไปอาจจะไม่รู้จัก Performance art และอาจตีความแตกต่างออกไปจากความคิดของพยานก็ได้ เพราะผู้ชมแต่ละคนมีภูมิหลัง มุมมองที่แตกต่างกัน ซึ่งหลักการของการตีความนั้นจะต้องไม่ให้ความหมายใดความหมายหนึ่งไปมีอำนาจมากกว่าหรือเหนือกว่าอีกความหมายหนึ่งได้ มีแต่เพียงความหลากหลายทางความคิดเท่านั้น เพราะไม่มีการตีความใดถูกต้องที่สุด

    ภาสกรตอบทนายจำเลยถามติงว่า เหตุที่ตนออกไปเรียกร้องกรณีนักศึกษาถูกจับกุมนั้นเนื่องจากตนมองว่านักศึกษามีสิทธิจะแสดงออกทางความคิดเห็นภายใต้ระบอบประชาธิปไตย

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/55771)
  • ++อาจารย์วิจิตรศิลป์ – ศิลปะไม่จำเป็นต้องเท่ากับความงาม ศิลปะการเคลื่อนไหวร่างกายถ้าดูเพียงภาพถ่าย ไม่อาจสื่อความหมายทั้งการแสดงได้

    ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ อาจารย์คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เบิกความต่อศาลถึงความหมายของศิลปะในภาพกว้างว่า คือ การแสดงออกทางความคิด ความใฝ่ฝัน จินตนาการ ต่อตนเองและสังคม จึงมีการแสดงออกซึ่งศิลปะที่มีความหลากหลาย ศิลปะย่อมสอดคล้องกับสังคม ศิลปะและสังคมเป็นสิ่งที่อยู่ควบคู่กันมาตลอด

    จากประสบการณ์ของตนในงานศิลปะที่ดีและมีความหมาย คือศิลปะที่มีการสื่อหรือบ่งบอกสังคมให้รับรู้ถึงปัญหา ในการแสดงศิลปะที่ต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากเป็นสิ่งที่กระทำออกมาได้ดีกว่า เนื่องจากการกระทำในรูปแบบธรรมดาให้หรือสื่อออกมาไม่ได้โดยตรงในชีวิตประจำวันของเรา ๆ ศิลปะจึงต้องอาศัยสื่อต่าง ๆ เช่น ร่างกาย การเคลื่อนไหว กล้อง ต่าง ๆ เหล่านี้ก็คือสิ่งที่จะสร้างศิลปะขึ้นมาได้ หากเมื่อผู้คนไม่สามารถแสดงหรือสื่ออะไรออกมาได้ ศิลปะจึงเข้ามามีบทบาทแทน

    ในความหมายของคำว่า “ความงาม” นั้นเป็นเพียงความหมายหนึ่งและเป็นความหมายเล็กของสิ่งที่เรียกว่า “สุนทรียศาสตร์” เพราะโดยภาพรวมของสุนทรียศาสตร์นั้นคือ เป็นการแสดงออกทางความรู้สึกต่าง ๆ ซึ่งโดยมากแล้วศิลปะบางครั้งอาจเป็นสิ่งตรงข้ามกับความงามก็ได้

    Performance Art คือศิลปะที่อาศัยการเคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งหากจะดูเพียงภาพนิ่งแล้วทำการตีความไม่ได้ เพราะการถ่ายภาพนิ่งแต่ละมุมจะสื่อความหมายใหม่เสมอ ซึ่งอาจผิดไปจากความหมายหรือเจตนารมณ์เดิม อย่างเช่น เหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์แต่ถูกถ่ายจากกล้องคนละตัว เช่นนี้ภาพที่ออกมาจะสื่อความหมายคนละแบบ และความหมายเปลี่ยนไปด้วย โดยหากดูภาพในแต่ละมุมกล้องจะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าความหมายที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันได้

