ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
ดำ อ. 212/2565
ผู้กล่าวหา
- พ.ต.ต.สิรภพ บัวหลวง สารวัตรสืบสวน สภ.คลองหลวง (ตำรวจ)
ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
หมายเลขคดี
ดำ อ. 212/2565
ผู้กล่าวหา
- พ.ต.ต.สิรภพ บัวหลวง สารวัตรสืบสวน สภ.คลองหลวง
ความสำคัญของคดี
ณัฐชนน ไพโรจน์ นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสมาชิกกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ถูกดำเนินคดี "หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ" ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้ผลิตหนังสือปกแดง "ปรากฏการณ์สะท้านฟ้า 10 สิงหา 10 ข้อเรียกร้องว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์” ซึ่งเป็นหนังสือรวมคำปราศรัยถึงข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ของ อานนท์ นำภา, "ไมค์" ภาณุพงศ์ จาดนอก และ "รุ้ง" ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ในการชุมนุม #ธรรมศาสตร์จะไม่ทน เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2563 และคำปราศรัยของ "เพนกวิน" พริษฐ์ ชิวารักษ์ ในการชุมนุม #จัดม็อบไล่แม่งเลย ที่ขอนแก่น เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2563 หลังกำลังตำรวจเข้าตรวจยึดหนังสือดังกล่าวจํานวน 45,080 เล่ม ที่เตรียมนำไปแจกจ่ายในการชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร
ข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ที่เป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องของประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยตั้งแต่กลางปี 2563 ไม่เคยได้รับการพิจารณาหรือตอบรับจากผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ ในทางตรงข้ามรัฐบาลกลับดำเนินคดีแกนนำที่นำเสนอข้อเรียกร้องดังกล่าวและผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวนหลายสิบคดี โดยเฉพาะข้อหา "หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ"
ข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ที่เป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องของประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยตั้งแต่กลางปี 2563 ไม่เคยได้รับการพิจารณาหรือตอบรับจากผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ ในทางตรงข้ามรัฐบาลกลับดำเนินคดีแกนนำที่นำเสนอข้อเรียกร้องดังกล่าวและผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวนหลายสิบคดี โดยเฉพาะข้อหา "หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ"
พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี
ณัฐพงษ์ วายุพัฒน์ พนักงานอัยการจังหวัดธัญบุรีบรรยายฟ้องโดยสรุปว่า
ประเทศไทยปกครองโดยพระมหากษัตริย์มาแต่สร้าง เริ่มตั้งแต่การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จนถึงปัจจุบันที่ประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผู้ใดจะล่วงละเมิด กล่าวหา หรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 6 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ทั้งรัฐและประชาชนต่างมีหน้าที่ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งพระมหากษัตริย์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 50 ย่อมเห็นได้โดยแจ้งชัดว่าพระมหากษัตริย์รวมถึงสถาบันกษัตริย์ ทรงเป็นที่เคารพสักการะ และทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทยมาแต่ครั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2563 จําเลยกับพวกอีก 1 คน ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ร่วมกันหมิ่นประมาทหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายกษัตริย์ ด้วยการร่วมกันผลิตสิ่งพิมพ์ประเภทหนังสือ ชื่อ “ฟ้ามืดเมื่อมีได้ ก็ฟ้าใหม่ย่อมคงมี ปรากฏการณ์สะท้านฟ้า 10 สิงหา 10 ข้อเรียกร้องว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์” จํานวน 45,080 เล่ม ซึ่งเนื้อหาในหนังสือประกอบด้วยข้อความที่เป็นการใส่ความต่อกษัตริย์ ทําให้ประชาชนทั่วไปที่ได้ทราบเข้าใจว่ารัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 เป็นคนไม่ดี รับรองให้มีการรัฐประหาร เพื่อทําลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เกี่ยวข้องและแทรกแซงการเมืองและประเด็นเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจในทางไม่ดี
อีกทั้งยังมีเนื้อหามุ่งหมายในการเปลี่ยนแปลง ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ล้มล้างสถาบันกษัตริย์ซึ่งเป็นสถาบันหลักของประเทศ อันเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนคนไทยมาอย่างยาวนาน ซึ่งถือเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์
คำฟ้องได้แสดงข้อความจำนวน 15 ข้อความ และข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อ ตัวอย่างเช่น
“สิทธิเสรีภาพถูกทําลาย ผู้คนจํานวนมากต้องถูกจองจํา ลี้ภัย หรือไม่ก็สูญหาย ส่วนคนที่ยังอยู่ในประเทศต้องต่อสู้ด้วยข้อจํากัดเพราะคณะรัฐประหารมีตุลาการไว้รองรับอํานาจของตน”
“อํานาจของพระมหากษัตริย์ใกล้เคียงกับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่ว่าจะเป็นการโอนทรัพย์สินของสถาบันไปเป็นของกษัตริย์ การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามอําเภอใจ”
“เจตนาการพูดของผมในครั้งนี้ คือต้องการให้พระมหากษัตริย์อยู่ในที่ที่เหมาะสมและสามารถอยู่ร่วมกับประชาชนคนไทยได้และที่บอกว่าการอยู่เหนืออํานาจอธิปไตยคือการอยู่เหนืออํานาจของประชาชน โดยการที่ประชาชนไม่สามารถแตะต้องได้เพราะถ้าใครแตะต้องโดนมาตรา 112”
“ประเด็นสําคัญที่ผมจะมาพูดในวันนี้คือ ข้อเรียกร้องระหว่างบรรทัดของพวกเรา ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข นั้นหมายถึงกษัตริย์ต้องอยู่เหนือการเมืองและอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ”
“แต่ปัญหามันก็เกิดขึ้นเมื่อสถาบันพระมหากษัตริย์พยายามขยายพระราชอํานาจผ่านทางคณะรัฐประหารปี 2557 ที่มีผู้นําชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา”
“พระมหากษัตริย์ถ้ายังเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ต้องไม่เซ็นรับรองการรัฐประหาร หากมีการรัฐประหารเกิดขึ้น สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องยืนอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยเท่านั้น”
“ในเหตุการณ์ของประเทศไทยนั้น ก็มีตัวอย่างกบฏยังเติร์ก ปี 2524 จะล้มยึดอํานาจรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นการก่อการยึดอํานาจที่ใช้กําลังคนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ทหาร 40 กว่ากองพัน คือเกินครึ่งของกองทัพบุกเข้ามาในกรุงเทพฯ สามารถยึดกรุงเทพฯได้ทั้งหมด ในปกติสมัยก่อนเวลาเขายึดอํานาจกัน ยึดทําเนียบ ยึดสภา ยึดสื่อมวลชน แค่นี้ก็สามารถที่จะชนะได้แล้ว แต่ในครั้งนี้ตัวคนเซ็นหนีไปอยู่กับนายกรัฐมนตรีที่โคราชพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงไม่ยอมอยู่เซ็นรัฐประหารให้กับคณะที่เขายึดอํานาจ แต่หนีไปปกป้องอยู่กับพลเอกเปรมที่ค่ายสุรนารี นี่ขนาดว่าเขายึดได้ทั้งกรุงเทพฯ แล้ว แต่ก็ไม่สามารถที่จะชนะได้เพราะผมคนเซ็นคือหลักฐานว่าการเซ็นนั้นสําคัญไฉน”
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดธัญบุรี คดีหมายเลขดำที่ อ. 212/2565 ลงวันที่ 19 ม.ค. 2565)
