ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
  • พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
  • Facebook
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
ดำ อ.2268/2564
แดง อ.1225/2566

ผู้กล่าวหา
  • อิสกันต์ ศรีอุบล กลุ่มอาชีวะปกป้องสถาบันฯ (ประชาชน)
ผู้ถูกดำเนินคดี

ข้อหา

  • พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
  • Facebook
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)

หมายเลขคดี

ดำ อ.2268/2564
แดง อ.1225/2566
ผู้กล่าวหา
  • อิสกันต์ ศรีอุบล กลุ่มอาชีวะปกป้องสถาบันฯ

ความสำคัญของคดี

ไวรัส (นามสมมติ) เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยวัย 33 ปี ถูกกลุ่มอาชีวะปกป้องสถาบันฯ แจ้งความดำเนินคดี โดยกล่าวหาว่า เขาโพสต์ข้อความและภาพลงในเฟซบุ๊กและติ๊กต่อกช่วง เม.ย.-พ.ค. 2564 เข้าข่ายหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ รวม 5 โพสต์ ก่อนตำรวจเรียกให้เขาไปพูดคุยที่ สน.โชคชัย แต่กลับมีการแจ้งข้อหามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โดยไม่ได้มีหมายเรียกมาก่อน ทั้งที่โพสต์ที่ถูกกล่าวหา 2 โพสต์ เป็นเพียงการวิจารณ์การลงขันสร้างศาลาที่รัชกาลที่ 9 เคยเสด็จไป

กรณีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี แต่กลับเปิดโอกาสให้บุคคลใดก็ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษแม้ไม่ได้เป็นผู้เสียหาย ทำให้ข้อกล่าวหาดังกล่าวถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งบุคคลอื่น อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการตีความขยายความคุ้มครองไปถึงอดีตกษัตริย์ ซึ่งขัดต่อหลักกฎหมายอาญาที่ต้องตีความอย่างเคร่งครัดเนื่องจากมีบทลงโทษที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน

พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี

ชัญญาณ์ภัช ล้อมณีนพรัตน์ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 9 บรรยายคำฟ้องว่า

ไวรัสใช้เฟซบุ๊กและติ๊กต่อกโพสต์รวมถึงแชร์รูปและข้อความหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ จำนวน 5 โพสต์ ได้แก่

1. เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2564 จำเลยได้แชร์โพสต์ภาพและข้อความจากบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ “Tito Barthélemy” ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวปรากฏภาพของรัชกาลที่ 10 และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ ประกอบข้อความเนื้อเพลงเป็นภาษาคาราโอเกะว่า “ไม่รักระวังติดคุกนะ” “รู้สึกอยากฟังเพลงขึ้นมาทันที” และจำเลยได้พิมพ์ข้อความประกอบการแชร์โพสต์ว่า “มาๆๆร้องเพลงคาราโอเกะกันนะ”

2. เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2564 จำเลยได้โพสต์วีดิโอลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ปรากฏภาพตัดต่อรัชกาลที่ 10 ทรงถือถุงเฉาก๊วยไว้ในพระหัตถ์ซ้าย กำลังตรัสกับประชาชนที่มารับเสด็จคนหนึ่ง ประกอบข้อความโฆษณาเฉาก๊วย และจำเลยได้พิมพ์ข้อความทำนองว่าตนจะไม่กินเฉาก๊วยยี่ห้อดังกล่าว

3. เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2564 จำเลยได้เผยแพร่ภาพและข้อความจากโพสต์ของบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ “คณะราษฎรไทย ฝรั่งเศส Free Thai Movement in France” ลงในบัญชีติ๊กต่อกของจำเลย ปรากฏภาพรัชกาลที่ 10 ประกอบข้อความ “[…]พระราชทาน”

4. เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2564 จำเลยได้โพสต์ภาพและข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ปรากฏภาพและข้อความซึ่งเป็นข่าวที่ชาวบ้านทั้งตำบลลงขันกันนำเงินไปซ่อมแซมศาลาที่รัชกาลที่ 9 ผูกเชือกฉลองพระบาทเองเป็นครั้งแรก

5. เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2564 จำเลยได้แชร์โพสต์ภาพและข้อความลงในบัญชีติ๊กต่อกของจำเลย ปรากฏภาพรัชกาลที่ 9 และข้อความตั้งคำถามว่า "มีใครผูกเชือกรองเท้าด้วยตัวเองได้รึยัง? ชาวบ้านตำบลนี้จัดงานฉลองศาลาที่เจ้าผูกรองเท้าด้วยตัวเองที่นี่ที่แรกในประเทศไทย?"

การกระทำดังกล่าวเป็นการล่วงละเมิด หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 รวมถึงพระบรมราชินี โดยประการที่น่าจะทำให้ทั้งสามพระองค์เสื่อมเสียพระเกียรติยศชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง และประชาชนเสื่อมความเคารพศรัทธา

(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.2268/2564 ลงวันที่ 17 ก.ย. 2564)

ความคืบหน้าของคดี

  • เวลา 09.00 น. ที่ สน.โชคชัย ไวรัส (นามสมมติ) อายุ 33 ปี อดีตเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของธนาคารแห่งหนึ่ง เดินทางไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังวันก่อนหน้านี้ (8 ก.ค. 2564) ได้มีตำรวจติดต่อมาทางโทรศัพท์ แจ้งให้เขาไปพบที่ สน.โชคชัย โดยนายตำรวจที่โทรมา เพียงแต่บอกว่าได้รับคำสั่งให้ติดต่อนัดหมายเขาไปพูดคุยให้ข้อมูลกับทางตำรวจ ไม่ได้มีอะไรมาก ขณะเดียวกัน ไวรัสก็ยังไม่เคยได้รับหมายเรียกใดๆ มาก่อน แต่เนื่องจากเขาอยากให้เรื่องจบโดยเร็ว หากพูดคุยกันได้ จึงตัดสินใจเดินทางไปตามนัดหมายกับตำรวจ

    ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2564 ได้มีกลุ่มบุคคลอ้างว่าเป็นกลุ่มอาชีวะปกป้องสถาบันฯ ประมาณ 6-7 คน ทั้งกลุ่มใส่เสื้อสีเหลืองบุกมาที่ทำงานของไวรัส โดยเขาไม่รู้จักผู้ใดในกลุ่มเลย กล่าวหาว่า เขาแชร์โพสต์หมิ่นประมาทกษัตริย์ ทั้งพยายามข่มขู่ถามว่าทำไมไม่รักในหลวง และพยายามให้เขาขอโทษ ทำให้เกิดการถกเถียงกันขึ้น

    ต่อมาได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาดูเหตุการณ์ และเชิญทั้งหมดไปพูดคุยที่ สน.โชคชัย แต่เมื่อถึงสถานีตำรวจแล้ว กลุ่มคนดังกล่าวได้แจ้งความกล่าวหาว่าเขากระทำความผิดตามมาตรา 112 โดยมีการนำภาพโพสต์ต่างๆ ยื่นต่อตำรวจ จากนั้นตำรวจได้ขอตรวจยึดโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ของไวรัส แจ้งว่าจะขอนำไปตรวจสอบ ถ้าไม่มีอะไรก็จะคืนให้ โดยเจ้าหน้าที่ได้จัดทำบันทึกการตรวจยึดให้เขาลงชื่อ ก่อนปล่อยตัวเขากลับ พร้อมแจ้งว่าจะติดต่อเขามาอีกครั้ง

    ในวันนี้เมื่อไปถึง สน.โชคชัย ปรากฏว่า พนักงานสอบสวนไม่ได้มีการพูดคุยตามที่โทรบอก แต่ได้แจ้งว่า จะแจ้งข้อกล่าวหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ทำให้ไวรัสประสานงานมาที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเพื่อขอความช่วยเหลือทางกฎหมาย

    พ.ต.ท.ไตรพงษ์ วงศ์อมรอัครพันธ์ รองผู้กำกับ (สอบสวน) สน.โชคชัย แจ้งข้อกล่าวหาไวรัสใน 2 ข้อกล่าวหา ได้แก่ ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3)(5)

    เจ้าหน้าที่ระบุพฤติการณ์ข้อกล่าวหาว่า เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2564 เวลาประมาณ 15.00 น. อิสกันต์ ศรีอุบล ผู้กล่าวหา ได้พูดคุยกับขนิษฐา งาเจือ พยาน ทำให้ทราบว่ามีผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กนำคลิปที่ขนิษฐาเล่นแอพติ๊กต่อกไปโพสต์ต่อ ทำให้ขนิษฐาได้รับความเสียหาย ผู้กล่าวหาจึงได้เข้าไปดูเฟซบุ๊กดังกล่าว พบว่าผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าวโพสต์ภาพและข้อความที่เข้าข่ายหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี

    พนักงานสอบสวนได้ระบุโพสต์ที่ไวรัสถูกกล่าวหา รวมทั้งหมด 5 โพสต์ ซึ่งโพสต์ระหว่างวันที่ 30 เม.ย. - 7 พ.ค. 2564 เป็นกรณีที่แชร์และโพสต์เกี่ยวกับกษัตริย์รัชกาลที่ 9 จำนวน 2 ข้อความ แชร์และโพสต์ข้อความเกี่ยวกับกษัตริย์รัชกาลที่ 10 จำนวน 3 ข้อความ

    ข้อกล่าวหาระบุว่า ในวันเดียวกัน ผู้กล่าวหาได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่าผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าว ซึ่งไม่ได้ใช้ชื่อสกุลจริง คือตัวผู้ต้องหา

