ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
  • พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
  • Facebook
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
ดำ อ.459/2565
แดง อ.282/2566

ผู้กล่าวหา
  • นัธทวัฒน์ ชลภักดี แอดมินเพจ "ศรีสุริโยไท" (ประชาชน)
ผู้ถูกดำเนินคดี

ข้อหา

  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
  • Facebook
  • พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14

หมายเลขคดี

ดำ อ.459/2565
แดง อ.282/2566
ผู้กล่าวหา
  • นัธทวัฒน์ ชลภักดี แอดมินเพจ "ศรีสุริโยไท"

ความสำคัญของคดี

"บอส" ฉัตรมงคล วัลลีย์ อดีตนักกิจกรรม และขณะประกอบอาชีพพนักงานรักษาความปลอดภัยในจังหวัดปทุมธานี ถูกดำเนินคดีในข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” และข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 หลังนัธทวัฒน์ ชลภักดี แอดมินเพจ "ศรีสุริโยไท" เข้าแจ้งความ กล่าวหาว่า ฉัตรมงคลใช้เฟซบุ๊กส่วนตัวไปคอมเมนต์ข้อความหมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายกษัตริย์ในเพจดังกล่าว หลังฉัตรมงคลเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก พนักงานสอบสวนไม่ได้ควบคุมตัวไว้

ฉัตรมงคลเปิดเผยความรู้สึกหลังเข้ารับทราบข้อกล่าวหาว่า “มันตลกดี ข้อหานี้ปล่อยให้ใครก็ได้ไปแจ้งความ ที่ไหนก็ได้ มันเปิดโอกาสมากเกินไป และมาแจ้งกล่าวหาผมไกลมาก ถึงจังหวัดเชียงราย” ซึ่งทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางและที่พัก ทั้งยังต้องลางานอย่างน้อย 2 วัน เพื่อเดินทางไปตามนัดคดีในแต่ละครั้ง

พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี

ร.ต.ท.คมสันต์ ศรีทอง พนักงานอัยการจังหวัดเชียงราย บรรยายฟ้องมีเนื้อหาโดยสรุปว่า

เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2564 จำเลยเป็นผู้ใช้เฟซบุ๊กบัญชีชื่อเหมือนชื่อของฉัตรมงคล พิมพ์ข้อความคอมเมนต์ต่อจากโพสต์ของเพจเฟซบุ๊ก ชื่อ “ศรีสุริโยไท” ซึ่งเป็นเพจแบบเปิดเป็นสาธารณะ ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงเพจเฟซบุ๊กดังกล่าวและเห็นข้อความคอมเมนต์ที่จําเลยพิมพ์ได้ ซึ่งข้อความดังกล่าวทําให้ประชาชนทั่วไปที่พบเห็นเข้าใจได้ว่า พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 นั้นเป็นคนไม่ดี มักมากในกามารมณ์

การกระทำดังกล่าวเป็นการใส่ความ หมิ่นประมาท พระมหากษัตริย์ต่อบุคคลที่สามและประชาชนทั่วไป ทําให้พระมหากษัตริย์ต้องเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์, นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง และเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง

(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดเชียงราย หมายเลขคดีดำที่ อ.459/2565 ลงวันที่ 18 พ.ค. 2565)

ความคืบหน้าของคดี

  • เวลา 10.00 น. ที่ สภ.เมืองเชียงราย ฉัตรมงคล วัลลีย์ เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกในข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งมีนัธทวัฒน์ ชลภักดี เป็นผู้กล่าวหา

    ก่อนหน้านี้ฉัตรมงคลได้รับหมายเรียกจาก สภ.เมืองเชียงราย ลงวันที่ 11 ต.ค. 2564 ให้เข้าพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 20 ต.ค. 2564 แต่เขายังไม่สามารถเดินทางไปตามนัดได้ โดยขอเลื่อนการรับทราบข้อกล่าวหาออกไปเป็นในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากต้องลางานล่วงหน้าอย่างน้อย 2 วัน แต่พนักงานสอบสวนยืนยันให้มาพบในเดือนตุลาคม และได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาครั้งที่ 2 ฉัตรมงคลและทนายความจึงได้ประสานนัดหมายเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันนี้ โดยเขาต้องเดินทางจากกรุงเทพฯ มาที่จังหวัดเชียงราย ล่วงหน้า 1 วัน

    ร.ต.อ.เกียรติพงษ์ ติ๊บมา รองสารวัตรสอบสวน สภ.เมืองเชียงราย ได้เป็นตัวแทนคณะทำงานของตำรวจในคดีนี้ แจ้งข้อกล่าวหาต่อฉัตรมงคล โดยมีทนายความเข้าร่วมรับฟังการสอบสวน

    พฤติการณ์ข้อกล่าวหาระบุว่าเมื่อประมาณปี 2562 นัธทวัฒน์ ผู้กล่าวหาได้ก่อตั้งและดูแลเพจเฟซบุ๊ก ชื่อ “ศรีสุริโยไท” จนในวันที่ 17 พ.ค. 2564 เวลาประมาณ 14.00 น. นัธทวัฒน์ได้โพสต์ข้อความว่า “เป็นกำลังใจให้พวกเราด้วยนะครับ หัวใจของเราคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สิ่งที่พวกเราต้องการที่สุดคือกำลังใจ ไม่มีแบ่งพรรค แบ่งพวก แบ่งสี” ในเพจ

    ต่อมาผ่านไป 2 ชั่วโมง เวลาประมาณ 16.00 น. ได้เปิดดูเพจดังกล่าว พบว่ามีผู้ใช้เฟซบุ๊กบัญชีชื่อเดียวกับฉัตรมงคล ได้คอมเมนต์ข้อความในโพสต์ดังกล่าว ซึ่งนัธทวัฒน์เห็นว่าเป็นข้อความที่หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ จึงได้มาร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงราย เพื่อให้ดำเนินคดีผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าว

    พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาฉัตรมงคลในข้อหา "หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ" ฉัตรมงคลได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และจะให้การเพิ่มเติมเป็นหนังสือต่อไปภายใน 30 วัน ก่อนตำรวจได้ให้ฉัตรมงคลพิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อตรวจสอบประวัติอาชญากรรม และให้ลงบันทึกประจำวันไว้

    ในตอนแรก พนักงานสอบสวนระบุว่าคณะทำงานในคดี ได้มีความเห็นว่าจะให้ส่งตัวผู้ต้องหาไปขอฝากขังต่อศาลจังหวัดเชียงราย แต่หลังการพูดคุย และพนักงานสอบสวนเห็นว่าผู้ต้องหาเดินทางมาพบตามหมายเรียก ไม่มีพฤติการณ์จะหลบหนี และยืนยันจะมาตามนัดหมาย จึงจะให้ปล่อยตัวไปโดยไม่มีการควบคุมตัวไว้ พร้อมกำหนดวันนัดหมายเพื่อมาส่งสำนวนคดีให้กับอัยการต่อไปในวันที่ 8 ธ.ค. 2564

    ฉัตรมงคลเปิดเผยความรู้สึกหลังเข้ารับทราบข้อกล่าวหาว่า เขารู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ที่ถูกดำเนินคดี เพราะตอนนี้ก็ไม่ค่อยได้มีบทบาทในการเคลื่อนไหวทางการเมือง และเขาก็อยู่เงียบๆ มาพักใหญ่แล้ว แต่กลับถูกกล่าวหาในข้อหามาตรา 112 ไกลถึงจังหวัดเชียงราย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวกับคดีที่เกิดขึ้น พร้อมจะต่อสู้คดีต่อไป ปัญหาสำคัญคือมีการดำเนินคดีในพื้นที่ที่ไกลจากภูมิลำเนาที่เขาอยู่ ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางและที่พัก ทั้งยังทำให้เขาต้องลางานอย่างน้อย 2 วัน เพื่อเดินทางมาที่เชียงราย จึงกังวลเรื่องผลกระทบต่อการทำงานที่อาจเกิดขึ้น

    “มันตลกดี ข้อหานี้ปล่อยให้ใครก็ได้ไปแจ้งความ ที่ไหนก็ได้ มันเปิดโอกาสมากเกินไป และมาแจ้งกล่าวหาผมไกลมาก ถึงจังหวัดเชียงราย” ฉัตรมงคลกล่าว

    ฉัตรมงคลระบุว่า เขาเคยถูกกล่าวหาในคดีชุมนุมคนอยากเลือกตั้ง 2 คดี แต่คดีได้สิ้นสุดไปแล้ว โดยศาลยกฟ้องทั้งหมด ขณะนี้ยังเหลือคดีทำกิจกรรม “ปาไข่-สาดสี” ที่หน้า ม.พัน 4 รอ. เหตุทวงถามการลงโทษทหารล็อกคอผู้ชุมนุม เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2563 ซึ่งเขาเพิ่งถูกจับกุมไปสั่งฟ้องคดีต่อศาลอาญา เมื่อช่วงวันที่ 1 ต.ค. 2564 ซึ่งต้องต่อสู้คดีในชั้นศาลต่อไปอีก

    ฉัตรมงคลเคยเข้าร่วมการเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาธิปไตยศึกษา ที่นำโดย “จ่านิว” สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ในช่วงยุค คสช. และเข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งในช่วงปี 2561 ต่อมาเขาระบุว่าได้ลดการเคลื่อนไหวทางการเมืองลง และเน้นประกอบอาชีพเพื่อหารายได้และดูแลครอบครัว โดยเขาทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย ในย่านจังหวัดปทุมธานี มาราวเกือบ 1 ปีแล้ว

    (อ้างอิง: บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา สภ.เมืองเชียงราย ลงวันที่ 1 พ.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/37257)
  • ฉัตรมงคลเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนตามนัดส่งสำนวนให้อัยการ แต่ ร.ต.อ.เกียรติพงษ์ พนักงานสอบสวน ได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมโดยระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาเช่นเดิม ระบุเพิ่มเติมว่า ตามที่เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2564 ได้แจ้งข้อกล่าวหาฉัตรมงคลว่า หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ นั้น ด้วยความผิดฐานดังกล่าวเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง จึงถือว่าเป็นการนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง

    และได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมว่า พฤติการณ์และการกระทําของฉัตรมงคลเป็นความผิดฐาน "นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงฯ และเผยแพร่ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงฯ" ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3),(5)

    ฉัตรมงคลยืนยันให้การปฏิเสธ พนักงานสอบสวนนัดส่งสำนวนอัยการในวันที่ 24 ธ.ค. 2564

    (อ้างอิง: บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม สภ.เมืองเชียงราย ลงวันที่ 8 ธ.ค. 2564)
  • ฉัตรมงคลเดินทางเข้ารายงานตัวต่อพนักงานอัยการจังหวัดเชียงราย พร้อมยื่นหนังสือเลื่อนนัดครั้งต่อไป โดยให้ทนายความรับคำสั่งแทน จนกว่าอัยการจะมีคำสั่งฟ้อง ระบุเหตุผลว่า เนื่องจากผู้ต้องหามีภูมิลําเนาอยู่ที่กรุงเทพฯ และเป็นผู้มีรายได้น้อย การเดินทางมาที่จังหวัดเชียงรายมีความยากลําบาก เนื่องจากไม่มีรถยนต์ส่วนตัว และค่าเดินทางมาสูงมาก อีกทั้งจะต้องลางาน ประกอบกับยังมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

