ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
- ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)
- กีดขวางทางสาธารณะ (มาตรา 385)
- การชุมนุม
- พ.ร.บ.ความสะอาดฯ
- พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ 2558
- ไม่แจ้งการชุมนุม
- พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (มาตรา 9)
- พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาฯ (ใช้เครื่องขยายเสียง)
- พ.ร.บ.จราจรฯ
- พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
- มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป (มาตรา 215)
- ไม่เลิกชุมนุมมั่วสุมตามคำสั่งเจ้าพนักงาน (มาตรา 216)
ดำ อ. 2887/2564
ผู้กล่าวหา
- ชุติมา เลี่ยมทอง กับพวก (ประชาชน)
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
- ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)
- กีดขวางทางสาธารณะ (มาตรา 385)
- การชุมนุม
- พ.ร.บ.ความสะอาดฯ
- พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ 2558
- ไม่แจ้งการชุมนุม
- พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (มาตรา 9)
- พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาฯ (ใช้เครื่องขยายเสียง)
- พ.ร.บ.จราจรฯ
- พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
- มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป (มาตรา 215)
- ไม่เลิกชุมนุมมั่วสุมตามคำสั่งเจ้าพนักงาน (มาตรา 216)
ดำ อ. 2887/2564
ผู้กล่าวหา
- ชุติมา เลี่ยมทอง กับพวก (ประชาชน)
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
- ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)
- กีดขวางทางสาธารณะ (มาตรา 385)
- การชุมนุม
- พ.ร.บ.ความสะอาดฯ
- พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ 2558
- ไม่แจ้งการชุมนุม
- พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (มาตรา 9)
- พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาฯ (ใช้เครื่องขยายเสียง)
- พ.ร.บ.จราจรฯ
- พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
- มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป (มาตรา 215)
- ไม่เลิกชุมนุมมั่วสุมตามคำสั่งเจ้าพนักงาน (มาตรา 216)
ดำ อ. 2887/2564
ผู้กล่าวหา
- ชุติมา เลี่ยมทอง กับพวก (ประชาชน)
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
- ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)
- กีดขวางทางสาธารณะ (มาตรา 385)
- การชุมนุม
- พ.ร.บ.ความสะอาดฯ
- พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ 2558
- ไม่แจ้งการชุมนุม
- พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (มาตรา 9)
- พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาฯ (ใช้เครื่องขยายเสียง)
- พ.ร.บ.จราจรฯ
- พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
- มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป (มาตรา 215)
- ไม่เลิกชุมนุมมั่วสุมตามคำสั่งเจ้าพนักงาน (มาตรา 216)
ดำ อ. 2887/2564
ผู้กล่าวหา
- ชุติมา เลี่ยมทอง กับพวก (ประชาชน)
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
- ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)
- กีดขวางทางสาธารณะ (มาตรา 385)
- การชุมนุม
- พ.ร.บ.ความสะอาดฯ
- พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ 2558
- ไม่แจ้งการชุมนุม
- พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (มาตรา 9)
- พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาฯ (ใช้เครื่องขยายเสียง)
- พ.ร.บ.จราจรฯ
- พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
- มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป (มาตรา 215)
- ไม่เลิกชุมนุมมั่วสุมตามคำสั่งเจ้าพนักงาน (มาตรา 216)
ดำ อ. 2887/2564
ผู้กล่าวหา
- ชุติมา เลี่ยมทอง กับพวก (ประชาชน)
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
- ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)
- กีดขวางทางสาธารณะ (มาตรา 385)
- การชุมนุม
- พ.ร.บ.ความสะอาดฯ
- พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ 2558
- ไม่แจ้งการชุมนุม
- พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (มาตรา 9)
- พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาฯ (ใช้เครื่องขยายเสียง)
- พ.ร.บ.จราจรฯ
- พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
- มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป (มาตรา 215)
- ไม่เลิกชุมนุมมั่วสุมตามคำสั่งเจ้าพนักงาน (มาตรา 216)
ดำ อ. 2887/2564
ผู้กล่าวหา
- ชุติมา เลี่ยมทอง กับพวก (ประชาชน)
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
- ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)
- กีดขวางทางสาธารณะ (มาตรา 385)
- การชุมนุม
- พ.ร.บ.ความสะอาดฯ
- พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ 2558
- ไม่แจ้งการชุมนุม
- พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (มาตรา 9)
- พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาฯ (ใช้เครื่องขยายเสียง)
- พ.ร.บ.จราจรฯ
- พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
- มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป (มาตรา 215)
- ไม่เลิกชุมนุมมั่วสุมตามคำสั่งเจ้าพนักงาน (มาตรา 216)
ดำ อ. 2887/2564
ผู้กล่าวหา
- ชุติมา เลี่ยมทอง กับพวก (ประชาชน)
ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
- การชุมนุม
- พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ 2558
- ไม่แจ้งการชุมนุม
- พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (มาตรา 9)
- พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
- มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป (มาตรา 215)
- ไม่เลิกชุมนุมมั่วสุมตามคำสั่งเจ้าพนักงาน (มาตรา 216)
- พ.ร.บ.ความสะอาดฯ
- พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาฯ (ใช้เครื่องขยายเสียง)
- พ.ร.บ.จราจรฯ
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
- ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)
- กีดขวางทางสาธารณะ (มาตรา 385)
หมายเลขคดี
ดำ อ. 2887/2564
ผู้กล่าวหา
- ชุติมา เลี่ยมทอง กับพวก
ข้อหา
- การชุมนุม
- พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ 2558
- ไม่แจ้งการชุมนุม
- พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (มาตรา 9)
- พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
- มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป (มาตรา 215)
- ไม่เลิกชุมนุมมั่วสุมตามคำสั่งเจ้าพนักงาน (มาตรา 216)
- พ.ร.บ.ความสะอาดฯ
- พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาฯ (ใช้เครื่องขยายเสียง)
- พ.ร.บ.จราจรฯ
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
- ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)
- กีดขวางทางสาธารณะ (มาตรา 385)
หมายเลขคดี
ดำ อ. 2887/2564
ผู้กล่าวหา
- ชุติมา เลี่ยมทอง กับพวก
ข้อหา
- การชุมนุม
- พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ 2558
- ไม่แจ้งการชุมนุม
- พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (มาตรา 9)
- พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
- มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป (มาตรา 215)
- ไม่เลิกชุมนุมมั่วสุมตามคำสั่งเจ้าพนักงาน (มาตรา 216)
- พ.ร.บ.ความสะอาดฯ
- พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาฯ (ใช้เครื่องขยายเสียง)
- พ.ร.บ.จราจรฯ
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
- ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)
- กีดขวางทางสาธารณะ (มาตรา 385)
หมายเลขคดี
ดำ อ. 2887/2564
ผู้กล่าวหา
- ชุติมา เลี่ยมทอง กับพวก
ข้อหา
- การชุมนุม
- พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ 2558
- ไม่แจ้งการชุมนุม
- พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (มาตรา 9)
- พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
- มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป (มาตรา 215)
- ไม่เลิกชุมนุมมั่วสุมตามคำสั่งเจ้าพนักงาน (มาตรา 216)
- พ.ร.บ.ความสะอาดฯ
- พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาฯ (ใช้เครื่องขยายเสียง)
- พ.ร.บ.จราจรฯ
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
- ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)
- กีดขวางทางสาธารณะ (มาตรา 385)
หมายเลขคดี
ดำ อ. 2887/2564
ผู้กล่าวหา
- ชุติมา เลี่ยมทอง กับพวก
ข้อหา
- การชุมนุม
- พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ 2558
- ไม่แจ้งการชุมนุม
- พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (มาตรา 9)
- พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
- มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป (มาตรา 215)
- ไม่เลิกชุมนุมมั่วสุมตามคำสั่งเจ้าพนักงาน (มาตรา 216)
- พ.ร.บ.ความสะอาดฯ
- พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาฯ (ใช้เครื่องขยายเสียง)
- พ.ร.บ.จราจรฯ
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
- ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)
- กีดขวางทางสาธารณะ (มาตรา 385)
หมายเลขคดี
ดำ อ. 2887/2564
ผู้กล่าวหา
- ชุติมา เลี่ยมทอง กับพวก
ข้อหา
- การชุมนุม
- พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ 2558
- ไม่แจ้งการชุมนุม
- พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (มาตรา 9)
- พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
- มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป (มาตรา 215)
- ไม่เลิกชุมนุมมั่วสุมตามคำสั่งเจ้าพนักงาน (มาตรา 216)
- พ.ร.บ.ความสะอาดฯ
- พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาฯ (ใช้เครื่องขยายเสียง)
- พ.ร.บ.จราจรฯ
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
- ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)
- กีดขวางทางสาธารณะ (มาตรา 385)
หมายเลขคดี
ดำ อ. 2887/2564
ผู้กล่าวหา
- ชุติมา เลี่ยมทอง กับพวก
ข้อหา
- การชุมนุม
- พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ 2558
- ไม่แจ้งการชุมนุม
- พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (มาตรา 9)
- พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
- มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป (มาตรา 215)
- ไม่เลิกชุมนุมมั่วสุมตามคำสั่งเจ้าพนักงาน (มาตรา 216)
- พ.ร.บ.ความสะอาดฯ
- พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาฯ (ใช้เครื่องขยายเสียง)
- พ.ร.บ.จราจรฯ
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
- ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)
- กีดขวางทางสาธารณะ (มาตรา 385)
หมายเลขคดี
ดำ อ. 2887/2564
ผู้กล่าวหา
- ชุติมา เลี่ยมทอง กับพวก
ความสำคัญของคดี
นักกิจกรรม "ราษฎร" 7 ราย ได้แก่ “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์, อานนท์ นำภา, “ไบรท์” ชินวัตร จันทร์กระจ่าง, “ไมค์” ภาณุพงศ์ จาดนอก, "รุ้ง" ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล, จิรฐิตา (สงวนนามสกุล) และคริษฐ์ (สงวนนามสกุล) นักเรียนชั้น ม.6 ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 และข้อหาเกี่ยวกับการชุมนุมอีกหลายข้อหา หลังร่วมชุมนุม #2ธันวาไปห้าแยกลาดพร้าว เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2563 และขึ้นปราศรัยวิจารณ์คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ หลังตัดสินให้ประยุทธ์ยังเป็นนายกฯ กรณีอยู่บ้านพักทหาร รวมถึงข้อเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ โดยมีประชาชนเป็นผู้เข้าแจ้งความให้ดำเนินคดี