    ในวันที่ 7 พ.ค. 2564 เวลา 14.00 น. ผู้กล่าวหากับพวกได้นัดหมายกันเดินทางไปพบที่ทำงานของไวรัส เมื่อไปถึงพบไวรัสยืนโบกรถอยู่ตรงที่จอดรถ จึงได้แจ้งตำรวจ สน.โชคชัย ไปที่ทำงานดังกล่าว พร้อมเข้าไปพบและสอบถามไวรัส ไวรัสได้ยอมรับว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวจริง และเจ้าหน้าที่จึงเชิญตัวไวรัสไปที่สถานีตำรวจ พร้อมผู้กล่าวหาได้ร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีเพื่อให้รับโทษตามกฎหมาย

    หลังรับทราบข้อกล่าวหา ไวรัสได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และจะให้การเพิ่มเติมเป็นหนังสือต่อไป ก่อนตำรวจจะให้พิมพ์ลายนิ้วมือและลงบันทึกประจำวันไว้

    หลังจากกระบวนการสอบสวนดังกล่าว พนักงานสอบสวนได้แจ้งว่าจะนำตัวไวรัสไปขอฝากขัง ที่ศาลอาญา รัชดาฯ แม้เขาจะเดินทางมาพบตำรวจด้วยตนเองก็ตาม

    ในช่วงบ่าย หลังจากการพูดคุย ทางตำรวจได้แจ้งว่าจะยื่นคำร้องขอฝากขังต่อศาลอาญาผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ จากห้องสอบสวน ต่อมาศาลได้อนุญาตให้ฝากขังตามคำร้องของพนักงานสอบสวนเป็นระยะเวลา 12 วัน ก่อนที่ทนายความจะได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวไวรัส โดยวางหลักทรัพย์เป็นเงินสด 200,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์

    เวลา 16.40 น. ศาลอาญาได้อนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหา โดยให้วางหลักทรัพย์ 200,000 บาท พร้อมกำหนดนัดให้มารายงานตัวต่อศาลอีกครั้ง ในวันที่ 26 ส.ค. 2564

    ไวรัสเปิดเผยว่า เหตุที่เกิดขึ้นสร้างความลำบากต่ออาชีพของเขา ธนาคารที่เขาทำงานอยู่ได้ให้เขาเขียนใบลาออก โดยไม่ได้มีการจ่ายค่าชดเชยใดๆ จากนั้นเขาไปทำงานขายของในบูธ แต่ยอดขายในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งโควิดระบาด ก็ไม่ได้เป็นไปตามเป้า และมีรายได้ไม่พอกับรายจ่าย จึงอาจจะต้องหางานใหม่ในช่วงต่อไป นอกจากนั้น อุปกรณ์ที่ถูกยึดไป ยังไม่รู้ว่าจะได้คืนเมื่อไรอีกด้วย

    (อ้างอิง: บันทึกแจ้งข้อกล่าวหา สน.โชคชัย ลงวันที่ 9 ก.ค. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/31974)
  • พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 9 มีความเห็นสั่งฟ้องไวรัส และยื่นฟ้องต่อศาลอาญารัชดา ในข้อหา หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ, นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง, เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลอันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3)(5)

    อัยการบรรยายฟ้องกล่าวหาว่า ไวรัสใช้เฟซบุ๊กและติ๊กต่อกโพสต์และแขร์ข้อความหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ จำนวน 5 ข้อความ ระหว่างวันที่ 30 เม.ย. - 7 พ.ค. 2564 เป็นรูปและข้อความเกี่ยวกับรัชกาลที่ 9 จำนวน 2 โพสต์ รูปและข้อความเกี่ยวกับรัชกาลที่ 10 จำนวน 3 โพสต์

    ข้อความหนึ่งระบุว่า เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2564 จำเลยได้ใช้เฟซบุ๊กแชร์ภาพและข้อความของอีกบัญชีหนึ่ง ซึ่งเป็นภาพของพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ พร้อมข้อความเนื้อเพลงคาราโอเกะว่า “ไม่รักระวังติดคุกนะ” “รู้สึกอยากฟังเพลงขึ้นมาทันที” และ “มาๆๆร้องเพลงคาราโอเกะกันนะ”

    อัยการบรรยายฟ้องว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการล่วงละเมิด หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 รวมถึงพระบรมราชินี โดยประการที่น่าจะทำให้ทั้งสามพระองค์เสื่อมเสียพระเกียรติยศชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง และประชาชนเสื่อมความเคารพศรัทธา

    ท้ายฟ้องอัยการยังขอให้ศาลสั่งริบโทรศัพท์ 1 เครื่องซึ่งเป็นของกลางด้วย ทั้งขอคัดค้านการประกันตัว โดยให้เหตุผลว่า “เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงมาก”

    (อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.2268/2564 ลงวันที่ 17 ก.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/36525)
  • ไวรัสเดินทางไปที่ศาลอาญาเพื่อรายงานตัวและรับทราบฟ้องตามที่ศาลนัด ก่อนถูกควบคุมตัวไปที่ห้องเวรชี้ ขณะทนายความยื่นขอประกันตัวระหว่างการพิจารณาคดี โดยใช้หลักทรัพย์เดิมในชั้นสอบสวนจากกองทุนราษฎรประสงค์ จำนวน 200,000 บาท

    ต่อมา ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวจำเลย พร้อมกำหนดวันนัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ 1 พ.ย. 2564 เวลา 09.00 น.

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/36525)
  • ผู้รับมอบฉันทะทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี เนื่องจากติดนัดศาลในคดีอื่นของศาลนี้ ศาลอนุญาตให้เลื่อนไปสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 13 ธ.ค. 2564 เวลา 13.30 น.
  • โจทก์อ้างส่งพยานเอกสาร 16 ฉบับ และแถลงสืบพยานบุคคล 9 ปาก ทนายจำเลยแถลงว่า เนื่องจากพยานเอกสารโจทก์มีจำนวนมาก และเพื่อประโยชน์ของจำเลย ขอให้นัดตรวจพยานหลักฐานอีก 1 นัด เพื่อที่ทนายและจำเลยจะได้มีเวลาในการปรึกษาแนวทางคดี
    โจทก์ไม่คัดค้าน ศาลอนุญาตให้เลื่อนนัดสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐาน ออกไปเป็นวันที่ 28 ก.พ. 2565 เวลา 10.00 น.
  • ศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง พร้อมถามคำให้การ ไวรัสยืนยันให้การปฏิเสธ

    โจทก์แถลงว่า มีพยานบุคคลที่จะนำเข้าสืบ 9 ปาก จำเลยอ้างสืบพยาน 4 ปาก กำหนดวันนัดสืบพยาน 3 นัด ในวันที่ 7-9 ก.พ. 2566
  • ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 807 องค์คณะผู้พิพากษา ได้แก่ นภาวรรณ ขุนอักษร (หัวหน้าองค์คณะ), ปริยนันท์ แก้วเชิด และเฉลิมศักดิ์ พิกุลศรี ออกนั่งพิจารณาคดี ก่อนเริ่มสืบพยานศาลได้อธิบายคำฟ้องให้ไวรัสฟังอีกครั้ง และสอบถามว่า จำเลยจะให้การรับสารภาพหรือต่อสู้คดีในส่วนใดบ้าง

    ทนายความจำเลยแถลงว่า จำเลยให้การรับสารภาพใน 2 กรรม ดังนี้

    1.โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2564 ซึ่งจำเลยได้แชร์โพสต์ภาพและข้อความจากบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ “Tito Barthélemy” ปรากฏภาพของรัชกาลที่ 10 และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ ประกอบข้อความเนื้อเพลงเป็นภาษาคาราโอเกะว่า “ไม่รักระวังติดคุกนะ” “รู้สึกอยากฟังเพลงขึ้นมาทันที” และจำเลยได้พิมพ์ข้อความประกอบการแชร์โพสต์ว่า “มาๆๆร้องเพลงคาราโอเกะกันนะ”

    2.โพสต์ติ๊กต่อกเมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2564 ซึ่งจำเลยได้แชร์ภาพและข้อความจากโพสต์ของบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ “คณะราษฎรไทย ฝรั่งเศส Free Thai Movement in France” ปรากฏภาพรัชกาลที่ 10 ประกอบข้อความ “[…]พระราชทาน”

    ส่วนอีก 3 กรรม จำเลยให้การปฏิเสธ ดังนี้

    1.โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2564 ซึ่งจำเลยลงวิดีโอปรากฏภาพตัดต่อรัชกาลที่ 10 ทรงถือถุงเฉาก๊วย และจำเลยได้พิมพ์ข้อความทำนองว่าตนจะไม่กินเฉาก๊วยยี่ห้อดังกล่าว โดยจำเลยต่อสู้ว่าตนไม่ได้เป็นผู้ตัดต่อภาพดังกล่าวและข้อความในโพสต์ก็ไม่มีส่วนใดเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์

    2.โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2564 ซึ่งจำเลยได้โพสต์ภาพและข้อความซึ่งเป็นข่าวที่ชาวบ้านทั้งตำบลลงขันกันนำเงินไปซ่อมแซมศาลาที่รัชกาลที่ 9 ผูกเชือกฉลองพระบาทเองเป็นครั้งแรก

    3.โพสต์ในติ๊กต่อกเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2564 ซึ่งจำเลยได้แชร์ภาพรัชกาลที่ 9 และโพสต์ข้อความตั้งคำถามว่า "มีใครผูกเชือกรองเท้าด้วยตัวเองได้รึยัง? ชาวบ้านตำบลนี้จัดงานฉลองศาลาที่เจ้าผูกรองเท้าด้วยตัวเองที่นี่ที่แรกในประเทศไทย?"

