ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
  • พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
  • Facebook
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
  • ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)
ดำ อ.227/2565
แดง อ.245/2567

ผู้กล่าวหา
  • ร.ต.อ.รณกร หุ้มขาว รอง สว.สส.สภ.เมืองพัทลุง (ตำรวจ)
  • พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
  • Facebook
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
  • ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)
ดำ อ.227/2565
แดง อ.245/2567

ผู้กล่าวหา
  • ร.ต.อ.รณกร หุ้มขาว รอง สว.สส.สภ.เมืองพัทลุง (ตำรวจ)
  • พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
  • Facebook
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
  • ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)
ดำ อ.227/2565
แดง อ.245/2567

ผู้กล่าวหา
  • ร.ต.อ.รณกร หุ้มขาว รอง สว.สส.สภ.เมืองพัทลุง (ตำรวจ)
ผู้ถูกดำเนินคดี

ข้อหา

  • พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
  • Facebook
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
  • ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)

หมายเลขคดี

ดำ อ.227/2565
แดง อ.245/2567
ผู้กล่าวหา
  • ร.ต.อ.รณกร หุ้มขาว รอง สว.สส.สภ.เมืองพัทลุง

ข้อหา

  • พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
  • Facebook
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
  • ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)

หมายเลขคดี

ดำ อ.227/2565
แดง อ.245/2567
ผู้กล่าวหา
  • ร.ต.อ.รณกร หุ้มขาว รอง สว.สส.สภ.เมืองพัทลุง

ข้อหา

  • พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
  • Facebook
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
  • ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)

หมายเลขคดี

ดำ อ.227/2565
แดง อ.245/2567
ผู้กล่าวหา
  • ร.ต.อ.รณกร หุ้มขาว รอง สว.สส.สภ.เมืองพัทลุง

ความสำคัญของคดี

ศุภกร ขุนชิต, อลิสา บินดุส๊ะ และชมพูนุท (สงวนนามสกุล) 3 นักศึกษาและนักกิจกรรม “ราษฎรใต้” ถูกดำเนินคดี “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ, ยุยงปลุกปั่น และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง" ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 จากการตระเวนถ่ายภาพบริเวณต่าง ๆ ในจังหวัดพัทลุง และโพสต์ภาพพร้อมข้อความประกอบจำนวนหลายภาพในเพจเฟซบุ๊ก “พัทลุงปลดแอก” และ “ประชาธิปไตยในด้ามขวาน” เมื่อเดือน พ.ย. 2563 แม้ภาพและข้อความไม่ได้เข้าองค์ประกอบความผิดดังกล่าว ทั้งนี้ทั้งสามถูกออกหมายจับโดยไม่เคยถูกออกหมายเรียกมาก่อน แต่ได้การประกันตัวทั้งชั้นสอบสวนและพิจารณาคดี

กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการบังคับใช้มาตรา 112 ที่มีอัตราโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี แต่กลับถูกตีความอย่างกว้างขวาง ครอบคลุมให้การกระทำหลายอย่างเป็นความผิดเกินกว่าเจตนารมณ์ของกฎหมาย และใช้เป็นเครืองมือปิดกั้นการแสดงออกโดยสงบของประชาชน นอกจากนั้นคดีในข้อหาดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจมีแนวโน้มที่จะขอออกหมายจับโดยปกปิดข้อเท็จจริงต่อศาล และศาลก็ไม่มีบทบาทในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนโดยการตรวจสอบพยานหลักของตำรวจอีกด้วย

พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี

อรอุษา สงจันทร์ พนักงานอัยการจังหวัดพัทลุง บรรยายฟ้อง ใจความโดยสรุปว่า

1. เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2563 เวลากลางคืน จนถึงวันที่ 25 พ.ย. 2563 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันถ่ายรูปสถานที่ต่างๆ ที่เป็นเชิงสัญลักษณ์ อนุสรณ์สถาน พระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 และพระราชินี ในท้องที่อำเภอเมืองพัทลุง แล้วนำไปตัดต่อพิมพ์ประกอบข้อความที่จัดทำขึ้น แล้วนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ผ่านเพจเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า “พัทลุงปลดแอก” จำนวน 5 ภาพ โดยมีข้อความที่ประกอบภาพสถานที่ต่างๆ ได้แก่ “Land of Compromise ทำไมใช้ ม.112 #กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ”, “ไปด้วยกัน ไปได้ไกล ไปด้วยความรักความสามัคคี”, “EAT THE RICH”, “คิดถึงยอด SCB ใจจะขาด” และ “เผด็จการจงพินาศ เป็ดก้าบ ก้าบ จงเจริญ”

2. เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2563 เวลากลางคืน จนถึงวันที่ 28 พ.ย. 2563 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันถ่ายรูปสถานที่ต่างๆ ในท้องที่อำเภอเมืองพัทลุง แล้วนำไปตัดต่อพิมพ์ประกอบข้อความ โพสต์ในเพจเฟซบุ๊กชื่อว่า “ประชาธิปไตยในด้ามขวาน” จำนวน 15 โพสต์ โดยมีข้อความที่ประกอบภาพสถานที่ต่างๆ ได้แก่ “เลียตีนให้ตายยศมึงก็ไม่เท่า ฟู ฟู #สุนัขทรงเลี้ยงด้วยภาษีประชาชน” “เผด็จการจงพินาศ เป็ดก้าบ ก้าบ จงเจริญ” “1 2 3 4 5 ไอ้เหี้ย…” “Land of Compromise ทำไมใช้ ม.112 #กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ”, “#ภาษีกู #ภาษีกู #ภาษีกู”, “ก็เสียภาษีเหมือนกัน ทำไมถึงไม่มีรถไฟฟ้า ให้ดูที่บ้านเราบ้าง“, ภาพสัญลักษณ์ชูสามนิ้ว, “จะปรับตัวทั้งที ช่วยมีสมองหน่อยน้า”, “กูสั่งให้มึงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ”, “3,008 ศพ ถีบลงเขา เผาลงถัง”, “#เราต้องช่วยกันเอาความจริงกันออกมา”, “King Killer”, “เราคือคนไทย เพราะเราถูกล่า อาณานิคม”, “ประชาชน=เจ้าของประเทศ” และ “30 นี้เจอกันแบบเบิ้มๆ ที่หอนาฬิกาหาดใหญ่”

ภาพและข้อความดังกล่าวมีเจตนาพาดพิงรัชกาลที่ 10 และพระราชินี เป็นการจาบจ้วง ล่วงเกิน หมิ่นประมาท ดูหมิ่น ใส่ความ และแสดงความอาฆาตมาดร้ายและทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยประการที่น่าจะทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง และทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งอยู่ในฐานะที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้

การโพสต์ภาพและข้อความดังกล่าวมิได้กระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ และมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต ทั้งมีความมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรและเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินได้ อีกทั้งทำให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างร้ายแรง อันเป็นความผิดต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร

(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดพัทลุง คดีหมายเลขดำที่ อ.227/2565 ลงวันที่ 15 ก.พ. 2565)

ความคืบหน้าของคดี

  • เวลา 13.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมศุภกร ขุนชิต นักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ในคดี “หมิ่นประมาทกษัตริย์” ถึงภายในมหาวิทยาลัย ก่อนนำตัวไปยัง สภ.เมืองพัทลุง เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาและสอบปากคำ

    การจับกุมดังกล่าว เกิดขึ้นบริเวณลานจอดรถหน้าอาคารศูนย์กีฬา ของโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ศุภกรเล่าว่าหลังเขาเดินทางไปฉีดวัคซีนป้องกันโควิดเป็นเข็มที่ 2 แล้วเสร็จ ระหว่างเดินออกมา ได้มีชายนอกเครื่องแบบคนหนึ่งติดตามมาร้องเรียก “น้องๆ” เขาจึงคิดว่าเป็นชาวบ้านจะมาสอบถามข้อมูล จึงเดินเข้าไปหา กลับพบว่ามีชายนอกเครื่องแบบอีก 3-4 คน รุมกันออกมาล้อมเขา พร้อมแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และแสดงหมายจับที่ออกโดยศาลจังหวัดพัทลุง ลงวันที่ 13 ส.ค. 2564 พบว่ามี ร.ต.อ.ภูนท เรืองยิ่ง รองสารวัตรสอบสวน สภ.เมืองพัทลุง เป็นผู้ร้องขอศาลออกหมายจับ ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, มาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3)

    จากนั้น ยังมีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบอีกไม่ต่ำกว่า 7-8 นาย ออกมาจากรถ เข้ามาล้อมเขาเพิ่ม บางนายห้อยป้ายเป็นตำรวจ ศุภกรระบุว่าเหตุการณ์ที่เกิดขั้นทำให้เขารู้สึกตกใจ เพราะไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน เขายังไม่เคยได้รับหมายเรียกใดๆ มาก่อนหน้านี้ จึงได้ขอตำรวจนั่งลงตั้งสติก่อน พร้อมขอติดต่อทนายความและเพื่อน ซึ่งตำรวจอนุญาต แต่ไม่อนุญาตให้นั่งรอทนายความเดินทางมาที่มหาวิทยาลัย เพราะจะนำตัวไปที่ สภ.คอหงส์ จังหวัดสงขลา เพื่อทำบันทึกจับกุมทันที

    ระหว่างการถูกควบคุมตัว ศุภกรยังพยายามสอบถามเจ้าหน้าที่ว่าทำไมถึงมีหมายจับเลย เขาไม่เคยได้หมายเรียกมาก่อน ตำรวจชุดจับกุมรับว่าไม่ทราบ ศุภกรยังระบุว่าเมื่อเดือนก่อนหน้านี้ คือเดือนตุลาคม เขาเพิ่งเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาในคดีร่วมกิจกรรมคาร์ม็อบหาดใหญ่ ที่ สภ.คอหงส์ แต่หมายจับออกมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม ทำไมเจ้าหน้าที่ถึงไม่จับกุมเขาทันที กลับมารอจับในตอนนี้ ตำรวจได้ระบุว่าเขาก็เพิ่งทราบเรื่อง

    หลังเจ้าหน้าที่จัดทำบันทึกจับกุมที่ สภ.คอหงส์ โดยมีทนายความติดตามไป ศุภกรพบว่ามีการระบุรายชื่อตำรวจชุดจับกุมจากหลายหน่วยงานรวม 22 นาย ทั้งตำรวจสันติบาล กก.5 บก.ส.1, ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติดตำรวจภูธรสงขลา, ตำรวจจากภูธรจังหวัดพัทลุง และ สภ.เมืองพัทลุง โดยระบุว่าเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ติดตามตัวศุภกรซึ่งขับรถจักรยานยนต์เข้าไปภายในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เจ้าหน้าที่ได้เฝ้ารอกระทั่งเขาฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เรียบร้อย จึงได้เข้าแสดงตัว และแสดงหมายจับ

    จากนั้น ตำรวจได้พาตัวศุภกร เดินทางไปยัง สภ.เมืองพัทลุง ที่เป็นสถานีตำรวจเจ้าของคดี แต่ยังไม่ได้มีการสอบปากคำใดๆ เนื่องจากพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีไม่อยู่ เขาจึงถูกคุมขังในห้องขังของสถานีตำรวจ เป็นเวลา 1 คืน

    (อ้างอิง: บันทึกจับกุม สภ.เมืองพัทลุง ลงวันที่ 23 พ.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/38275)
  • อาจารย์จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อนนักศึกษา และทนายความ ได้เดินทางไปยัง สภ.เมืองพัทลุง เพื่อเข้าพบศุภกร และร่วมฟังการสอบปากคำ

    พ.ต.ท.นพรัตน์ แก้วใจ พนักงานสอบสวน ได้แจ้งข้อกล่าวหาใน 3 ข้อกล่าวหาตามหมายจับแก่ศุภกร โดยเขาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และจะให้การเพิ่มเติมเป็นหนังสือต่อไป

    พฤติการณ์ที่ตำรวจกล่าวหาโดยสรุประบุว่า เมื่อคืนวันที่ 24 ส.ค. 2563 ได้มีกลุ่มบุคคลขับขี่รถยนต์เพื่อถ่ายรูปสถานที่ต่างๆ ในเขตเทศบาลเมืองพัทลุง อำเภอเขาชัยสน และอำเภอศรีนครินทร์ จากนั้นได้ใส่ข้อความในภาพดังกล่าว รวมทั้งหมด 15 ภาพ แล้วโพสต์ในเพจเฟซบุ๊ก “พัทลุงปลดแอก” และ “ประชาธิปไตยในด้ามขวาน” ซึ่งเจ้าหน้าที่อ้างว่าภาพและข้อความดังกล่าวเป็นการดูหมิ่น และใส่ความพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินี ทำให้พระองค์ท่านเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง และมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบในราชอาณาจักร และเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน

    ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนไม่ได้ระบุข้อความที่กล่าวหาในคำร้องขอฝากขัง แต่ระบุไว้ในบันทึกการสอบปากคำซึ่งไม่ได้มอบสำเนาให้ผูัต้องหา โดยข้อความเหล่านั้น หลายข้อความไม่ได้เข้าข่ายข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 และ 116 แต่อย่างใด อาทิ “เผด็จการจงพินาศ เป็ดก๊าบ ก๊าบจงเจริญ”, “1 2 3 4 5 ไอเหี้ย”, “#ภาษีกู #ภาษีกู #ภาษีกู”, “ก็เสียภาษีเหมือนกัน ทำไมถึงไม่มีรถไฟฟ้าให้ดูที่บ้านเราบ้าง”, “#เราต้องช่วยกันเอาความจริงออกมา”, “ประชาชนเท่ากับเจ้าของประเทศ”

    ต่อมา พนักงานสอบสวนได้ยื่นขอฝากขังผู้ต้องหาต่อศาลจังหวัดพัทลุงผ่านทางระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยอ้างเหตุว่าการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ยังต้องสอบพยานเพิ่มเติมอีก 6 ปาก และรอผลตรวจลายนิ้วมือผู้ต้องหา ทั้งยังขอคัดค้านการประกันตัว โดยอ้างว่าคดีมีอัตราโทษสูง หากปล่อยตัวไป เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีและไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุร้ายประการอื่น