หลังอัยการยื่นฟ้อง ศาลอาญาไม่ให้ประกันอานนท์, พริษฐ์, ภาณุพงศ์ และปนัสยา ระหว่างพิจารณาคดี อ้างเหตุว่าพฤติการณ์แห่งคดีร้ายแรง ประกอบกับจำเลยถูกดำเนินคดีซ้ำกันหลายคดี หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว เชื่อว่าจะก่อเหตุอันตรายประการอื่น หรือหลบหนี ก่อนให้ประกันปนัสยาอย่างจำกัดเวลา และมีเงื่อนไขหลายข้อ เพื่อให้ไปสอบและเรียนต่อในภาคเรียนสุดท้าย
เป็นอีกกรณีที่สะท้อนปัญหาสำคัญของการบังคับใช้มาตรา 112 ที่ใครก็ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ ทำให้ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งกลุ่มคนที่เห็นต่างทางการเมืองอย่างกว้างขวางเช่นในปัจจุบัน รวมถึงการขยายการตีความไปจนทำให้การวิจารณ์อดีตกษัตริย์ก็เป็นความผิดตามมาตรานี้ด้วย แม้ว่าไม่ใช่บุคคลที่กฎหมายมุ่งคุ้มครอง
หลังอัยการยื่นฟ้อง ศาลอาญาไม่ให้ประกันอานนท์, พริษฐ์, ภาณุพงศ์ และปนัสยา ระหว่างพิจารณาคดี อ้างเหตุว่าพฤติการณ์แห่งคดีร้ายแรง ประกอบกับจำเลยถูกดำเนินคดีซ้ำกันหลายคดี หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว เชื่อว่าจะก่อเหตุอันตรายประการอื่น หรือหลบหนี ก่อนให้ประกันปนัสยาอย่างจำกัดเวลา และมีเงื่อนไขหลายข้อ เพื่อให้ไปสอบและเรียนต่อในภาคเรียนสุดท้าย
เป็นอีกกรณีที่สะท้อนปัญหาสำคัญของการบังคับใช้มาตรา 112 ที่ใครก็ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ ทำให้ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งกลุ่มคนที่เห็นต่างทางการเมืองอย่างกว้างขวางเช่นในปัจจุบัน รวมถึงการขยายการตีความไปจนทำให้การวิจารณ์อดีตกษัตริย์ก็เป็นความผิดตามมาตรานี้ด้วย แม้ว่าไม่ใช่บุคคลที่กฎหมายมุ่งคุ้มครอง
พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี
ธีรารัตน์ บุตรโพธิ์ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 บรรยายฟ้องโดยสรุปว่า
1. ก่อนเกิดเหตุ จำเลยทั้ง 7 กับพวก ร่วมกันประกาศชักชวนประชาชนให้มาร่วมการชุมนุม #ม็อบ2ธันวาไล่จันทร์โอชาออกไป ในวันที่ 2 ธ.ค. 2563 เวลา 16.00 น. ที่บริเวณห้าแยกลาดพร้าว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ, ให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยไม่แจ้งการชุมนุมต่อ ผกก.สน.พหลโยธิน
2. ในวันเกิดเหตุ มีผู้เข้าร่วมชุมนุมประมาณ 3,000 คน โดยมีการปราศรัยผ่านเครื่องขยายเสียง ตะโกน โห่ร้อง ด้วยคำพูดหรือสัญลักษณ์หยาบคายโจมตีกล่าวหากษัตริย์และสถาบันกษัตริย์ อันมีสาระสำคัญว่า ทรงใช้พระราชอำนาจแทรกแซงการพิจารณา พิพากษาของศาลยุติธรรมและศาลรัฐธรรมนูญ ตลอดจนการปกครองของฝ่ายบริหาร จนเกิดความไม่ยุติธรรม อันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย และเป็นการชุมนุมที่เสี่ยงต่อการแพร่โรคติดต่อโควิด-19 โดยจำเลยไม่ได้จัดให้มีมาตรการป้องกัน
3. วันเกิดเหตุ จำเลยยังร่วมกันกีดขวางทางสาธารณะและกีดขวางการจราจร โดยการนำกลุ่มผู้ชุมนุมเดินไปตามช่องทางจราจร นำแผงเหล็กวางกั้นปิดการจราจร ตั้งเวที จอภาพขนาดใหญ่และเป็ดลมยาง จนอาจเป็นอุปสรรคต่อความสะดวกในการจราจรของประชาชนทั่วไป ทั้งจำเลยยังร่วมกันใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าเพื่อปราศรัยแก่ประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาต
4. วันเกิดเหตุ จำเลยได้ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ด้วยการจัดชุมนุมและปราศรัยปลุกระดมผู้ร่วมชุมนุม เพื่อให้ผู้ร่วมชุมนุมตะโกน ด่าทอ แสดงความไม่พอใจโดยเขียนหรือพ่นสีลงกระดาษ เสาทางเดินยกระดับของรถไฟฟ้า และลงบนถนนสาธารณะ ตลอดจนเปิดเพลงหรือทำการแสดงดนตรี เมื่อ ผกก.สน.พหลโยธิน สั่งให้จำเลยและผู้ร่วมชุมนุมยุติการชุมนุม แต่จำเลยยังคงขัดขืน
ขณะเกิดเหตุ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรีเป็นประมุข มีการสืบทอดสันตติวงศ์ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลปัจจุบัน
5. จำเลยยังได้ร่วมกันหมิ่นประมาทดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และยุยงปลุกปั่นเพื่อให้ประชาชนเกิดความกระด้างกระเดื่องถึงขนาดก่อให้เกิดความไม่สงบในราชอาณาจักร โดยแบ่งหน้าที่กันทำ กล่าวคือ จำเลยได้ผลัดเปลี่ยนกันปราศรัยในระหว่างชุมนุมสาธารณะ ดังนี้
อานนท์ นำภา จำเลยที่ 1 พูดปราศรัยเกี่ยวกับการเรียกร้องให้กษัตริย์เป็นกลางทางการเมืองจึงจะเป็นที่เคารพสักการะของประชาชน
พริษฐ์ ชิวารักษ์ จำเลยที่ 2 พูดปราศรัยเกี่ยวกับการแทรกแซงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 และข้อเสนอเกี่ยวกับการให้ตัดมาตราที่ว่าด้วยศาลรัฐธรรมนูญออกไปทั้งหมดในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่
ชินวัตร จันทร์กระจ่าง จำเลยที่ 3 พูดปราศรัยเกี่ยวกับการเชิญชวนประชาชนให้พูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ และการได้มาซึ่งรัฐสวัสดิการจำเป็นจะต้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้อยู่ใต้รัฐธรรมนูญก่อน
ภาณุพงศ์ จาดนอก จำเลยที่ 4 พูดปราศรัยถึงการที่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ถูกครอบงำ และประชาชนต้องวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของศาลและระบบยุติธรรมได้
ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล จำเลยที่ 5 พูดปราศรัยเกี่ยวกับการที่สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงมีกองกำลังทหารเป็นของตัวเอง อาทิ กรมทหารราบที่ 1 และราบที่ 11 และเรียกร้องให้สถาบันกษัตริย์ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับการตายหรือการหายตัวไปของผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์
จิรฐิตา จำเลยที่ 6 พูดปราศรัยเกี่ยวกับการสลายการชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐที่หน้ารัฐสภาเกียกกาย จนตนได้รับบาดแผล รอยไหม้ และพุพองจากการถูกน้ำผสมสารเคมีฉีดใส่ และเรียกร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องออกมารับผิดชอบการที่ประชาชนถูกสลายการชุมนุมในครั้งนั้น
คริษฐ์ จำเลยที่ 7 พูดปราศรัยเกี่ยวกับการตั้งคำถามถึงการใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ปกป้องไม่ให้พูดถึงอดีตกษัตริย์ และการปราบดาภิเษกพระเจ้าตากสินมหาราชโดยกษัตริย์รัชกาลที่ 1 รวมถึงตั้งคำถามถึงกรณีการสวรรคตของกษัตริย์รัชกาลที่ 8
เมื่อบุคคลที่สามได้ฟังปราศรัยดังกล่าวย่อมทำให้เกิดเข้าใจว่า กษัตริย์ทั้ง 10 รัชกาลในราชวงศ์จักรีทรงใช้พระราชอำนาจเข้าไปแทรกแซงการเมืองการปกครองของฝ่ายบริหารและตุลาการ ทรงอยู่เบื้องหลังการใช้กำลังทรมานกับประชาชน อันเป็นการใส่ความทั้ง 10 พระองค์ด้วยข้อความหยาบคาย เป็นเท็จและบิดเบือน ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชังอย่างร้ายแรง
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ. 2887/2564 ลงวันที่ 19 พ.ย. 2564)
1. ก่อนเกิดเหตุ จำเลยทั้ง 7 กับพวก ร่วมกันประกาศชักชวนประชาชนให้มาร่วมการชุมนุม #ม็อบ2ธันวาไล่จันทร์โอชาออกไป ในวันที่ 2 ธ.ค. 2563 เวลา 16.00 น. ที่บริเวณห้าแยกลาดพร้าว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ, ให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยไม่แจ้งการชุมนุมต่อ ผกก.สน.พหลโยธิน
2. ในวันเกิดเหตุ มีผู้เข้าร่วมชุมนุมประมาณ 3,000 คน โดยมีการปราศรัยผ่านเครื่องขยายเสียง ตะโกน โห่ร้อง ด้วยคำพูดหรือสัญลักษณ์หยาบคายโจมตีกล่าวหากษัตริย์และสถาบันกษัตริย์ อันมีสาระสำคัญว่า ทรงใช้พระราชอำนาจแทรกแซงการพิจารณา พิพากษาของศาลยุติธรรมและศาลรัฐธรรมนูญ ตลอดจนการปกครองของฝ่ายบริหาร จนเกิดความไม่ยุติธรรม อันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย และเป็นการชุมนุมที่เสี่ยงต่อการแพร่โรคติดต่อโควิด-19 โดยจำเลยไม่ได้จัดให้มีมาตรการป้องกัน
3. วันเกิดเหตุ จำเลยยังร่วมกันกีดขวางทางสาธารณะและกีดขวางการจราจร โดยการนำกลุ่มผู้ชุมนุมเดินไปตามช่องทางจราจร นำแผงเหล็กวางกั้นปิดการจราจร ตั้งเวที จอภาพขนาดใหญ่และเป็ดลมยาง จนอาจเป็นอุปสรรคต่อความสะดวกในการจราจรของประชาชนทั่วไป ทั้งจำเลยยังร่วมกันใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าเพื่อปราศรัยแก่ประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาต
4. วันเกิดเหตุ จำเลยได้ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ด้วยการจัดชุมนุมและปราศรัยปลุกระดมผู้ร่วมชุมนุม เพื่อให้ผู้ร่วมชุมนุมตะโกน ด่าทอ แสดงความไม่พอใจโดยเขียนหรือพ่นสีลงกระดาษ เสาทางเดินยกระดับของรถไฟฟ้า และลงบนถนนสาธารณะ ตลอดจนเปิดเพลงหรือทำการแสดงดนตรี เมื่อ ผกก.สน.พหลโยธิน สั่งให้จำเลยและผู้ร่วมชุมนุมยุติการชุมนุม แต่จำเลยยังคงขัดขืน
ขณะเกิดเหตุ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรีเป็นประมุข มีการสืบทอดสันตติวงศ์ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลปัจจุบัน
5. จำเลยยังได้ร่วมกันหมิ่นประมาทดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และยุยงปลุกปั่นเพื่อให้ประชาชนเกิดความกระด้างกระเดื่องถึงขนาดก่อให้เกิดความไม่สงบในราชอาณาจักร โดยแบ่งหน้าที่กันทำ กล่าวคือ จำเลยได้ผลัดเปลี่ยนกันปราศรัยในระหว่างชุมนุมสาธารณะ ดังนี้
อานนท์ นำภา จำเลยที่ 1 พูดปราศรัยเกี่ยวกับการเรียกร้องให้กษัตริย์เป็นกลางทางการเมืองจึงจะเป็นที่เคารพสักการะของประชาชน
พริษฐ์ ชิวารักษ์ จำเลยที่ 2 พูดปราศรัยเกี่ยวกับการแทรกแซงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 และข้อเสนอเกี่ยวกับการให้ตัดมาตราที่ว่าด้วยศาลรัฐธรรมนูญออกไปทั้งหมดในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่
ชินวัตร จันทร์กระจ่าง จำเลยที่ 3 พูดปราศรัยเกี่ยวกับการเชิญชวนประชาชนให้พูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ และการได้มาซึ่งรัฐสวัสดิการจำเป็นจะต้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้อยู่ใต้รัฐธรรมนูญก่อน
ภาณุพงศ์ จาดนอก จำเลยที่ 4 พูดปราศรัยถึงการที่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ถูกครอบงำ และประชาชนต้องวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของศาลและระบบยุติธรรมได้
ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล จำเลยที่ 5 พูดปราศรัยเกี่ยวกับการที่สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงมีกองกำลังทหารเป็นของตัวเอง อาทิ กรมทหารราบที่ 1 และราบที่ 11 และเรียกร้องให้สถาบันกษัตริย์ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับการตายหรือการหายตัวไปของผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์
จิรฐิตา จำเลยที่ 6 พูดปราศรัยเกี่ยวกับการสลายการชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐที่หน้ารัฐสภาเกียกกาย จนตนได้รับบาดแผล รอยไหม้ และพุพองจากการถูกน้ำผสมสารเคมีฉีดใส่ และเรียกร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องออกมารับผิดชอบการที่ประชาชนถูกสลายการชุมนุมในครั้งนั้น
คริษฐ์ จำเลยที่ 7 พูดปราศรัยเกี่ยวกับการตั้งคำถามถึงการใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ปกป้องไม่ให้พูดถึงอดีตกษัตริย์ และการปราบดาภิเษกพระเจ้าตากสินมหาราชโดยกษัตริย์รัชกาลที่ 1 รวมถึงตั้งคำถามถึงกรณีการสวรรคตของกษัตริย์รัชกาลที่ 8
เมื่อบุคคลที่สามได้ฟังปราศรัยดังกล่าวย่อมทำให้เกิดเข้าใจว่า กษัตริย์ทั้ง 10 รัชกาลในราชวงศ์จักรีทรงใช้พระราชอำนาจเข้าไปแทรกแซงการเมืองการปกครองของฝ่ายบริหารและตุลาการ ทรงอยู่เบื้องหลังการใช้กำลังทรมานกับประชาชน อันเป็นการใส่ความทั้ง 10 พระองค์ด้วยข้อความหยาบคาย เป็นเท็จและบิดเบือน ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชังอย่างร้ายแรง
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ. 2887/2564 ลงวันที่ 19 พ.ย. 2564)
ความคืบหน้าของคดี
-
วันที่: 22-12-2020นัด: รับทราบข้อกล่าวหาหลังพริษฐ์ ชิวารักษ์, อานนท์ นำภา, ชินวัตร จันทร์กระจ่าง และภาณุพงศ์ จาดนอก เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในคดีชุมนุม #25พฤศจิกาไปSCB ที่ สน.พหลโยธิน คณะพนักงานสอบสวนตามคำสั่ง บก.น.2 ที่ 373/2563 ยังแจ้งข้อกล่าวหานักกิจกรรมทั้งสี่ในคดีของ สน.พหลโยธิน อีก 1 คดี จากการชุมนุม #2ธันวาไปห้าแยกลาดพร้าว เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2563 โดยไม่ได้ออกหมายเรียกมาก่อน อย่างไรก็ตาม นักกิจกรรมทั้งสี่ยินยอมเข้ารับทราบข้อกล่าวหาเพื่อความสะดวกของทุกฝ่าย