    อัยการนัดครั้งต่อไปวันที่ 24 ก.พ. 2565 เวลา 09.30 น.
  • พนักงานอัยการจังหวัดเชียงรายยังไม่มีคำสั่ง นัดครั้งต่อไปวันที่ 24 มี.ค. 2565 โดยฉัตรมงคลไม่ต้องมารายงานตัวเอง
  • ที่ศาลจังหวัดเชียงราย พนักงานอัยการจังหวัดเชียงรายยื่นฟ้องฉัตรมงคลในข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14

    หลังฉัตรมงคลพร้อมด้วยทนายความเดินทางเข้ารายงานตัวตามการนัดหมายของพนักงานอัยการเพื่อส่งฟ้องผู้ต้องหา ก็ได้รับแจ้งให้เดินทางไปที่ศาลจังหวัดเชียงราย เพื่อเข้าสู่กระบวนการส่งฟ้อง จนกระทั่งเวลาประมาณ 11.50 น. ฉัตรมงคลได้ถูกนำตัวเข้าไปควบคุมไว้ภายในห้องควบคุมตัวของศาลจังหวัดเชียงราย และได้รับสำเนาคำฟ้องซึ่ง ร.ต.ท.คมสันต์ ศรีทอง พนักงานอัยการจังหวัดเชียงราย บรรยายพฤติการณ์ที่ฉัตรมงคลถูกกล่าวหาโดยสรุปว่า

    เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2564 จำเลยได้พิมพ์ข้อความคอมเมนต์ต่อจากโพสต์ของเพจ “ศรีสุริโยไท” ทําให้ประชาชนทั่วไปที่พบเห็นเข้าใจได้ว่า พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 นั้นเป็นคนไม่ดี มักมากในกามารมณ์ อันเป็นการใส่ความ หมิ่นประมาท พระมหากษัตริย์ต่อบุคคลที่สามและประชาชนทั่วไป

    ทั้งนี้ ท้ายคำฟ้อง อัยการไม่ได้คัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นพิจารณาคดี

    ระหว่างที่ฉัตรมงคลถูกควบคุมตัวอยู่ ทนายความก็ได้ยื่นคำร้องเพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยระหว่างการพิจารณาคดีให้ศาลจังหวัดเชียงรายพิจารณา จนกระทั่งเวลาประมาณ 16.30 น. ศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวฉัตรมงคลตามที่ทนายยื่นคำร้อง ด้วยหลักทรัพย์จำนวน 150,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์ ทำให้ฉัตรมงคลได้รับการปล่อยตัวหลังถูกควบคุมตัวไว้กว่า 4 ชั่วโมง

    นับตั้งแต่ถูกดำเนินคดี ฉัตรมงคลต้องเดินทางไกลจากที่พักในกรุงเทพฯ เพื่อมาต่อสู้คดีที่จังหวัดเชียงรายรวม 4 รอบแล้ว

    สำหรับฉัตรมงคล ปัจจุบันประกอบอาชีพพนักงานรักษาความปลอดภัยในจังหวัดปทุมธานี ก่อนหน้านี้เขาเคยเข้าร่วมการเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาธิปไตยศึกษา ที่นำโดย “จ่านิว” สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ในช่วงยุค คสช. และเข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งในช่วงปี 2561 ต่อมาเขาระบุว่าได้ลดการเคลื่อนไหวทางการเมืองลง และเน้นประกอบอาชีพเพื่อหารายได้และดูแลครอบครัว

    (อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดเชียงราย หมายเลขคดีดำที่ อ.459/2565 ลงวันที่ 18 พ.ค. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/43844)
  • ศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง ก่อนถามคำให้การ จําเลยให้การปฏิเสธ และแถลงว่า จะนําพยานหลักฐานเข้าสืบหักล้างว่า จําเลยไม่ได้กระทําความผิดตามฟ้อง เนื่องจากเฟซบุ๊กที่โพสต์ข้อความตามฟ้องมิใช่ของจําเลย และข้อความที่โพสต์ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

    โจทก์แถลงขอสืบพยานบุคคล 11 ปาก ได้แก่ ผู้กล่าวหา, แอดมินเพจ ศรีสุริโยไท, พยานความเห็น, ชุดสืบสวน และพนักงานสอบสวน ใช้เวลาสืบไม่เกิน 2 นัดครึ่ง

    ทนายจําเลยแถลงขอสืบพยานบุคคล 4 ปาก ได้แก่ จําเลย, พยานที่จะนํามาเบิกความเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต และมาตรา 112 ใช้เวลาสืบไม่เกิน 1 นัด นัดสืบพยานวันที่ 20-23 ธ.ค. 2565

    (อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลจังหวัดเชียงราย หมายเลขคดีดำที่ อ.459/2565 ลงวันที่ 19 ส.ค. 2565)
  • พนักงานอัยการนำพยานโจทก์เข้าเบิกความรวม 7 ปาก ได้แก่ ผู้กล่าวหา, แอดมินเพจเฟซบุ๊ก “ศรีสุริโยไท”, นักวิชาการทางด้านกฎหมาย, นักวิชาการทางด้านภาษา, เจ้าพนักงานสืบสวน และพนักงานสอบสวน โดยฝ่ายจำเลยได้รับคำให้การพยานโจทก์ 2 ปาก ได้แก่ แอดมินเพจร่วมและพนักงานสอบสวน ที่มีเนื้อหาคล้ายกันกับพยานที่เข้าเบิกความแล้ว ทำให้โจทก์ไม่ต้องนำพยานมาสืบ