    สองโพสต์หลังจำเลยต่อสู้ว่า มาตรา 112 คุ้มครองเพียงพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน คือ รัชกาลที่ 10 เท่านั้น ไม่คุ้มครองรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นอดีตพระมหากษัตริย์ และภาพประกอบข้อความดังกล่าวก็เป็นเพียงการตั้งคำถาม ไม่ได้เป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์

    การสืบพยานในคดีนี้ มีพยานโจทก์เข้าเบิกความทั้งหมดรวม 5 ปาก ได้แก่ อิสกันต์ ศรีอุบล ผู้กล่าวหา, ขนิษฐา งาเจือ, ตรีดาว อภัยวงศ์, อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ พยานผู้เชี่ยวชาญ และ พ.ต.ท.ไตรพงษ์ วงศ์อมรอัครพันธ์ พนักงานสอบสวน

    ++พยานโจทก์ปากที่ 1 สมาชิกกลุ่มอนุชนคนรักสถาบัน ผู้กล่าวหา ระบุ การกระทำจำเลยไม่เหมาะสม ใส่ร้าย และสร้างความเสียหายให้กับสถาบันกษัตริย์

    อิสกันต์ ศรีอุบล สมาชิกกลุ่มอนุชนคนรักสถาบัน ผู้กล่าวหาในคดีนี้ เบิกความว่า พยานเป็นผู้พบเห็นโพสต์ติ๊กต่อกและเฟซบุ๊กของจำเลย

    โพสต์ภาพของรัชกาลที่ 10 และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ ประกอบเนื้อเพลงภาษาคาราโอเกะว่า “ไม่รักระวังติดคุกนะ” พยานเห็นว่ามีการใส่รูปพระบรมฉายาลักษณ์และมีการใส่ข้อความให้ร้ายว่าหากไม่รักทั้งสองพระองค์จะต้องติดคุก ทำให้รู้สึกไม่เหมาะสมและไม่สบายใจ

    โพสต์ภาพตัดต่อภาพรัชกาลที่ 10 ทรงถือถุงเฉาก๊วย ประกอบข้อความทำนองว่าจะไม่กินเฉาก๊วยยี่ห้อดังกล่าว พยานเห็นว่ารูปตัดต่อดังกล่าวไม่เป็นความจริง และจำเลยก็พิมพ์ข้อความที่ไม่เหมาะสม

    โพสต์ภาพรัชกาลที่ 10 ประกอบข้อความ “[…]พระราชทาน” พยานเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้นในประเทศไทย เป็นข้อความทำลายจิตใจคนไทยทั้งประเทศ ให้ร้ายว่าสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นสิ่งที่รัชกาลที่ 10 พระราชทานให้ ซึ่งไม่เป็นความจริง

    โพสต์ภาพและข้อความตั้งคำถามกับประชาชนเกี่ยวกับการนำเงินของหมู่บ้านมาบำรุงรักษาศาลาที่รัชกาลที่ 9 ผูกเชือกฉลองพระบาท จำนวน 2 โพสต์ พยานเห็นว่าไม่เหมาะสม เป็นการแซะสถาบันฯ

    พยานทราบว่าผู้ใช้บัญชีติ๊กต่อกและเฟซบุ๊กคือจำเลย โดยช่วยกันค้นหากับเพื่อน เมื่อเข้าไปในโปรไฟล์บัญชีของจำเลยทำให้ทราบชื่อและสถานที่ทำงานว่าเป็น รปภ. ที่ธนาคารแห่งหนึ่ง จึงติดตามไปสถานที่ทำงาน พบตัวจำเลยเห็นว่าตรงกับโปรไฟล์ที่สืบหามา จึงโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ ตำรวจจึงเชิญจำเลยไปให้การที่ สน.โชคชัย เพื่อนของพยานที่ไปเจอจำเลยที่ธนาคารด้วยกันมีหลายคน และมีขนิษฐาซึ่งมาเป็นพยานเบิกความต่อศาลในคดีนี้ด้วย

    ตอนยังอยู่ที่ธนาคาร จำเลยได้ขอร้องพยานและกล่าวว่าตนจะไม่ทำพฤติกรรมดังกล่าวอีกแล้ว แต่พยานได้แจ้งความดำเนินคดีไปแล้ว

    ต่อมา อิสกันต์ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า เหตุที่พยานมาแจ้งความในคดีนี้เพราะทราบเรื่องจากขนิษฐา กลุ่มอนุชนคนรักสถาบัน จึงเริ่มติดตามตัวจำเลยจากโพสต์หมิ่นประมาทส่วนตัวของขนิษฐา ซึ่งจำเลยนำคลิปมาเผยแพร่ต่อในเฟซบุ๊ก โดยก่อนหน้านั้น ขนิษฐาได้แจ้งให้จำเลยลบคลิปดังกล่าวแต่จำเลยไม่ลบ

    ขนิษฐาได้แจ้งความในคดีส่วนตัวแยกต่างหากที่ สน.โชคชัย แต่พยานไม่ทราบว่าคดีความดำเนินไปถึงขั้นใดแล้ว พยานไปติดตามจำเลยที่ธนาคารด้วย และเท่าที่ทราบมีสมาชิกกลุ่มอาชีวะปกป้องสถาบันไปด้วย

    กลุ่มอนุชนคนรักสถาบันของพยานเป็นฝ่ายตรงข้ามกับกลุ่มสามกีบหรือกลุ่มม็อบประชาธิปไตย

    ทนายจำเลยถามว่า ในบางครั้งถ้ากลุ่มของพยานมีความขัดแย้งหรือโกรธเคืองส่วนตัวกับบุคคลใดก็อาจจะไม่ดำเนินคดีส่วนตัว แต่ใช้มาตรา 112 ใช่หรือไม่ แต่ศาลแจ้งว่าเมื่อจำเลยรับแล้วว่าเป็นผู้โพสต์จริง การสืบว่าพยานมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยไม่ได้ส่งผลต่อคดี

    พยานเบิกความตอบทนายจำเลยอีกว่า ตนเดินทางไปชี้ตัวจำเลยเพราะเห็นว่าจำเลยสร้างความเสียหายให้กับสถาบันกษัตริย์ โดยคดีนี้เป็นคดี 112 คดีแรกที่พยานแจ้งความ บุคคลทั้งหมดที่รักสถาบันก็จะสนับสนุนพรรคไทยภักดี พยานเคยไปพบกับ พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ในฐานะประธานกลุ่มอนุชนคนรักสถาบัน

    ศาลแจ้งทนายจำเลยว่า ต้องการให้ต่อสู้แค่เรื่องเจตนาของจำเลย มูลเหตุจูงใจอื่นไม่ส่งผลต่อคดี เมื่อไม่ได้อยู่ในประเด็นแห่งคดี ศาลก็จะไม่บันทึกให้ ทนายจำเลยจึงแถลงต่อศาลว่า มาตรา 112 ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือ เนื่องจากสามารถกล่าวหากันได้ง่าย จึงจำเป็นต้องสืบในประเด็นดังกล่าว แต่ศาลยืนยันว่า สิ่งที่ทนายจำเลยพยายามสืบไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นในคดี

    อิสกันต์ตอบทนายจำเลยต่อว่า โพสต์ภาพตัดต่อภาพรัชกาลที่ 10 ทรงถือถุงเฉาก๊วยนั้น พยานเข้าใจว่าหากรัชกาลที่ 10 ถืออะไร จำเลยก็จะไม่กินยี่ห้อดังกล่าว แต่ในโพสต์ดังกล่าวจำเลยไม่ได้ระบุเหตุผลของการไม่กินเฉาก๊วย

    พยานทราบว่ารัชกาลที่ 10 ไม่ได้เป็นผู้จำหน่ายเฉาก๊วย ภาพดังกล่าวเป็นภาพตัดต่อ ไม่เป็นความจริง ส่วนบุคคลอื่นจะเห็นแล้วเชื่อตามโพสต์หรือไม่ พยานไม่ทราบ พยานเห็นโพสต์ของจำเลยแล้วยังคงเทิดทูนสถาบันกษัตริย์เหมือนเดิม

    พยานจบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ทราบดีว่า ดูหมิ่น และหมิ่นประมาทในทางกฎหมายแตกต่างกันอย่างไร และบุคคลที่มาตรา 112 ให้การคุ้มครองคือสถาบันกษัตริย์

    โพสต์ภาพและข้อความตั้งคำถามกับประชาชนเกี่ยวกับการนำเงินของหมู่บ้านมาบำรุงรักษาศาลาที่รัชกาลที่ 9 ผูกเชือกฉลองพระบาท ไม่มีข้อความใดระบุว่า รัชกาลที่ 9 นำเงินประชาชนไปประชาสัมพันธ์พระองค์เอง และไม่มีข้อความว่า รัชกาลที่ 9 ทรงสร้างภาพว่าดำเนินกิจวัตรอย่างคนธรรมดา ทั้งไม่มีข้อความในลักษณะตัดพ้อ และไม่มีข้อความหยาบคาย

    ++พยานโจทก์ปากที่ 2 ขนิษฐา งาเจือ บุคคลที่มีความขัดแย้งกับจำเลย ระบุข้อความไม่ได้ตีความตรงตามตัวหนังสือ จำเลยแดกดันและส่อเสียดพระมหากษัตริย์

    ขนิษฐ เบิกความว่า จำเลยได้นำคลิปตนมาตัดต่อและเขียนข้อความว่า สามกีบไม่มีเงินซื้อทุเรียนกิน เต้นระบำหน้าท้องโชว์ คนที่มาแสดงความคิดเห็นใต้โพสต์เป็นไปในทางด่าทอและมีคำหยาบคาย พยานจึงตามดูในโปรไฟล์ทราบว่าจำเลยชื่ออะไรและทำงานที่ใด