    นอกจากนี้การถ่ายทอดเพียงภาพถ่ายไม่อาจสื่อความหมายทั้งการแสดงได้ และความหมายของการแสดงจะไปขึ้นอยู่กับผู้ถ่ายภาพนิ่งแทน เนื่องจาก Performance Art เป็นศิลปะเคลื่อนไหว หากมีการถ่ายภาพนิ่งก็เปรียบเสมือนกับการดึงคำพูดออกมาจากประโยคเพียง 1 คำ ยกตัวอย่าง ประโยคว่า “ฉันอยากกินข้าวขาหมู” แต่การถ่ายภาพคือการดึงคำว่า “หมู” มาตีความเพียงคำนี้คำเดียว ซึ่งการตีความจากการดูภาพนิ่งเพียงภาพเดียวนั้นไม่สามารถทำได้

    เมื่อได้เห็นรูปภาพนิ่งในคดีนี้ ศรยุทธเบิกความต่อไปว่า การตีความจากภาพดังกล่าวในฐานะผู้เชี่ยวชาญจะสามารถตีความได้เพียงแค่มีบุคคล มีถัง และสีแดง นอกจากนี้เห็นว่ามีการจัดร่างกายทรงตัวบนป้ายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ดี เพราะเป็นพื้นที่แคบ อีกส่วนหนึ่งคือสีหน้าของบุคคลในภาพที่จะสื่อความหมายถึงความเจ็บปวดทรมานให้กับผู้ชม โดยคู่กับการใช้สีแดงเพื่อสื่อให้สังคมรับรู้ร่วมกัน ไม่ใช่ความหมายจากผู้แสดง

    ต่อมาทนายจำเลยเปิดคลิปวิดีโอภาพเคลื่อนไหวให้พยานดูแล้วถามถึงความเห็น พยานเบิกความถึงการตีความของตนว่า ผู้แสดงคงมีความทุกข์ใจ ดูจากสีแดงที่ผู้แสดงเลือกใช้ จุดที่เด่นที่สุดคือสีหน้า มันดูมีการบีบคั้น มีการแสดงตบหน้าตัวเอง ทำร้ายร่างกาย โดยบุคคลดังกล่าวกำลังจะสื่ออะไรบางอย่างให้ผู้ชมอยู่ ซึ่งผู้แสดงและผู้ชมมีร่วมกันทั้งสองฝ่าย

    ถ้าหากต้องการจะรู้ความหมายแท้จริงนั้นต้องไปสัมภาษณ์ผู้แสดง แต่ในฐานะผู้ชมหากมีหัวใจเป็นธรรมจะเข้าใจความหมายได้ ถึงแม้จะไม่สามารถอธิบายออกมาคำพูดได้ก็ตาม ในงานศิลปะคือการรับรู้ได้ด้วยหัวใจ การแสดงนี้ถือเป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่เรียกว่า Performance Art เมื่อมาดูภาพเคลื่อนไหวแล้วจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันสิ้นเชิง เพราะภาพเคลื่อนไหวจะเห็นการแสดงท่าทาง การเคลื่อนไหว แต่หากกลับไปดูภาพนิ่งจะไม่เห็นถึงสิ่งเหล่านี้ได้

    ต่อมา ศรยุทธตอบพนักงานอัยการถามค้านว่า ไม่รู้จักกับบุคคลในภาพเป็นการส่วนตัวมาก่อน แต่ทราบว่าเป็นประธานสภานักศึกษา และการตีความของตนพยายามให้ความเห็นอย่างระมัดระวังและอยู่บนกรอบของวิชาการ เนื่องจากไม่ได้ถามความหมายมาจากผู้แสดงก่อน ทั้งนี้ นักวิชาการคนอื่น ๆ อาจมีความเห็นที่แตกต่างออกไป ซึ่งต้องเคารพซึ่งความคิดเห็นของกันและกันด้วย