    นอกจากนั้น ยังมีข้อสังเกตว่าอัยการไม่นำสืบพยานนักวิชาการด้านนิติศาสตร์อีกหนึ่งปากที่เดิมระบุในบัญชีพยานโจทก์ เนื่องจากพบว่าเคยให้การในชั้นสอบสวนในประเด็นคำว่า “ในหลวง” นั้น ว่าไม่ได้หมายถึงแค่พระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบันเท่านั้น อาจหมายถึงพระมหากษัตริย์องค์ใดก็ได้

    ส่วนฝ่ายจำเลยนำพยานเข้าเบิกความทั้งหมด 2 ปาก ได้แก่ จำเลยอ้างตนเป็นพยาน และผู้เชี่ยวชาญทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ โดยต่อสู้ว่าไม่ได้เป็นผู้คอมเมนต์ข้อความดังกล่าว เนื่องจากไม่ได้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กตามที่ถูกกล่าวหา ทั้งพยายามชี้ถึงปัญหาความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ของโจทก์

    ++ผู้กล่าวหา–แอดมินเพจโพสต์กิจกรรมในกลุ่ม จนมีคนมาคอมเมนต์ จึงนำมาแจ้งความ แต่ไม่มีพยานหลักฐานระบุตัวบุคคล

    นัธทวัฒน์ ชลภักดี และมนัส เหล่าสุนทรวณิช สองผู้ดูแลเพจเฟซบุ๊ก “ศรีสุริโยไท” ซึ่งเป็นเพจที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมจิตอาสา เผยแพร่การปฏิบัติพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ และราชวงศ์ ซึ่งเพจนี้ก่อตั้งในปี 2562 จนถึงปัจจุบัน

    ทั้งสองเบิกความโดยสรุปทำนองเดียวกันว่า ในวันที่ 17 พ.ค. 2564 วันเกิดเหตุ พยานได้นำกิจกรรมของทางกลุ่มมาโพสต์ลงในเพจ มีข้อความว่า “เป็นกำลังใจให้เราด้วยนะครับ หัวใจของพวกเราคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สิ่งที่พวกเราต้องการที่สุดก็คือกำลังใจ ไม่แบ่งพรรค แบ่งพวก แบ่งสี” จากนั้นมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งเข้ามาแสดงความคิดเห็นในโพสต์ ข้อความว่า “ในหลวงก็แค่คนติด*” พยานทนไม่ได้จึงไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในวันที่ 20 พ.ค. 2564

    ต่อมาจึงได้เข้าไปตรวจสอบผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นดังกล่าว พบว่าในหน้าโปรไฟล์ขึ้นสถานะกำลังคบหากับบุคคลหนึ่งอยู่ จึงได้ติดต่อพูดคุยทางแชทถามว่า “รู้จักกับผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้มาก่อนหรือไม่” ได้คำตอบว่า “ใช่ รู้จักมาก่อน”

    ในหน้าบัญชีของผู้ใช้เฟซบุ๊กที่กำลังคบหาอยู่กับผู้ต้องหานั้น ระบุว่ากำลังศึกษาอยู่ในสถานศึกษาแห่งหนึ่ง พยานจึงเข้าติดต่อพูดคุยกับผู้อำนวยการสถานศึกษาดังกล่าว ผ่านช่องทางไลน์ ต่อมาผู้อำนวยการแจ้งกลับมาว่า สามารถตรวจสอบจนรู้ข้อมูลได้และได้มีการเชิญผู้ปกครองมาสอบถามข้อมูล

    ขณะที่มีการสอบถามข้อมูลนั้น พยานไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ และไม่มีพยานหลักฐานอ้างส่งต่อศาลด้วย เนื่องจากฝ่ายโจทก์ไม่ได้ยื่นเข้ามาในวันนัดตรวจพยานหลักฐาน

    พยานตอบทนายจำเลยถามค้านโดยรับว่า หลักฐานที่เป็นภาพหน้าบัญชีเฟซบุ๊กที่นำไปมอบให้พนักงานสอบสวนมาจากแคปหน้าจอโทรศัพท์ ไม่ได้พิมพ์ออกจากเว็บบราวเซอร์ จึงไม่มีข้อมูล URL รวมไปถึง IP Address ด้วย

    พยานรับว่า เมื่อพิมพ์ชื่อเฟซบุ๊กซึ่งเป็นชื่อของจำเลยในหน้าค้นหา พบว่าจะมีบัญชีที่มีชื่อเหมือนกันอยู่หลายบัญชี แต่มีความต่างกันที่ข้อมูลหน้าโปรไฟล์เฟซบุ๊กซึ่งไม่เหมือนกัน สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือชื่อบัญชีเฟซบุ๊กเท่านั้น

    พยานทราบว่า การสร้างบัญชีเฟซบุ๊กสามารถตั้งชื่อซ้ำกันได้ และสามารถนำรูปโปรไฟล์ของคนอื่นมาตั้งเป็นรูปในบัญชีของตนเองได้ด้วย

    ขณะที่ในเรื่องการไปพูดคุยกับผู้อำนวยการสถานศึกษาที่พยานเบิกความนั้น ก็ไม่ได้มีการเชิญมาสอบปากคำแต่อย่างใด และไม่มีประวัติการติดต่อกันนั้นมาแสดงต่อศาล

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/54702)
  • ++พยานนักวิชาการด้านกฎหมาย ระบุข้อความเป็นการดูหมิ่น และสื่อถึงรัชกาลปัจจุบัน

    อภิชัย พรมมินทร์ ประกอบอาชีพทนายความ และ สุรชัย อุฬารวงศ์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เบิกความต่อศาลทำนองเดียวกันว่า ในช่วงปลายปี 2564 พนักงานสอบสวนเชิญพยานมาให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อความดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ในเฟซบุ๊ก พยานได้เห็นข้อความคอมเมนต์และได้ตรวจสอบแล้วให้ความเห็นว่า พระมหากษัตริย์อยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน ไม่อาจดูหมิ่น หรืออาฆาตได้ และเห็นว่าโพสต์ดังกล่าวเป็นความผิด