    หลังศาลอนุญาตให้ฝากขังตามคำขอของพนักงานสอบสวน ทนายความได้ยื่นขอประกันตัว โดยใช้ตำแหน่งนักวิชาการของ สุทธิชัย งามชื่นสุวรรณ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นหลักประกัน จนเวลา 16.30 น. ศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวศุภกร ตีราคาประกันวงเงิน 150,000 บาท และนัดรายงานตัวในวันที่ 16 ก.พ. 2565

    ศุภกรระบุหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า สิ่งที่เขา “รับไม่ได้” คือเรื่องการถูกล้อมจับกุมโดยเจ้าหน้าที่จำนวนมาก โดยที่ไม่เคยมีหมายเรียกมาก่อน ทั้งเดือนก่อนหน้านี้เขาก็เพิ่งไปพบเจ้าหน้าที่มาในคดีคาร์ม็อบ แต่กลับไม่มีการแสดงหมายจับคดีนี้ และการถูกเจ้าหน้าที่นำตัวไปคุมขังในห้องขังของสถานีตำรวจ ซึ่งเขารับไม่ได้กับสภาพห้องขัง ทั้งยังถูกขังก่อน โดยยังไม่ทราบรายละเอียดข้อกล่าวหาใดๆ เจ้าหน้าที่ยังห้ามใครเยี่ยมด้วย โดยมีการอ้างเรื่องเกรงว่าจะมีการถ่ายภาพ แล้วนำไปโพสต์ให้เกิดความแตกแยก แต่เขาพบว่าผู้ถูกควบคุมตัวในคดีอื่นๆ นั้น ญาติสามารถเข้าเยี่ยมได้ ขณะเดียวกัน ศุภกรยังมีอาการไข้เล็กน้อย อันเป็นผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน ทำให้ต้องรับประทานยาลดไข้ในคืนที่ถูกคุมขังด้วย ส่วนในทางคดี ศุภกรระบุว่าพร้อมต่อสู้ในกระบวนยุติธรรมต่อไป

    นอกจากนั้น ยังมีรายงานว่าคดีนี้ ศาลยังมีการออกหมายจับนักศึกษาและนักกิจกรรม อีก 2 ราย ซึ่งเตรียมจะเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 26 พ.ย. 2564

    (อ้างอิง: คำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 1 ศาลจังหวัดพัทลุง ลงวันที่ 24 พ.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/38275)
  • ที่ สภ.เมืองพัทลุง อลิสา บินดุส๊ะ สมาชิกกลุ่มนักกฎหมายอาสา “Law Long Beach” และชมพูนุท (สงวนนามสกุล) นักศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งทราบว่าได้ถูกศาลจังหวัดพัทลุงออกหมายจับ ลงวันที่ 13 ส.ค. 2564 ใน 3 ข้อกล่าวหา โดยที่ทั้งคู่ก็ไม่เคยได้รับหมายเรียกมาก่อนเช่นเดียวกับศุภกร

    พ.ต.ท.หาญพล รามด้วง รองผู้กำกับสืบสวน สภ.เมืองพัทลุง ได้เป็นผู้จัดทำบันทึกการมอบตัวทั้งสองคน โดยระบุว่าจากกรณีที่ศาลได้มีการออกหมายจับ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนกดดันจนทั้งสองได้เข้าพบตำรวจชุดสืบสวน และขอมอบตัวเพื่อต่อสู้คดีต่อไป ทั้งสองได้ให้การปฏิเสธในชั้นจับกุม และปฏิเสธจะลงลายมือชื่อ เนื่องจากไม่ทราบถึงข้อเท็จจริงอันเป็นพฤติการณ์แห่งคดีที่ถูกกล่าวหา

    จากนั้น พนักงานสอบสวนได้แจ้งพฤติการณ์ข้อกล่าวหาต่อทั้งสองคนในลักษณะเดียวกับศุภกร อลิสาและชมพูนุทยืนยันให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยจะให้การเพิ่มเติมเป็นหนังสือต่อไปภายใน 30 วัน

    จากนั้น พ.ต.ท.นพรัตน์ แก้วใจ พนักงานสอบสวน ได้ยื่นขอฝากขังทั้งสองคนต่อศาลจังหวัดพัทลุง ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ พร้อมขอคัดค้านการประกันตัว อ้างว่าคดีมีอัตราโทษสูง หากปล่อยตัวไป เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีและไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุร้ายประการอื่น

    หลังศาลอนุญาตให้ฝากขังตามคำขอของพนักงานสอบสวน ทนายความจึงได้ยื่นขอประกันตัว โดยใช้ตำแหน่งนักวิชาการสองท่านจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในฐานะนายประกัน ก่อนศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัว โดยไม่มีเงื่อนไข และนัดให้มารายงานตัวในวันที่ 18 ก.พ. 2565

    อลิสาเปิดเผยความรู้สึกว่ารู้สึกโกรธกับการถูกดำเนินคดีที่เกิดขึ้น ทั้งด้วยสถานการณ์ที่การถูกดำเนินคดีเกิดขึ้นหลังจากมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ หรือสถานการณ์เรื่องการไม่ออกพาสปอร์ตของนักกิจกรรมในกรุงเทพฯ โดยก่อนหน้านี้ ตนซึ่งจบการศึกษาด้านกฎหมาย ก็ได้ไปทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยทนายความในการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายต่อผู้ถูกดำเนินคดีจากการใช้เสรีภาพในการแสดงออกต่างๆ กลับมาโดนกล่าวหาเอง ทำให้รู้สึกว่าทุกๆ ขั้นตอนในกระบวนการที่เกิดขึ้น ทำให้เราตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทั้งหมด

    นอกจากนั้นยังมีข้อสังเกตว่า นอกจากคดีนี้ ทุกคนจะไม่เคยได้รับหมายเรียกมาก่อน แต่ถูกออกหมายจับทันทีแล้ว หมายจับทั้งสามหมาย ศาลยังออกตั้งแต่เดือนสิงหาคม โดยตลอดช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ตนได้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยทนายความ ให้ความช่วยเหลือนักกิจกรรมในภาคใต้ที่ถูกดำเนินคดีจากกรณีจัดกิจกรรมคาร์ม็อบ ทำให้ได้เดินทางไปยังสถานีตำรวจต่างๆ ทั้งไปที่ศาลด้วย ก็ยังไม่เคยมีการจับกุม หรือแสดงหมายจับ จึงสามารถตั้งคำถามได้ว่าเจ้าหน้าที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ และเหตุใดจึงเกิดการจับกุมและแสดงหมายจับในช่วงเวลานี้

    อลิสา ยังระบุอีกข้อสังเกตว่า ในบันทึกจับกุม หรือบันทึกฝากขังในคดีนี้ ไม่มีการระบุข้อความที่อ้างว่าถูกใส่ลงในภาพถ่ายที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด แม้ทางตำรวจจะมีการอ่านให้ฟัง แต่ก็ไม่มีการบันทึกลงในเอกสารคดี ทำให้ไม่มีความชัดเจนว่าถูกกล่าวหาจากข้อความใด รวมทั้งคิดว่าข้อความต่างๆ เหล่านั้น ไม่ได้เข้าข่ายตามมาตรา 112 และ 116 แต่อย่างใด