    พยานค้นพบโพสต์ที่จำเลยแสดงออกต่อสถาบันกษัตริย์ในลักษณะไม่เหมาะสม ในเบื้องต้นจึงได้คุยกับอิสกันต์ ซึ่งเคยทำกิจกรรมร่วมกัน หลังจากนั้นได้โทรแจ้งที่ทำงานของจำเลยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งต่อมาจำเลยได้โพสต์ว่าผู้จัดการธนาคารแจ้งให้ลบข้อความดังกล่าว

    ในฐานะที่พยานนเป็นคนไทยที่รักสถาบันฯ หากใครไม่ชอบหรือไม่พอใจสถาบันฯ ก็แค่อยู่เฉยๆ พยานเห็นว่า โพสต์ของจำเลยมีข้อความในลักษณะแซะหรือแดกดัน

    หลังจากนั้นจำเลยยังคงโพสต์เฟซบุ๊กเยาะเย้ยว่า ผู้จัดการธนาคารปกป้องตน พยานจึงนัดกับอิสกันต์ไปดักรออยู่ใกล้ธนาคาร ในวันที่ 7 พ.ค. 2564 เมื่อพบว่าเป็นจำเลยจริง จึงโทรเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ เดินทางไป สน.โชคชัย ในส่วนของพยานได้แจ้งความคดีหมิ่นประมาท และอิสกันต์ได้แจ้งความในคดี 112 พยานจำชื่อตำรวจสายตรวจคนดังกล่าวไม่ได้

    พยานไม่ได้ดำเนินการเรื่องคดีหมิ่นประมาทต่อ แจ้งความเพียงว่าจะดำเนินคดีจนถึงที่สุดเท่านั้น เนื่องจากเห็นว่าแค่ส่วนคดี 112 ก็หนักมากแล้ว

    ขฯิษฐาตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ตนไม่นับว่าเป็นสมาชิกกลุ่มอนุชนคนรักสถาบัน รู้จักอิสกันต์เป็นการส่วนตัวจากการเล่นโซเชียลมีเดีย เนื่องจากเป็นคนที่มีความเห็นตรงกัน ก่อนเกิดเหตุพยานไม่ทราบว่าจำเลยเป็น “กลุ่มสามกีบ” มาทราบภายหลังตอนติดตามดูโพสต์ของจำเลย

    อิสกันต์เป็นผู้แจ้งความคดี 112 เนื่องจากมีกลุ่มเพื่อนและชมรมดูแลเรื่องนี้อยู่ ส่วนพยานเป็นแค่คนธรรมดา ไม่มีอำนาจ คนที่โทรเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจและเตรียมหลักฐานมา คือ อิสกันต์

    คลิปของพยานที่จำเลยนำไปโพสต์ต่อนั้น พยานตั้งค่าเป็นสาธารณะ ทุกคนสามารถเข้าถึงได้

    คลิปวิดีโอที่พยานพูดถึงสามกีบที่ทนายจำเลยเปิดให้ดู พยานพูดถึงฝ่ายตรงข้ามในลักษณะตักเตือน เนื่องจากไม่อยากให้ใครมาโดนคดีอีก โดยไม่ได้เจาะจงตัวจำเลย

    โพสต์ตัดต่อภาพรัชกาลที่ 10 ทรงถือถุงเฉาก๊วย พยานเห็นว่า จำเลยจะสื่อไปในทางแดกดันบุคคลผู้ถือถุงเฉาก๊วยในภาพ และเข้าใจว่า จำเลยจะไม่กินเฉาก๊วย เพราะอยู่ในพระหัตถ์รัชกาลที่ 10

    ทนายจำเลยได้กล่าวว่าคดีนี้เป็นคดีทางการเมือง ศาลจึงกล่าวว่าคดีนี้ไม่ใช่คดีทางการเมือง ศาลขอให้ศึกษาว่าเหตุใดคนไทยหลาย 10 ล้านคนจึงเคารพสถาบันกษัตริย์มายาวนาน และศึกษาประวัติศาสตร์ว่า เหตุใดทุกวันนี้เราจึงได้อยู่ในแผ่นดินที่ร่มเย็น ศาลไม่ตำหนิและเคารพความคิดที่เห็นต่าง แต่อยากให้ปรับทัศนคติ เห็นว่าตอนนี้กระบวนพิจารณาคดีค่อนข้างเลอะเทอะ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง เป็นเรื่องความมั่นคงของรัฐ เป็นความผิดอาญา

    ทนายจำเลยถามต่อถึงโพสต์ภาพและข้อความตั้งคำถามกับประชาชนเกี่ยวกับการนำเงินของหมู่บ้านมาบำรุงรักษาศาลาที่รัชกาลที่ 9 ผูกเชือกฉลองพระบาท พยานเห็นว่า ไม่มีข้อความที่บอกว่ารัชกาลที่ 9 ทรงใช้เงินประชาชนในการสร้างศาลาเทิดพระเกียรติ ข้อความในโพสต์หากไม่ใช่กลุ่มล้มล้างสถาบันฯ ผู้พูดอาจตั้งคำถามในลักษณะทั่วไป ในความเห็นพยาน ข้อความไม่ได้เป็นการตัดพ้อ แต่เป็นการส่อเสียด อ่านแล้วรู้สึกไม่จริงใจ ไม่ได้ตีความตรงตามตัวหนังสือ

    พยานไม่ทราบว่า การส่อเสียดเป็นองค์ประกอบของมาตรา 112 หรือไม่ เมื่ออ่านข้อความแล้วรู้สึกแย่ เห็นว่าสิ่งที่จำเลยทำเป็นการด้อยค่าพระมหากษัตริย์ แต่ยังคงเทิดทูนสถาบันกษัตริย์เหมือนเดิม

    (อ้างอิง: คำเบิกความพยานโจทก์ ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.2268/2564 ลงวันที่ 7 ก.พ. 2566 และ https://tlhr2014.com/archives/55834)
  • ++พยานโจทก์ปากที่ 3 ตรีดาว อภัยวงศ์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ระบุ ข้อความทำให้ผู้ที่พบเห็นเข้าใจว่า ร.9 – ร.10 หลอกลวง ไม่น่าเคารพ ทำให้รู้สึกเกลียดชัง ไม่ชอบใจ และไม่พอใจพระองค์

    ตรีดาวเบิกความว่า เกี่ยวข้องกับคดีนี้ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจมาสอบถามตนในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญ

    พยานเห็นว่า โพสต์ภาพของรัชกาลที่ 10 และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ ประกอบเนื้อเพลงภาษาคาราโอเกะว่า “ไม่รักระวังติดคุกนะ” เป็นความหมายเชิงเสียดสี หมิ่นพระเกียรติ เป็นการทราบโดยทั่วไปของกลุ่มที่ใช้โซเชียลมีเดียว่า หากทรงไม่พึงพระราชหฤทัยก็จะลงโทษจำคุก จึงถูกนำมาล้อเลียน เสียดสี ซึ่งไม่มีข้อเท็จจริงในเชิงประจักษ์

    ส่วนโพสต์ภาพตัดต่อภาพรัชกาลที่ 10 ทรงถือถุงเฉาก๊วย ประกอบข้อความทำนองว่า จะไม่กินเฉาก๊วยยี่ห้อดังกล่าว พยานเห็นว่า ข้อความแสดงออกถึงความรู้สึกไม่พอใจ ไม่ชอบ เกลียดชัง จากการติดตามโซเชียลมีเดียทราบว่า ประชาชนในภาพ เคยได้รับการกล่าวจากรัชกาลที่ 10 ว่า “กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ” ทำให้เข้าใจได้ว่า ผู้โพสต์แสดงความโกรธ ไม่พอใจ เกลียดชังรัชกาลที่ 10 อย่างรุนแรงจากข้อความที่บอกว่าจะไม่กินเฉาก๊วยยี่ห้อดังกล่าว

    โพสต์ภาพรัชกาลที่ 10 ประกอบข้อความ “[…]พระราชทาน” พยานเห็นว่า ข้อความตีความได้ว่าสิ่งของเหล่านั้นถูกมอบให้โดยรัชกาลที่ 10 ซึ่งไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ ไม่เป็นความจริง ใส่ความพระองค์ แสดงให้เห็นเจตนาของผู้โพสต์ว่ามีความไม่ชอบ เกลียดชังรัชกาลที่ 10

    โพสต์ภาพและข้อความตั้งคำถามกับประชาชนเกี่ยวกับการนำเงินของหมู่บ้านมาบำรุงรักษาศาลาที่รัชกาลที่ 9 ผูกเชือกฉลองพระบาท จำนวน 2 โพสต์ พยานเห็นว่าผู้โพสต์แสดงความเห็นในเชิงเสียดสี เย้ยหยัน แสดงว่ารัชกาลที่ 9 ไม่มีพระมหากรุณาธิคุณอย่างแท้จริง เป็นเพียงแค่การสร้างภาพ หลอกลวง ขัดต่อการรับรู้ของประชาชนโดยทั่วไป

    พยานเห็นว่า เจตนาของผู้โพสต์มีความรู้สึกเชิงลบ เกลียดชังรัชกาลที่ 10 อยู่แล้ว จึงสื่อว่าการที่ประชาชนลงขันสร้างศาลา เป็นการบังคับให้ประชาชนทำ โดยไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ เนื่องจากโดยปกติแล้วถ้าประชาชนเลื่อมใสศรัทธาก็ย่อมยกย่องเชิดชูอยู่แล้ว