    พยานเห็นว่า คำว่า “ในหลวง” คือพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นสถาบันสูงสุดของทุกสถาบัน และย่อมหมายความถึงพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน คือรัชกาลที่ 10

    สุรชัยยังเบิกความเพิ่มเติมว่า หากแปลความหมายให้เป็นพระมหากษัตริย์ที่ไม่ใช่รัชกาลปัจจุบัน ต้องมีปัจจัยจากบริบทการพูดคุย รูปประโยค หรือสถานการณ์ขณะนั้นร่วมด้วย เช่น ระบุว่า “ในหลวง ร.9” แต่หากคำว่า “ในหลวง” อย่างเดียวย่อมหมายถึงพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน

    อย่างไรก็ดี อภิชัยตอบทนายจำเลยถามค้านรับว่า พยานไม่ทราบว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นเรื่องการดูหมิ่น หมิ่นประมาท ซึ่งต้องใช้หลักการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 และ 326 ซึ่งเป็นหลักการเรื่องดูหมิ่นตามหลักทั่วไปมาเทียบเคียง

    ตามหลักแล้วการดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาท ต้องเป็นการกล่าวถึงบุคคลใดอย่างชัดเจน แต่ตามข้อความดังกล่าวแล้ว ไม่มีการกล่าวถึงพระมหากษัตริย์รัชกาลใดเป็นการเฉพาะ

    ส่วนสุรชัยตอบทนายถามค้านว่า ตอนที่พยานไปให้การกับพนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ให้ตนตรวจสอบแค่ข้อความเพียงอย่างเดียว ไม่มีคลิปวิดีโอ หรือบริบทอื่นๆ

    พยานยังรับว่าข้อความที่เพจ “ศรีสุริโยไท” ได้โพสต์กิจกรรมของกลุ่ม และต่อมามีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งเข้ามาคอมเมนต์ข้อความดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ไม่มีความสัมพันธ์หรือเชื่อมโยงกับตัวโพสต์แต่อย่างใด

    ตามความเห็นของพยาน ในหลวงรัชกาลก่อนหน้ารัชกาลปัจจุบัน ประชาชนทั่วๆ ไปก็เรียกพระองค์ท่านว่า “ในหลวง” และรับว่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้นมุ่งคุ้มครองเพียงพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบันเท่านั้น

    ++พยานนักวิชาการด้านภาษา เพียงแค่ดูข้อความ เข้าใจว่าผู้โพสต์ข้อความหมิ่นกษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน

    อาภิสรา พลนรัตน์ ผู้ช่วยคณบดี และเป็นอาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เบิกความต่อศาลว่า ในช่วงเดือนธันวาคม 2564 พนักงานสอบสวนมีหนังสือขอความร่วมมือให้พยานช่วยแปลข้อความ โดยพนักงานสอบสวนให้พยานตรวจสอบแค่ข้อความ แต่พยานไม่เห็นว่ามีภาพถ่ายของข้อความ บริบท หรือสถานการณ์อื่น ๆ ว่ามีความเป็นไปเป็นมาอย่างไร

    พยานเห็นว่าคำว่า “ในหลวง” ตามความเข้าใจในภาษาปากสามารถเข้าใจได้ว่าเป็นพระมหากษัตริย์ แต่ไม่ได้ระบุถึงพระมหากษัตริย์รัชกาลใด ทั้งนี้ ตามความเข้าใจของพยานคือพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน เมื่อพยานตรวจสอบข้อความทั้งหมดแล้ว สามารถแปลข้อความโดยมีความหมายไปในทางดูหมิ่นพระมหากษัตริย์

    อย่างไรก็ตาม พยานได้ตอบทนายจำเลยถามค้านรับว่า การตีความข้อความ หรือประโยคสามารถตีความให้มีความหมายที่หลากหลายได้ ขึ้นอยู่กับบริบทของประโยคนั้น ๆ ซึ่งทางพนักงานสอบสวนเพียงแค่ให้พยานดูแค่ตัวข้อความ แต่ไม่ได้ให้เห็นถึงสถานการณ์ หรือเนื้อหาอย่างอื่นเข้ามาประกอบ เพื่อให้พยานทำการแปล

    ทั้งนี้ การตีความนั้นไม่สามารถแปลความหมายออกมาได้อย่างชัดเจนตามที่เห็นได้ พยานแปลไปเท่าที่เห็น ไม่มีรายละเอียดของข้อเท็จจริงอื่นๆ มาประกอบ

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/54702)
  • ++ตำรวจตรวจสอบเฟซบุ๊ก–ข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของจำเลย เชื่อได้ว่าเป็นจำเลย แม้ไม่อาจตรวจสอบได้ว่าจำเลยใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวหรือไม่ ทั้งพบเฟซบุ๊กชื่อคล้ายกันหลายบัญชี

    ร.ต.อ.ศุภากร ภัทรสุขเกษม รองสารวัตรสืบสวน สภ.เมืองเชียงราย เบิกความต่อศาลโดยสรุปว่า ในวันที่ 20 พ.ค. 2564 พยานได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ทำการตรวจสอบข้อความหมิ่นประมาทต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งพบเห็นใต้โพสต์ในเพจเฟซบุ๊ก “ศรีสุริโยไท” โดยต้นโพสต์เป็นคลิปแนะนำตัวของสมาชิกกลุ่ม ความยาวประมาณ 53 นาที