ประเทศไทยปกครองโดยพระมหากษัตริย์มาแต่สร้าง เริ่มตั้งแต่การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จนถึงปัจจุบันที่ประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผู้ใดจะล่วงละเมิด กล่าวหา หรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 6 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ทั้งรัฐและประชาชนต่างมีหน้าที่ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งพระมหากษัตริย์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 50 ย่อมเห็นได้โดยแจ้งชัดว่าพระมหากษัตริย์รวมถึงสถาบันกษัตริย์ ทรงเป็นที่เคารพสักการะ และทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทยมาแต่ครั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2563 จําเลยกับพวกอีก 1 คน ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ร่วมกันหมิ่นประมาทหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายกษัตริย์ ด้วยการร่วมกันผลิตสิ่งพิมพ์ประเภทหนังสือ ชื่อ “ฟ้ามืดเมื่อมีได้ ก็ฟ้าใหม่ย่อมคงมี ปรากฏการณ์สะท้านฟ้า 10 สิงหา 10 ข้อเรียกร้องว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์” จํานวน 45,080 เล่ม ซึ่งเนื้อหาในหนังสือประกอบด้วยข้อความที่เป็นการใส่ความต่อกษัตริย์ ทําให้ประชาชนทั่วไปที่ได้ทราบเข้าใจว่ารัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 เป็นคนไม่ดี รับรองให้มีการรัฐประหาร เพื่อทําลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เกี่ยวข้องและแทรกแซงการเมืองและประเด็นเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจในทางไม่ดี
อีกทั้งยังมีเนื้อหามุ่งหมายในการเปลี่ยนแปลง ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ล้มล้างสถาบันกษัตริย์ซึ่งเป็นสถาบันหลักของประเทศ อันเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนคนไทยมาอย่างยาวนาน ซึ่งถือเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์
คำฟ้องได้แสดงข้อความจำนวน 15 ข้อความ และข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อ ตัวอย่างเช่น
“สิทธิเสรีภาพถูกทําลาย ผู้คนจํานวนมากต้องถูกจองจํา ลี้ภัย หรือไม่ก็สูญหาย ส่วนคนที่ยังอยู่ในประเทศต้องต่อสู้ด้วยข้อจํากัดเพราะคณะรัฐประหารมีตุลาการไว้รองรับอํานาจของตน”
“อํานาจของพระมหากษัตริย์ใกล้เคียงกับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่ว่าจะเป็นการโอนทรัพย์สินของสถาบันไปเป็นของกษัตริย์ การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามอําเภอใจ”
“เจตนาการพูดของผมในครั้งนี้ คือต้องการให้พระมหากษัตริย์อยู่ในที่ที่เหมาะสมและสามารถอยู่ร่วมกับประชาชนคนไทยได้และที่บอกว่าการอยู่เหนืออํานาจอธิปไตยคือการอยู่เหนืออํานาจของประชาชน โดยการที่ประชาชนไม่สามารถแตะต้องได้เพราะถ้าใครแตะต้องโดนมาตรา 112”
“ประเด็นสําคัญที่ผมจะมาพูดในวันนี้คือ ข้อเรียกร้องระหว่างบรรทัดของพวกเรา ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข นั้นหมายถึงกษัตริย์ต้องอยู่เหนือการเมืองและอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ”
“แต่ปัญหามันก็เกิดขึ้นเมื่อสถาบันพระมหากษัตริย์พยายามขยายพระราชอํานาจผ่านทางคณะรัฐประหารปี 2557 ที่มีผู้นําชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา”
“พระมหากษัตริย์ถ้ายังเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ต้องไม่เซ็นรับรองการรัฐประหาร หากมีการรัฐประหารเกิดขึ้น สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องยืนอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยเท่านั้น”
“ในเหตุการณ์ของประเทศไทยนั้น ก็มีตัวอย่างกบฏยังเติร์ก ปี 2524 จะล้มยึดอํานาจรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นการก่อการยึดอํานาจที่ใช้กําลังคนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ทหาร 40 กว่ากองพัน คือเกินครึ่งของกองทัพบุกเข้ามาในกรุงเทพฯ สามารถยึดกรุงเทพฯได้ทั้งหมด ในปกติสมัยก่อนเวลาเขายึดอํานาจกัน ยึดทําเนียบ ยึดสภา ยึดสื่อมวลชน แค่นี้ก็สามารถที่จะชนะได้แล้ว แต่ในครั้งนี้ตัวคนเซ็นหนีไปอยู่กับนายกรัฐมนตรีที่โคราชพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงไม่ยอมอยู่เซ็นรัฐประหารให้กับคณะที่เขายึดอํานาจ แต่หนีไปปกป้องอยู่กับพลเอกเปรมที่ค่ายสุรนารี นี่ขนาดว่าเขายึดได้ทั้งกรุงเทพฯ แล้ว แต่ก็ไม่สามารถที่จะชนะได้เพราะผมคนเซ็นคือหลักฐานว่าการเซ็นนั้นสําคัญไฉน”