    (อ้างอิง: บันทึกมอบตัว สภ.เมืองพัทลุง ลงวันที่ 26 พ.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/38363)
  • พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทลุง ได้จัดทำบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาในคดีนี้ใหม่ ตามที่ผู้ต้องหาร้องขอ เนื่องจากในบันทึกมอบตัวหรือคำร้องขอฝากขังเดิมนั้น ไม่มีการระบุพฤติการณ์ที่ถูกกล่าวหาให้ชัดเจนว่าการกระทำใดที่เข้าข่ายข้อกล่าวหา ทำให้ผู้ต้องหาไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ทั้งยังมีการระบุวันที่เกิดเหตุผิดพลาด โดยระบุว่าเหตุเกิดวันที่ 24 ส.ค. 2563 ก่อนตำรวจจะมีการแก้ไขเป็นวันที่ 24 พ.ย. 2563 ในบันทึกข้อกล่าวหาใหม่นี้

    (อ้างอิง: บันทึกแจ้งข้อกล่าวหา สภ.เมืองพัทลุง ลงวันที่ 6 ก.พ. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/40608)
  • ศุภกร, อลิสา และชมพูนุท เข้ายื่นขอความเป็นธรรมไปยังพนักงานอัยการ ขอให้มีคำสั่งไม่ฟ้องคดี
  • พนักงานอัยการจังหวัดพัทลุงเป็นโจทก์ยื่นฟ้องชมพูนุท, อลิสา และศุภกร ในฐานความผิด “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ, ยุยงปลุกปั่น และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง" ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 กล่าวหาว่า ภาพและข้อความที่โพสต์ ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสถาบันกษัตริย์

    ทั้งนี้ อัยการไม่ได้คัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้งสามในระหว่างพิจารณาคดีมาในคำฟ้อง โดยระบุว่าขอให้อยู่ในดุลยพินิจของศาล

    (อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดพัทลุง คดีหมายเลขดำที่ อ.227/2565 ลงวันที่ 15 ก.พ. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/40608)
  • ที่ศาลจังหวัดพัทลุง 3 สมาชิก “ราษฎรใต้” เดินทางเข้ารายงานตัวต่อศาล และทราบว่าพนักงานอัยการจังหวัดพัทลุงยื่นฟ้องคดีแล้ว ในวันถัดมาหลังพวกเขายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมขอให้ไม่ฟ้องคดี

    หลังทราบว่าอัยการยื่นฟ้องแล้ว ทั้งสามได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนนัดสอบคำให้การเป็นวันที่ 21 ก.พ. 2565 เวลา 13.30 น. เนื่องจากจำเลยประสงค์ขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างพิจารณาโดยใช้หลักประเกินเดิมในชั้นฝากขัง คือตำแหน่งอาจารย์ 2 คน แต่อาจารย์ทั้งสองติดภารกิจ ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ในวันนี้ และศาลไม่อนุญาตให้นายประกันมอบอำนาจให้ทนายความทำสัญญาประกันแทน โดยศาลมีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนนัดสอบคำให้การไปตามที่จำเลยยื่นคำร้อง

    (อ้างอิง: คำร้องขอเลื่อนนัดสอบคำให้การ ศาลจังหวัดพัทลุง คดีหมายเลขดำที่ อ.227/2565 ลงวันที่ 18 ก.พ. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/40608)

  • ศาลอ่านคำฟ้องคดีให้จำเลยทั้งสามฟัง ทั้งหมดยืนยันให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ศาลได้กำหนดวันนัดพร้อมและตรวจพยานหลักฐานต่อไปในวันที่ 15 มี.ค. 2565 เวลา 13.30 น.

    จากนั้น ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวนักกิจกรรมทั้งสามระหว่างพิจารณาคดีโดยใช้หลักประเดิมในชั้นสอบสวน คือ ตำแหน่งอาจารย์มหาวิทยาลัย ตามที่ทนายยื่นคำร้อง
  • ทนายจำเลยขอเลื่อนคดี เนื่องจากติดว่าความในคดีอื่น ศาลเลื่อนไปนัดพร้อมตรวจพยานหลักฐานสอบคำให้การ เเละกำหนดวันนัดสืบพยาน ในวันที่ 7 เม.ย. 2565 เวลา 14.00 น.
  • ชมพูนุท, อลิสา และศุภกร พร้อมทนายจําเลยมาศาลตามนัด ศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จําเลยซึ่งมีทนายความฟังอีกครั้ง ทั้งสามให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ตามคําให้การที่ยื่นต่อศาลในวันนี้

    พนักงานอัยการจังหวัดพัทลุง โจทก์แถลงว่า คดีนี้เป็นคดีความผิดต่อความมั่นคงฯ ซึ่งตามประกาศคณะกรรมการอัยการ เรื่อง การแบ่งหน่วยงาน และการกําหนดอํานาจและหน้าที่ของหน่วยงานภายในของสํานักงานอัยการสูงสุด พ.ศ.2563 ให้เป็นอํานาจของสํานักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 4 ภาค 9 จึงขอเลื่อนคดีสักนัด เพื่อดําเนินการประสานผู้มีอํานาจหน้าที่มาดําเนินคดี คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือนครึ่ง ฝ่ายจําเลยไม่ค้าน

    ศาลจึงให้เลื่อนไปนัดพร้อมเพื่อตรวจพยานหลักฐานและกําหนดวันนัดสืบพยาน ในวันที่ 1 ก.ค. 2565 เวลา 10.00 น. ทั้งนี้ ศาลกำชับให้อัยการดําเนินการตามที่แถลงโดยเร็ว โดยระบุว่า หากในนัดหน้ายังไม่แล้วเสร็จ ศาลจะไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีอีก เนื่องจากตามประกาศดังกล่าวเป็นเพียงการแบ่งหน่วยงาน และการกําหนดอํานาจและหน้าที่ของหน่วยงานภายในเท่านั้น ไม่ใช่กฎหมายที่ต้องถือตาม

    (อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลจังหวัดพัทลุง คดีหมายเลขดำที่ อ.227/2565 ลงวันที่ 7 เม.ย. 2565)
  • หลังตรวจพยานหลักฐาน โจทก์และจำเลยนัดหมายสืบพยานในวันที่ 6-9, 13-16 และ 20 มิ.ย. 2566
  • ++โจทก์กล่าวหาบางข้อความเป็นการหมิ่นกษัตริย์ เชื่อมโยงการเสด็จของ ร.10 หลังเกิดเหตุ

    การสืบพยานมีขึ้นในช่วงวันที่ 7-9 มิ.ย. และ 7-10 พ.ย. 2566 ฝ่ายโจทก์นำพยานทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน พนักงานสอบสวน และพยานความคิดเห็นที่นำมาให้ความเห็นต่อข้อความจำนวน 5 ปาก อาทิ ครู ทนายความในพื้นที่ และนักการเมืองท้องถิ่น โดยเป็นการให้พยานแต่ละปากดูภาพข้อความไล่ไปรวม 20 ภาพ พร้อมให้ความเห็น