    ต่อมาวันที่ 26 พ.ค. 2564 พยานได้ทำการตรวจสอบเฟซบุ๊กของผู้ที่คอมเมนต์ พบข้อมูลหน้าโปรไฟล์เฟซบุ๊กบัญชีดังกล่าวและทำการเก็บบันทึกไว้ จากนั้นในวันรุ่งขึ้น พยานได้เข้าไปค้นข้อมูลในระบบทะเบียนราษฎร์โดยใช้ชื่อจากชื่อบัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าว พบว่า มีข้อมูลในสารบบ 1 ชื่อ พบทั้งชื่อจริงและภูมิลำเนา จึงเชื่อว่าเป็นคน ๆ เดียวกันกับผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กที่มาคอมเมนต์ ซึ่งเป็นจำเลยในคดีนี้

    ในวันเดียวกันพยานได้ตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวของจำเลยพบว่า ทำงานอยู่ในบริษัทรักษาความปลอดภัยแห่งหนึ่ง ต่อมาในวันที่ 30 พ.ค. 2564 พยานได้เข้าไปตรวจสอบบัญชีเฟซบุ๊กของผู้ที่มาคอมเมนต์อีกครั้ง พบว่ามีการโพสต์เนื้อหาที่เกี่ยวกับการเมือง และโพสต์เกี่ยวกับเรื่องงบประมาณในส่วนของพระมหากษัตริย์เป็นส่วนใหญ่ เมื่อพยานได้รวบรวมหลักฐานต่างๆ จึงจัดทำรายงานการสืบสวน แล้วส่งต่อให้ พ.ต.ท.เกรียงศักดิ์ มณีจันสุข จากนั้นพยานไม่ได้ทำหน้าที่สืบสวนต่อ พยานได้ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนคนอื่นรับหน้าที่ต่อไป

    ทั้งนี้ พยานเบิกความตอบคำถามค้านรับว่า พยานไม่เคยรับผิดชอบคดีที่ต้องมีการรวบรวมพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์มาก่อน และไม่เคยเข้าร่วมการอบรมจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการรวบรวมพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์มาก่อนเช่นกัน

    พยานไม่ทราบว่า ขั้นตอนการตรวจสอบพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์นั้น จำเป็นต้องส่งหลักฐานให้ บก.ปอท. (กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี) ตรวจสอบด้วย

    พยานเป็นผู้จัดทำเอกสารหน้าโปรไฟล์เฟซบุ๊กที่คาดว่าเป็นของจำเลยนั้น ซึ่งเอกสารดังกล่าวไม่มีข้อมูล URL ข้อมูลวันที่ และหน้าที่พิมพ์อยู่เลย ทั้งพยานไม่ทราบว่าการเก็บหลักฐานโดยการแคปหน้าจอโทรศัพท์แล้วนำภาพที่ได้มาใส่ในโปรแกรม Word แล้วทำการพิมพ์ออกมา จะทำให้หลักฐานที่ได้มานั้นไม่น่าเชื่อถือ

    อีกทั้งเฟซบุ๊กดังกล่าวที่พยานตรวจสอบไม่ปรากฏข้อมูล IP Address ที่ชัดเจน ว่าบัญชีดังกล่าวเป็นของผู้ใด และจากการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด พยานไม่สามารถยืนยันได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดจริงหรือไม่

    พยานยังรับว่า เมื่อเอาชื่อของจำเลยคดีนี้ไปค้นหาในเฟซบุ๊ก จะพบว่ามีบัญชีเฟซบุ๊กถึง 6 บัญชี แต่เมื่อเอาชื่อจากบัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าวทั้งหมดไปค้นหาในทะเบียนราษฎรจะแสดงข้อมูลส่วนตัวของจำเลย และทั้ง 6 บัญชี พยานไม่ได้เข้าไปตรวจสอบทั้งหมด

    พยานทราบว่าสามารถนำภาพในบัญชีเฟซบุ๊กของคนอื่นมาใช้เป็นภาพโปรไฟล์ของตนเองได้

    ร.ต.อ.เกียรติพงษ์ ติ๊บมา พนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงราย เบิกความต่อศาลว่า เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2564 นัธทวัฒน์ ผู้กล่าวหา ได้มาแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีฉัตรมงคล วัลลีย์ ในฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ จึงได้ทำการสอบปากคำผู้กล่าวโทษไว้เป็นหลักฐาน และผู้กล่าวหาได้มอบหลักฐานเป็นภาพหน้าบัญชีโปรไฟล์เฟซบุ๊กและภาพข้อความดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ไว้ในวันเดียวกัน

    พยานได้ทำหนังสือถึงกระทรวง ICT และ ปอท. ซึ่งต่อมาได้รับหนังสือแจ้งกลับมาว่า การตรวจสอบผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กนั้น เป็นข้อมูลที่บริษัทเฟซบุ๊กไม่อาจเปิดเผยได้ พยานจึงไม่อาจตรวจสอบได้

    ต่อมาเมื่อพยานรวบรวมหลักฐานแล้ว จึงออกหมายเรียกจำเลยมารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 1 พ.ย. 2564 ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จำเลยให้การปฏิเสธ และต่อมาในวันที่ 8 ธ.ค. 2564 พยานเรียกจำเลยมาสอบสวนและแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) จำเลยให้การปฏิเสธ โดยจำเลยได้ให้การเพิ่มเติม ว่าเปิดบัญชีเฟซบุ๊กในชื่อ “ฉัตรมงคล วัลลีย์” มาได้ 7 ครั้ง และจำเลยใช้บัญชีอยู่แค่บัญชีเดียว พยานจึงขอตรวจสอบบัญชีเฟซบุ๊กจากโทรศัพท์ของจำเลย จำเลยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พร้อมทั้งได้ถ่ายภาพและถ่ายคลิปการตรวจสอบครั้งนี้ไว้ด้วย