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดธัญบุรี คดีหมายเลขดำที่ อ. 212/2565 ลงวันที่ 19 ม.ค. 2565)
ความคืบหน้าของคดี
-
วันที่: 11-01-2021นัด: แจ้งข้อกล่าวหาเวลา 10.00 น. ที่ สภ.คลองหลวง ณัฐชนน ไพโรจน์ เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก หลังจากทนายความได้รับการแจ้งจากพนักงานสอบสวน สภ.คลองหลวง ว่าได้ออกหมายเรียกณัฐชนนให้ไปรับทราบข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์” จากเหตุการครอบครองและพิมพ์หนังสือ 10 ข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
คดีนี้มีการตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่งตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี ลงวันที่ 23 พ.ย. 2563 คณะพนักงานสวบสวนนำโดย พ.ต.อ.จักริน พันธ์ทอง รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี และ พ.ต.อ.สุชัย แสงส่อง รองผู้กำกับสอบสวน สภ.คลองหลวง เป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหาต่อณัฐชนน
พฤติการณ์ข้อกล่าวหาโดยสรุประบุว่าเมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2563 ได้มีการจัดการชุมนุมที่ใช้หัวข้อว่า #ธรรมศาสตร์จะไม่ทน ณ ลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต โดยผู้ขึ้นปราศรัยมีเนื้อหาลักษณะพาดพิงและโจมตีรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และมีการพาดพิงหรือก้าวล่วงสถาบันกษัตริย์ ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ ทำให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมเกิดความรู้สึกเห็นด้วยหรือคล้อยตาม ต่อต้านรัฐบาลและสถาบันพระมหากษัตริย์ อันก่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน หรือให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ และมีการแจ้งนัดหมายเชิญชวนให้ผู้ชุมนุมไปร่วมชุมนุมครั้งต่อไปในวันที่ 24 ส.ค. 2563 และ 19 ก.ย. 2563
ต่อมาวันที่ 19 ก.ย. 2563 พ.ต.ต.สิรภพ บัวหลวง ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 เข้าทำการตรวจยึดหนังสือปกสีแดง “ปรากฏการณ์สะท้านฟ้า 10 สิงหา ข้อเรียกร้องว่าด้วยสถาบันกษัตริย์” จำนวน 45,080 เล่ม ได้ที่ปากซอยทางเข้าออกหมู่บ้านในอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ภายในรถบรรทุก 6 ล้อ และมีนายณัฐชนนนั่งคู่มากับคนขับ
จากการตรวจสอบพบว่าข้อความในหนังสือเล่มดังกล่าว มีเนื้อหาเดียวกันกับการปราศรัยของอานนท์ นำภา, ภาณุพงศ์ จาดนอก และปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ในการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2563 และมีเนื้อหาเดียวกันกับการปราศรัยของพริษฐ์ ชิวารักษ์ ที่ปราศรัยที่เวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2563 โดยมีเนื้อหากล่าวพาดพิงถึงสถาบันกษัตริย์ ที่จะนำไปแจกจ่ายหรือเผยแพร่ให้กับผู้ชุมนุมที่สนามหลวง ในวันที่ 19 ก.ย. 2563 และทราบว่ามีการแจกจ่ายให้กับผู้ชุมนุมไปบางส่วน
ต่อมา พนมบุตร จันทรโชติ รองอธิบดีกรมศิลปากร ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ฯ มาตรวจสอบหนังสือดังกล่าว เห็นว่าเป็นเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ที่เป็นหนังสือ ซึ่งมิได้ยื่นขอเลขมาตรฐานสากลการพิมพ์ต่อสำนักหอสมุดแห่งชาติ และภายในหนังสือ มิได้ปรากฏชื่อของผู้พิมพ์หรือที่ตั้งโรงพิมพ์ หรือชื่อและที่ตั้งของผู้โฆษณาแต่อย่างใด จึงได้ร้องทุกข์ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550
บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหายังมีการยกคำปราศรัยบางตอนที่ปรากฏในหนังสือเล่มดังกล่าวมา รวมทั้งเนื้อหาส่วนที่เป็นข้อเสนอ 10 ข้อเพื่อการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ของผู้ชุมนุม และระบุว่าเนื้อหาดังกล่าว “เป็นการใส่ความหรือกล่าวหาพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 และที่ 10 ซึ่งไม่เป็นความจริง การใส่ความดังกล่าวเมื่อบุคคลทั่วไปได้ทราบหรือได้อ่านแล้ว ทำให้เข้าใจว่าพระมหากษัตริย์เป็นคนไม่ดี อาจทำให้ผู้อื่นประชาชนดูหมิ่นหรือเกลียดชังพระมหากษัตริย์ได้” พ.ต.ต.สิรภพ บัวหลวง จึงได้ร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา
พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อณัฐชนนใน 2 ข้อหา ได้แก่ ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และข้อหาตาม พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 มาตรา 8 จัดทำสิ่งพิมพ์ซึ่งเป็นหนังสือที่ไม่ใช่หนังสือพิมพ์และพิมพ์ขึ้นในราชอาณาจักรโดยไม่แสดงข้อความ (1) ชื่อของผู้พิมพ์และที่ตั้งโรงพิมพ์, (2) ชื่อและที่ตั้งของผู้โฆษณา และ (3) เลขมาตรฐานสากลประจำหนังสือที่หอสมุดแห่งชาติได้ออกให้
ณัฐชนนได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การเบื้องต้นว่าคดีนี้เหตุเกิดตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย. 2563 เป็นระยะเวลาหลายเดือนแล้ว ประกอบกับคำปราศรัยที่ถูกกล่าวหาทั้งหมดไม่ใช่คำปราศรัยของณัฐชนน จึงจำเป็นต้องตรวจสอบก่อน และจำเป็นต้องตรวจสอบรายละเอียดในหนังสือของกลางด้วย จึงจะขอให้การเพิ่มเติมเป็นหนังสือภายใน 45 วัน
หลังการแจ้งข้อกล่าวหา พนักงานสอบสวนให้ณัฐชนนพิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อตรวจสอบประวัติอาชญากรรม และให้ลงบันทึกประจำวันไว้ ก่อนให้ปล่อยตัวไปโดยไม่มีการควบคุมตัวไว้ พร้อมกับนัดหมายเพื่อมาส่งสำนวนให้พนักงานอัยการต่อไปในวันที่ 11 ก.พ. 2564 เวลา 10.30 น.
ทั้งนี้ ข้อหาตามมาตรา 112 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี ขณะที่ข้อหาตาม พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ฯ มาตรา 8 กำหนดโทษปรับทางปกครอง ไม่เกิน 10,000 บาท
ในช่วงสายวันที่ 19 ก.ย. 2563 ก่อนการชุมนุมใหญ่ #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ที่สนามหลวง เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบได้นำกำลังเข้าตรวจยึดหนังสือดังกล่าวจำนวนกว่า 40,000 เล่ม จากบ้านพักของนักศึกษาใกล้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต การตรวจยึดดังกล่าวเกิดขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีหมายค้น เพียงแต่อ้างว่าจะนำหนังสือไปตรวจสอบว่ามีเนื้อหาล้มล้างการปกครองหรือไม่ ทำให้กลุ่มนักศึกษายังไม่ได้นำหนังสือเล่มดังกล่าวไปแจกจ่ายในที่ชุมนุม
ขณะที่ณัฐชนนถูกดำเนินคดีทางการเมืองคดีนี้เป็นคดีที่ 5 ก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนตุลาคม 2563 หลังประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพฯ เขาได้ถูกควบคุมตัวร่วมกับ “เพนกวิน" พริษฐ์ และ “รุ้ง" ปนัสยา ในคดีการชุมนุม #ธรรมศาสตร์จะไม่ทน มาแล้ว โดยณัฐชนนถูกคุมขังที่เรือนจำธัญบุรีเป็นเวลา 6 วัน ก่อนได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว
(อ้างอิง: บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา สภ.คลองหลวง ลงวันที่ 11 ม.ค. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/24934) -
วันที่: 02-04-2021นัด: ส่งตัวให้อัยการณัฐชนนเดินทางไปที่สำนักงานอัยการจังหวัดธัญบุรีในนัดส่งตัวให้พนักงานอัยการพร้อมสำนวนคดี พนักงานอัยการนัดฟังคำสั่งในวันที่ 30 เม.ย. 2564 เวลา 10.30 น.