    โพสต์ของจำเลย ทำให้ผู้ที่พบเห็น หากไม่เคยศึกษาหรือติดตามพระจริยวัตรมาก่อน ย่อมเข้าใจว่ารัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 หลอกลวง ไม่น่าเคารพ เกลียดชัง ไม่ชอบใจ ไม่พอใจพระองค์ท่าน

    ตรีดาวตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ในทางอักษรศาสตร์ ข้อความสามารถตีความได้หลากหลาย ตามประสบการณ์ ความรู้ และความเชื่อของแต่ละบุคคล ผู้อ่านอาจตีความแตกต่างกันได้ และอาจแตกต่างจากผู้เขียน แต่นอกจากการตีความโดยตรง ยังมีการตีความตามนัยและบริบท

    หลักการตีความตามนัยให้อยู่ในขอบเขตพอสมควรมีอะไรบ้างนั้น พยานไม่ทราบ

    ในชั้นสอบสวน พยานไม่เคยให้การว่า โพสต์ของจำเลยหลอกลวงให้ประชาชนเชื่อ

    โพสต์ของจำเลยไม่มีถ้อยคำหยาบคาย และโพสต์ภาพตัดต่อรัชกาลที่ 10 ทรงถือถุงเฉาก๊วย ก็ไม่ได้ระบุว่า ที่จำเลยไม่กินเพราะอะไร ทำให้ต้องอาศัยการตีความ

    เมื่ออัยการถามติง ตรีดาวตอบว่า แม้ตัวอักษรจะไม่มีเสียง แต่เมื่ออ่านข้อความน้ำเสียงก็ออกมาจากตัวอักษรได้ เมื่อดูภาพยิ่งทำให้เข้าใจว่าความรู้สึกของผู้โพสต์ คือ ไม่เคารพ ไม่ชอบ ไม่เห็นคุณค่า ไม่พึงพอใจต่อสถาบันกษัตริย์ชัดเจน

    ในความเห็นของพยานโพสต์ภาพและข้อความตั้งคำถามกับประชาชนเกี่ยวกับการนำเงินของหมู่บ้านมาบำรุงรักษาศาลาที่รัชกาลที่ 9 ผูกเชือกฉลองพระบาท จำเลยโพสต์ไปในเชิงเจ็บแค้นใจ คับแค้นใจ ไม่ได้รับความยุติธรรม และน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะมีความรู้สึกไม่เท่าเทียมกันระหว่างกษัตริย์กับประชาชน

    อย่างไรก็ตาม พยานตอบทนายจำเลยที่ถามเพิ่มเติมว่า โพสต์ดังกล่าวอาจตีความได้ว่า จำเลยประหลาดใจกับการกระทำของประชาชนที่ให้คุณค่ากับการผูกเชือกฉลองพระบาทของรัชกาลที่ 9 ก็ได้

    ++พยานโจทก์ปากที่ 4 อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ คณะสถิติประยุกต์ นิด้า ระบุ การใช้ ม.112 ต้องสอดคล้องกับ รธน. ม.6 และมีแนวคำพิพากษาฎีกาตัดสินว่าการดูหมิ่นอดีตพระมหากษัตริย์เข้า ม.112

    อานนท์เบิกความว่า เกี่ยวข้องกับคดีนี้เนื่องจากพนักงานสอบสวนเชิญมาให้ความเห็น พยานเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสถิติประยุกต์ วิทยาการประกันภัย วิทยาการข้อมูล และสถาบันกษัตริย์ โดยเป็นอนุกรรมการทฤษฎีศาสตร์พระราชา

    เกี่ยวกับโพสต์ภาพของรัชกาลที่ 10 และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ ประกอบเนื้อเพลงภาษาคาราโอเกะว่า “ไม่รักระวังติดคุกนะ” พยานเห็นว่า การตีความการใช้มาตรา 112 ต้องสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ซึ่งข้อความของจำเลยทำให้ประชาชนที่พบเห็นรู้สึกดูหมิ่นเกลียดชังสถาบันกษัตริย์

    ส่วนโพสต์ภาพตัดต่อรัชกาลที่ 10 ทรงถือถุงเฉาก๊วย ประกอบข้อความทำนองว่าจะไม่กินเฉาก๊วยยี่ห้อดังกล่าว พยานเห็นว่า การนำพระมหากษัตริย์มาโฆษณาสินค้า เป็นการหมิ่นพระเกียรติ และจำเลยยังใช้ถ้อยคำหยาบคาย เป็นความผิดตามมาตรา 112

    โพสต์ภาพรัชกาลที่ 10 ประกอบข้อความ “[…]พระราชทาน” พยานเห็นว่า ข้อความทำให้ประชาชนเข้าใจผิด คิดว่ารัชกาลที่ 10 อำมหิตโหดเหี้ยม สร้างความเกลียดชังให้กับผู้พบเห็น มีคำหยาบคายที่แสดงถึงความไม่เคารพพระมหากษัตริย์ ดูหมิ่นพระเกียรติสถาบันกษัตริย์อย่างรุนแรง

    โพสต์ภาพและข้อความตั้งคำถามกับประชาชนเกี่ยวกับการนำเงินของหมู่บ้านมาบำรุงรักษาศาลาที่รัชกาลที่ 9 ผูกเชือกฉลองพระบาท จำนวน 2 โพสต์ พยานเห็นว่าข้อความดังกล่าวเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ซึ่งเคยมีแนวคำพิพากษาฎีกาตัดสินว่า การดูหมิ่นอดีตพระมหากษัตริย์เข้าองค์ประกอบมาตรา 112

    พยานยังเบิกความเพิ่มเติมว่า โพสต์ดังกล่าวของจำเลยทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่า รัชกาลที่ 9 ทรงไม่มีวุฒิภาวะ ไม่สามารถผูกเชือกรองเท้าด้วยตนเองได้ เป็นการดูหมิ่น

    ต่อมา อานนท์ตอบทนายจำเลยถามค้านว่าพยานจบการศึกษาในสาขาวิชาที่ไม่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย หรือประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่พยานทำงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครองและสถาบันกษัตริย์หลายชิ้น ไม่มีงานวิจัยฉบับใดได้ตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติ

    นิด้าไม่เคยตั้งคณะกรรมการสอบวินัยพยาน โดยข้อความที่ทำให้เกือบจะถูกตั้งคณะกรรมการสอบวินัยคือ โพสต์ที่พยานกล่าวว่า การรัฐประหารมีความจำเป็นในการเมืองไทย

    ส่วนมาตรา 112 จะคุ้มครองอดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เช่น ปรีดี พนมยงค์ ด้วยหรือไม่ พยานไม่ขอตอบ ให้เป็นการวินิจฉัยของศาล

    จากนั้น พยานตอบอัยการถามติงว่า พยานเข้าไปเป็นอนุกรรมการทฤษฎีศาสตร์พระราชาของสภาปฏิรูปประเทศไทย ได้รับการเล่าเรื่องพระมหากษัตริย์มาจากผู้ใกล้ชิดและผู้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท จึงนำมาเขียนบทความและตีพิมพ์ในหนังสือของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี โดยพยานศึกษาเอกสารตัวบทกฎหมายด้วยตนเอง

    ++พยานโจทก์ปากที่ 5 พ.ต.ท.ไตรพงษ์ วงศ์อมรอัครพันธ์ พนักงานสอบสวน เชื่อว่า ผู้ต้องหากระทำความผิดจริง การหาพยานมาให้ความเห็นไม่ได้ลงลึกว่าต้องเชิญพยานจากฝ่ายไหน

    พ.ต.ท.ไตรพงษ์ เบิกความถึงลำดับการดำเนินคดีกับจำเลยในคดีนี้ พยานได้สอบคำให้การอิสกันต์ซึ่งเป็นผู้กล่าวหา และได้ตรวจยึดโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ของจำเลย ส่งไปตรวจพิสูจน์ในกองพิสูจน์หลักฐาน กองบัญชาการสอบสวนกลาง

    พยานได้ตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์พบว่า จำเลยเป็นผู้ใช้หมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าว และได้สอบปากคำพยานผู้เชี่ยวชาญและบุคคลทั่วไปเพื่อให้ความเห็น

    พยานเชื่อว่าผู้ต้องหากระทำความผิด เนื่องจากมีหลักฐานว่ากระทำความผิดจริง จึงได้เรียกจำเลยมาพบในวันที่ 9 ก.ค. 2564 และได้แจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ

    พ.ต.ท.ไตรพงษ์ เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ตามเอกสารซึ่งระบุวันที่แจ้งความร้องทุกข์ภายหลังวันทำบันทึกตรวจยึดโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์นั้น อาจจะมีการพิมพ์วันที่ผิด

    พยานได้เรียกบุคคลที่สามมาสอบถามเพื่อให้ความเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 112 หรือไม่ โดยปกติในคดี 112 จะมีการวางหลักเกณฑ์ว่า ต้องเชิญพยานผู้เชี่ยวชาญและพยานความเห็นที่เป็นประชาชนทั่วไปมาให้การ ซึ่งพยานที่มาเบิกความในชั้นสอบสวนในคดีนี้ พยานเป็นผู้ร่วมสอบสวนด้วยทุกคน

    ทนายจำเลยถามว่า ในการทำหน้าที่ของพนักงานสอบสวนเพื่อพิสูจน์ทั้งความผิดและความบริสุทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหา ต้องเชิญพยานฝ่ายตรงข้ามกันมาให้ความเห็นใช่หรือไม่ พยานเบิกความตอบว่า ระเบียบวิธีการเลือกพยานมาให้การในชั้นสอบสวนไม่ได้ลงลึกว่าจะต้องเชิญพยานมาจากบุคคลฝ่ายไหนบ้าง พยานนำรายชื่อพยานความเห็นมาจากการสอบถามสถานีตำรวจอื่น และสอบถามบุคคลที่ยินยอมมาให้ข้อมูลและเบิกความต่อศาล