    ++อาจารย์นิติศาสตร์ – การกระทำของจำเลยคลุมเครือเกินกว่าจะเป็นความผิดมาตรา 112

    กฤษณ์พชร โสมณวัตร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เบิกความต่อศาลว่า องค์ประกอบของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 สิ่งที่จำเป็นต้องตีความคือ การกระทำต้องเป็นการดูหมิ่น ซึ่งสอดคล้องกับการลดทอนศักดิ์ศรี โดยการให้ความหมายของการดูหมิ่นนั้นจำเป็นต้องใช้หลักการ “ดูหมิ่นซึ่งหน้า” ตามหลักการของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 โดยความหมายที่เป็นการดูหมิ่นนั้นต้องชัดเจน

    เมื่อเห็นภาพในคดีนี้ตนเห็นว่า กิริยาของจำเลยเป็นการใช้เท้าชี้ฟ้า ซึ่งเป็นกิริยาของการแสดงของศิลปินต่าง ๆ เช่น ฮิปฮอป บัลเลต์ ซึ่งไม่สามารถตีความได้ชัดเจน อย่างมากสุดคงเป็นความไม่เรียบร้อย และคงไม่สามารถตีความเจตนาของผู้กระทำได้เพียงการดูภาพเพียงภาพเดียว เมื่อดูคลิปแล้วยิ่งทำให้การกระทำของจำเลยยิ่งไม่ชัดเจนมากกว่าการดูภาพนิ่ง เนื่องจากการแสดงของจำเลยมีท่าทางที่หลากหลายและมากมายความหมาย ส่วนการทำท่าครุฑก็ไม่มีกฎหมายคุ้มครองครุฑบัญญัติไว้ และครุฑก็ไม่ใช่พระมหากษัตริย์ จึงไม่เข้าองค์ประกอบมาตรา 112

    กฤษณ์พชรเห็นว่า การกระทำหรือการแสดงของจำเลยไม่มีความหมายชัดเจน เมื่อไม่ทราบความหมายที่ชัดเจนแล้วก็ไม่สามารถสรุปได้ว่าจำเลยกำลังดูหมิ่นใคร หรือว่าทำอะไร เช่นนี้การลดทอนคุณค่าจึงไม่เกิดขึ้น การดูหมิ่นอาจจะแสดงออกผ่านทางร่างกาย เช่น การชูนิ้วกลาง เช่นนี้จะเป็นการแสดงที่สื่อออกมาได้อย่างชัดเจน

    ต่อมา กฤษพชรตอบพนักงานอัยการถามค้านว่า การตีความของตนก็อาจแตกต่างกับประชาชนคนอื่น ๆ ได้ ทั้งมาตรา 112 และมาตรา 393 การจะรู้ว่าการกระทำใดเป็นการดูหมิ่นหรือไม่นั้น ต้องใช้ความเห็นจากวิญญูชนด้วย

    หลังสืบพยานจำเลยเสร็จสิ้น ศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 8 พ.ค. 2566 เวลา 09.00 น.

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/55771)
  • เวลาประมาณ 09.15 น. จำเลยพร้อมด้วยทนายความได้เข้าฟังคำพิพากษา โดยมีเพื่อนของจำเลยที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กลุ่มศิลปิน และอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รวมกว่า 20 คน เดินทางมาฟังคำพิพากษา แต่เนื่องจากห้องพิจารณามีขนาดเล็กจึงมีเพียงบางส่วนได้เข้าฟังคำพิพากษาพร้อมจำเลยและทนายความ ส่วนที่เหลือรอฟังผลคำพิพากษาอยู่ด้านนอกห้อง นอกจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ศาลยังให้คดีอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการฟังคำพิพากษารออยู่นอกห้องพิจารณาก่อนด้วย

    ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีที่อ่านคำพิพากษาในวันนี้ ได้แก่ ณิชนารา ลิ่มสุวรรณ ก่อนเริ่มการอ่านคำพิพากษา ศาลแจ้งว่าจะอ่านในส่วนการพิเคราะห์ของศาลเลยโดยไม่อ่านทวนรายละเอียดการต่อสู้ของโจทก์และจำเลย