พนักงานสอบสวนแจ้งผู้ต้องหาทั้งสี่ถึงกระทำที่ถูกกล่าวหาว่า ผู้ต้องหาได้มีการตกลง สมคบคิด และแบ่งหน้าที่กันทำ โดยชักชวนคนมาร่วมชุมนุม ทำการปราศรัย ในกิจกรรมเรียกร้องให้นายกฯ ออกไป ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันใส่ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ และรัชกาลที่ 10 ในประเด็นเกี่ยวกับการมุ่งทำลายสถาบันหลักของชาติ โดยเจตนาจะทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพต่อองค์พระมหากษัตริย์ มีการทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หรือวิธีอื่นใด อันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ มีการปิดถนนพหลโยธินขาเข้าและขาออก ถนนวิภาวดีรังสิตขาเข้าและขาออกที่บริเวณห้าแยกลาดพร้าว มีการใช้เครื่องขยายเสียง มีการเขียนตัวอักษรและภาพวาดไปที่พื้นถนนพหลโยธิน ประกอบกับการชุมนุมในครั้งนี้มีคนเข้าร่วมเป็นจำนวนมากมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดโรคระบาด ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้มีการแจ้งให้เลิกการชุมนุมแล้วแต่ผู้ต้องหาไม่ปฏิบัติตาม
พนักงานสอบสวนได้ยกเนื้อหาคำปราศรัยบางตอนขึ้นมาบรรยาย ระบุว่า มีบริบทในเนื้อหาสาระให้ประชาชนทั่วไปฟังแล้วดูหมิ่น เกลียดชังในสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยให้เชื่อตามคำปราศรัยของผู้ต้องหา
พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหานักกิจกรรมกลุ่ม “ราษฎร” ทั้งสี่รวม 8 ข้อหา ดังนี้
1. ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112)
2. ร่วมกันทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นติชมโดยสุจริต เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมาย (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116)
3. ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215)
4. เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมให้เลิกการกระทำแต่ไม่เลิก (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 216)
5. ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะโดยไม่แจ้งต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง (พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ มาตรา 10)
6. ร่วมกันกีดขวางทางสาธารณะจนเป็นอุปสรรคต่อความสะดวกในการจราจร (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385)
7. ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต (พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงฯ มาตรา 4)
8. ร่วมกันจัดกิจกรรมซึ่งมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมากในลักษณะมั่วสุมประชุมกัน หรือมีโอกาสติดต่อสัมผัสกันได้ง่าย (ข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ)
นักกิจกรรมทั้งสี่ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และจะยื่นคำให้การเป็นหนังสือในวันที่ 29 ม.ค. 2564 โดยมีเพียงอานนท์คนเดียวที่ลงลายมือชื่อในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา ส่วนคนอื่นเขียนด้วยถ้อยคำอื่นแทน ได้แก่ "ไม่ลงลายมือชื่อเพราะไม่ยอมรับอำนาจศักดินา", “ไม่ยอมรับ ม.112 เป็นกฎหมาย และ ม.112 ไม่เป็นไปตามหลักสากล” และ “ยกเลิก 112” หลังแจ้งข้อกล่าวหา พนักงานสอบสวนได้ปล่อยตัวทั้งหมดกลับ โดยไม่มีการควบคุมตัว
ในคดีนี้ตามบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหามีผู้ต้องหาทั้งสิ้น 6 ราย ซึ่งอีก 2 ราย คือ “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล และจิรฐิตา (สงวนนามสกุล) พนักงานสอบสวนจะดำเนินการออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป
(อ้างอิง: บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา สน.พหลโยธิน ลงวันที่ 22 ธ.ค. 2563 และ https://tlhr2014.com/archives/24348) -
วันที่: 04-01-2021นัด: แจ้งข้อกล่าวหาปนัสยาเวลา 13.00 น. ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล เข้ารับทราบข้อกล่าวหาเป็นรายที่ 5 คณะพนักงานสอบสวนตามคำสั่ง บก.น.2 ที่ 373/2563 แจ้งข้อเท็จจริงที่ถูกกล่าวหาให้ปนัสยาทราบ โดยมีใจความเช่นเดียวกับคนอื่น และยกเนื้อหาคำปราศรัยบางตอนของปนัสยาขึ้นมาบรรยาย รวม 4 ข้อความ ได้แก่
“การถวายพระเกียรติองค์พระมหากษัตริย์ พระรัชทายาท และพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งมีกองกําลัง เช่น กรมทหารราบที่ 1 และราบที่ 11 ได้ถูกโอนย้ายมาด้วยพระราชกําหนดโอนอัตรากําลังพล และงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นหน่วยราชการในพระองค์ พ.ศ.2563… ในความเป็นจริงนั้น ควรที่จะอยู่ดูแลภายใต้ราษฎรเสียเลยด้วยซ้ำ แต่กลับกลายเป็นกองกําลังที่พิทักษ์บุคคลเพียงไม่กี่คน ที่ไม่ได้มีความพิเศษไปกว่าเราเลย”
ส่วนอีก 3 ข้อความ เป็นการตั้งคำถามเรื่องการฆาตกรรมและการอุ้มหายผู้ที่วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ โดยพนักงานสอบสวนระบุว่า คำปราศรัยของปนัสยามีบริบทในเนื้อหาสาระให้ประชาชนทั่วไปฟังแล้วดูหมิ่น เกลียดชังในสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยให้เชื่อตามคำปราศรัยของผู้ต้องหา
พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหารวม 8 ข้อหา เช่นเดียวกับคนอื่น ปนัสยาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและไม่ได้ลงลายมือชื่อแต่เขียนข้อความลงในบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาว่า “ยิ่งใช้ 112 คนยิ่งเสื่อมศรัทธา” โดยจะยื่นคำให้การเป็นหนังสือในวันที่ 3 ก.พ. 2564
(อ้างอิง: บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา สน.พหลโยธิน ลงวันที่ 4 ม.ค. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/24739) -
วันที่: 05-01-2021นัด: แจ้งข้อกล่าวหาจิรฐิตา“ฮิวโก้” จิรฐิตา (สงวนนามสกุล) อายุ 23 ปี อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาอีกราย โดยพบว่าคดีนี้มีสมาชิกของกลุ่มพลังประชาชนปกป้องสถาบันฯ เป็นผู้ไปแจ้งความร้องทุกข์ด้วย
พ.ต.ท.พิภัสสร์ พูนลัน และคณะพนักงานสอบสวนซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามคำสั่งของกองบัญชาการตำรวจนครบาล 2 ได้เป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหาต่อจิรฐิตา ว่าได้ร่วมกับแกนนำคนอื่นๆ ในการชักชวนคนมาร่วมชุมนุม และขึ้นเวทีปราศรัยโดยมีการใส่ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการถอดเทปเนื้อหาคำปราศรัยของจิรฐิตาที่ขึ้นพูดในเวทีดังกล่าว โดยสรุปเล่าถึงเหตุการณ์ที่ตนได้ร่วมชุมนุมที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2563 และได้ถูกเจ้าหน้าที่ฉีดน้ำที่ผสมสารเคมีเข้าใส่ ทำให้เกิดบาดแผล รอยไหม้และพุพองบนร่างกาย ซึ่งเป็นความรุนแรงอย่างมาก และยังกล่าวถึงการใช้มาตรา 112 เพื่อดำเนินคดีต่อผู้ออกมาเคลื่อนไหวและเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ รวมทั้งประเด็นการเลือกข้างทางการเมืองของสถาบันกษัตริย์ และการตัดสินของศาลที่อ้างว่ากระทำภายใต้พระปรมาภิไธย
พนักงานสอบสวนระบุว่าถ้อยคำการปราศรัยดังกล่าวนั้น มีบริบทในสาระเนื้อหา ทำให้ประชาชนทั่วไปฟังแล้วเกิดความรู้สึกดูหมิ่น เกลียดชัง ขาดความศรัทธาในสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงเป็นการร่วมกันหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ดูหมิ่น หมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และมีเจตนาร่วมกันทำให้ปรากฏแก่วาจา เพื่อยุยงให้ประชาชนแสดงออกถึงการวิพากษ์วิจารณ์และดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ และเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน
พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาจิรฐิตารวม 8 ข้อหา เช่นเดียวกับแกนนำอีก 5 รายก่อนหน้านี้ จิรฐิตาได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และปฏิเสธจะลงลายมือชื่อในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา แต่ได้เขียนข้อความ “ศักดินาจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ” ลงไปแทน โดยตำรวจกำหนดวันยื่นคำให้การเป็นหนังสือเพิ่มเติมภายในวันที่ 3 ก.พ. 2564 และได้ให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาไป โดยไม่มีการควบคุมตัวไว้
ขณะเดียวกันยังพบว่าคดีนี้มีผู้แจ้งความร้องทุกข์เป็นประชาชนทั่วไป ได้แก่ ชุติมา เลี่ยมทอง กับพวก ซึ่งจากรายงานข่าวในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2563 ระบุว่าเป็นสมาชิกของกลุ่มพลังประชาชนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ (พปปส.)
(อ้างอิง: บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา สน.พหลโยธิน ลงวันที่ 5 ม.ค. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/24775) -
วันที่: 15-02-2021นัด: แจ้งข้อกล่าวหาคริษฐ์คริษฐ์ (สงวนนามสกุล) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 อายุ 18 ปี สมาชิกกลุ่ม “คะน้าราดซอส” เข้ารับทราบเป็นรายที่ 7 ของคดีนี้ โดยเขาไม่ได้รับหมายเรียกผู้ต้องหา แต่เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาเนื่องจากพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน โทรศัพท์ติดต่อให้มารับทราบข้อกล่าวหาวานนี้
เมื่อเวลา 09.50 น. ด้านหน้า สน.พหลโยธิน มีการตั้งจุดคัดกรองตรวจอุณหภูมิและจดรายชื่อพร้อมกับเบอร์โทรของผู้ที่เข้ามาในพื้นที่ สน. ทั้งยังสอบถามถึงจุดประสงค์ของการมาในวันนี้ ก่อนถึงอาคาร สน. มีเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนกระจายตัวตรึงกำลังอยู่ด้านหน้า สน. โดยพนักงานสอบสวนระบุว่า การตั้งจุดคัดกรอง มีขึ้นเพื่อดูแลความปลอดภัยของผู้ต้องหาที่มารับทราบข้อหาในวันนี้ และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายจากกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้าม
ทั้งนี้ มีผู้มาให้กำลังใจส่วนหนึ่งที่เข้ามาหน้า สน.ในเวลา 10.30 น. แจ้งว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามจดเลขบัตรประชาชนไปด้วย พร้อมกำชับและขอให้แจ้งเลขบัตรประชาชน แม้สื่อมวลชนกับผู้ไว้วางใจบางส่วนที่มาถึงก่อนแล้ว ไม่ต้องแจ้งหรือแสดงบัตรประชาชนก็ตาม
ก่อนบรรยายพฤติการณ์คดี พนักงานสอบสวนชี้แจงว่า ได้แจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหา 6 รายที่เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาก่อนหน้านี้ไปแล้ว แต่เนื่องจากธีรยุทธ สุวรรณเกษร มาแจ้งความให้ดำเนินคดีคริษฐ์เพิ่มเติม ตำรวจจึงต้องดำเนินคดีตามกระบวนการ โดยได้ตรวจสอบรูปภาพ ถอดเทปคำปราศรัย และส่งตรวจสอบผู้เชี่ยวชาญทางภาษาและเห็นว่ามีความผิดจริง จึงเรียกคริษฐ์มารับทราบข้อกล่าวหา
พนักงานสอบสวนบรรยายพฤติการณ์คดีเช่นเดียวกับที่แจ้งคนอื่น ก่อนยกคำปราศรัยของคริษฐ์ในวันเกิดเหตุ ซึ่งพูดถึงประเด็นทางประวัติศาสตร์ของกษัตริย์ราชวงศ์จักรีในอดีต ปัญหาการใช้มาตรา 112 ในการจำกัดสิทธิการวิพากษ์วิจารณ์อดีตกษัตริย์ และย้ำแนวคิดคนเท่ากัน และระบุว่า เนื้อหาคำปราศรัยทำให้ประชาชนทั่วไปฟังแล้วดูหมิ่น เกลียดชังในสถาบันกษัตริย์
หลังจากนั้น พนักงานสอบสวนแจ้ง 8 ข้อหาแก่คริษฐ์เช่นเดียวกับผู้ต้องหาคนอื่น คริษฐ์ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และไม่ลงลายมือชื่อในบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา โดยตำรวจกำหนดวันยื่นคำให้การเป็นหนังสือเพิ่มเติมภายในวันที่ 17 มี.ค. 2564 และได้ให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาไป โดยไม่มีการควบคุมตัวไว้
หลังเสร็จกระบวนการรับทราบข้อหา คริษฐ์เล่าว่า วันนี้จำเป็นต้องหยุดเรียนเพื่อเดินทางมารับทราบข้อหา ก่อนเปรยว่า “กฎหมายคงไม่ได้มีไว้ปกป้องเรา”
ทั้งนี้ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ผู้แจ้งความคริษฐ์ เป็นทนายความซึ่งเคยรับมอบอำนาจจากสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ ไปแจ้งความร้องทุกข์ข้อหามาตรา 116 กับธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กรณีไลฟ์เฟซบุ๊กเรื่อง 3 ข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม
(อ้างอิง: บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา สน.พหลโยธิน ลงวันที่ 15 ก.พ. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/25945)