    พยานตอบทนายจำเลยถามค้านรับว่า หลักฐานที่ผู้กล่าวหานำมามอบให้แก่พยานนั้น มาจากการแคปหน้าจอโทรศัพท์ ส่งผลให้ไม่มีข้อมูล URL อีกทั้งในเอกสารไม่ได้ระบุว่าผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กเป็นจำเลยได้อย่างชัดเจน พนักงานสืบสวนก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าวคือจำเลยหรือไม่

    ตามที่พยานเบิกความไปว่า ได้ส่งหลักฐานให้หน่วยงาน ICT หรือ ปอท. ไปตรวจสอบ ผลปรากฏว่าข้อมูลอยู่ต่างประเทศไม่สามารถตรวจสอบได้ จึงไม่อาจสรุปว่าผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าวจะเป็นจำเลยหรือไม่ก็ได้

    ในตอนที่พยานได้ทำการตรวจสอบเฟซบุ๊กจากโทรศัพท์ จำเลยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และบัญชีเฟซบุ๊กที่จำเลยใช้อยู่ไม่ตรงกับบัญชีที่ผู้กล่าวหานำมามอบให้ ส่วนเฟซบุ๊กที่ผู้กล่าวหานำมามอบนั้น จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ใช่ของตนเอง

    พยานโจทก์ทุกปากที่พนักงานสอบสวนได้นำมาสอบปากคำ ทั้งหมดเพียงแค่ดูรูปโปรไฟล์จากบัญชีเฟซบุ๊ก และภาพจากทะเบียนราษฎรเท่านั้น

    พยานรับว่าได้เรียกให้ ติณเมธ วงศ์ใหญ่ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มาให้ปากคำในประเด็น คำว่า “ในหลวง” ด้วย โดยอาจารย์ให้ความเห็นไปในลักษณะเห็นว่าข้อความตามข้อกล่าวหานี้ไม่ได้หมายรวมแค่พระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบันแต่เพียงเท่านั้น แต่หมายความรวมถึงพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ก็ได้

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/54702)
  • ++จำเลยเบิกความไม่ได้เป็นเจ้าของเฟซบุ๊กตามฟ้อง เคยสมัครบัญชีใหม่หลายครั้ง แต่ใช้แค่บัญชีเดียว

    ฉัตรมงคล วัลลีย์ เบิกความต่อศาลว่า พยานมาทราบว่ามีเหตุเกิดขึ้นในลักษณะตามข้อกล่าวหาเมื่อตอนถูกดำเนินคดีแล้ว เนื่องจากมีข้อความคอมเมนต์ในเพจเฟซบุ๊กที่ไม่เคยเห็นมาก่อน โดยส่วนตัวพยานจะไม่กล้าโพสต์แสดงความคิดเห็นเช่นนี้แน่นอน เพราะตนเคยเห็นคนอื่น ๆ โดนดำเนินคดีมาตรา 112 พยานกลัวจะถูกดำเนินคดีเช่นกัน ซึ่งหน้าบัญชีเฟซบุ๊กตามที่ผู้กล่าวหานำไปมอบให้พนักงานสอบสวนนั้นไม่ใช่ของตน อีกทั้งพยานไม่ได้คบหากับบุคคลที่ผู้กล่าวหาอ้าง

    ตอนที่ไปรับทราบข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่เพียงแค่ยื่นเอกสารบัญชีเฟซบุ๊กให้ตนยืนยัน พยานตอบไปว่า ชื่อเฟซบุ๊กและรูปโปรไฟล์เป็นของตน แต่พยานไม่ได้ใช้เฟซบุ๊กนี้ หากใช้บัญชีเฟซบุ๊กอีกบัญชีหนี่งตามที่ได้เปิดให้พนักงานสอบสวนตรวจสอบในวันนั้นเลย เหตุที่พยานให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และได้ให้การว่าสมัครบัญชีเฟซบุ๊กมาหลายครั้ง เนื่องจากว่าเคยมีบัญชีที่เข้าใช้งานไม่ได้ จึงจำเป็นต้องสมัครบัญชีใหม่ จนมาถึงบัญชีล่าสุด โดยบัญชีนี้ได้เปิดใช้งานมาประมาณ 2-3 ปีแล้ว

    พยานตอบอัยการถามค้าน รับว่าชื่อของบัญชีเฟซบุ๊กและชื่อของพยานนั้นตรงกัน พยานเคยศึกษาตามที่ปรากฏในหน้าโปรไฟล์เฟซบุ๊กที่ผู้กล่าวหามามอบให้พนักงานสอบสวน ซึ่งมีการระบุถึงข้อมูลว่าเคยศึกษาที่ กศน. และข้อมูลโปรไฟล์ระบุถึงบัญชีแอพลิเคชั่นไลน์ ซึ่งพยานไม่ได้ใช้บัญชีไลน์นี้

    พยานรับว่า เคยไปร่วมการชุมนุมทางการเมืองและมีกล่าวปราศรัย แต่ไม่เคยมีการปราศรัยหรือกล่าวโจมตีถึงพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด

    ++พยานผู้เชี่ยวชาญด้านอิเล็กทรอนิกส์ ชี้การเก็บหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ เก็บด้วยวิธีการเฉพาะ หลักฐานผู้กล่าวหาในคดีนี้ไม่น่าเชื่อถือ

    พยานผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทำงานในฐานะโปรแกรมเมอร์โครงการติดตามสปายแวร์ที่ชื่อ “เพกาซัส” ของโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อประชาชน (iLaw) เบิกความต่อศาลว่า ในกรณีที่เจ้าหน้าที่พบพยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องการจัดเก็บ ต้องพิมพ์เอกสารดังกล่าวจากคอมพิวเตอร์ โดยใช้เว็บบราวเซอร์ หากพิมพ์ข้อมูลด้วยวิธีนี้แล้วจะทำให้เอกสารที่พิมพ์ออกมานั้นปรากฏ URL ของเว็บไซต์ วันที่ และเวลาที่พิมพ์เอกสาร โดยจะทำให้เอกสารมีความน่าเชื่อถือมากกว่าการแคปหน้าจอ