    คำพิพากษาโดยสรุประบุว่า ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยในคดี ได้ข้อเท็จจริงโดยยุติว่า จำเลยได้กระทำการแสดงท่าทางและทำการราดสีใส่ตนเองบริเวณป้ายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทราบการจัดกิจกรรมเข้าติดตามสังเกตการณ์มีการถ่ายภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวไว้เป็นหลักฐาน พยานโจทก์ยืนยันว่า การที่จำเลยกระทำการดังกล่าวย่อมเล็งเห็นว่าน้ำสีแดงของจำเลยจะถูกพระบรมฉายาลักษณ์และข้อความ “ทรงพระเจริญ” ที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว

    อีกทั้งฝ่ายโจทก์ยังได้นำสืบว่า จำเลยเคยเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองที่จัดขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่มาโดยตลอด อาทิ การชุมนุมบริเวณสนามรักบี้ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่มีการนำธงชาติมาถือแสดง และการชุมนุมบริเวณประตูท่าแพ เป็นต้น จากกิจกรรมดังกล่าวฝ่ายโจทก์เห็นว่า จำเลยมีพฤติการณ์ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ อีกทั้งยังมีพยานที่เป็นเจ้าหน้าที่วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ และนักวิชาการด้านกฎหมายที่เข้ามาให้ความเห็นต่อการกระทำของจำเลย

    ศาลเห็นว่าพยานโจทก์ไม่มีปากใดที่ชี้ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการอาฆาตมาดร้าย ส่วนการหมิ่นประมาทนั้นจะต้องมีการใส่ความด้วยการชี้ยืนยันข้อเท็จจริงบางประการ ส่วนการดูหมิ่นก็ต้องระบุตัวบุคคลให้รู้ได้แน่นอนว่าเป็นใคร

    พยานหลักฐานโจทก์จึงยังชี้ไม่ได้ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำอาฆาตมาดร้าย ดูหมิ่น หรือหมิ่นประมาท อีกทั้งการแสดงของจำเลยไม่ได้เจาะจงตัวบุคคล ประกอบกับป้ายหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นสถานที่ชุมนุมอยู่เป็นประจำ การแสดงกิจกรรมดังกล่าวก็เรียกร้องเรื่องสิทธิการประกันตัว

    เมื่อไม่มีพยานโจทก์ที่เบิกความยืนยันว่าจำเลยจงใจกระทำต่อพระบรมฉายาลักษณ์และข้อความ “ทรงพระเจริญ” ส่วนการเข้าร่วมการชุมนุมของจำเลยก็ไม่ใช่เครื่องยืนยันการกระทำความผิดของจำเลยในคดีนี้ อีกทั้งพยานโจทก์ได้เบิกความถึงคลิปวิดีโอภาพเคลื่อนไหวซึ่งเป็นพยานหลักฐานในคดี แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีการนำส่งเข้ามาในการพิจารณาคดีนี้ จึงทำให้พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัย พิพากษายกฟ้อง

    หลังฟังคำพิพากษาแล้ว “รามิล” เปิดเผยความรู้สึกว่า คำพิพากษาวันนี้ก็ออกมาตามเนื้อหาข้อมูลตั้งแต่วันสืบพยาน ที่ทางโจทก์กล่าวหาว่าหมิ่นฯ จากการไปทำการแสดงที่ป้ายหน้ามหาวิทยาลัย แต่ก็เป็นพยานโจทก์เองที่สืบไม่ได้ว่าเป็นการหมิ่นฯ ยังไง

    “หลังได้ยินว่ายกฟ้อง ก็ยกฟ้องอะครับ คือจริง ๆ มีคนถามมาเยอะเหมือนกันว่าคดี 112 ที่โดนจะเป็นยังไง ผมก็สงสัยว่าถามทำไม ถามผมทำไม คือมันเป็นอำนาจหน้าที่ของประชาชนเหรอที่จะสามารถบอกได้ ถามทนาย ทนายก็ไม่รู้ ถามเรา เราก็ไม่รู้ เพราะยังไงชีวิตเราอยู่บนเส้นด้ายของอำนาจศาล ตุลาการ และรัฐนี้อยู่แล้ว เขาจะกำหนดให้เราเป็นยังไง ก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจะถามผมว่ารู้สึกยังไงกับการยกฟ้อง ก็บอกได้ว่ามันไม่ใช่ชะตาชีวิตของเรา”