-
วันที่: 16-07-2021นัด: ส่งตัวให้อัยการพนักงานสอบสวนนัดนักกิจกรรมทั้งเจ็ดเพื่อส่งตัวพร้อมสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 อัยการนัดฟังคำสั่งวันที่ 20 ส.ค. 2564 ส่วนพริษฐ์และคริษฐ์ซึ่งพนักงานสอบสวนยังไม่ได้ส่งตัวให้อัยการ เนื่องจากต้องกักตัวโควิด ทำให้เลื่อนนัดส่งตัวไปก่อน ยังไม่กำหนดนัดใหม่
-
วันที่: 20-08-2021นัด: ฟังคำสั่งอัยการอัยการยังไม่มีคำสั่ง เลื่อนนัดไปวันที่ 27 ก.ย. 2564
-
วันที่: 27-09-2021นัด: ฟังคำสั่งอัยการอัยการยังไม่มีคำสั่ง นัดอีกครั้งวันที่ 19 ต.ค. 2564
-
วันที่: 19-10-2021นัด: ฟังคำสั่งอัยการอัยการยังไม่มีคำสั่ง เลื่อนนัดไปวันที่ 19 พ.ย. 2564
-
วันที่: 19-11-2021นัด: ฟังคำสั่งอัยการ (ฟ้อง)ชินวัตร, คริษฐ์ และจิรฐิตา เดินทางไปฟังคำสั่งอัยการ ส่วนอานนท์, พริษฐ์, ภาณุพงศ์ และปนัสยา ยังถูกคุมขังในเรือนจำ
พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 ได้มีคำสั่งฟ้องนักกิจกรรมทั้ง 7 ราย และยื่นฟ้องต่อศาลอาญา ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 116, 215, 216, 385, พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ มาตรา 10, พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 108, 114, พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงฯ มาตรา 4, พ.ร.บ.รักษาความสะอาดฯ มาตรา 4, 19, พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ มาตรา 34, 35 และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาตรา 9
ท้ายคำฟ้องนอกจากอัยการจะคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้งเจ็ดระหว่างพิจารณา อ้างเหตุว่า จำเลยทั้งเจ็ดได้กระทำความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงหลายครั้ง หากปล่อยตัวไปอาจจะกระทำความผิดซ้ำอีก อัยการยังขอให้นับโทษจำคุกอานนท์, พริษฐ์, ชินวัตร, ภาณุพงศ์, ปนัสยา และจิรฐิตาในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีอื่นๆ ด้วย
หลังอัยการนำผู้ต้องหาไปฟ้องต่อศาลอาญา ชินวัตร, คริษฐ์ และจิรฐิตา ถูกควบคุมตัวไปยังห้องควบคุมตัว และทนายความได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวจำเลยทั้งเจ็ด
ต่อมา ชาญชัย ณ พิกุล รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ได้มีคำสั่งให้ประกันเฉพาะชินวัตร, จิรฐิตา และคริษฐ์ โดยให้วางหลักทรัพย์คนละ 100,000 บาท ยกเว้นชินวัตรที่ให้วางหลักทรัพย์ 200,000 บาท เนื่องจากถูกตัดสินให้รอลงอาญาในคดีอื่น ทั้งหมดใช้เงินประกันจากกองทุนราษฎรประสงค์ นอกจากนี้ศาลยังกำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยทั้งหมดกระทำการในลักษณะเช่นเดียวกับที่ถูกกล่าวหาซ้ำอีก หรือไปร่วมกิจกรรมที่อาจเสื่อมเสียต่อสถาบันกษัตริย์ รวมถึงห้ามเดินทางออกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล และให้มาศาลตามกำหนดนัดโดยเคร่งครัด
ส่วนจำเลยนักกิจกรรมอีก 4 ราย ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ คือ อานนท์, พริษฐ์, ภาณุพงศ์ และปนัสยา ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกัน ให้เหตุผลว่า “พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่าร้ายแรง ประกอบกับจำเลยถูกดำเนินคดีที่ศาลนี้ซ้ำกันหลายคดี หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว เชื่อว่าจะก่อเหตุอันตรายประการอื่น หรือหลบหนีคดี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ให้ยกคำร้อง”
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ. 2887/2564 ลงวันที่ 19 พ.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/38263) -
วันที่: 30-11-2021นัด: ยื่นประกันภาณุพงศ์, ปนัสยาทนายความเข้ายื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวภาณุพงศ์ในคดีนี้และคดีอื่นๆ ของศาลอาญาอีก 3 คดี ได้แก่ คดีชุมนุมสาดสี-ปาไข่ หน้า ม.พัน 4 รอ. เมื่อ 28 ก.ย. 2563, คดีชุมนุม #25พฤศจิกาไปSCB และคดีชุมนุมเยาวชนปลดแอก เมื่อ 18 ก.ค. 2563
นอกจากนี้ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวปนัสยาในคดีนี้ พร้อมทั้งคดีชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ต่อมาศาลได้มีคำสั่งให้ไต่สวนคำร้องดังกล่าวของปนัสยา
เวลา 13.30 น. ศาลได้ไต่สวนปนัสยา โดยผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์มาจากทัณฑสถานหญิงกลาง มีบิดามารดาของปนัสยา และ ผศ.ดร.บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์จากคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เดินทางมาร่วมไต่สวน
ปนัสยาได้แถลงต่อศาล ว่าตนกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และขณะนี้อยู่ในช่วงสอบปลายภาคการศึกษาที่ 1 ซึ่งมีกำหนดระหว่างวันที่ 2 - 17 ธ.ค. 2564 โดยรายวิชาที่เธอลงทะเบียนเรียน มีทั้งรูปแบบการสอบที่ไปทำข้อสอบ และการทำรายงานการศึกษาวิจัย นอกจากนั้นยังมีวิชาที่มีการบ้านเพื่อเก็บคะแนน ซึ่งหลังเธอถูกคุมขัง ไม่สามารถทำงานดังกล่าวได้ หากได้รับการปล่อยตัวไป ก็ต้องไปทำงานชิ้นนั้นให้แล้วเสร็จ
ปนัสยาระบุว่า ในภาคเรียนที่ 2 ยังมีรายวิชาการวิจัย ซึ่งต้องจัดทำรายงานลักษณะธีสิส เพื่อจบการศึกษาด้วย ซึ่งมีระยะเวลาการจัดทำในช่วงเทอมหน้าตลอดทั้งเทอม ซึ่งหากจัดทำธีสิสดังกล่าวไม่ผ่าน ก็ต้องทำการลงทะเบียนใหม่อีก
ทนายความได้สอบถามปนัสยาว่า หากเสนอเงื่อนไขต่างๆ ในการปล่อยตัวชั่วคราว ได้แก่ ไม่กระทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์, ไม่เข้าร่วมกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง, ไม่เดินทางออกนอกราชอาณาจักร, ไม่ออกนอกเคหสถาน เว้นแต่ไปศึกษาเล่าเรียน ไปรักษาพยาบาล หรือไปพิจารณาคดีต่างๆ, ให้ติด EM รวมทั้งมีการตั้งผู้กำกับดูแล ปนัสยาจะสามารถรับเงื่อนไขได้หรือไม่ ปนัสยาได้ตอบรับเงื่อนไขดังกล่าวทั้งหมด
จากนั้น บุญเลิศ วิเศษปรีชา ได้เข้าเบิกความเป็นพยาน โดยแถลงว่าตนเป็นอาจารย์ในคณะปนัสยาเรียน และเป็นผู้สอนรายวิชา 1 วิชา ในเทอมนี้ที่ปนัสยาลงทะเบียนเรียน โดยเนื้อหาวิชาของคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มีการฝึกนักศึกษาให้ทำวิจัยเพื่อวิเคราะห์ปัญหาสังคม โดยเชื่อมโยงกับเนื้อหาในห้องเรียน การวัดผลการเรียนจึงไม่ใช่เพียงการวัดผลจากการสอบในห้องเท่านั้น
บุญเลิศระบุว่า อาจารย์แต่ละวิชาจะให้นักศึกษาจัดทำรายงาน ซึ่งบางวิชาต้องมีการเก็บข้อมูลภาคสนาม หรือทำการสัมภาษณ์ ทำให้แต่ละวิชาต้องให้เวลานักศึกษาจัดทำและส่งรายงาน เช่น ในวิชา “มานุษยวิทยาเมือง” ที่ตนสอน แม้จะมีวันสอบไล่ในวันที่ 14 ธ.ค. 2564 แต่ก็มีการตกลงกับนักศึกษาในห้องเรียนให้ส่งรายงานภายในวันที่ 25 ธ.ค. 2564 หรือวิชา “การวิจัยทางมานุษยวิทยาและชาติพันธุ์วรรณา” ที่ปนัสยาลงทะเบียน ผู้สอนก็ได้กำหนดเวลาการส่งรายงานภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2564 โดยอาจารย์จะขยายเวลาได้ไม่เกินวันที่ 12 ม.ค. 2565 ซึ่งต้องส่งเกรดต่อมหาวิทยาลัยต่อไป
บุญเลิศยังระบุว่า ในเทอมที่ 2 ของนักศึกษาปี 4 ยังมีวิชาการศึกษาวิจัยส่วนบุคคล หรือที่นักศึกษาเรียกกันว่าวิชาธีสิส คล้ายกับการทำวิทยานิพนธ์ในระดับปริญญาโท แต่มีขนาดเล็กกว่า ต้องใช้เวลาทำตลอดภาคการศึกษาที่ 2 ซึ่งหากนักศึกษาไม่ผ่านวิชานี้ ก็จะไม่สามารถจบการศึกษาได้
บุญเลิศแถลงต่อศาลว่า ตนยินดีเป็นผู้กำกับดูแลปนัสยาให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาล โดยก่อนหน้านี้ปนัสยาก็ให้ความร่วมมือด้วยดีมาตลอด
จากนั้นบิดาของปนัสยาได้เข้าเบิกความเป็นพยานปากที่ 3 โดยยืนยันว่าทางครอบครัวพร้อมที่จะเป็นผู้กำกับดูแลให้ปนัสยาปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ หากศาลกำหนดเพื่อให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยจะพยายามเฝ้าดูลูกต่อไป หลังได้รับการประกันตัวเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ปนัสยาก็ไม่ได้กล่าวปราศรัยพาดพิงสถาบันฯ เพียงแต่ได้ไปร่วมกิจกรรมในประเด็นอื่นๆ เช่น เรียกร้องให้คนเท่ากัน หรือเรื่องความหลากหลายทางเพศ
นอกจากน้้นบิดาของปนัสยายังแถลงว่า ปนัสยายังต้องดูแลแมว และหนูแฮมสเตอร์ที่อยู่ที่บ้านด้วย
การไต่สวนพยานทั้งสามปาก เสร็จสิ้นเวลา 14.45 น. โดยศาลได้ระบุหลังการไต่สวน ว่าจะไปหารือในที่ประชุมของผู้บริหารศาลอาญา และหากไม่มีเหตุขัดข้อง จะสามารถอ่านคำสั่งได้ภายในวันนี้
หลังรอคอยราว 1 ชั่วโมงครึ่ง เวลา 16.20 น. ศาลได้อ่านคำสั่งให้ปนัสยาและพยานทั้งหมดฟัง โดยศาลสั่งในลักษณะเดียวกันในทั้งสองคดีที่ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว
ศาลอาญาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าศาลนี้มีคำสั่งให้ยกเลิกการปล่อยตัวชั่วคราวและขังจำเลยไว้ เนื่องจากเกรงว่าจำเลยจะก่อเหตุร้ายประการอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 108/1 (3) อย่างไรก็ดี การพิจารณาคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวเป็นการใช้อำนาจของรัฐเพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งศาลจะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายจากการก่อเหตุร้ายกับสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหา โดยไม่จำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ดังนั้น การที่จำเลยมีภาระในเรื่องการเรียนที่จะต้องเสียหายจากการคุมขัง จึงเป็นเหตุที่สามารถได้รับการพิจารณา เมื่อคำนึงถึงความเสียหายที่จำเลยอาจก่อขึ้นอีกนั้น อาจจำกัดควบคุมได้โดยการที่จำเลยยินยอมและตั้งใจปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ ของศาลที่เข้มงวดยิ่งขึ้นและด้วยการกำหนดเงื่อนไข เงื่อนเวลา และมาตรการกำกับดูแลที่เหมาะสม
ที่ประชุมผู้บริหารศาลอาญาพิจารณาแล้ว จึงเห็นควรอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยอย่างจำกัด โดยให้มีผลเฉพาะตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 12 ม.ค. 2565 กำหนดเงื่อนไข
1. ห้ามจำเลยทำกิจกรรมหรือก่อเหตุที่กระทบกระเทือนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
2. ห้ามจำเลยเข้าร่วมชุมนุมที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
3. ห้ามจำเลยออกนอกเคหสถานตลอดเวลา เว้นแต่มีเหตุจำเป็นเพื่อการรักษาพยาบาล ไปเรียนไปสอบ ไปติดต่อราชการที่ศาลอื่น หรือมีเหตุอื่นโดยได้รับอนุญาตจากศาล
4. ห้ามจำเลยออกนอกราชอาณาจักร
5. ให้ติดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (EM)
ศาลได้สั่งให้ ผศ.ดร.บุญเลิศ วิเศษปรีชา เป็นผู้กำกับดูแลให้จำเลยปฏิบัติตามคำสั่งศาล โดยหากผิดสัญญาประกัน ให้ปรับเป็นเงิน 90,000 บาท โดยไม่เรียกหลักประกัน ลงนามโดยมุขเมธิน กลั่นนุรักษ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าแผนกคดีค้ามนุษย์
หลังคำสั่งของศาลดังกล่าว ปนัสยาจะยังไม่ได้รับการปล่อยตัว เนื่องจากยังมีหมายขังในอีก 2 คดี ได้แก่ คดี #แต่งครอปท็อปเดินห้างสยามพารากอน ของศาลอาญากรุงเทพใต้ และคดีชุมนุม #อยุธยาจะไม่ทนอีกต่อไป ที่ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทั้งนี้ ปนัสยาถูกคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลางมาตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. 2564 รวมระยะเวลา 16 วันแล้ว
ในส่วนภาณุพงศ์ ศาลมีคำสั่งให้ปล่อยตัวชั่วคราวเพียงคดีชุมนุมเยาวชนปลดแอกคดีเดียว ตีราคาประกัน 35,000 บาท ส่วนอีก 3 คดี รวมทั้งคดีนี้มีคำสั่งให้ยกคำร้อง โดยระบุเหตุผลเหมือนกันว่า “ที่ประชุมผู้บริหารศาลอาญาพิจารณาแล้ว เห็นว่าคำร้องของผู้ร้อง ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมที่ศาลได้เคยสั่งไว้ จึงมีมติให้ยกคำร้อง”
(อ้างอิง: คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวและคำสั่ง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ. 2887/2564 ลงวันที่ 30 พ.ย. 2564, https://tlhr2014.com/archives/38433 และ https://tlhr2014.com/archives/38421) -
วันที่: 02-12-2021นัด: ยื่นประกันอานนท์, พริษฐ์, ภาณุพงศ์ทนายความเข้ายื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวอานนท์ พริษฐ์ และภาณุพงศ์ ในคดีนี้และทุกคดีของศาลอาญาที่มีหมายขัง รวมถึงยื่นประกันจตุภัทร์ด้วย