    สำหรับโดยภาพรวม ข้อความในหลายภาพ พยานโจทก์เองก็ระบุว่าไม่ทราบว่าหมายถึงอะไร หรือสื่อไม่ได้ว่าหมายถึงถึงบุคคลใด หรือแม้เห็นว่าบางข้อความไม่เหมาะสม แต่ก็ไม่ได้เข้าข่ายมาตรา 112 รวมทั้งไม่ได้มีความวุ่นวายหรือไม่สงบเกิดขึ้นหลังจากการเผยแพร่ภาพข้อความดังกล่าว

    แต่มีภาพข้อความบางส่วน ที่ปรากฏว่าถูกใส่บนภาพถ่ายที่มีภาพพระบรมฉายาลักษณ์ เช่น “Land of Compromise ทำไมใช้ ม.112 #กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ” พยานบางปากเห็นว่าเป็นการดูหมิ่นรัชกาลที่ 10 และพระราชินี แต่ก็มีพยานที่รับในการตอบคำถามค้านว่า เป็นสุภาษิตทั่วไป มีการใช้กันมาก่อนแล้ว

    หรือข้อความว่า “#ภาษีกู #ภาษีกู #ภาษีกู”, “จะปรับตัวทั้งที ช่วยมีสมองหน่อยน้า” ที่ปรากฏบนพระบรมฉายาลักษณ์เช่นกัน พยานโจทก์ก็มองว่าไม่เหมาะสม แต่ก็รับว่าเป็นข้อความที่ไม่ได้ระบุว่าหมายถึงบุคคลใด

    พยานโจทก์บางปากยังเชื่อมโยงภาพสถานที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะศาลหลักเมืองพัทลุง ว่าจะเป็นสถานที่ซึ่งรัชกาลที่ 10 จะเสด็จมา การนำภาพสถานที่ดังกล่าว พร้อมใส่ข้อความอาทิ “เผด็จการจงพินาศ เป็ดก้าบ ก้าบ จงเจริญ” “กูสั่งให้มึงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ” ไปเผยแพร่ จึงเป็นการกระทำไม่เหมาะสม

    ที่น่าสนใจ พยานปาก นัญธิดา รักสกุล ทนายความในพัทลุง ได้เบิกความเห็นว่าข้อความในภาพ “30 นี้เจอกันแบบเบิ้ม ๆ ที่หอนาฬิกาหาดใหญ่” พยานเข้าใจว่าเป็นการนัดหมายก่อการร้าย จากคำว่า “เบิ้มๆ” อาจจะหมายถึงการระเบิด แต่เป็นพยานปากนี้เพียงปากเดียวที่เบิกความลักษณะนี้ ส่วนปากอื่น ๆ เห็นว่าเป็นการนัดหมายทั่วไป โดยข้อเท็จจริง คือในวันที่ 30 พ.ย. 2563 มีการนัดหมายชุมนุมของกลุ่มเยาวชนที่หอนาฬิกาหาดใหญ่

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/64671)
  • ++ตำรวจตรวจสอบสัญญาณโทรศัพท์มือถือจำเลยทั้งสาม คาดว่าอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ แต่ไม่มีพยานหลักฐานชัดเจนว่าใครเป็นผู้โพสต์ในเพจ

    ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่ง คือการพิสูจน์ว่าจำเลยทั้งสามคนเกี่ยวข้องกับการโพสต์ข้อความในเพจที่ถูกกล่าวหาทั้งสองเพจหรือไม่

    พยานโจทก์ปากสำคัญคือ ร.ต.อ.ภูนท เรืองยิ่ง เป็นพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทลุง ในขณะเกิดเหตุ โดยคดีมี ร.ต.อ.รณกร หุ้มขาว เข้าแจ้งความเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2564 กล่าวหาต่อแอดมินเพจ “พัทลุงปลดแอก” และ “ประชาธิปไตยในด้ามขวาน” ในข้อหาตามมาตรา 112 ต่อมาผู้บังคับบัญชาได้มีการตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนเพื่อทำคดีนี้

    ปากคำพนักงานสอบสวน ระบุว่า ในช่วงเกิดเหตุ พนักงานติดไฟในจังหวัดได้พบว่ามีการฉายโปรเจคเตอร์ที่หน้าศาลหลักเมืองพัทลุง จึงไปแจ้งกับตำรวจ ต่อมามีการสืบรูปพรรณรถต้องสงสัยที่ใช้ก่อเหตุ จากภาพกล้องวงจรปิด และได้ตรวจสอบทะเบียนรถดังกล่าว ซึ่งคาดว่าน่าจะมีจำเลยที่ 1 ในคดีนี้เป็นผู้ขับขี่

    ตำรวจยังมีการตรวจสอบข้อมูลสัญญาณโทรศัพท์จากเบอร์โทรที่อ้างว่าเป็นของจำเลยทั้งสามในคืนเกิดเหตุ พบว่ามีสัญญาณอยู่ในพื้นที่จังหวัดพัทลุง

    ตำรวจระบุว่า ตามรายงานการสืบสวนพบว่า เพจเฟซบุ๊ก “พัทลุงปลดแอก” น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับ “เบลล์” เยาวชนที่ถูกดำเนินคดีแยกออกไป ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในคดีนี้ น่าจะร่วมนั่งรถไปกับจำเลยที่ 1

    ฝ่ายพนักงานสอบสวนยังได้ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานที่ในภาพและได้ถ่ายภาพไว้ และนำมาจัดทำเป็นแผนผังที่เกิดเหตุ และยังได้สอบพยานความเห็นที่มาจากหลายวิชาชีพอีกจำนวน 5 ปาก ก่อนรวบรวมพยานหลักฐานขอออกหมายจับจำเลยทั้งสามคน ส่วนกรณีของเยาวชนอีกหนึ่งคน ศาลเยาวชนฯ ไม่อนุญาตหมายจับ เนื่องจากเห็นว่ายังเป็นเยาวชน จึงให้ตำรวจออกหมายเรียกมารับทราบข้อหาแทน

    จากการถามค้านของทนายความ ทางตำรวจได้มีการสืบสวนสอบสวนก่อนจะมีการแจ้งความในคดีนี้แล้ว โดยอ้างว่าเป็นคดีสำคัญ และรับว่ามีการแจ้งข้อกล่าวหาไม่ชัดเจนในตอนแรก โดยไม่ได้แจ้งพฤติการณ์ที่กล่าวหาต่อผู้ต้องหา ทำให้ต้องมีการเรียกมาแจ้งข้อกล่าวหาใหม่ทั้งหมด

    ในส่วนของสัญญาณโทรศัพท์มือถือที่พนักงานสอบสวนอ้าง มี พ.ต.ท.จตุรงค์ จงหวัง เป็นผู้ตรวจสัญญาณโทรศัพท์ แล้วส่งให้พยานเป็นไฟล์ Excel ในวันที่ 21 ธ.ค. 2563 แต่จะได้ข้อมูลได้อย่างไร พนักงานสอบสวนก็ไม่ทราบ ไม่ทราบว่าไฟล์ดังกล่าวแก้ไขได้หรือไม่ และทั้งความหมายของพวกสัญญาณต่าง ๆ นั้น ฝ่ายพนักงานสอบสวนก็ไม่ทราบ และไม่ได้เรียกผู้จัดทำเอกสารมาสอบคำให้การแต่อย่างใด