    ทั้งนี้ หลังฟังคำพิพากษาในศาลชั้นต้นแล้ว ยังต้องติดตามการอุทธรณ์คดีของฝ่ายอัยการโจทก์ต่อไป หากไม่มีการอุทธรณ์ คดีจึงจะสิ้นสุดลง

    สำหรับ “รามิล” นอกจากคดีนี้แล้ว เขายังถูกศรีสุวรรณ จรรยา กล่าวหาในคดีมาตรา 112 อีกคดีหนึ่ง กรณีแสดงงานศิลปะคล้ายธงชาติที่ไม่มีสีน้ำเงิน

    (อ้างอิง: คำพิพากษา ศาลจังหวัดเชียงใหม่ คดีหมายเลขดำที่ อ.260/2565 คดีหมายเลขแดงที่ อ.636/2566 ลงวันที่ 8 พ.ค 2566 และ https://tlhr2014.com/archives/55786)

  • นาตยา สาลักษณ์ พนักงานอัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานการสอบสวน ช่วยราชการสำนักงานคดีศาลสูงภาค 5 ได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา

    โดยสรุปโจทก์พยายามยืนยันว่า แม้กิจกรรมของจำเลยไม่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์อย่างชัดแจ้งก็ตาม แต่การแสดงดังกล่าวเจตนาเลือกบริเวณที่มีป้ายข้อความ “ทรงพระเจริญ” และมีพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 โดยมีการใช้น้ำสีแดงเทราดใส่ตัว และกระเด็นไปเลอะเทอะเปรอะเปื้อนพระบรมฉายาลักษณ์

    อัยการยังย้ำว่า จำเลยมีการแสดงท่าทางต่าง ๆ ทั้งแสดงท่าคล้ายครุฑ และนอนหงายโดยใช้เท้าขวาซึ่งเป็นอวัยวะเบื้องต่ำชี้ไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ การกระทำของจำเลยไม่แสดงออกถึงความสวยงาม ไม่เป็นที่ยอมรับในทางศิลปะ เป็นการแสดงที่ไม่ถวายพระเกียรติยศต่อพระมหากษัตริย์ เป็นการไม่บังควรและไม่เหมาะสมต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นที่รักและเคารพของประชาชนชาวไทย อันเป็นการแสดงออกทางกิริยาท่าทางจาบจ้วง ล่วงเกิน ดูหมิ่น หมิ่นประมาท และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ โดยพยานโจทก์เองก็เบิกความให้ความเห็นสรุปได้ว่า การกระทำของจำเลยไม่เหมาะสม และไม่เคารพต่อพระมหากษัตริย์

    โจทก์ยังอ้างว่า ป้ายข้อความ “คืนสิทธิประกันตัวให้ประชาชน” ก็ทำให้เข้าใจได้ว่าพระมหากษัตริย์เป็นผู้สนับสนุนผู้นำรัฐบาลให้กระทำการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งจำเลยมีเจตนาให้ประชาชนเกิดความแตกแยกและเคลือบแคลงสงสัยในพระมหากษัตริย์ และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แล้วออกมาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก เพื่อก่อความไม่สงบในบ้านเมือง อันเป็นการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งอยู่ในฐานะที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้

    อัยการอ้างว่า ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยไม่ใช่การหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ เป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่คลาดเคลื่อนไป จึงได้ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