    (อ้างอิง: คำเบิกความพยานโจทก์ ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.2268/2564 ลงวันที่ 8 ก.พ. 2566 และ https://tlhr2014.com/archives/55834)
  • ฝ่ายจำเลยนำพยานเข้าเบิกความ 2 ปาก ได้แก่ ไวรัส และ พัชร วัฒนสกลพันธ์ พยานผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ ทนายความยังได้นำส่งความเห็นของ เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง พยานผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประกอบการพิจารณาพิพากษาอีกด้วย

    ++จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานระบุ เผยแพร่โพสต์เพราะเห็นว่าข้อความไม่มีคำหยาบคาย-เจตนาเป็นการตั้งคำถามกับประชาชนเท่านั้น

    ไวรัส จำเลยอ้างตนเองเป็นพยาน เบิกความว่า ตนประกอบอาชีพเป็น รปภ. จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 เนื่องจากครอบครัวแตกแยก ในช่วงปี 2564 ซึ่งเศรษฐกิจไม่ดี ตนได้ตั้งคำถามหลายอย่าง เมื่อได้ติดตามไลฟ์สดของวงไฟเย็นในยูทูบ ซึ่งเป็นวงดนตรีที่ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ พบว่า สามารถตอบคำถามที่สงสัยได้หลายอย่างเรื่องสถาบันกษัตริย์และการเมือง

    ตนแชร์โพสต์จากเฟซบุ๊กของนักร้องวงไฟเย็น, “ไม่รักระวังติดคุกนะ” เป็นเพลงของวงไฟเย็นซึ่งดังอยู่ในขณะนั้น จึงได้แชร์ภาพประกอบข้อความโดยเห็นว่าข้อความไม่มีคำไม่สุภาพ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ทราบว่าการกระทำเป็นความผิดตามกฎหมายหรือไม่

    โพสต์ภาพตัดต่อภาพรัชกาลที่ 10 ทรงถือถุงเฉาก๊วย ประกอบข้อความทำนองว่าจะไม่กินเฉาก๊วยยี่ห้อดังกล่าว เนื่องจากพยานไม่พอใจชายเสื้อเหลืองในภาพ พยานเห็นว่าข้อความไม่มีคำหยาบคาย แต่อาจไม่เหมาะสม

    โพสต์ภาพรัชกาลที่ 10 ประกอบข้อความ “[…]พระราชทาน” เป็นข้อมูลที่พยานได้ฟังจากช่องไฟเย็นทุกวัน เมื่อเฟซบุ๊ก คณะราษฎรไทย-ฝรั่งเศส นำมาโพสต์พยาจึงแชร์ แต่พยานได้ลบออกหลังโพสต์ได้ครึ่งวัน เนื่องจากมีเพื่อนทักท้วงว่าไม่เหมาะสม

    โพสต์ภาพและข้อความตั้งคำถามกับประชาชนเกี่ยวกับการนำเงินของหมู่บ้านมาบำรุงรักษาศาลาที่รัชกาลที่ 9 ผูกเชือกฉลองพระบาท เป็นภาพข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ พยานรู้สึกสะท้อนใจที่ชาวบ้านนำเงินมาบำรุงรักษาศาลาแทนที่จะนำไปทำอย่างอื่น เช่น ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก เนื่องจากในหลวงก็สอนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง จึงพิมพ์ข้อความเป็นการตั้งคำถามและเตือนสติว่า หากรัชกาลที่ 9 ยังอยู่ก็คงไม่เห็นด้วยในการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งภายหลังถูกติดตามมาที่ทำงาน พยานก็ลบข้อความดังกล่าวไปแล้ว

    หลังจากถูกดำเนินคดี พยานก็ไม่ได้มีการโพสต์ข้อความในลักษณะนี้อีก ทำแต่งานหาเลี้ยงชีพตนและครอบครัว ซึ่งหลังถูกดำเนินคดีพยานก็ตกงานอยู่ 3 เดือน ชีวิตหลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาล และพยานมีภาระต้องเลี้ยงดูภรรยาพร้อมลูกที่ติดมา 3 คน

    จากนั้นไวรัสเบิกความตอบยการถามค้านว่า วงไฟเย็นมีแนวคิดตามโพสต์ของพยาน เนื่องจากช่วงเวลานั้นมีเหตุการณ์สลายการชุมนุม พยานจึงแชร์โพสต์ประกอบข้อความ “[…]พระราชทาน”

    พยานไม่ใช่สมาชิกกลุ่มทางการเมืองใด ไม่เคยทำกิจกรรมทางการเมืองนอกจากการโพสต์ในโซเชียลมีเดีย ที่พยานนำคลิปวิดีโอของขนิษฐามาโพสต์ต่อ เนื่องจากเห็นว่าเป็นคนเห็นต่างทางการเมือง

    ศาลได้กล่าวกับไวรัสว่า ศาลพิจารณาคดีว่าไปตามกฎหมาย แต่อยากให้จำเลยในฐานะที่เป็นคนไทย ศึกษาประวัติศาสตร์และข้อมูลเบื้องต้นอีกครั้ง แล้วใช้วิจารณญาณพิจารณา

    ++พยานผู้เชี่ยวชาญจาก iLaw ระบุรัฐธรรมนูญ ม.6 ไม่ใช่แม่บท ม.112 ไม่คุ้มครองอดีตกษัตริย์ และโพสต์ที่จำเลยให้การต่อสู้ไม่เป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้าย

    พัชร วัฒนสกลพันธ์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของโครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) เบิกความว่า เรียนจบปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และจบปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายความเท่าเทียม และปัจจุบันเป็นอาจารย์พิเศษคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

    หลักการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 พูดถึงสถานะของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ ในฐานะเป็นประมุขของประเทศ มีนัยยะ 2 ประการ ดังนี้

    ประการแรก พระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของรัฐ จะไม่สามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้ในทางกฎหมาย จะต้องมีผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ตามหลักการ “The King Can Do No Wrong”

    ประการที่สอง คำว่า “ล่วงละเมิดมิได้” คือบุคคลไม่สามารถฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ใดๆ ได้เลยทั้งในทางแพ่ง อาญา และปกครอง

    หลักการตามมาตรา 6 ไม่คุ้มครองอดีตพระมหากษัตริย์เพราะจะคุ้มครองผู้ดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ในขณะนั้นเท่านั้น พระมหากษัตริย์เป็นหนึ่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ต้องมีอำนาจหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ ไม่มีสถานะพิเศษ

    นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ไม่ใช่แม่บทของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยมาตรา 6 พูดถึงสิทธิหน้าที่ ในขณะที่มาตรา 112 มุ่งลงโทษผู้กระทำความผิด ไม่มีบทบัญญัติใดในประมวลกฎหมายอาญาที่กล่าวว่า มาตรา 112 ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 6

    อีกจุดหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ไม่ใช่กฎหมายแม่บทของมาตรา 112 คือ กฎหมายลูกบทไม่สามารถออกเกินอำนาจตามกฎหมายแม่บทได้ ซึ่งมาตรา 6 กล่าวถึงพระมหากษัตริย์เท่านั้น ไม่มีการบัญญัติถึงพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทน อย่างมาตรา 112

    พยานเห็นว่า มาตรา 112 ไม่คุ้มครองอดีตพระมหากษัตริย์ กฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัด เนื่องจากเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล นอกจากนี้ หากพิจารณาประมวลกฎหมายอาญาทั้งฉบับ การบัญญัติกฎหมายต้องมีความสอดคล้องกัน ดังนั้น ในการพิจารณาองค์ประกอบความผิด บุคคลนั้นต้องดำรงตำแหน่งอยู่ เช่น ความผิดฐานเจ้าพนักงานรับสินบน องค์ประกอบความผิด คือ ต้องเป็นเจ้าพนักงานในขณะนั้น และหากพิจารณาว่าบุคคลตามมาตรา 112 ครอบคลุมถึงอดีตพระมหากษัตริย์ ก็จะต้องครอบคลุมถึงอดีตพระราชินี อดีตรัชทายาท อดีตผู้สำเร็จราชการแทน เช่น ปรีดี พนมยงค์ ก็ต้องได้รับการคุ้มครองตามมาตรานี้ ซึ่งไม่น่าเป็นเช่นนั้น

    โพสต์ภาพตัดต่อรัชกาลที่ 10 ทรงถือถุงเฉาก๊วย ประกอบข้อความทำนองว่า จะไม่กินเฉาก๊วยยี่ห้อดังกล่าว พยานเห็นว่าหากดูข้อความโดยไม่พิจารณาภาพ ก็ไม่ได้ใจความอะไรมากนอกจากจำเลยกล่าวว่าจะไม่กิน แม้พิจารณาดูภาพก็ไม่เป็นการหมิ่นประมาท เนื่องจากการหมิ่นประมาทจะต้องมีลักษณะใส่ความต่อบุคคลที่ 3 ซึ่งข้อความของจำเลยก็ไม่ได้เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงใด

    พยานเห็นว่า ไม่เป็นการดูหมิ่น เนื่องจากไม่ได้มีลักษณะลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลอื่น ไม่เป็นการเหยียดหยาม เช่น หากบุคคลที่ถือสินค้าเป็นนักแสดงหรือดารา การที่บอกว่าจะไม่กินสินค้านั้นก็ไม่ถือว่า ดูหมิ่นนักแสดง