ต่อมา พริษฐ์ ปิยะนราธร รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา มีคำสั่งเหมือนกันในทุกคำร้อง นัดไต่สวนคำร้องขอปล่อยชั่วคราวในวันที่ 17 ธ.ค. 2564 เวลา 10.00 น. โดยให้เบิกจำเลยไต่สวนทางวีดีโอคอนเฟอเรนซ์
(อ้างอิง: คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวและคำสั่ง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ. 2887/2564 ลงวันที่ 2 ธ.ค. 2564) -
วันที่: 17-12-2021นัด: ไต่สวนคำร้องขอประกันที่ศาลอาญา รัชดาฯ มีนัดไต่สวนคําร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว 4 แกนนำราษฎร ได้แก่ พริษฐ์, อานนท์, ภาณุพงศ์ และจตุภัทร์ ซึ่งถูกขังตามหมายขังระหว่างพิจารณาในคดีชุมนุมต่างๆ และทนายยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้าวันนัด ทนายความได้ยื่นคำร้องขอให้เบิกตัวทั้ง 4 คน มาไต่สวนที่ศาล
บรรยากาศในศาลอาญาช่วงเช้ามีการตั้งจุดคัดกรอง วัดอุณหภูมิ และมีบัตรชั่วคราวสำหรับบุคคลที่จะเข้าร่วมฟังการไต่สวน ส่วนที่ห้องพิจารณา 704 เจ้าหน้าที่ศาลไม่ได้เก็บเครื่องมือสื่อสารเหมือนที่ผ่านมา ทั้งยังให้ทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับคดีเข้าร่วมฟังการไต่สวนครั้งนี้ได้ โดยมีผู้สังเกตการณ์จากโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw), แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล และศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเข้าร่วมสังเกตการณ์
เวลา 09.50 น.เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ราว 8 นาย คุมตัวนักกิจกรรมทั้งสี่ในชุดผู้ต้องขังสีน้ำตาลอ่อน สวมหน้ากากอนามัยเข้าห้องพิจารณา ครอบครัวและประชาชนที่มาให้กำลังใจต่างทยอยเข้าไปสวมกอดและทักทาย ในช่วงเวลาที่การพิจารณาคดียังไม่เริ่ม
++“เพนกวิน” แถลงอยู่ในคุกเรียนลำบาก ต้องค้นคว้าทำรายงาน หากไม่ส่งอาจไม่จบ พร้อมยินดีรับเงื่อนไขเดียวกับรุ้ง++
เวลา 10.45 น. ศาลออกนั่งพิจารณาคดี โดยเริ่มไต่สวนคำร้องขอประกันพริษฐ์เป็นอันดับแรก พริษฐ์เบิกความต่อศาลว่า ปัจจุบันตนอายุ 23 ปี เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สำหรับทุกคดีที่อยู่ในชั้นศาลนั้น ตนได้ให้การปฏิเสธและต่อสู้คดี ซึ่งทุกคดียังไม่มีการตัดสิน
ส่วนเรื่องสุขภาพขณะที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ตนเคยติดเชื้อโควิด-19 มาแล้วครั้งหนึ่ง จากนั้นป่วยมาโดยตลอด ทั้งยังมีโรคประจำตัวเป็นหอบหืดและภูมิแพ้ โดยตนถูกคุมขังมานานกว่า 4-5 เดือนแล้ว และปัจจุบันยังไม่ได้รับวัคซีนต้านโควิด-19 แต่อย่างใด
ด้านคดี #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ตนถูกเพิกถอนประกันโดยไม่มีการไต่สวนในวันที่ 9 ส.ค. 2564 เนื่องจากขณะนั้นตนอยู่ในห้องพิจารณาคดีที่ศาลจังหวัดธัญบุรี ขณะถูกฝากขังในคดี #ม็อบ2สิงหา เรียกร้องให้ปล่อยตัวกลุ่มทะลุฟ้าที่หน้า บก.ตชด.ภาค 1
สำหรับเหตุผลที่มีการยื่นขอประกันต่อศาลในครั้งนี้ เนื่องจากปัจจุบันเป็นนักศึกษาปีที่ 4 คณะรัฐศาสตร์ ซึ่งการส่งเอกสารการเรียนต่างๆ ออกมาจากเรือนจำทำได้อย่างยากลำบาก และช่วงนี้อยู่ในช่วงสอบปลายภาค อีกทั้งยังมีรายงานที่ต้องเก็บข้อมูลและทำการค้นคว้า แต่ตนไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ รวมไปถึงต้นปี 2565 ตนต้องลงทะเบียนเรียนภาคการศึกษาใหม่ ซึ่งการอยู่ในเรือนจำจะไม่สามารถจัดตารางเรียน และลงทะเบียนเรียนได้ และหากไม่ลงเรียนก็จะไม่จบตามหลักสูตร
พริษฐ์แถลงอีกว่า หากศาลจะอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ตนยินดีจะปฎิบัติตามเงื่อนไขเดียวกันกับที่ “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล เคยได้รับการปล่อยตัวเมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา พร้อมทั้งย้ำว่า เพื่อให้ศาลมั่นใจว่าตนจะปฎิบัติตามเงื่อนไขของศาล จะขอให้ศาลตั้ง รศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ ซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์ที่ตนเรียนอยู่ด้วย เป็นผู้กำกับดูแล
ด้านอัยการโจทก์ถามค้านพริษฐ์ว่า จำได้หรือไม่ว่าหลังจากได้รับการปล่อยตัวถูกกล่าวหาอีกกี่คดี ด้านพริษฐ์ตอบว่า ไม่แน่ใจ จำไม่ได้ ก่อนถูกถามต่อว่า ทราบถึงเหตุผลที่ถูกถอนประกันในคดี #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร หรือไม่ พริษฐ์ตอบว่า ไม่ทราบเนื่องจากไม่ได้มีการไต่สวน
ด้านทนายถามติงว่า หากมีการไต่สวนคำร้องที่ขอเพิกถอนประกัน จำเลยจะอธิบายพฤติการณ์ที่โจทก์อ้างมาเป็นเหตุในการถอนประกันว่าอย่างไร พริษฐ์ระบุว่า จะอธิบายต่อศาลว่า สถาบันกษัตริย์ไม่สามารถเสื่อมเสียเพียงเพราะคำพูดของตนได้ ส่วนคดีที่ถูกฟ้องเข้ามาใหม่นั้น เป็นคดีเก่าที่เกิดขึ้นก่อนการปล่อยตัวชั่วคราว
จากนั้นศาลได้ถามพริษฐ์ว่า มีคดีละเมิดอำนาจศาลกี่ครั้ง ด้านพริษฐ์ตอบศาลว่า มี 2 ครั้ง คือ ที่ศาลาอาญา รัชดา และศาลจังหวัดธัญบุรี โดยคดีดังกล่าวศาลได้พิพากษาสั่งขัง 10 วันแล้ว
ต่อมาเวลา 11.10 น. รศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ เข้าเบิกความว่า ตนรู้จักกับพริษฐ์ เนื่องจากจำเลยเป็นนักศึกษาในสาขาวิชาการเมืองและการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยปัจจุบันจำเลยลงเรียนวิชาการเมืองเปรียบเทียบที่ตนเป็นผู้สอนด้วย
จำเลยเป็นเด็กเรียนเก่ง สอบได้คะแนนสูง เกรดเฉลี่ยปัจจุบันยังอยู่ในขอบข่ายที่ได้รับเกียรตินิยม ตอนนี้เป็นช่วงการสอบเก็บคะแนน โดยจำเลยต้องทำงานเก็บคะแนน และต้องทำรายงานด้วย หากศาลให้ประกันยังมีเวลาพอที่พริษฐ์จะไปทำงาน ซึ่งมีกำหนดส่งวันที่ 12 ม.ค. 2565 ได้ และหากศาลตั้งตนเป็นผู้กำกับดูแล ตนก็ยินดี
++“อานนท์ นำภา” ชี้ ติดคุกว่าความไม่ได้ ศาลยังคงไม่ได้ประกันตัวคดีอื่น แม้ศาลเคยยกคำร้องขอถอนประกันมาแล้ว++
เวลา 11.20 น. อานนท์ นำภา เข้าเบิกความว่า ตนจบเนติบัณฑิตรุ่น 62 ประกอบอาชีพทนายความมา 13 ปี ในคดีนี้ตนถูกขังมาตั้งแต่วันที่ 9 ส.ค. 2564 จนถึงปัจจุบัน ระหว่างถูกคุมขังครั้งก่อน ตนได้ติดโควิดในเรือนจำเมื่อช่วงกลางปี และปัจจุบันยังมีอาการ Long COVID (อาการที่หลงเหลือหลังติดเชื้อโควิด-19) ทำให้เหนื่อยง่าย
กอปรกับการที่ตนประกอบอาชีพทนาย การทำหน้าที่ว่าความในคดีต่างๆ ทำได้ลำบาก เนื่องจากถูกคุมขังอยู่ หลายคดีต้องเลื่อนการพิจารณา ทั้งที่เดิมในคดี #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ที่ตนเป็นจำเลย ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ต่อมามีพนักงานอัยการและพนักงานสอบสวนมายื่นคำร้องขอเพิกถอนประกัน เนื่องจากเห็นว่าผิดเงื่อนไข ที่ตนเข้าร่วมชุมนุมทำให้สถาบันกษัตริย์เสื่อมเสีย ก่อนศาลสั่งให้มีการไต่สวนและยกคำร้องโจทก์ไป โดยวินิจฉัยว่าตนไม่ได้กระทำผิดเงื่อนไข
เหตุที่ตนไม่ได้ประกัน หลังยื่นขอประกันหลายครั้ง เนื่องจากศาลให้เหตุผลว่าจะไปกระทำความผิดซ้ำ หากแต่ก่อนหน้านั้น ศาลได้วินิจฉัยแล้วว่า การกระทำที่ถูกร้องให้เพิกถอนประกันนั้นไม่ได้เป็นการกระทำผิดเงื่อนไข
สำหรับคดีที่ถูกฟ้องใหม่ เป็นคดีที่เกิดขึ้นก่อนการไต่สวนถอนประกัน และหลังจากที่ไต่สวนเสร็จแล้ว ตนถูกเพิ่มเงื่อนไขอีก 2 ข้อ คือ ห้ามออกจากเคหสถาน 24 ชั่วโมง และให้ติดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (EM) แต่ยังไม่ได้ปฎิบัติตาม เนื่องจากถูกขังตามหมายขังคดีอื่นๆ
ก่อนศาลถามว่า เคยถูกไต่สวนในคดีละเมิดอำนาจศาลไหม อานนท์ตอบไม่เคย
++“ไมค์ ภาณุพงศ์” ชี้ถูกถอนประกันถึง 2 ครั้ง แต่ศาลยกคำร้อง – ศาลอาญากรุงเทพใต้ ให้ประกันคดี 112 แล้ว++
เวลา 14.30 น. ภาณุพงศ์เข้าเบิกความว่า ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ชั้นปีที่ 3 ตนเป็นหัวหน้าครอบครัว ต้องหาเลี้ยงแม่และพี่สาว โดยประกอบธุรกิจขายของออนไลน์ทุเรียนทอด ตนถูกคุมขังมาตั้งแต่วันที่ 23 ก.ย. 2564 รวมเวลาประมาณ 3 เดือน
ตนเคยถูกพิพากษาในคดีละเมิดอำนาจศาลของศาลธัญบุรี หลังรับสารภาพ โดยเหตุที่ต้องทำเช่นนั้นเนื่องจากวันดังกล่าว ตนถูกควบคุมตัวโดย คฝ.พยายามจะมาลากเพื่อนของตนไป พวกตนจึงต้องป้องกันตัว โดยศาลได้ลงโทษกักขัง 10 วัน
ทนายจำเลยถามว่า ในระหว่างที่ถูกคุมขังมีปัญหาสุขภาพอย่างไรบ้าง ภาณุพงศ์ตอบว่า ติดโรคโควิด-19 ถึง 2 ครั้ง ส่งผลให้ตอนนี้มีอาการหอบ และโรคภูมิแพ้ที่เป็นโรคประจำตัวเดิมมีอาการหนักขึ้น ต้องกินยาทุกวัน เนื่องจากต้องอยู่ในสถานที่ที่จำกัด และจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้รับวัคซีน
ภาณุพงศ์เบิกความอีกว่า ในคดีการชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ตนได้ถูกร้องให้เพิกถอนการประกันตัว แต่หลังจากไต่สวนแล้วศาลมีคำสั่งไม่ถอนประกัน เพียงแต่กำหนดเงื่อนไขเพิ่ม เนื่องจากที่ผ่านมาตนปฏิบัติตามเงื่อนไข ทั้งนี้ ตนเคยถูกร้องให้ศาลเพิกถอนประกันแล้ว 2 ครั้ง แต่ศาลไม่เคยมีคำสั่งให้ถอนประกัน นอกจากนี้ คดีมาตรา 112 อีก 2 คดีของศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลก็อนุญาตให้ประกัน รวมถึงคดีที่อยู่ในศาลนี้ ศาลก็ได้ให้ประกันเช่นเดียวกัน โดยกำหนดเงื่อนไขให้อยู่ในเคหสถานตลอดเวลาเว้นแต่มีเหตุจำเป็น และให้ติด EM ในคดีนี้ตนก็สามารถยอมรับเงื่อนไขข้างต้นได้เช่นเดียวกัน
ทนายจำเลยถามว่า ถ้าหากศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวแล้วจะทำอะไรต่อไป ภาณุพงศ์กล่าวว่า จะกลับไปเรียนและประกอบอาชีพตามเดิม
++อนุญาตอัยการยื่นคำคัดค้าน ก่อนนัดฟังคำสั่ง 24 ธ.ค.++
เวลา 14.45 น. ภายหลังศาลไต่สวนจำเลยทั้ง 4 คนพร้อมทั้งพยานแล้ว ได้กล่าวกับจำเลยว่า จะต้องนำข้อเท็จจริงจากการไต่สวนไปพิจารณาในที่ประชุมของศาล เนื่องจากไม่อยากให้การสั่งปล่อยหรือไม่ปล่อยเป็นการสั่งโดยผู้พิพากษาคนเดียว พร้อมทั้งย้ำว่า อย่าเข้าใจว่าการให้โอกาสไต่สวนในครั้งนี้จะเป็นเหตุให้ปล่อยตัวได้ทันที การอ้างว่าจะต้องกลับไปเรียนหรือกลับไปทำงานไม่ใช่เหตุที่จะนำไปสู่การปล่อยตัว ไม่เช่นนั้นทุกคนที่ถูกขังอยู่ก็คงอ้างได้
นอกจากนี้ศาลยังกล่าวด้วยว่า ไม่ใช่ว่าจำเลยแถลงยอมรับเงื่อนไขแล้วศาลจะต้องปล่อยตัวเท่านั้น การเสนอเงื่อนไขไม่ใช่เหตุปล่อยตัวอย่างเดียว ศาลจะต้องพิจารณาที่การกระทำ ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่าควรให้ปล่อย จึงจะอนุญาตปล่อยชั่วคราว ไม่ว่าจะสั่งอย่างไร สังคมก็จะมีคำวิพากษ์วิจารณ์ต่อคำสั่งนั้น ศาลจึงต้องให้โอกาสในการเรียกมาไต่สวน
จากนั้นศาลได้ถามพนักงานอัยการฝ่ายโจทก์ว่า จะคัดค้านคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวหรือไม่ ก่อนกล่าวว่าอันที่จริงอัยการได้แถลงคัดค้านไว้แล้วก่อนจะมีการไต่สวน อัยการแถลงว่า จะต้องคัดค้านเนื่องจากคดีทั้งหมดเป็นคดีที่มีโทษสูง หากปล่อยตัวเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี
ต่อมา คณะพนักงานอัยการราว 15 คน ได้ปรึกษากันอีกครั้ง ก่อนจะแถลงว่าไม่สามารถแถลงคัดค้านภายในวันนี้ได้ เนื่องจากจำเลยแต่ละคนมีหลายคดี จึงขอทำคำแถลงเป็นเอกสารมายื่นภายในสัปดาห์หน้าซึ่งอาจจะเป็นวันพุธที่ 22 ธ.ค. 2564
อานนท์ได้ขอแถลงต่อศาลว่า ตนรู้สึกว่าขั้นตอนการไต่สวนค่อนข้างแปลก เนื่องจากเปิดให้มีการไต่สวนแล้ว ยังจะเปิดให้มีการแถลงคัดค้านหลังเสร็จสิ้นการไต่สวนอีก ซึ่งตนกังวลว่าหากอัยการทำคำแถลงมาแล้วปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงใหม่ ฝ่ายจำเลยก็จะไม่ได้โต้แย้ง จะเป็นเสมือนการตอกฝาโลงตนหรือไม่ จึงขอท้วงติงไว้
ศาลกล่าวตอบอานนท์ว่า จำเลยอย่าบังคับศาลมากเกินไป ศาลได้ย่นย่อการพิจารณาให้สั้นลงโดยไม่ได้เรียกพนักงานสอบสวนแต่ละคดีมาไต่สวน หรืออานนท์อยากจะให้มีการสืบพยานอีกซัก 2-3 นัด ซึ่งมันก็อาจจะช้าออกไปอีก อานนท์จึงกล่าวว่า การพูดอย่างนี้ก็เหมือนเอาคนที่ถูกคุมขังอยู่เป็นตัวประกัน เพราะเวลาของคนข้างนอกกับคนที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำไม่ได้เท่ากัน
หลังศาลและจำเลยโต้เถียงเหตุผลกันอยู่ราวครึ่งชั่วโมง ศาลจึงกล่าวสรุปว่า เพื่อให้เกิดความยุติธรรม ต้องให้โอกาสทั้งสองฝ่ายเต็มที่ โดยโจทก์ได้ยืนยันว่าจะไม่มีข้อเท็จจริงใหม่ การทำหนังสือคัดค้านเป็นเพียงการคัดค้านตามปกติ ส่วนฝ่ายจำเลยก็สามารถทำคำแถลงคล้ายกับการทำคำแถลงปิดคดีได้เช่นกันหากประสงค์จะทำ
ให้พนักงานอัยการยื่นคำคัดค้านคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวเป็นหนังสือภายในวันที่ 23 ธ.ค. 2564 และนัดฟังคำสั่งว่าศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวหรือไม่ในวันที่ 24 ธันวาคม 2564 ในเวลา 13.00 น.
(อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/38980) -
วันที่: 24-12-2021นัด: ฟังคำสั่งเวลา 13.30 น. ศาลได้เบิกตัวอานนท์, พริษฐ์ และภาณุพงศ์ รวมทั้งจตุภัทร์ ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยพนักงานอัยการเจ้าของสำนวนคดีไม่ได้เดินทางมาฟังคำสั่งด้วยแต่อย่างใด
เวลา 14.10 น. พริษฐ์ ปิยะนราธร รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา อ่านคำสั่งไม่ให้ประกันทั้งหมด กรณีของ “เพนกวิน” ระบุเหตุผลว่า
“พิเคราะห์แล้ว ที่ประชุมผู้บริหารศาลอาญาเห็นว่าข้อเท็จจริงในการไต่สวนได้ความว่า หลังจากพริษฐ์ ชิวารักษ์ ได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในคดีนี้ จำเลยได้กระทำการฝ่าฝืนเงื่อนไขที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตปล่อยชั่วคราว โดยศาลเคยตักเตือนจำเลยและกำชับจำเลยผ่านผู้กำกับดูแลมาแล้วหลายครั้ง จนเป็นเหตุให้ศาลเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลย อีกทั้งจำเลยมีพฤติการณ์กระทำการซ้ำในทำนองเดียวกันกับการกระทำอันเป็นมูลเหตุที่ถูกกล่าวหาหรือฟ้องร้องหลายคดี
เมื่อพิเคราะห์ถึงลักษณะและพฤติการณ์ของจำเลยในการแสดงออกหรือร่วมทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายอย่างมาก มีความรุนแรงตลอดมา กรณีมีเหตุอันควรเชื่อว่าหากอนุญาตปล่อยชั่วคราว จำเลยจะไปกระทำการในทำนองเดียวกันกับที่ถูกฟ้องร้อง หรือไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น ในชั้นนี้จึงยังไม่มีข้อเท็จจริงในทางคดีที่เปลี่ยนแปลงไป ย่อมไม่มีเหตุที่ศาลจะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมที่ศาลสั่งไว้โดยชอบแล้ว ยกคำร้อง”
ด้านคำสั่งไม่ให้ประกันอานนท์ และภาณุพงษ์ ระบุเหตุผลว่า
“พิเคราะห์แล้ว ที่ประชุมผู้บริหารศาลอาญาเห็นว่า เมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์ของจำเลยในการแสดงออก ปราศรัย หรือชักนำในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ประกอบกับจำเลยถูกกล่าวหาในลักษณะเช่นนี้ที่ศาลนี้และศาลอื่นหลายคดี
กรณีมีเหตุอันควรให้เชื่อว่า หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยจะไปกระทำการในทำนองเดียวกันกับที่ถูกฟ้องร้องหรือไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น ในชั้นนี้จึงยังไม่มีข้อเท็จจริงในทางคดีที่เปลี่ยนแปลงไป ย่อมไม่มีเหตุที่ศาลจะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมที่ศาลสั่งไว้โดยชอบแล้ว ยกคำร้อง”
ศาลยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “ที่ประชุมผู้บริหารศาลอยากให้ประกันมากนะ แต่เมื่อพิจารณาถึงความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นเมื่อปล่อยตัวออกมาแล้วก็จึงมีคำสั่งแบบนี้ ขนาดนี้วันนี้ยังมีเลย” และกล่าวต่ออีกว่า “ในชั้นนี้มีคำสั่งไม่ให้ประกัน แต่ไม่ได้หมายความว่า ครั้งหน้าจะไม่ให้ประกันนะ”
++เสียงจากแม่ถึงลูก ในวันที่คงไม่ได้กลับบ้านในเทศกาลปีใหม่เช่นทุกปี++
หลังผู้พิพากษาเดินออกจากห้องพิจารณาคดีไป แม่ของภาณุพงศ์ จตุภัทร์ และอานนท์ ทยอยเดินไปที่ด้านหน้าของห้องพิจารณาเพื่อสับเปลี่ยนกันพูดคุยกับลูกของตัวเองผ่านจอวิดีโอ
แม่ของไผ่ จตุภัทร์ เดินเข้าไปพูดกับไผ่เป็นคนแรก “อดทน อดทนนะลูก อดทนๆๆๆ …” เธอพูดประโยคนี้ซ้ำๆ พลางกลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถไปพร้อมกัน แต่ท้ายที่สุดเธอก็หลั่งน้ำตาแห่งความผิดหวังออกมาจนได้
“ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ไผ่เรียนกฎหมาย ไผ่คงรู้ดี ต้องอดทนนะลูก” เธอพูดไปเอามือปาดน้ำตาที่อาบแก้มไป ก่อนจะลุกขึ้นให้แม่ของไมค์ ภาณุพงศ์ได้เข้าไปพูดต่อ
“อีก 2 วันเจอกันนะลูก เดี๋ยวแม่มาหา” แม่ของไมค์พูดอย่างใจเย็นและเบิกยิ้มกว้าง
“แม่ ผมฝากสั่งซื้อพิซซ่ากับเค้กเข้ามาให้พวกผมกินหน่อยนะ จะได้เอามาฉลองปีใหม่ด้วยกันข้างในนี้กับเพื่อนๆ” ไมค์บอกแม่ เพราะในเทศกาลปีใหม่นี้ เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้จัดรายการเมนูอาหารพิเศษเพื่อให้ญาติได้สั่งให้ผู้ต้องขังในเรือนจำได้ อาทิ กุ้งเผาครึ่งกิโล เป็ดพะโล้ทั้งตัว สเต๊กหมู รวมถึงเมนูพิเศษที่ไมค์ร้องขออย่างพิซซ่าและเค้กช็อกโกแลต ราคาอย่างละ 300 บาทอีกด้วย
“มันติดวันเสาร์-อาทิตย์นะลูก จะฝากเข้าไปให้ได้เหรอ” อานนท์สวนทันควันว่า “เอากับข้าวอะไรก็ได้ที่อร่อยๆ ครับแม่” “ได้เลย เดี๋ยวแม่จัดการให้ จะหาของอร่อยๆ ให้นะ” แม่ไมค์บอกกับทุกคน
“เมอร์รี่คริตมาสต์นะทุกคน…” แม่ไมค์พูดทิ้งท้ายก่อนลุกเปลี่ยนให้แม่ของอานนท์มานั่งพูดต่อ
แม่ของอานนท์พูดเป็นภาษาอีสานใจความว่า “คิดถึงลูกนะ ขอให้เข้มแข็ง”
ทั้งนี้ ในวันเดียวกัน กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม และกลุ่มทะลุฟ้า ได้จัดกิจกรรมจับตาผลการให้ประกันตัวนักกิจกรรมทั้ง 4 ราย โดยได้นัดหมายมวลชนไปรวมตัวกันบริเวณหน้าศาลอาญาเพื่อรอรับเพื่อนกลับบ้านตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป และจัดกิจกรรม “เดิน หยุด ขัง” โดยนัดหมายประชาชนให้เริ่มต้นเดินตั้งแต่ห้างสรรพสินค้ายูเนี่ยนมอล์ในเวลา 11.00 น. เพื่อเดินไปจนถึงศาลอาญา รัชดาฯ
ภายหลังมวลชนเดินทางมาถึงหน้าศาลอาญาในเวลาประมาณ 13.30 น. และต่อมาทราบว่าศาลมีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวนักกิจกรรมทั้ง 4 ราย กลุ่มมวลชนได้จัดกิจกรรมพูดปราศรัยเกี่ยวกับการไม่ทำหน้าที่อย่างเที่ยงตรงของศาลและสถาบันตุลาการ รวมไปถึงมีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เช่น เผาชุดครุยผู้พิพากษา เผาหนังสือประมวลกฎหมายอาญา และขีดเขียนพ่นสีสเปรย์ที่ป้ายของศาลอาญา เพื่อแสดงความไว้อาลัยแก่กระบวนการยุติธรรมไทย
(อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/39156) -
วันที่: 10-01-2022นัด: ยื่นประกันปนัสยา (ต่อ)ทนายความยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวปนัสยา ซึ่งมีกำหนดอนุญาตจนถึงวันที่ 12 ม.ค. 2565 โดยศาลมีคำสั่งให้นัดพร้อมเพื่อฟังคำสั่งต่อคำร้องดังกล่าวในวันที่ 13 ม.ค. 2565 เวลา 13.30 น.
คำร้องดังกล่าวระบุว่าจำเลย ซึ่งเป็นนักศึกษาคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ลงทะเบียนเรียนในภาคการศึกษาที่ 2/2564 จำนวน 6 วิชา โดยแต่ละวิชาจำเป็นต้องเข้าเรียน เข้าสอบ และจัดทำรายการส่งตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด
ทั้งมีรายวิชาการวิจัยรายบุคคล ที่ต้องเก็บข้อมูลภาคสนาม ต้องค้นคว้าข้อมูลจากห้องสมุดและแหล่งการเรียนรู้อื่นๆ รวมถึงพบอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นระยะ หากจำเลยไม่สามารถทำการศึกษาวิจัยตามกระบวนการ และไม่ผ่านรายวิชาดังกล่าวซึ่งเป็นวิชาบังคับของหลักสูตร จะไม่สามารถจบการศึกษาตามหลักสูตรได้ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิทธิทางการศึกษา และอนาคตของจำเลย
อีกทั้ง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จำเลยได้พิสูจน์ตนด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโดยเคร่งครัด ไม่เคยกระทำการใดๆ ที่สุ่มเสี่ยงจะผิดเงื่อนไขแต่อย่างใด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจำเลยจะไม่ได้ไปก่อเหตุภยันตรายประการอื่นแต่อย่างใด
คำร้องได้ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลย โดยไม่มีกำหนดระยะเวลา หรือจนกว่าคดีจะถึงที่สุด โดยจำเลยยินยอมปฏิบัติตามคำสั่งและเงื่อนไขของศาลเช่นเดิมทุกประการ
(อ้างอิง: คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.2887/2564 ลงวันที่ 10 ม.ค. 2565) -
วันที่: 13-01-2022นัด: ฟังคำสั่งเวลา 11.00 น. อรรถการ ฟูเจริญ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา มีคำสั่งให้ปล่อยตัวชั่วคราวปนัสยาโดยระบุว่า หลังครบกำหนดเวลาคำสั่งให้ประกันตัว ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ละเมิดเงื่อนไขและข้อห้ามที่ศาลกําหนด ซึ่งน่าเชื่อถือว่าจําเลยจะไม่หลบหนีหรือจะไปก่อภยันอันตรายอื่นในช่วงเวลานี้แต่อย่างใด
ประกอบกับจําเลยมีความตั้งใจที่จะเรียนให้สําเร็จการศึกษาตามหลักสูตร จึงเห็นควรอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจําเลยในระยะเวลาจํากัดต่อไป นับแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 16 มิ.ย. 2565 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในการส่งเกรดของภาคการศึกษานี้ โดยศาลกำหนดประกันในวงเงินคดีละ 200,000 บาท พร้อมคงเงื่อนไขเดิม แต่ให้ยกเลิกเงื่อนไขที่ให้ติด EM และห้ามออกนอกเคหสถานตลอดเวลา แต่ได้เพิ่มรายละเอียดในเงื่อนไข ห้ามทํากิจกรรมหรือกระทำการใดๆ ที่อาจกระทบกระเทือนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และศาลในทุกด้าน
ศาลยังได้กำหนดให้จำเลยมารายงานตัวต่อศาลทุก 30 วัน ในระหว่างการปล่อยตัวชั่วคราวอันจำกัดนี้ และให้จำเลยมารายงานตัวและส่งตัวต่อศาลในวันที่ 16 มิ.ย. 2565 เวลา 10.00 น.
(อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณาและคำสั่ง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.2887/2564 ลงวันที่ 13 ม.ค. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/39550) -
วันที่: 31-01-2022นัด: ตรวจพยานหลักฐานผู้รับมอบฉันทะแถลงขอเลื่อนคดี เนื่องจากจำเลยที่ 3 ชินวัตร จันทร์กระจ่าง มีนัดฟังคำพิพากษาศาลแขวงธนบุรี ประกอบกับทนายที่จำเลยที่ 3 จะแต่งทนายเพื่อต่อสู้คดีนี้มีนัดที่ศาลแขวงขอนแก่นจึงไม่สามารถมาในวันนี้ได้ จึงเลื่อนนัดตรวจพยานออกไปสักนัด โจทก์ไม่ค้าน
ศาลอนุญาตเลื่อนนัดตรวจพยานออกไปเป็นวันที่ 21 ก.พ. 2565 เวลา 13.30 น. ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์แก่การพิจารณาและตรวจพยานหลักฐานเพื่อเป็นแนวทางในการนําสืบพยาน ศาลให้โจทก์ไปดําเนินการจัดกลุ่มพยานที่จะเบิกความต่อศาลและให้ปรากฏรายละเอียดของพยานแต่ละปากว่าจะเบิกความเกี่ยวกับเรื่องใด ส่วนจําเลยทั้งเจ็ดให้ทนายความไปดําเนินการจัดทําแถลงแนวทางการต่อสู้คดีเสนอศาลในนัดหน้า
(อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ. 2887/2564 ลงวันที่ 31 ม.ค. 2565) -
วันที่: 09-02-2022นัด: ยื่นประกันภาณุพงศ์ทนายความเข้ายื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวภาณุพงศ์ในทุกคดีที่มีหมายขังของศาลอาญา รวม 4 คดี ได้แก่ คดีนี้, คดีชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร เมื่อวันที่ 19-20 ก.ย. 2563, คดี #ม็อบ25พฤศจิกาไปscb เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2563 และคดีชุมนุมสาดสี-ปาไข่ หน้า ม.พัน 4 รอ. เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2563
ในคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวของภาณุพงศ์ ระบุเหตุผลว่า จําเลยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคําแหง ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการศึกษาตามโครงสร้างหลักสูตรซึ่งมหาวิทยาลัยกําหนด จึงมีหน้าที่จะต้องเข้าเรียน จัดทํารายงานต่างๆ และเข้าสอบไล่ให้ครบตามกําหนดหลักสูตรของมหาวิทยาลัย การขังจําเลยไว้ต่อไปย่อมส่งผลกระทบต่อการศึกษา
ยิ่งไปกว่านั้น ครอบครัวของจําเลยขณะนี้กําลังประสบปัญหาทางธุรกิจ ซึ่งเป็นกิจการทุเรียนทอดที่จําเลยทําร่วมกับครอบครัว โดยจําเลยเป็นผู้บริหารจัดการหลัก ประกอบกับมารดาของจําเลยมีปัญหาสุขภาพไม่สามารถบริหารจัดการกิจการ จําเลยจึงจำเป็นต้องออกมาช่วยเหรือครอบครัวเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ทั้งนี้ จำเลยถูกขังตามหมายขังของศาลนี้มาเป็นระยะเวลายาวนาน ได้รับความยากลำบากในการใช้ชีวิตโดยปราศจากอิสรภาพเป็นอย่างมาก จึงตระหนักว่าจำเลยจะระมัดระวังไม่กระทำการใดให้ถูกฟ้องเป็นคดีขึ้นอีก
พร้อมกันนี้ จำเลยขอเสนอเงื่อนไขว่า หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว จำเลยจะไม่กระทำการใดอันจะทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และไม่เข้าร่วมกิจกรรมใดที่อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง จำเลยยินยอมอยู่ในเคหสถานตามระยะเวลาที่ศาลกำหนดเว้นแต่มีเหตุจำเป็น เช่น เพื่อการรักษาพยาบาล การศึกษา ไปติดต่อราชการที่สถานีตำรวจ สำนักงานอัยการ และศาล โดยจำเลยยินยอมติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM) และหากศาลกำหนดเงื่อนไขอื่นๆ ประการใด จำเลยยินยอมที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลทุกประการ
โดยที่กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน บัญญัติว่า “บุคคลทุกคนซึ่งต้องหาว่ากระทําผิดอาญาต้องมีสิทธิได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ตามกฎหมายได้ว่ามีความผิด”
ต่อมา 18.00 น. อรรถการ ฟูเจริญ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวภาณุพงศ์ในทุกคดี พร้อมกำหนดเงื่อนไขการประกันตัวว่า
1. ห้ามจําเลยทํากิจกรรมหรือกระทําการใดๆ ที่อาจกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และศาลในทุกด้าน รวมทั้งห้ามกระทําการใดๆ อันเป็นการขัดขวางกระบวนพิจารณาคดีของศาล
2. ห้ามจําเลยเข้าร่วมชุมนุมที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
3. ห้ามจําเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร จนกว่าศาลจะมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น
4. ห้ามจําเลยออกนอกเคหสถานในช่วงเวลา 18.00 น. ถึงเวลา 06.00 น. ของวันรุ่งขึ้น
5. ให้ติดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (EM)
ศาลยังให้ตั้งแต่งตั้งผู้กํากับดูแลทั้งสองคน ได้แก่ ผศ.ดร.บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมให้มารายงานตัวต่อศาลทุก 30 วัน ในระหว่างการปล่อยตัวชั่วคราว และให้พาตัวมาส่งต่อศาลภายในวันที่ 9 มิ.ย. 2565 นี้
ศาลยังให้วางหลักทรัพย์ประกันในคดีนี้ 100,000 บาท โดยเป็นหลักทรัพย์จากกองทุนราษฎรประสงค์
อย่างไรก็ตาม ภาณุพงศ์จะยังไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในวันนี้ เนื่องจากยังมีหมายขังของศาลอื่นอีก ในคดีมาตรา 112 กรณีชุมนุมหน้าสภ.ภูเขียว และกรณีชุมนุม #อยุธยาจะไม่ทนอีกต่อไป ที่ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งทนายความจะได้ยื่นประกันตัวในคดีทั้งหมดต่อไป
(อ้างอิง: คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวและคำสั่ง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.2887/2564 ลงวันที่ 9 ก.พ. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/40352) -
วันที่: 21-02-2022นัด: ตรวจพยานหลักฐานภาณุพงศ์, ปนัสยา, ชินวัตร และจิรฐิตา เดินทางมาศาลตามนัด ขณะอานนท์และพริษฐ์ถูกเบิกตัวจากเรือนจำ ส่วนคริษฐ์ ทนายจําเลยที่ 7 ยื่นคําร้องขอเลื่อนสอบคําให้การ และตรวจพยานหลักฐานออกไปก่อน เนื่องจากจําเลยที่ 7 สัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ โจทก์ไม่ค้าน ศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จําเลยที่ 1 - 6 ฟังต่อหน้าทนายจําเลย ทั้งหมดยืนยันให้การปฏิเสธ ตามคําให้การที่ยื่นต่อศาลในวันนี้
โจทก์แถลงว่าได้ยื่นคําแถลงเกี่ยวกับพยานตามที่ศาลสั่งแล้ว ด้านทนายจําเลยขออนุญาตจัดทําคําแถลงส่งในนัดหน้า นอกจากนี้ โจทก์ได้ยื่นคําร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องครั้งที่ 1 ทนายจําเลยแถลงว่ายังไม่ได้รับสําเนาคําร้องดังกล่าว จึงขออนุญาตแถลงต่อศาลในนัดหน้า
ศาลให้เลื่อนนัดตรวจพยานหลักฐานไป ในวันที่ 2 พ.ค. 2565 เวลา 13.30 น.
(อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.2887/2564 ลงวันที่ 21 ก.พ. 2565) -
วันที่: 22-02-2022นัด: ยื่นประกันอานนท์, พริษฐ์ทนายความยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ‘เพนกวิน’ พริษฐ์ และอานนท์ ในคดีการชุมนุมและแสดงออกทางการเมืองที่มีหมายขังทั้งหมดของศาลอาญา ในส่วนของอานนท์รวมแล้ว 9 คดี ของเพนกวิน มีการยื่นประกัน 8 คดี รวมทั้งคดีนี้ซึ่งทั้งสองคนเป็นจำเลยและยังไม่ได้รับการประกันตัวด้วย
สำหรับคดีของศาลอาญา เพนกวินและอานนท์เคยยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง และศาลเคยให้มีการไต่สวนคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2564 อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมผู้บริหารศาลอาญาก็ยังยืนกรานไม่ให้ประกัน ‘เพนกวิน-อานนท์-ไมค์-ไผ่’ ในครั้งนั้น อ้างเหตุว่า “เกรงว่าจะกระทำผิดซ้ำ”
การยื่นประกันในครั้งล่าสุดนี้ ทั้งสองได้ระบุในคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวในทุกคดีของทุกศาลเช่นเดียวกับครั้งที่ผ่านมาว่า จะไม่กระทําการใดๆ ให้สถาบันกษัตริย์เกิดความเสื่อมเสีย ไม่ทํากิจกรรมใดที่จะทําให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย ไม่เดินทางออกนอกประเทศ และพร้อมที่จะเดินทางมาศาลตามที่มีการนัดหมายทุกครั้ง รวมถึงยินยอมติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM) ทั้งยังมีคำร้องเพิ่มเติมเข้ามาว่า
1. นับจนถึงวันนี้จําเลยถูกคุมขังไว้ในระหว่างการพิจารณาคดีเกินกว่า 6 เดือนแล้ว ซึ่งในคดีนี้พยานโจทก์และพยานจําเลยมีจํานวนมาก ยังไม่อาจกําหนดได้ว่าจะสามารถพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นเสร็จสิ้นเมื่อใด และยังไม่ปรากฏพยานหลักฐานใด ๆ ในการสืบพยานโจทก์ที่ผ่านมาให้เห็นถึงความผิดของจําเลย
2. ในคดีหมายเลขดําที่ อ.287/2564 ของศาลอาญา (คดี 19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร) ซึ่งมีจําเลยคนอื่น ๆ ถูกกล่าวหาว่ากระทําความผิดร่วมกันกับจําเลยทั้งสองนี้ ศาลก็ได้มีคําสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจําเลยในคดีนี้จํานวนหลายคน เช่น ปนัสยา หรือรุ้ง สิทธิจิรวัฒนกุล, จตุภัทร์ หรือไผ่ ดาวดิน บุญภัทรรักษา, ภาณุพงศ์ หรือไมค์ จาดนอก โดยศาลได้กําหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ให้จําเลยปฏิบัติตาม ก็ปรากฏว่าจําเลยเหล่านั้นได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลได้เคร่งครัดทุกประการ และไม่ได้ผิดเงื่อนไขของศาลเลย ซึ่งจําเลยทั้งสองก็ขอยืนยันว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขต่าง ๆ เหมือนดังเช่นจําเลยคนอื่นที่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวไปก่อนหน้านี้
เวลา 16.30 น. พลีส เทอดไทย ผู้พิพากษาหัวหน้าแผนกคดียาเสพติดของศาลอาญา มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวอานนท์และเพนกวินในทุกคดี ระบุในคำสั่งว่า พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีโดยรวมแล้ว กรณีเห็นควรให้โอกาสจําเลยได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เสนอต่อศาลสักช่วงระยะเวลาหนึ่ง อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างพิจารณามีกําหนดเวลา 3 เดือน (ครบกําหนดวันที่ 22 พ.ค. 2565) กําหนดเงื่อนไข
1. ห้ามทํากิจกรรมหรือกระทําการใด ๆ อันจะทําให้เกิดความเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และศาลในทุกด้าน รวมทั้งห้ามกระทําการใด ๆ อันเป็นการขัดขวางกระบวนพิจารณาคดีของศาล
2. ห้ามเข้าร่วมชุมนุมที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
3. ให้ติดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ EM
4. ห้ามออกนอกเคหสถานในช่วงเวลา 21.00 – 06.00 น. เว้นแต่มีเหตุจําเป็นเพื่อการรักษาพยาบาล ไปศึกษาเล่าเรียน ไปสถานีตํารวจ สํานักงานอัยการ หรือศาล หรือได้รับอนุญาตจากศาล
5. ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
หากจําเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว ศาลอาจมีคําสั่งเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมคําสั่งเดิมตามพฤติการณ์ของจําเลยที่เปลี่ยนไป ตามความเหมาะสมและความร้ายแรงของพฤติการณ์ต่อไป นอกจากนี้ กรณีครบกําหนดการปล่อยชั่วคราวโดยมีกําหนดระยะเวลาแล้ว หากจําเลยไม่มีพฤติการณ์ที่ผิดเงื่อนไข ศาลจะมีคําสั่งเปลี่ยนแปลงคําสั่งเดิมต่อไป
อย่างไรก็ตาม อานนท์และเพนกวินซึ่งถูกขังมาแล้ว 196 และ 198 วัน ยังไม่ได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำในวันนี้ เนื่องจากยังมีหมายขังของศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และศาลแขวงพระนครใต้ ซึ่งจะยื่นประกันต่อไป
(อ้างอิง: คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวและคำสั่ง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ. 2887/2564 ลงวันที่ 22 ก.พ. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/40716) -
วันที่: 02-05-2022นัด: ตรวจพยานหลักฐานนัดพร้อมเพื่อประชุมคดี สอบคําให้การ ตรวจพยานหลักฐาน และกําหนดวันนัดสืบพยาน นักกิจกรรมซึ่งเป็นจําเลยทั้งเจ็ด พร้อมทั้งทนายจําเลยเดินทางไปศาลตามนัด
ศาลสอบจําเลยทั้งเจ็ดเกี่ยวกับคําขอท้ายฟ้องที่โจทก์ขอให้นับโทษจําเลยทั้งเจ็ดต่อกับโทษของจําเลยทั้งเจ็ดตามหมายเลขคดีที่ระบุไว้ท้ายฟ้อง จําเลยทั้งเจ็ดแถลงปฏิเสธและไม่รับข้อเท็จจริงว่า เป็นบุคคลเดียวกันกับจําเลยที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ โจทก์แถลงว่า จะรวบรวมหมายเลขคดีดําและหมายเลขคดีแดงที่เป็นปัจจุบันแล้วยื่นแถลงต่อศาล ก่อนสืบพยานโจทก์เสร็จ
ตามที่โจทก์ยื่นคําร้องขอเพิ่มเติมฟ้องครั้งที่ 1 ฉบับลงวันที่ 21 ก.พ. 2565 นั้น ทนายจําเลยแถลงคัดค้าน เนื่องจากไม่ได้เป็นการแก้ไขคําฟ้องที่พิมพ์ผิดพลาด แต่เป็นการเพิ่มเติมคําฟ้องใหม่ อันจะทําให้จําเลยทั้งเจ็ดเสียเปรียบในการต่อสู้คดี และตอนที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา ก็ไม่ได้แจ้งข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ แต่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมคําฟ้องได้ตามขอ ระบุว่า ที่โจทก์ขอแก้ไขเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย จากนั้นศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จําเลยทั้งเจ็ดฟังอีกครั้ง จําเลยยืนยันให้การปฏิเสธ
โจทก์แถลงขออ้างส่งพยานเอกสาร 98 ฉบับ และพยานวัตถุเป็นแฟลชไดร์ฟ และซีดี รวม 4 รายการ ทนายจําเลยขออ้างส่งเอกสาร 48 ฉบับ และพยานวัตถุเป็นแฟลชไดร์ฟ 1 รายการ โจทก์และจําเลยทั้งเจ็ดแถลงว่า ไม่มีข้อเท็จจริงที่รับกันได้
โจทก์แถลงว่า ประสงค์จะสืบพยานบุคคลรวม 59 ปาก แบ่งเป็น เจ้าหน้าที่ตํารวจที่อยู่ในเหตุการณ์ 5 ปาก ใช้เวลาสืบ 2 นัด, พยานซึ่งเป็นผู้กล่าวหา และพยานซึ่งให้ความเห็นเกี่ยวกับคําปราศรัย จำนวน 10 ปาก ใช้เวลาสืบ 3 นัด, พยานเกี่ยวกับการชุมนุมที่ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคและการขออนุญาตใช้เครื่องขยายเสียง 3 ปาก สืบใน 1 นัด, เจ้าหน้าที่ตํารวจถอดเทปคําปราศรัย 21 ปาก สืบใน 2 นัด, พยานเกี่ยวกับรถยนต์ที่ใช้ในการเข้ามาร่วมชุมนุม 6 ปาก สืบใน 1 นัดครึ่ง, เจ้าหน้าที่ตํารวจตรวจสถานที่เกิดเหตุ ตรวจพิสูจน์วัตถุพยาน และตรวจสอบความเคลื่อนไหวของเฟซบุ๊ก 5 ปาก สืบใน 1 นัด และพนักงานสอบสวน 14 ปาก สืบใน 1 นัดครึ่ง รวมขอใช้เวลาสืบพยานโจทก์ทั้งหมด 12 นัด