    กรณีที่เป็นการโพสต์ข้อความต่างๆ หากจะให้ทราบโดยละเอียดว่าบุคคลใดเป็นผู้โพสต์ จำเป็นต้องทราบ IP address ของผู้ใช้บัญชีนั้นก่อน ซึ่งการทราบ IP address ส่งผลให้ทราบตำแหน่งของผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าว ซึ่งจะทำให้สามารถนำไปขอหมายค้นต่อไปได้ จากนั้นเจ้าหน้าที่จะมีการยึดคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบได้ ซึ่งจะทำให้เจ้าพนักงานตำรวจสามารถตรวจสอบข้อมูลพยานหลักฐานที่อยู่ในอุปกรณ์เหล่านั้นได้

    ตามภาพโปรไฟล์เฟซบุ๊กที่ผู้กล่าวหานำไปมอบให้พนักงานสอบสวน เป็นภาพที่ได้มาจากการแคปหน้าจอโทรศัพท์มือถือ และน่าจะนำมาวางในโปรแกรม Word ทำให้ภาพไม่มีข้อมูล URL ทำให้ยากต่อการกลับไปตรวจสอบอีกครั้ง และการแคปภาพจากหน้าจอโทรศัพท์สามารถทำการตกแต่ง และแก้ไขภาพได้ ตามแอพพลิเคชั่นของโทรศัพท์เครื่องนั้น ๆ และหากใช้โปรแกรม Word ซึ่งสามารถแก้ไขตกแต่งรูปภาพได้เช่นกัน สามารถทำได้ไม่ยาก เพราะเป็นโปรแกรมพื้นฐาน

    ตามความเห็นของพยานแล้ว มองว่า เอกสารที่ผู้กล่าวแคปหน้าจอแล้วไปมอบให้พนักงานสอบสวน รวมทั้งประวัติการโพสต์ของเฟซบุ๊กที่อ้างว่าเป็นของจำเลยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำเข้าสำนวน โดยทั้งหมดมาจากการแคปหน้าจอโทรศัพท์มือถือนั้นมีความน่าเชื่อถือน้อย เพราะสามารถถูกนำไปแก้ไขตกแต่งด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ได้ ทั้งโปรแกรมพื้นฐาน เช่น โปรแกรม Word หรือ Power Point หรือ Photoshop ได้
    .
    หลังสืบพยานเสร็จสิ้น ศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 27 มี.ค. 2566 เวลา 09.00 น.

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/54702)
  • เวลา 09.00 น. ฉัตรมงคลเดินทางมาจากจังหวัดปทุมธานีเพื่อฟังคำพิพากษา ท่ามกลางสถานการณ์หมอกควันที่เป็นไปอย่างรุนแรงในจังหวัดเชียงราย

    ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน องอาจ เทียนหิรัญ อ่านคำพิพากษายกฟ้องจำเลย เนื้อหาในส่วนคำวินิจฉัย สรุปความได้ว่า พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์แล้วเห็นว่า ไม่มีพยานบุคคลและหลักฐานที่ยืนยันว่าจำเลยกระทำความผิดจริง ที่โจทก์เชื่อว่าจำเลยกระทำผิดมาจากตำรวจชุดสืบสวนที่นำชื่อเฟซบุ๊กที่ถูกกล่าวหา ไปค้นในทะเบียนราษฎร์ของจำเลย แล้วนำมาเปรียบเทียบกับภาพในเฟซบุ๊ก

    เมื่อพิจารณาทางนำสืบของจำเลยที่ชี้ให้เห็นว่าหน้าเฟซบุ๊กมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย โดยไม่ต้องเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ประกอบกับการตรวจสอบเจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กกระทำได้โดยยาก อย่างการที่โจทก์นำส่งเฟซบุ๊กดังกล่าวไปตรวจสอบกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแล้วไม่สามารถยืนยันผู้ใช้งานได้ พยานหลักฐานโจทก์จึงยังไม่เพียงพอรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย พิพากษายกฟ้อง

    สำหรับ “บอส” ฉัตรมงคล มีภูมิลำเนาอยู่อาศัยในกรุงเทพมหานคร และทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่ที่จังหวัดปทุมธานี การถูกกล่าวหาในคดีนี้ตลอด 1 ปี 5 เดือนที่ผ่านมา ทำให้เขาต้องเดินทางไปจังหวัดเชียงรายเพื่อต่อสู้ถึง 7 ครั้ง ประกอบกับบอสมีรายได้ไม่มากนัก ทำให้การต่อสู้คดีมีอุปสรรคอย่างมาก โดยเขาได้รับความช่วยเหลือเรื่องค่าเดินทางจากกองทุนดา ตอร์ปิโด แต่ก็ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ด้วยตนเอง

    (อ้างอิง: คำพิพากษา ศาลจังหวัดเชียงราย หมายเลขคดีดำที่ อ.459/2565 หมายเลขคดีแดงที่ อ.282/2566 ลงวันที่ 27 มี.ค. 2566 และ https://tlhr2014.com/archives/54738)

ชั้นสอบสวน

ผู้ถูกดำเนินคดี :
ฉัตรมงคล วัลลีย์

การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
-

ศาลชั้นต้น

ผู้ถูกดำเนินคดี :
ฉัตรมงคล วัลลีย์

ชื่อองค์คณะผู้พิพากษา :
  1. องอาจ เทียนหิรัญ
  2. ศศิรัตน์ ยุวดี

ผลการพิพากษา
ยกฟ้อง
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ : 27-03-2023

แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์