    พยานเห็นว่า ไม่เป็นการอาฆาตมาดร้าย เนื่องจากอาฆาตมาดร้ายต้องมีการพูดหรือแสดงกิริยาที่บอกว่าในอนาคตจะประทุษร้ายต่อร่างกายหรือทรัพย์สิน

    นอกจากนี้ โพสต์ดังกล่าวยังไม่ได้บอกว่าจำเลยจะไม่รับประทานเฉาก๊วยด้วยเหตุผลใด จึงสามารถตีความได้หลากหลาย

    โพสต์ภาพและข้อความตั้งคำถามกับประชาชนเกี่ยวกับการนำเงินของหมู่บ้านมาบำรุงรักษาศาลาที่รัชกาลที่ 9 ผูกเชือกฉลองพระบาท จำนวน 2 โพสต์ พยานเห็นว่า ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดมาตรา 112 ใน 2 ประเด็น ดังนี้

    ประเด็นแรก เรื่องการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้ายรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นอดีตพระมหากษัตริย์ โพสต์ของจำเลยเกิดขึ้นเมื่อปี 2564 ซึ่งรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคตไปแล้ว พระองค์ไม่มีสภาพบุคคล ไม่มีสถานะเป็นพระมหากษัตริย์ตามนัยของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

    ประเด็นที่สอง หากพิจารณาเนื้อความ เห็นว่าไม่เป็นการหมิ่นประมาทรัชกาลที่ 9 เนื่องจากข้อความไม่ได้มีการยืนยันข้อเท็จจริงที่จะทำให้รัชกาลที่ 9 ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง เป็นเพียงการตั้งคำถามว่า ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้รัชกาลที่ 9 ผูกเชือกรองเท้าอย่างไรเท่านั้น และเห็นได้ชัดว่า ถ้อยคำดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการอาฆาตมาดร้าย

    นอกจากนี้เมื่ออ่านข้อความโดยรวม สามารถตีความได้ว่า จำเลยวิพากษ์วิจารณ์ชาวบ้าน ว่านำเงินมาทำนุบำรุงศาลาที่รัชกาลที่ 9 เสด็จมา ไม่ได้มีเจตนาว่าร้ายรัชกาลที่ 9

    พยานยังเบิกความตอบอัยการถามค้านด้วยว่า หลักการเรื่องรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตามที่เบิกความไปข้างต้นเป็นความเห็นของพยานซึ่งอ้างอิงมาจากตำรากฎหมายและบทความทางวิชาการ และได้รับการสนับสนุนจากนักวิชาการจำนวนมาก แม้อาจมีบุคคลที่เห็นต่างได้

    พยานยืนยันว่า เพียงการตัดต่อให้รัชกาลที่ 10 ถือถุงเฉาก๊วยซึ่งเป็นอาหารที่บุคคลทั่วไปรับประทาน ไม่เป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้าย มีลักษณะเป็นการล้อเลียน ซึ่งไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด

    ศาลกล่าวกับพยานหลังเบิกความเสร็จว่า ขอให้พยานเจริญก้าวหน้าในทางวิชาการ อย่างไรก็ตาม วิชาการกับทางปฏิบัติอาจมีความแตกต่างกัน วิชาการบางอย่างอาจไม่ได้ใช้กับบริบทกฎหมายไทย ต่างประเทศก็ยอมรับและชื่นชมบริบทของกฎหมายไทยเช่นกัน

    ++อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ พยานผู้เชี่ยวชาญระบุ ม.112 คุ้มครองแค่กษัตริย์องค์ปัจจุบัน-ภาพตัดต่อเป็นการล้อเลียน-ข้อความไม่ถึงขั้นเสื่อมเสียพระเกียรติยศชื่อเสียง

    เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง พยานผู้เชี่ยวชาญด้านเสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพด้านศาสนา และพัฒนาการของรัฐธรรมนูญไทย จบการศึกษาปริญญาโท นิติศาสตร์มหาบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเยล ปริญญาเอกในสาขานิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยบริสตอล ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

    พยานได้เสนอความเห็นในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญ สามารถสรุปได้ 4 ประการ ดังนี้

    ประการแรก ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มุ่งคุ้มครองตัวบุคคล 4 คน ได้แก่ พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งหมายถึงพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันเท่านั้น ถ้อยคำในประมวลกฎหมายอาญาเมื่อแรกร่างเป็นภาษาอังกฤษ ใช้คำชัดเจนว่า The King ซึ่งหมายความเจาะจงถึงพระองค์เดียว เป็นเอกพจน์

    ประการที่สอง การตีความกฎหมายอาญา เนื่องจากมีโทษต่อเนื้อตัวร่างกาย จึงต้องตีความโดยเคร่งครัด ไม่อาจตีความขยายความรับผิดออกไปเกินกว่าที่ลายลักษณ์อักษรกำหนด หากมีข้อสงสัย ต้องตีความไปในทางจำกัดความรับผิดมากกว่าขยายออกไป

    ประการที่สาม ตามหลักกฎหมายอาญา ความรับผิดต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบภายนอกและองค์ประกอบภายใน ในกรณีนี้ เมื่อข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นองค์ประกอบภายนอกไม่ครบถ้วน เนื่องจากผู้ถูกกระทำในโพสต์ภาพและข้อความรัชกาลที่ 9 ผู้เชือกฉลองพระบาท ไม่ใช่พระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 112

    ประการที่สี่ สำหรับโพสต์ภาพตัดต่อภาพรัชกาลที่ 10 ทรงถือถุงเฉาก๊วย ประกอบข้อความทำนองว่าจะไม่กินเฉาก๊วยยี่ห้อดังกล่าว เมื่อกล่าวถึงรัชกาลที่ 10 จึงเข้าองค์ประกอบความผิดด้านบุคคลแล้ว ต้องพิจารณาต่อไปว่าเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายหรือไม่

    ข้อความเป็นภาษาพูดที่ไม่สุภาพ ไม่ใช่ภาษาทางการ และใจความอนุมานได้ว่าผู้พูดไม่พอใจบุคคลในคลิป คือ พระเจ้าอยู่หัว แต่ความไม่พอใจจะถึงขั้นเกลียดชังหรือไม่ ไม่อาจอนุมานได้

    เห็นว่า ความไม่พอใจดังกล่าวเป็นสิทธิของประชาชนเนื่องจากกฎหมายนั้นเป็นเครื่องมือกำหนดการกระทำมนุษย์ แต่ไม่อาจบังคับจิตใจมนุษย์ได้ ข้อความของจำเลยไม่ถึงขั้นทำให้พระมหากษัตริย์เสื่อมเสียพระเกียรติยศชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง และประชาชนเสื่อมความเคารพศรัทธา

    โพสต์ภาพตัดต่อภาพรัชกาลที่ 10 ทรงถือถุงเฉาก๊วย ไม่เป็นการหมิ่นประมาท ซึ่งจะต้องใส่ความ และการใส่ความนั้นต้องชวนให้ผู้เห็นข้อความเชื่อว่าเป็นไปเช่นนั้นจริง แต่วิญญูชนย่อมทราบดีว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ขายเฉาก๊วย อีกทั้งยังไม่ใช่การแสดงความอาฆาตมาดร้าย เนื่องจากไม่มีข้อความที่แสดงเจตนาชัดแจ้งออกมา เป็นการล้อเลียน ซึ่งกฎหมายไทยไม่เคยมีบรรทัดฐานว่า ในการล้อเลียนบุคคลสาธารณะนั้นจะกระทำได้แค่ไหน ต่างจากในต่างประเทศที่บุคคลสาธารณะย่อมถูกล้อเลียนได้ในระดับหนึ่ง

    หลังสืบพยานจำเลยเสร็จ ศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 เม.ย. 2566

    (อ้างอิง: คำเบิกความพยานจำเลย ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.2268/2564 ลงวันที่ 9 ก.พ. 2566 และ https://tlhr2014.com/archives/55834)
  • ไวรัสตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อมาฟังคำพิพากษา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาประสงค์ทำความเห็นแย้งคำพิพากษาของผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน ศาลจึงเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาไปเป็นวันที่ 11 พ.ค. 2566
  • เวลา 09.00 น. หน้าห้องพิจารณาคดีที่ 807 ไวรัสเปิดเผยว่าเขาได้ขอกลับไปทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอย่างเดิมแล้ว และในวันนี้เขาไม่ได้ลาออกจากงาน ทั้งยังขับรถจักรยานยนต์มาศาลพร้อมภรรยาด้วย เนื่องจากยังมีความหวังว่าวันนี้จะได้กลับบ้าน

    ต่อมาเวลา 09.35 น. ผู้พิพากษาออกนั่งพิจารณาคดี อ่านคำพิพากษาและความเห็นแย้งของอธิบดีศาลอาญาให้ฟัง สามารถสรุปได้ดังนี้

    พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลย ในขณะเกิดเหตุประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีรัชกาลที่ 10 เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน มีสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ เป็นพระราชินี พระราชบิดาของรัชกาลที่ 10 คือ รัชกาลที่ 9

    จำเลยรับสารภาพตามฟ้องข้อ 1.1 และ 1.3 ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามฟ้องโดยไม่ต้องมีการสืบพยาน