    (อ้างอิง: อุทธรณ์ของโจทก์ ศาลจังหวัดเชียงใหม่ คดีหมายเลขดำที่ อ.260/2565 คดีหมายเลขแดงที่ อ.636/2566 ลงวันที่ 18 ต.ค. 2566 และ https://tlhr2014.com/archives/69537)
  • ฝ่ายจำเลยยื่นคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์ โดยประเด็นแรกได้โต้แย้งโจทก์ว่า ในทางกฎหมายอาญาแล้ว การหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้าย ย่อมไม่ได้กินความหมายรวมถึง การนิ่งเฉย การแสดงความไม่เคารพ การวิพากษ์วิจารณ์ หรือการประชดประชัน รวมถึงการกล่าวถึงหรือกระทำการใด ๆ ต่อสิ่งแทนตน สัญลักษณ์ รูปถ่าย การตีความมาตรา 112 ซึ่งเป็นกฎหมายอาญาที่กำหนดโทษไว้รุนแรง ต้องตีความโดยเคร่งครัด ไม่ก่อให้เกิดการขยายความจนขัดต่อหลักกฎหมายอาญา

    รวมทั้งพยายามโต้แย้งการตีความมาตรา 112 ไปเชื่อมโยงกับมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ว่า ทั้งสองเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวพันหรือเชื่อมโยงกันแต่อย่างใด

    ในส่วนการแสดงออกของจำเลยในวันเกิดเหตุ ยืนยันว่า จำเลยต้องการเรียกร้องให้คืนสิทธิการประกันตัวต่อผู้ต้องขังทางการเมือง และมีข้อเรียกร้องต่อมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในปัญหาจากกรณีข้อพิพาทในคณะวิจิตรศิลป์ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพระบรมฉายาลักษณ์และสถาบันกษัตริย์ สถานที่แสดงออกที่หน้ามหาวิทยาลัย ก็เป็นสถานที่ที่ผู้ชุมนุมหรือแสดงออกทางการเมืองมักเลือกใช้อยู่เป็นประจำ และสามารถสื่อถึงมหาวิทยาลัยได้ชัดเจนที่สุด

    การแสดงของจำเลยยังมิได้วางแผนจะแสดงออกด้วยท่าทางใด แต่เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายไปตามอารมณ์ความรู้สึก ดังที่พยานจำเลยเบิกความถึงการแสดงที่เรียกว่า “ศิลปะการแสดงสด” (Performance Art) ซึ่งเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง เป็นการเคลื่อนไหวร่างกาย อาจจะเคลื่อนไหวตลอดเวลา หรือหยุดเป็นบางช่วงก็ได้ จำเป็นต้องดูการแสดงอย่างต่อเนื่อง ไม่สามารถดูจากบางช่วงบางตอน หรือเพียงจากภาพใดภาพหนึ่งเท่านั้น

    พยานโจทก์ที่มาเบิกความนั้นต่างก็ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ที่จำเลยแสดง เพียงแต่ดูภาพถ่ายซึ่งเป็นภาพนิ่งตามที่ตำรวจให้ดู ไม่ได้ดูภาพเคลื่อนไหวของการแสดง ภาพนิ่งยังขึ้นอยู่กับมุมกล้องและความเห็นของผู้ถ่ายภาพ ซึ่งก่อให้เกิดให้ความหมายและตีความภาพที่ต่างกัน

    จากหลักฐานและคำให้การพยาน ล้วนไม่มีพยานปากใดเห็นว่าพระบรมฉายาลักษณ์เปรอะเปื้อนด้วยเหตุใด หรือจำเลยมีการกระทำใดที่เป็นการเจตนาทำให้พระบรมฉายาลักษณ์เปรอะเปื้อน มีเพียงการคาดคะเนของผู้กล่าวหาที่เห็นว่า จำเลยตัวเปื้อนสีแดง และสีย่อมกระเด็นไปถูกพระบรมฉายาลักษณ์เท่านั้น โดยที่ก็ไม่ปรากฏว่าป้าย “ทรงพระเจริญ” หรือป้ายชื่อมหาวิทยาลัยเปรอะเปื้อนด้วยแต่อย่างใด

    ทั้งการตีความว่าจำเลยแสดงท่าครุฑนั้น จำเลยก็มิได้แสดงแต่อย่างใด เป็นการตีความของโจทก์บางปากเอง พยานโจทก์หลายปากก็รับว่าไม่ทราบว่าภาพถ่ายการแสดงของจำเลยดังกล่าวสื่อถึงท่าใด และพยานโจทก์ผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ไทยก็รับว่า ครุฑไม่ใช่บุคคล และไม่ได้หมายถึงพระมหากษัตริย์