    ในการสอบสวน ไม่มีการตรวจยึดโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ทั้งจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด ไม่ได้เห็นภาพของจำเลยทั้งสามแต่อย่างใด เห็นเพียงแต่รถยนต์ที่คาดว่าเป็นของจำเลยที่ 1 และไม่สามารถยืนยันได้ว่าทั้งสามคนจะอยู่ในรถคันเดียวกัน

    พนักงานสอบสวนยังรับว่า จากการสืบสวนจากเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ผ่านมา ไม่พบว่าจำเลยที่ 2 เคยร่วมกิจกรรมในจังหวัดพัทลุง แต่พบว่าจำเลยที่ 3 เคยมาร่วมปราศรัยในพัทลุง 1 ครั้ง ฝ่ายพนักงานสอบสวนเห็นว่าจำเลยทั้ง 3 พร้อมกับ “เบลล์” นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกัน แต่ไม่ทราบว่าใครจะเป็นแอดมินเพจ ใครเป็นคนโพสต์ภาพ หรือโพสต์จากที่ไหน โดยได้ขอให้ทาง บก.ปอท. ตรวจสอบ แต่ก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ ขณะเดียวกันในช่วงเกิดเหตุและภายหลัง ก็รับว่าไม่ได้มีการชุมนุมหรือเกิดความวุ่นวายใด ๆ

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/64671)
  • ++ฝ่ายจำเลยต่อสู้ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการถ่ายภาพ และเป็นผู้โพสต์ข้อความในเพจตามฟ้อง

    ฝ่ายจำเลยนำพยานขึ้นเบิกความจำนวน 5 ปาก แบ่งเป็นจำเลยทั้งสามเอง พยานผู้เชี่ยวชาญทางอิเล็กทรอนิกส์ และพยานด้านภาษาไทย

    โดยสรุป ชมพูนุท จำเลยที่ 1 อายุ 26 ปี ศึกษาชั้นปริญญาเอก คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ในช่วงเกิดเหตุ พยานจะทำแลปและรายงานความก้าวหน้าในตอนเย็นของทุกวัน เนื่องจากได้ทุนของคณะ โดยต้องทำวิจัยให้เป็นที่น่าพอใจ หัวข้อวิจัยใหญ่ 1 เรื่อง และมีเรื่องย่อยอื่น ๆ อีก โดยจำเลยได้ยื่นประวัติของตนเองประกอบต่อศาล

    พยานเบิกความว่า ตนได้เคยเข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอกภาคใต้ในปี 2563-64 โดยทำกิจกรรมเกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศ แต่หลัง ๆ พยานไม่ได้ทำกิจกรรมแล้วเนื่องจากการเรียนหนัก และพยานไม่เคยเป็นแกนนำกลุ่มเคลื่อนไหวใด เป็นแต่เพียงผู้เข้าร่วม

    พยานเล่าถึงเหตุในช่วงวันที่ 24-26 พ.ย. 2563 พยานได้ไปที่มหาวิทยาลัย และตอนเย็นก็กลับมาอยู่ที่คอนโด ไม่ทราบเรื่องที่จะมีการเสด็จ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเพจทั้งสองเพจที่ถูกฟ้อง และพยานไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดทำภาพที่ถูกฟ้องทั้ง 20 ภาพดังกล่าว ในเรื่องรถยนต์ของพยาน ก่อนหน้านี้มีผู้ใช้หลายคน เพราะส่วนใหญ่เพื่อน ๆ มีรถจักยานยนต์ จึงถูกขอยืมนำไปใช้ขนของหรือซื้อของอยู่บ่อยครั้ง

    พยานรับว่ารู้จักกับจำเลยอีกสองคน แต่ไม่รู้จักกับ “เบลล์” เยาวชนอีกคนหนึ่ง ทราบว่าจำเลยที่ 2 มีรถยนต์เป็นของตัวเอง ส่วนจำเลยที่ 3 ขับรถยนต์ไม่ได้

    ส่วนเหตุการณ์ชุมนุมที่หาดใหญ่วันที่ 30 พ.ย. 2563 พยานไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุม แต่ทราบว่ามีการจัดกิจกรรม โดยไม่รู้ว่าใครเป็นผู้จัด ในวันนั้นพยานไม่ได้ให้ใครใช้รถ

    พยานยังได้เบิกความชี้แจงถึงภาพถ่ายที่ตำรวจรวบรวมมาว่าเป็นตัวพยาน ที่เข้าร่วมชุมนุมครั้งต่าง ๆ อาทิ ภาพพยานฉายเลเซอร์อยู่ เป็นงานของเฟมินิสต์ปลดแอกภาคใต้ ฉายแค่ในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยพยานและเพื่อนเป็นคนทำ เพื่อเรียกร้องต่อสภากาชาดเรื่องการเลือกปฏิบัติเพราะไม่รับเลือดของผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้มารับชม

    หรือภาพที่ปราศรัยอยู่ เป็นเหตุการณ์วันที่ 14 ก.พ. 2564 พยานวิจารณ์การทำงานของตำรวจในเรื่องของการสลายการชุมนุม และมีตำรวจถ่ายภาพและวิดีโอเอาไว้ หลังจากเหตุการณ์นั้น อาจารย์ของพยานไม่อยากให้พยานไปเคลื่อนไหวในกิจกรรมทางการเมือง เนื่องจากอาจกระทบต่อทุน พยานจึงได้ทำตามที่อาจารย์ขอ

    คดีนี้ หลังทราบว่าตนเองถูกดำเนินคดี เนื่องจากจำเลยที่ 3 ถูกตำรวจไปล้อมจับในมหาวิทยาลัย และแจ้งว่ามีชื่อของอีกสองคน พยานพร้อมกับจำเลยที่ 2 จึงไปแสดงตัวที่ สภ.เมืองพัทลุง และปฏิเสธจะลงลายมือชื่อในบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา เพราะตำรวจไม่ได้มีการแจ้งพฤติการณ์ที่กล่าวหา โดยพยานก็ได้เขียนสาเหตุไว้ในคำให้การ และพยานเองก็ให้การปฏิเสธข้อหาตลอดมา
    .
    จำเลยที่ 2 อลิสา บินดุส๊ะ อายุ 28 ปี เรียนจบคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยจบการศึกษาเมื่อปี 2563 คดีนี้พยานให้การปฏิเสธเรื่อยมา

    ในคืนเกิดเหตุวันที่ 24 - 26 พ.ย. 2563 พยานอยู่ที่บ้านที่จังหวัดสงขลา เพราะต้องไปศาลจังหวัดสงขลาเพื่อติดตามคดีการตายของอับดุลเลาะ อีซอมูซอ ไม่ได้ไปที่จังหวัดพัทลุง ภาพทั้ง 20 ภาพ ในฟ้องพยานไม่เกี่ยวข้องและไม่ทราบอะไรเลย เพราะพยานไม่ได้เกี่ยวกับกิจกรรมที่พัทลุง และพยานก็มีรถยนต์เป็นของตนเอง

    สำหรับกิจกรรมทางการเมืองในจังหวัดสงขลานั้น พยานจะทำในเรื่องของสิทธิชุมชน, การให้บริการทางกฎหมาย ส่วนการชุมนุมก็มีไปในลักษณะผู้สังเกตการณ์