    พยานโจทก์มี อิสกันต์ ศรีอุบล และขนิษฐา งาเจือ เบิกความว่า โพสต์ภาพตัดต่อรัชกาลที่ 10 ทรงถือถุงเฉาก๊วยนั้น ข้อความดังกล่าวมีลักษณะไม่เหมาะสม และไม่เป็นความจริง ส่วนโพสต์เกี่ยวกับประชาชนนำเงินของหมู่บ้านมาบำรุงรักษาศาลาที่รัชกาลที่ 9 ผูกเชือกฉลองพระบาทนั้น มีข้อความตำหนิติติง ไม่เหมาะสม เป็นการดูหมิ่น

    พยานโจทก์ปาก ตรีดาว อภัยวงศ์ เบิกความว่า โพสต์ภาพตัดต่อรัชกาลที่ 10 ทรงถือถุงเฉาก๊วยนั้น ข้อความของจำเลยเป็นการเน้นว่า จะไม่กินยี่ห้อนี้ เป็นการล้อเลียนเสียดสี แสดงให้เห็นถึงความโกรธ เกลียดชัง และไม่พอใจ ส่วนโพสต์เกี่ยวกับประชาชนนำเงินของหมู่บ้านมาบำรุงรักษาศาลาที่รัชกาลที่ 9 ผูกเชือกฉลองพระบาทนั้น อ่านโดยรวมแล้วเข้าใจได้ว่าเป็นการบังคับให้ประชาชนลงขันสร้างศาลาดังกล่าว ศาลาที่ใหญ่ก็ย่อมใช้งบประมาณที่สูง ไม่ควรใช้งบขนาดนี้ แสดงให้เห็นถึงความไม่ชอบ ไม่พอใจสถาบันพระมหากษัตริย์

    พยานโจทก์ปาก อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ เบิกความว่า การนำภาพตัดต่อรัชกาลที่ 10 ถือถุงเฉาก๊วยมาแสดงโฆษณาสินค้า ถือว่าเป็นการไม่เคารพ ส่วนโพสต์เกี่ยวกับรัชกาลที่ 9 เคยมีคำพิพากษาฎีกาให้คุ้มครองหมายรวมถึงอดีตพระมหากษัตริย์ เนื่องจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์เป็นแล้วย่อมเป็นตลอดไป ต่างจากตำแหน่งราชการทั่วไป ข้อความของจำเลยแสดงให้เห็นว่า รัชกาลที่ 9 ทรงไม่มีวุฒิภาวะ ไม่สามารถผูกเชือกรองเท้าด้วยตนเองได้ เป็นการดูหมิ่น

    เห็นว่า โจทก์มี ตรีดาว อภัยวงศ์ พยานผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา เบิกความว่า ข้อความต้องอาศัยการตีความ โดยพิจารณาจากเจตนาของจำเลย จำเลยทราบอยู่แล้วว่า ภาพรัชกาลที่ 10 ถือถุงเฉาก๊วยมีการตัดต่อ ไม่ตรงกับความจริง แต่ยังเผยแพร่ภาพทางโซเชียลมีเดีย บุคคลที่ไม่เคยศึกษาหรือติดตามพระจริยวัตรอาจเข้าใจว่า พระมหากษัตริย์ทรงพอพระทัยบุคคลที่มีความเห็นตรงข้ามกับจำเลย ซึ่งได้ความว่าบุคคลที่รัชกาล 10 ยื่นถุงเฉาก๊วยให้คือบุคคลที่ทรงมีพระราชดำรัสด้วยว่า “กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ”

    ประกอบกับจำเลยรับว่า การแสดงข้อความดังกล่าวเป็นการลบหลู่สถาบันฯ พยานโจทก์สอดคล้องกัน สามารถรับฟังได้

    จำเลยเบิกความว่า จบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 ติดตามดูโซเชียลมีเดียของวงดนตรีไฟเย็น และนำมาเผยแพร่ต่อโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หลังถูกจับกุมได้ลบโพสต์ออกในทันที และจำเลยโพสต์ข้อความเนื่องจากไม่พอใจชายเสื้อเหลืองในภาพตัดต่อรัชกาลที่ 10 ทรงถือถุงเฉาก๊วย

    พยานจำเลยเบิกความว่า ข้อความของจำเลยที่จะไม่กินเฉาก๊วยยี่ห้อดังกล่าว ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดในมาตรา 112 ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย เปรียบเทียบว่า หากเปลี่ยนเป็นดารานักแสดงถือสินค้าดังกล่าวก็ไม่เป็นความผิด

    แม้พยานและจำเลยจะเห็นว่า การกระทำดังกล่าวไม่เป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่การพิจารณาความผิดต้องใช้ความรู้สึกของวิญญูชนทั่วไป

    รัฐธรรมนูญไทยระบุว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ พระมหากษัตริย์จึงไม่ใช่บุคคลสาธารณะอย่างที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้ พยานหลักฐานเท่านี้ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ฟังได้ว่าจำเลยดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ตามฟ้อง

    ส่วนโพสต์เกี่ยวกับประชาชนนำเงินของหมู่บ้านมาบำรุงรักษาศาลาที่รัชกาลที่ 9 ผูกเชือกฉลองพระบาท มีความหมายในทางที่ทำให้เข้าใจว่า บุคคลในภาพสร้างภาพ ไม่มีวุฒิภาวะ เป็นการดูหมิ่น แม้จำเลยจะไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริงใด

    จำเลยต่อสู้ว่า กฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัด แต่ประเด็นนี้ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยแล้วว่า การหมิ่นประมาทอดีตพระมหากษัตริย์ย่อมกระทบต่อพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน หากไม่หมายความรวมถึงอดีตกษัตริย์ย่อมเป็นการเปิดช่องให้พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันถูกดูหมิ่นได้ แม้อดีตพระมหากษัตริย์สวรรคตไปแล้วก็ยังคงมีประชาชนเคารพสักการะ จึงกระทบต่อความรู้สึกของประชาชน ส่งผลต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร

    เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยการกระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ข้อ 1.2, 1.4 และ 1.5 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) (5) หลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป เนื่องจากเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นบทหนักสุด ให้จำคุกกรรมละ 3 ปี รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 15 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษลงกึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุก 5 ปี 30 เดือน

    พิเคราะห์พฤติการณ์จำเลย จำเลยติดตามฟังสื่อสังคมออนไลน์ ประกอบกับจำเลยจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 ทำให้จำเลยเกิดคล้อยตามจนก่อเหตุในคดีนี้ขึ้น เมื่อจำเลยรู้ถึงความผิดก็รีบแก้ไข ลบโพสต์ด้วยตนเอง ไม่ได้ก่อเหตุซ้ำอีก เมื่อพิจารณาความรู้สึก การศึกษา ผลกระทบต่อหน้าที่การงาน จำเลยได้รับบทลงโทษเพียงพอแล้ว จำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี พร้อมให้ยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง

    องค์คณะผู้ทำคำพิพากษาได้แก่ นภาวรรณ ขุนอักษร (หัวหน้าองค์คณะ), ปริยนันท์ แก้วเชิด และเฉลิมศักดิ์ พิกุลศรี

    องค์คณะผู้อ่านคำพิพากษาในวันนี้ได้แก่ นภาวรรณ ขุนอักษร (หัวหน้าองค์คณะ), สุวนัย ตุลยภักดิ์ และ ชาญวิทย์ เนติรังษีวัชรา

    .

    อย่างไรก็ตาม ศักดิ์ชัย รังษีวงศ์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ได้ทำความเห็นแย้งคำพิพากษาในคดีนี้ สามารถสรุปได้ดังนี้

    จำเลยเผยแพร่ส่งต่อข้อมูลโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จ เมื่อรับฟังได้ว่าการกระทำเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) (5) โดยเฉพาะถ้อยคำ “[…] พระราชทาน” เป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์อย่างร้ายแรง จำเลยกระทำความผิดรวม 5 กระทง เห็นว่าพฤติการณ์มีความร้ายแรง ไม่สมควรรอการลงโทษ การที่พิพากษาให้รอการลงโทษ ไม่เห็นพ้องด้วย สมควรจำคุกโดยไม่รอการลงโทษ

    หลังอ่านคำพิพากษาในคดีนี้เสร็จสิ้น ผู้พิพากษาได้กล่าวกับไวรัสว่า คดีนี้พนักงานอัยการยังคงอุทธรณ์ได้อยู่ ปกติคดีมาตรา 112 เป็นคดีร้ายแรง ไม่สามารถรอการลงโทษได้ แต่ศาลเชื่อว่าจำเลยสามารถปรับปรุงตัวได้ หลังจากนี้ขอให้ไปศึกษาข้อมูลและใช้วิจารณญาณให้ดี

    ไวรัสเปิดเผยความรู้สึกหลังฟังคำพิพากษาว่า หลังจากนี้ก็คงกลับไปทำงาน และคงไม่ยุ่งเกี่ยวการโพสต์วิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์อีก แต่ก็ยังดีใจได้ไม่สุด เพราะยังคงต้องลุ้นว่าพนักงานอัยการจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่ ซึ่งอาจทำให้เขาต้องกลับไปต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมต่อจนถึงที่สุด

    (อ้างอิง: คำพิพากษา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.2268/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อ.1225/2566 ลงวันที่ 11 พ.ค. 2566 และ https://tlhr2014.com/archives/55928)

ชั้นสอบสวน

ผู้ถูกดำเนินคดี :
ไวรัส (นามสมมติ)

การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต

ศาลชั้นต้น

ผู้ถูกดำเนินคดี :
ไวรัส (นามสมมติ)

ชื่อองค์คณะผู้พิพากษา :
  1. นภาวรรณ ขุนอักษร
  2. ปริยนันท์ แก้วเชิด
  3. เฉลิมศักดิ์ พิกุลศรี

ผลการพิพากษา
ลงโทษ
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ : 11-05-2023

แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์