จําเลยทั้งเจ็ดแถลงแนวทางการต่อสู้คดีร่วมกันว่า จําเลยทั้งเจ็ดไม่ได้กระทําความผิด การชุมนุมชอบด้วยกฎหมาย จําเลยทั้งเจ็ดใช้เสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต จําเลยทั้งเจ็ดประสงค์จะสืบพยานรวม 32 ปาก แบ่งเป็นประจักษ์พยานที่อยู่ในเหตุการณ์ 7 ปาก, นักวิชาการด้านกฎหมายให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นทางกฎหมาย และการรับรองเอกสารทางประวัติศาสตร์ 3 ปาก, นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นข้อเท็จจริงและความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ 4 ปาก, นักวิชาการด้านภาษาศาสตร์ให้ความเห็นเกี่ยวกับการตีความและการแปลความหมายถ้อยคําปราศรัย 1 ปาก, นักแปลซึ่งจะมาเบิกความรับรองการแปลเอกสารข่าวสารต่างประเทศ 2 ปาก, พยานบุคคลที่จะมาเบิกความเกี่ยวกับใช้พระราชอํานาจและการเสด็จประทับนอกราชอาณาจักร 8 ปาก, พยานบุคคลที่จะมาเบิกความเกี่ยวกับการโอนหุ้น การถือหุ้น และการบริหารจัดการทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ 6 ปาก และพยานบุคคลที่จะมาเบิกความเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตราการป้องกันโรคโควิด 1 ปาก ใช้เวลาสืบรวม 8 นัด
กำหนดนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 19-22, 26-29 ก.ย., 3-4, 10-11 ต.ค. 2566 นัดสืบพยานจำเลย 12 ต.ค., 1-3, 21-24 พ.ย. 2566
ทั้งนี้ คำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ที่ศาลอนุญาตให้แก้ไขนั้นระบุว่า เนื่องจากฟ้องของโจทก็ได้พิมพ์ผิดพลาด โจทก์จึงขออนุญาตแก้ไขเพิ่มเติมคําฟ้องดังนี้ “จำเลยทั้งเจ็ดกับพวกได้ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายรัชกาลปัจจุบัน” แก้ไขเป็น “จำเลยทั้งเจ็ดกับพวกได้ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายรัชกาลปัจจุบันและรัชกาลในอดีต (รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 7 และรัชกาลที่ 9)”
นอกจากนี้ยังแก้ไขจากที่ขอให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 3 และที่ 4 ในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีหมายเลขดําที่ อ.537/2564 ของศาลนี้ แก้ไขเป็นคดีหมายเลขดําที่ อ.539/2564 ของศาลนี้
(อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.2887/2564 ลงวันที่ 2 พ.ค. 2565) -
วันที่: 19-09-2023นัด: สืบพยานโจทก์อานนท์, ชินวัตร, ภาณุพงศ์, ปนัสยา และจิรฐิตา เดินทางมาศาลในนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาและสืบพยานลับหลังพริษฐ์ จำเลยที่ 2 เนื่องจากพริษฐ์อยู่ระหว่างอุปสมบทและจำพรรษอยู่ที่เชียงใหม่
ศาลไม่อนุญาตให้พิจารณาลับหลัง แต่ให้เลื่อนคดีไปในวันที่พริษฐ์สามารถมาศาลได้คือในวันที่ 27 ก.ย. 2566 และให้ยกเลิกนัดสืบพยานในวันที่ 20-22 และ 26 ก.ย. 2566
(อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.2887/2564 ลงวันที่ 19 ก.ย. 2566)
-
วันที่: 27-09-2023นัด: สืบพยานโจทก์เนื่องจากอานนท์ จำเลยที่ 1 เพิ่งถูกพิพากษาจำคุกในคดี 112 อีกคดี เมื่อวานนี้ (26 ก.ย. 2566) โดยศาลอาญาให้ส่งคำร้องขอประกันไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา วันนี้อานนท์จึงถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และศาลไม่ได้เบิกตัวมาในนัดนี้ อีกทั้งคาดว่าศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งให้ไต่สวนก่อนมีคำสั่ง ทนายจำเลยจึงขอยกเลิกนัดในวันที่ 28 ก.ย. 2566 ด้วย
กรณีมีเหตุสมควรศาลจึงอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์ในวันที่ 29 ก.ย. 2566 ตามที่นัดไว้เดิม
(อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.2887/2564 ลงวันที่ 27 ก.ย. 2566) -
วันที่: 29-09-2023นัด: สืบพยานโจทก์จำเลยทั้งหมด ยกเว้นคริษฐ์ จำเลยที่ 7 มาศาล โดยอานนท์ถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในลักษณะมีกุญแจเท้า ล่ามข้อเท้าทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม ศาลเลื่อนไปสืบพยานโจทก์วันที่ 3 ต.ค. 2566 เนื่องจากทนายจำเลยขอตรวจสอบคลิปวีดิโอเหตุการณ์ที่โจทก์อ้างส่งต่อศาลจำนวน 3 รายการก่อน -
วันที่: 03-10-2023นัด: สืบพยานโจทก์ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี เนื่องจากพริษฐ์เข้าแอดมิทที่โรงพยาบาลฝาง จังหวัดเชียงใหม่ มีอาการหอบหืด ไอ และหายใจเหนื่อย แพทย์มีความเห็นให้นอนพักรักษาอาการเพื่อเฝ้าระวังอาการกำเริบโดยยังไม่มีกำหนดระยะเวลาจำหน่ายผู้ป่วย ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนคดีไปสืบพยานโจทก์วันที่ 10 ต.ค. 2566
หลังเสร็จการพิจารณาคดี อานนท์ในฐานะจำเลยที่ 1 และทนายจำเลยที่ 4 และ 7 ถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในลักษณะมีกุญแจเท้าเช่นเดิม ยื่นคำแถลงต่อศาลเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ทนายความและความไม่สะดวกจากการถูกคุมขัง มีใจความดังนี้
"ก่อนอื่นจำเลยที่ 1 ต้องขออภัยศาลที่ในห้องพิจารณา จำเลยที่ 1 ในฐานะทนายความจำเลยที่ 4 ต้องเดินอย่างเชื่องช้า เนื่องจากจำเลยที่ 1 ต้องพันธนาการโซ่ตรวนที่ข้อเท้า ซึ่งหากเดินปกติอาจทำให้ข้อเท้าเกิดบาดแผล และขออภัยศาลที่ชุดนักโทษของจำเลยที่ 1 มีกลิ่นในห้องพิจารณา เนื่องจากอยู่ในช่วงกักตัวของเรือนจำ ต้องถูกขังบนเรือนนอน 24 ชั่วโมง มีเพียงสบู่ก้อนใช้ซักเสื้อผ้าและผึ่งลมเท่านั้น
"อย่างไรก็ตาม จำเลยได้พยายามชำระร่างกายให้สะอาดเผื่อเวลาได้เจอและอุ้มอิสรานนท์ ลูกชายวัย 10 เดือน จะได้สะอาด ไม่นำเชื้อโรคมาติดลูกในศาล
"ขอบพระคุณศาลที่ให้เวลาตรวจดูเอกสาร และให้พูดคุยกับทนาย รวมทั้งให้มีโอกาสอุ้มลูกชาย
"อนึ่ง สำหรับจำเลยที่ 7 ซึ่งหลบหนี เนื่องจากจำเลยเป็นทนายความให้เขาและถูกฟ้องว่าร่วมกัน จำเลยขออนุญาตซักค้านพยานในชั้นพิจารณาต่อไป"
(อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/60321) -
วันที่: 10-10-2023นัด: สืบพยานโจทก์เนื่องจากพริษฐ์ยังป่วยอยู่ ศาลอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์ในวันที่ 1 พ.ย. 2566
-
วันที่: 01-11-2023นัด: สืบพยานโจทก์สืบพยานโจทก์ได้ 1 ปาก
-
วันที่: 02-11-2023นัด: สืบพยานโจทก์ก่อนเริ่มสืบพยาน ชินวัตร จำเลยที่ 3 ขอถอนคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธ และขอให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามที่โจทก์ฟ้อง โจทก์ไม่คัดค้าน ศาลจึงอนุญาตให้ชินวัตรถอนคำให้การ และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 13 ธ.ค. 2566 เวลา 09.00 น.
ส่วนของจำเลยที่ยังคงให้การปฏิเสธ ศาลสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว โดยยกเลิกนัดที่เหลือทั้งหมด และให้อัยการยื่นฟ้องเข้ามาใหม่ภายในวันที่ 17 พ.ย. 2566 โดยให้จำเลยดังกล่าวมารายงานตัวที่ศาลในวันเดียวกันนั้นเพื่อส่งฟ้อง
(อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.2887/2564 ลงวันที่ 2 พ.ย. 2566) -
วันที่: 15-11-2023นัด: ยื่นฟ้องเป็นคดีใหม่กัมม์ธร ทองทิพย์ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 ยื่นฟ้อง อานนท์, พริษฐ์, ปนัสยา, ภาณุพงศ์, จิรฐิตา และคริษฐ์ เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.3476/2566 ในฐานความผิดเดิม โดยไม่คัดค้านการปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณาคดี
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.3476/2566 ลงวันที่ 15 พ.ย. 2566) -
วันที่: 17-11-2023นัด: รายงานตัวต่อศาล (ส่งฟ้อง)พริษฐ์, ปนัสยา, ภาณุพงศ์ และจิรฐิตา เดินทางมารายงานตัวต่อศาลตามนัด ขณะที่อานนท์ถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในลักษณะใส่กุญแจเท้าเช่นเดิม
ศาลอ่านและอธิบายฟ้อง ก่อนถามคำให้การ ทั้งห้ายืนยันให้การปฏิเสธ ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 18 มี.ค. 2567 เวลา 09.00 น.
หลังทนายยื่นประกันพริษฐ์, ปนัสยา, ภาณุพงศ์ และจิรฐิตา ศาลอนุญาตปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณา โดยให้วางหลักประกันคนละ 200,000 บาท ในกรณีของพริษฐ์และภาณุพงศ์ และคนละ 100,000 บาท ในกรณีของปนัสยาและจิรฐิตา ทั้งหมดใช้เงินจากกองทุนราษฎรประสงค์ -
วันที่: 13-12-2023นัด: ฟังคำพิพากษา (ชินวัตร)ห้องพิจารณาคดีที่ 914 ศาลอ่านคำพิพากษาโดยสรุปว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป จำคุกรวม 6 ปี และปรับ 22,200 บาท มีรายละเอียด ดังนี้
1. ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จำคุก 4 ปี
2. ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, มาตรา 215 และ มาตรา 216 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษในข้อหาตามมาตรา 116 ที่มีโทษหนักสุด จำคุก 2 ปี
3. ข้อหาตาม พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงฯ มาตรา 4 ปรับ 200 บาท
4. ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385 และ พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 108, 114 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษในข้อหาตามมาตรา 385 (กีดขวางทางสาธารณะ) ที่มีโทษหนักสุด ปรับ 2,000 บาท
5. ข้อหาตามข้อกำหนด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ มาตรา 10 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่มีโทษหนักที่สุด ปรับ 20,000 บาท
จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 ปี ปรับ 11,100 บาท โดยไม่รอลงอาญา
หลังศาลอ่านคำพิพากษาแล้วเสร็จ เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวชินวัตรไปยังห้องคุมขังใต้ถุนศาล ระหว่างรอผลคำสั่งการยื่นประกันตัว จากการยื่นประกันของญาติชินวัตร
ต่อมา เวลาประมาณ 17.40 น. จนกระทั่งหมดเวลาทำการของศาลอาญา ญาติของชินวัตรยังเตรียมนำโฉนดที่ดินไปยื่นประกันตัวไม่ทัน ทำให้ชินวัตรต้องถูกส่งตัวไปคุมขังระหว่างอุทธรณ์ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก่อนที่วันรุ่งขึ้น (14 ธ.ค. 2566) ศาลอนุญาตให้ประกัน ใช้หลักประกันเป็นเงินสด 150,000 บาท
(อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/62277) -
วันที่: 18-03-2024นัด: ตรวจพยานหลักฐานจำเลยและทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี เนื่องจากติดนัดคดีอื่นที่ได้นัดหมายไว้ก่อนแล้ว ศาลอนุญาตให้เลื่อนนัดตรวจพยานหลักฐานไปวันที่ 13 พ.ค. 2567 เวลา 09.00 น.
-
วันที่: 13-05-2024นัด: ตรวจพยานหลักฐานทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี เนื่องจากพริษฐ์ จำเลยที่ 2 ป่วย ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ ศาลอนุญาตให้เลื่อนนัดตรวจพยานหลักฐานไปวันที่ 8 ก.ค.2567 เวลา 09.00 น.
-
วันที่: 08-07-2024นัด: ตรวจพยานหลักฐานปนัสยาและจิรฐิตา เดินทางมาศาล ขณะที่อานนท์ถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในลักษณะใส่กุญแจเท้าเช่นเดิม
อัยการโจทก์แถลงขออ้างส่งพยานเอกสารเพิ่มเติม 63 ฉบับ และพยานวัตถุ 4 รายการ กับมีพยานบุคคลรวม 58 ปาก ใช้เวลาสืบ 14 นัด
ฝ่ายจําเลยแถลงถึงแนวทางการต่อสู้คดีว่า จําเลยไม่ได้กระทําความผิดตามฟ้องโจทก์ การกระทําของฝ่ายจําเลยเป็นการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศ ว่าสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และข้อความที่กล่าวเป็นความจริง ขออ้างส่งพยานเอกสารรวม 57 ฉบับ และพยานวัตถุ 1 รายการ พยานบุคค 38 ปาก ใช้เวลาสืบ 9 นัด
นัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 28-29 ม.ค., 4-7, 18-21 ก.พ., 11-14 มี.ค. 2568 และสืบพยานจำเลยในวันที่ 18-21 มี.ค., 8-10, 22-23 เม.ย. 2568
(อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.3476/2566 ลงวันที่ 8 ก.ค. 2567)
สถานะ การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว หรือ ผลการพิพากษา
ชั้นสอบสวน
ผู้ถูกดำเนินคดี :
ชินวัตร จันทร์กระจ่าง
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
-
ผู้ถูกดำเนินคดี :
พริษฐ์ ชิวารักษ์
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
-
ผู้ถูกดำเนินคดี :
อานนท์ นำภา
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
-
ผู้ถูกดำเนินคดี :
ภาณุพงศ์ จาดนอก
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
-
ผู้ถูกดำเนินคดี :
น.ส.จิรฐิตา ธรรมรักษ์
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
-
ผู้ถูกดำเนินคดี :
ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
-
ผู้ถูกดำเนินคดี :
คริษฐ์ (สงวนนามสกุล)
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
-
ศาลชั้นต้น
ผู้ถูกดำเนินคดี :
ชินวัตร จันทร์กระจ่าง
ผลการพิพากษา
ลงโทษ
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ :
13-12-2023
ผู้ถูกดำเนินคดี :
พริษฐ์ ชิวารักษ์
ผลการพิพากษา
-
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
ผู้ถูกดำเนินคดี :
อานนท์ นำภา
ผลการพิพากษา
-
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
ผู้ถูกดำเนินคดี :
ภาณุพงศ์ จาดนอก
ผลการพิพากษา
ลงโทษ
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ :
13-12-2023
ผู้ถูกดำเนินคดี :
น.ส.จิรฐิตา ธรรมรักษ์
ผลการพิพากษา
-
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
ผู้ถูกดำเนินคดี :
ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล
ผลการพิพากษา
-
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
ผู้ถูกดำเนินคดี :
คริษฐ์ (สงวนนามสกุล)
ผลการพิพากษา
-
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
ศาลอุทธรณ์
ผู้ถูกดำเนินคดี :
ชินวัตร จันทร์กระจ่าง
ผลการพิพากษา
-
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์