    ในวันที่ 28 พ.ย. 2563 พยานไม่ทราบว่าจะมีการเสด็จของพระมหากษัตริย์ และพระราชินี ส่วนในการชุมนุมวันที่ 30 พ.ย. 2563 พยานไม่ได้เป็นผู้จัด เพียงแต่ไปร่วมสังเกตการณ์ เพราะวันนั้นมีการชุมนุมสองลักษณะชนกัน

    พยานทราบว่าตนถูกดำเนินคดีตอนที่จำเลยที่ 3 ถูกล้อมจับ จึงประสานเข้ามอบตัวและไม่ลงลายมือชื่อในบันทึกของตำรวจ เนื่องจากไม่มีการแจ้งพฤติการณ์ที่กระทำความผิด ในบันทึกมอบตัวก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริง อันเป็นพฤติการณ์ของคดี ในบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาครั้งแรก พยานก็ยังไม่ได้เอกสารจากทางตำรวจ เพื่อใช้ในการต่อสู้คดี
    .
    จำเลยที่ 3 ศุภกร ขุนชิต มีภูมิลำเนาอยู่พัทลุง จบการศึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในปี 2564 ขณะนี้ทำธุรกิจส่วนตัว

    ขณะศึกษา พยานทำกิจกรรมหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นค่ายอาสา หรือกิจกรรมชมรมอื่น ๆ โดยได้เป็นรองนายกองค์การนักศึกษา ในช่วงปี 2561-2562 แต่ในปี 2563 พยานเป็นที่ปรึกษา

    ในปี 2563 พยานเข้าร่วมเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่ไม่ได้เป็นกลุ่มในจังหวัดสงขลา เนื่องจากมีกลุ่มทางการเมืองเกิน 30 กลุ่ม เพราะทุกสถานศึกษาล้วนมีกลุ่มทางการเมืองทั้งหมด โดยเรียกร้องในประเด็นโควิด-19 การบริหารของรัฐบาล การแก้รัฐธรรมนูญ การทุจริต การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ และการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

    ในครั้งแรกที่พยานขึ้นปราศรัย เนื่องจากมีตำรวจเข้าไปคุกคามพยานถึงบ้าน 20 กว่าคน แต่เจอพี่สาว พยานจึงโพสต์ด่าตำรวจในเฟซบุ๊กของตน หลังจากนั้นพยานเข้าร่วมเป็นพิธีกรเนื่องจากรุ่นน้องในโรงเรียนชวนไป เพราะเห็นว่าเคยเป็นพิธีกรในงานอื่น ๆ ของมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว พยานเคยไปร่วมกิจกรรมที่จังหวัดพัทลุง 1 ครั้ง ส่วนคนที่เชิญพยานมานั้น ถูกตำรวจเข้าไปคุกคามถึงที่บ้าน จึงไม่ได้มาในการชุมนุมนั้น และพยานไม่ได้เป็นแกนนำในจังหวัดพัทลุงแต่อย่างใด

    ในช่วงเกิดเหตุพยานไม่ได้อยู่ในพัทลุง แต่อยู่ที่จังหวัดสงขลา และพยานไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเพจเฟซบุ๊กทั้งสองเพจตามฟ้อง พยานเพียงแต่เคยกดถูกใจ โดยในตอนนั้นมีเพจลักษณะนี้เยอะมาก พยานรู้จักจำเลยที่ 1 เพราะอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน ส่วนจำเลยที่ 2 พยานทราบว่าเป็นรุ่นพี่

    วันที่ 30 พ.ย. 2563 ในการการชุมนุมหน้าหอนาฬิกาหาดใหญ่ พยานร่วมเป็นพิธีกร และพยานรับว่ามีชื่อของตนเองอยู่ในบัญชีรับบริจาคสำหรับกิจกรรม ร่วมกับเพื่อนนักศึกษารุ่นร้องอีกคนหนึ่ง เพราะชื่อของพยานเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว และเพียงเป็นการบริจาคสำหรับชุดเครื่องเสียง และงานจัดการ พยานยืนยันว่าตนเองขับรถยนต์ไม่เป็น

    พยานเล่าถึงเหตุการณ์ที่ตนถูกตำรวจล้อมจับ ว่าตอนนั้นพยานไปฉีดวัคซีน มีตำรวจมาประมาณ 20 คน ในชั้นจับกุมพยานให้การปฏิเสธ ตลอดการให้การทั้ง 3 ครั้ง ส่วนเรื่องของคดีคาร์ม็อบที่พยานโดนฟ้องเป็นจำเลยนั้นศาลแขวงสงขลายกฟ้อง และคดีถึงที่สุดแล้ว โดยคดีนี้มีผู้ตกเป็นจำเลยเหมือนพยานประมาณ 10 คน โดยพยานก็ไม่ใช่คนจัดกิจกรรม

    พยานระบุว่าในช่วงเกิดเหตุ พยานไม่ทราบว่าจะมีการเสด็จที่พัทลุง เพราะเรียนอยู่ที่สงขลา พยานระบุว่าตนถูกตำรวจคุกคามหลายครั้งและได้ปราศรัยวิจารณ์การทำงานของตำรวจ อาจจะเรียกได้ว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับเจ้าหน้าที่ก็ได้

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/64671)
  • ++พยานผู้เชี่ยวชาญทางอิเล็กทรอนิกส์ เห็นว่าพยานหลักฐานที่มีบอกไม่ได้ว่าแอดมินเพจตามฟ้องเป็นใคร และเอกสารตำรวจ ก็ไม่มี URL เพจ

    พยานจำเลยอีกปากหนึ่ง เป็นพยานผู้เชี่ยวชาญทางอิเล็กทรอนิกส์ ทำงานในบริษัทเอกชนด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ มีหน้าที่ ออกแบบ ปรับปรุง และพัฒนาระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยจบการศึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์

    พยานปากนี้ได้เบิกความถึงการใช้งานเฟซบุ๊กว่า มีทั้งระบบแบบบัญชีส่วนตัว และระบบเพจ ซึ่งต้องมีแอดมินเพจ และมีได้มากกว่า 1 คนขึ้นไป ส่วนการที่จะรู้ว่าใครเป็นแอดมินเพจมีทั้งหมด 2 วิธี หนึ่งคือทราบรหัสและอีเมลของผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก สองคือสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ผู้ใช้งาน เช่น มือถือหรือโน๊ตบุ๊กได้

    พยานให้ความเห็นว่าจากพยานหลักฐานในคดีนี้ ไม่มีการเข้าถึงข้อมูลการตรวจสอบจากทั้ง 2 วิธี ในเอกสารการสืบสวน ก็ระบุไม่ได้ว่าใครคือเป็นแอดมินเพจ “พัทลุงปลดแอก” โดยตัวเลขไอดีที่ระบุในเอกสารคือเลขประจำตัวว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจนั้นมีจริง ไม่มีลักษณะเป็นตัวเลขเปรียบเทียบกับเลขบัตรประชาชนหรือเลขทะเบียนบ้าน