    ส่วนอุทธรณ์ที่อ้างว่าป้ายข้อความ “คืนสิทธิประกันตัวให้ประชาชน” ทำให้เข้าใจได้ว่าพระมหากษัตริย์เป็นผู้สนับสนุนผู้นำรัฐบาล ให้กระทำการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนนั้น ก็ไม่มีพยานโจทก์แม้แต่ปากเดียวเบิกความในลักษณะดังกล่าวตามที่โจทก์อุทธรณ์

    ทั้งหลักฐานโจทก์ยังมีข้อพิรุธสงสัย โดยพนักงานสอบสวนมิได้นำส่งคลิปวิดีโอหรือการบันทึกภาพเคลื่อนไหวการแสดงของจำเลย ทั้งที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจให้การว่าได้บันทึกไว้ และได้มอบให้พนักงานสอบสวนแล้ว ผิดไปจากปกติวิสัยในการสอบสวนที่ต้องสอบสวนให้ได้ข้อเท็จจริงเพียงพอ และการไม่นำภาพเคลื่อนไหวมาเป็นหลักฐานในสำนวน หรือให้พยานโจทก์ดูและตีความเพื่อให้เกิดความชัดเจน ล้วนไม่มีเหตุผลเพียงพอ ชี้ถึงความพิรุธน่าสงสัยในพยานหลักฐาน

    โดยสรุปแล้ว จำเลยยืนยันว่า การแสดงสดของจำเลยนั้นมิได้เป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด พยานหลักฐานโจทก์ล้วนไม่มีน้ำหนักเพียงพอ จึงขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืนยกฟ้องตามศาลชั้นต้น

    (อ้างอิง: คำแก้อุทธรณ์ของโจทก์ ศาลจังหวัดเชียงใหม่ คดีหมายเลขดำที่ อ.260/2565 คดีหมายเลขแดงที่ อ.636/2566 ลงวันที่ 4 เม.ย. 2567 และ https://tlhr2014.com/archives/69537)
  • เวลา 09.00 น. ณิชนารา ลิ่มสุวรรณ ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเป็นผู้อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 โดยจำเลยและทนายความจำเลยมาศาล รามิลได้นำดอกกุหลาบมาด้วยจำนวน 99 ดอก พร้อมเพื่อนนักศึกษาเดินทางมาร่วมให้กำลังใจประมาณ 4 คน

    คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 โดยสรุป เห็นว่า คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำฟ้องหรือไม่ โจทก์มีประจักษ์พยานเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 ปาก ได้แก่ ส.ต.ท.พงศ์ฤทธิ์ จินะธรรม, พ.ต.ท.อานนท์ เชิดชูตระกูลทอง และ พ.ต.ท.นรากร ปิ่นประยูร เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในเหตุการณ์ และทำรายงานต่อผู้บังคับบัญชา

    ทั้งโจทก์ยังมีการนำพยาน ได้แก่ เจ้าหน้าที่กองกฎหมาย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, รองผู้อำนวยการจากวิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่, เจ้าหน้าที่จากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่, ประธานกลุ่มไทยภักดี, นักธุรกิจ และคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนอร์ทเชียงใหม่ เข้าเบิกความ แต่พยานเหล่านี้มิได้รู้เห็นเหตุการณ์ด้วยตัวเอง จึงไม่อาจรับฟังได้

    ประจักษ์พยานคือเจ้าหน้าที่ตำรวจในเหตุการณ์ ยังให้การถึงเหตุการณ์ในวันดังกล่าวขัดแย้งกัน จึงไม่อาจรับฟังได้

    นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจในเหตุการณ์อ้างว่า มีการบันทึกวิดีโอการแสดงไว้ แต่ก็ไม่มีการอ้างส่งพยานหลักฐานคลิปวิดีโอ ทั้งที่ย่อมตระหนักได้ว่าวิดีโอเป็นสาระสำคัญของคดี คำเบิกความของ ส.ต.ท.พงศ์ฤทธิ์ จึงไม่น่าเชื่อถือ