-
วันที่: 30-04-2021นัด: ฟังคำสั่งอัยการอัยการมีคำสั่งเลื่อนนัดฟังคำสั่งไปในวันที่ 1 มิ.ย. 2564
-
วันที่: 01-06-2021นัด: ฟังคำสั่งอัยการอัยการมีคำสั่งเลื่อนนัดฟังคำสั่งไปในวันที่ 1 ก.ค. 2564 เวลา 10.30 น.
-
วันที่: 01-07-2021นัด: ฟังคำสั่งอัยการอัยการยังไม่มีคำสั่งฟ้อง
-
วันที่: 19-01-2022นัด: ฟังคำสั่งอัยการ (ฟ้อง)ณัฐชนนเดินทางไปฟังคำสั่งอัยการ โดยพนักงานอัยการจังหวัดธัญบุรีมีคำสั่งฟ้อง และยื่นฟ้องณัฐชนนต่อศาลจังหวัดธัญบุรี ในข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ศาลรับฟ้องไว้เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.212/2565
ในท้ายคำฟ้องพนักอัยการได้ขอศาลได้พิจารณาพิพากษาลงโทษจําเลยตามกฎหมาย และขอศาลได้สั่งริบหนังสือปกสีแดง “ปรากฏการณ์สะท้านฟ้า 10 สิงหา ข้อเรียกร้องว่าด้วยสถาบันกษัตริย์” จำนวน 45,080 เล่ม ซึ่งยึดไว้เป็นของกลาง ทั้งยังคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวจำเลย อ้างเหตุว่าคดีมีอัตราโทษสูง เกรงว่าจำเลยจะหลบหนี
หลังศาลรับฟ้อง ทนายความได้ยื่นประกันตัวและศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างพิจารณาคดี โดยให้วางหลักทรัพย์ประกันเป็นจำนวนเงิน 150,000 บาท ระบุในคำสั่งว่า จำเลยไม่มีพฤติการณ์หลบหนี มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง และไม่มีพฤติการณ์ก่อคดีอีก พร้อมกันนี้ศาลได้วางเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราวครั้งนี้ 2 ข้อ ได้แก่
1.ห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
2.ห้ามหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ราชินี หรือรัชทายาท
ทนายความได้ใช้หลักทรัพย์จากกองทุนราษฎรประสงค์วางเป็นหลักประกัน ศาลกำหนดนัดวันสอบคำให้การในวันที่ 25 ม.ค. 2565
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดธัญบุรี คดีหมายเลขดำที่ อ. 212/2565 ลงวันที่ 19 ม.ค. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/39760) -
วันที่: 25-01-2022นัด: สอบคำให้การณัฐชนนแถลงต่อศาลว่า ประสงค์จะแต่งตั้งนรเศรษฐ์ นาหนองตูม เป็นทนายความ แต่ในวันนี้ทนายป่วยไม่สามารถมาศาลได้ ศาลให้เลื่อนนัดไปในวันที่ 15 มี.ค. 2565 เวลา13.30 น.
-
วันที่: 15-03-2022นัด: สอบคำให้การ
สถานะ การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว หรือ ผลการพิพากษา
ชั้นสอบสวน
ผู้ถูกดำเนินคดี :
ณัฐชนน ไพโรจน์
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
-
ศาลชั้นต้น
ผู้ถูกดำเนินคดี :
ณัฐชนน ไพโรจน์
ผลการพิพากษา
-
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์