    ส่วน URL คือที่อยู่ของเว็บที่สมบูรณ์เข้าถึงได้แบบเจาะจง จะอยู่ด้านล่างเวลาพิมพ์ออกมา ทำให้รู้ว่ามีจริง ถ้ากดลิงก์ก็จะรู้ว่า URL นั้นมีจริง และสามารถเข้าถึงได้ โดยพบว่าจากเอกสารโจทก์เกี่ยวกับเพจ “ประชาธิปไตยในด้ามขวาน” และ “พัทลุงปลดแอก” ไม่ปรากฏ URL ของเพจ เอกสารต่าง ๆ ไม่ปรากฏ URL แต่มีลักษณะมาจากการตัดและใส่ข้อมูลเพิ่มเข้าไป โดยอาจเป็นการนำภาพไปใส่ในโปรแกรมอื่น ทำให้ตัดต่อข้อมูลอื่นมาใส่ได้

    ++ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา เห็นว่าข้อความไม่เข้า ม.112 การนำมาใช้กล่าวหาลักษณะนี้ ไม่เป็นคุณต่อสถาบันฯ

    พยานจำเลยปากสุดท้าย เป็นพยานผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาและการตีความ โดยทำอาชีพเป็นนักแปลด้านประวัติศาสตร์ วิชาการ และวรรณกรรม

    พยานให้ความเห็นเกี่ยวกับภาพทั้ง 20 ภาพ ในคดีนี้ เห็นว่าไม่ได้เข้าข่ายมาตรา 112 ที่สำคัญอาทิ ข้อความว่า “Land of Compromise ทำไมใช้ ม.112 #กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ” พยานเห็นว่าพอแปลความร่วมได้ว่าเป็นแผ่นดินแห่งการประนีประนอม คือการตั้งคำถามว่าถ้าประนีประนอมจริง ทำไมถึงยังใช้ ม.112

    ในประเด็นนี้ พยานเห็นว่า ม.112 มีการอภิปรายกันมากว่าถูกนำมาใช้กลั่นแกล้งทางการเมืองเยอะ พยานก็เห็นว่าถ้านำมาใช้มากเกินไปเช่นนี้ ก็จะไม่เป็นคุณต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และเป็นการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ออกมาจากประชาชน ส่วนคำว่า “กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ” ก็เป็นคำทำนองสุภาษิตที่ใช้มานานในประวัติศาสตร์

    ส่วนข้อความอื่น ๆ ก็มีทั้งลักษณะการชวนกันทำกิจกรรม การกล่าวถึงตำรวจให้รับใช้ประชาชน กล่าวถึงภาษีของประชาชน กล่าวถึงข้อมูลทางประวัติศาสตร์กรณีถีบลงเขา เผาลงถังแดง หรือไม่ก็ตีความไม่ได้ชัดเจน

    แม้อัยการโจทก์พยายามถามค้าน แต่พยานยืนยันความเห็นว่า การดำเนินคดีลักษณะนี้เป็นการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมา และเอาออกจากใจของประชาชน มุมมองนี้มาจากคนที่รักสถาบันพระมหากษัตริย์เช่นกัน
    .
    คดีเสร็จการพิจารณา ศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 13 ก.พ. 2567

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/64671)
  • นักศึกษาและนักกิจกรรมทั้งสามเดินทางไปที่ศาลจังหวัดพัทลุง โดยสวมเสื้อรณรงค์เรื่อง “นิรโทษกรรมประชาชน” มีอาจารย์และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และเพื่อนเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน เดินทางไปร่วมติดตามฟังคำพิพากษากว่า 20 คน โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจของศาลมาติดตามควบคุมความเรียบร้อย

    ศาลอ่านคำพิพากษาโดยสรุปเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ในคดีนี้ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ได้แก่ ประเด็นประจักษ์พยาน ซึ่งมีพยานโจทก์ 1 คน อ้างว่าเห็นรถยนต์ที่นำไปก่อเหตุถ่ายภาพในเมืองพัทลุง แต่พยานจำได้แค่เพียงสีรถกับป้ายทะเบียน และในชั้นสอบสวนตำรวจไม่ได้เรียกพยานปากนี้มาสอบสวน ว่ารถที่พยานเห็น คือรถที่ใช้กระทำความผิดหรือไม่

    ส่วนประเด็นภาพจากกล้องวงจรปิด ก็พบว่าไม่ชัดเจนเพียงพอจะระบุว่าเป็นรถของจำเลยที่ 1 หรือไม่ โดยภาพสีของรถไม่ชัดเจน และยืนยันไม่ได้ว่ารถคันดังกล่าวคือรถที่ใช้กระทำความผิด

    และประเด็นสัญญาณโทรศัพท์มือถือ แม้เจ้าพนักงานตำรวจอ้างว่าตรวจสอบพบอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ แต่ก็ยืนยันไม่ได้ว่าคุยอะไรกัน และจำเลยอยู่ที่เดียวกับสัญญาณโทรศัพท์จริงหรือไม่

    เมื่อจำเลยทั้งสามปฏิเสธตลอดมา และพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ คดีนี้เป็นคดีมีอัตราโทษสูง จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย พิพากษายกฟ้อง

    แต่ศาลได้มีคำสั่งให้ออกหมายขังจำเลยทั้งสามระหว่างอุทธรณ์ เนื่องจากเห็นว่าแม้พิพากษายกฟ้อง แต่ยังอยู่ในระยะเวลายื่นอุทธรณ์ของโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบมาตรา 72 (6) ที่ให้อำนาจศาลสั่งขังจําเลยไว้หรือปล่อยชั่วคราวระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดได้ ทำให้จำเลยทั้งสามคนต้องยื่นประกันตัว

    จนเวลาประมาณ 12.50 น. ศาลจังหวัดพัทลุงมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวทั้งสามคน โดยใช้ตำแหน่งนักวิชาการของอาจารย์จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์จำนวน 2 คน เช่นเดียวกับในชั้นพิจารณาคดีก่อนหน้านี้ ตีราคาประกันจำเลยทั้งสามคน รวม 600,000 บาท โดยหลังจากนี้ยังต้องรอว่าฝ่ายอัยการโจทก์จะอุทธรณ์คดีหรือไม่ต่อไป

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/64713)

ชั้นสอบสวน

ผู้ถูกดำเนินคดี :
อลิสา บินดุส๊ะ

การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
ผู้ถูกดำเนินคดี :
ศุภกร ขุนชิต

การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
ผู้ถูกดำเนินคดี :
ชมพูนุท (สงวนนามสกุล)

การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต

ศาลชั้นต้น

ผู้ถูกดำเนินคดี :
อลิสา บินดุส๊ะ

ผลการพิพากษา
ยกฟ้อง
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ : 13-02-2024
ผู้ถูกดำเนินคดี :
ศุภกร ขุนชิต

ผลการพิพากษา
ยกฟ้อง
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ : 13-02-2024
ผู้ถูกดำเนินคดี :
ชมพูนุท (สงวนนามสกุล)

ผลการพิพากษา
ยกฟ้อง
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ : 13-02-2024

ศาลอุทธรณ์

ผู้ถูกดำเนินคดี :
อลิสา บินดุส๊ะ

ผลการพิพากษา
-
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
ผู้ถูกดำเนินคดี :
ศุภกร ขุนชิต

ผลการพิพากษา
-
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
ผู้ถูกดำเนินคดี :
ชมพูนุท (สงวนนามสกุล)

ผลการพิพากษา
-
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต

แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์