    ส่วนที่โจทก์กล่าวหาว่า จำเลยชี้เท้าไปทางพระบรมฉายาลักษณ์นั้น ภาพที่จำเลยแสดงแตกต่างจากภาพที่โจทก์กล่าวหาตามเอกสารพยานของฝ่ายจำเลย โดยจำเลยไม่ได้ชี้เท้าไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ แต่เป็นการแสดงการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง โดยจำเลยแสดงถึง 45 นาที การยกเท้าเป็นเพียงท่าทางเพียงครั้งเดียว

    แม้การกระทำของจำเลยเป็นการแสดงออกอย่างไม่เหมาะสม แต่ไม่ถึงขั้นเป็นการเหยียดหยามอันเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย แม้จะมีบุคคลที่พบเห็นไม่สบายใจอยู่บ้าง ก็ไม่เป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 112 และเป็นเสรีภาพในการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

    การที่โจทก์สืบพยานว่า จำเลยมีคดีอื่นในลักษณะเดียวกันนั้น ไม่อาจรับฟังได้ เนื่องจากระบบศาลไทยเป็นระบบกล่าวหา โจทก์ย่อมมีหน้าที่จะต้องสืบพยานนำพยานหลักฐานมาแสดงต่อศาล และการที่จำเลยมีคดีอื่นอยู่แล้ว ก็ไม่อาจรับฟังเป็นที่ยุติได้ว่าจำเลยจะกระทำความผิดเช่นนั้นอีก

    พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง พิพากษายืน
    .
    รามิลเป็นนักศึกษาและนักกิจกรรมในจังหวัดเชียงใหม่ที่ถูกกล่าวหาดำเนินคดีจากการแสดงออกทางการเมืองในช่วงปี 2563-64 มากที่สุดคนหนึ่ง คือถูกกล่าวหาไปถึง 9 คดี โดยเป็นคดีมาตรา 112 ถึง 2 คดี นอกจากคดีนี้แล้ว ยังมีคดีแสดงงานศิลปะที่ถูกกล่าวหาว่ามีลักษณะคล้ายธงชาติที่ไม่มีสีน้ำเงินระหว่างกิจกรรมภายในมหาวิทยาลัย คดีดังกล่าวศาลจังหวัดเชียงใหม่พิพากษาให้รอลงอาญา และคดีสิ้นสุดไปแล้ว

    ส่วนคดีจากการชุมนุมอื่น ๆ ส่วนใหญ่รามิลถูกกล่าวหาในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ รวมทั้งมาตรา 116 ด้วย ส่วนใหญ่คดีสิ้นสุดไปแล้วเช่นกัน โดยยังเหลือคดีที่รามิลต่อสู้อยู่อีก 2 คดี

    (อ้างอิง: คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 5 คดีหมายเลขดำที่ อ.1012/2567 คดีหมายเลขแดงที่ 2146/2567 ลงวันที่ 23 ก.ค. 2567 และ https://tlhr2014.com/archives/69596)

ชั้นสอบสวน

ผู้ถูกดำเนินคดี :
วิธญา คลังนิล

การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
-

ศาลชั้นต้น

ผู้ถูกดำเนินคดี :
วิธญา คลังนิล

ชื่อองค์คณะผู้พิพากษา :
  1. ณิชนารา ลิ่มสุวรรณ
  2. สมพงษ์ จิวะวิทูรกิจ

ผลการพิพากษา
ยกฟ้อง
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ : 08-05-2023

ศาลอุทธรณ์

ผู้ถูกดำเนินคดี :
วิธญา คลังนิล

ชื่อองค์คณะผู้พิพากษา :
  1. ปทุมาวดี พิชชาโชติ
  2. ทัศนีย์ อังสนานนท์
  3. เฉลิม เบ็ญมาศ

ผลการพิพากษา
ยกฟ้อง
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
-
พิพากษาวันที่ : 04-09-2024

แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์