ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
- พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
ดำ อ.8/2565
แดง อ.1135/2565
ผู้กล่าวหา
- พสิษฐ์ จันทร์หัวโทน (ประชาชน)
ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
- พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
หมายเลขคดี
ดำ อ.8/2565
แดง อ.1135/2565
ผู้กล่าวหา
- พสิษฐ์ จันทร์หัวโทน
ความสำคัญของคดี
วารี (นามสมมติ) พนักงานขายอิสระ ชาวสมุทรปราการ วัย 23 ปี ถูกดำเนินคดีข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) โดยถูกกล่าวหาว่านำภาพข้อความจากทวิตเตอร์เกี่ยวกับการเลือกปกป้องกษัตริย์ของตำรวจและนำมาโพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมทั้งโพสต์ภาพการ์ตูนล้อเลียนและข้อความในช่องคอมเมนต์ คดีมี นายพสิษฐ์ จันทร์หัวโทน เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ทำให้วารีต้องเดินทางไกลจากสมุทรปราการหลายต่อหลายครั้งเพื่อไปต่อสู้คดีถึงนราธิวาส
กรณีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่มีอัตราโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี แต่กลับเปิดโอกาสให้บุคคลใดก็ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษแม้ไม่ได้เป็นผู้เสียหาย ทำให้ข้อกล่าวหาดังกล่าวถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งบุคคลอื่น โดยเฉพาะกลั่นแกล้งให้ถูกดำเนินคดีในพื้นที่ห่างไกล
กรณีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่มีอัตราโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี แต่กลับเปิดโอกาสให้บุคคลใดก็ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษแม้ไม่ได้เป็นผู้เสียหาย ทำให้ข้อกล่าวหาดังกล่าวถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งบุคคลอื่น โดยเฉพาะกลั่นแกล้งให้ถูกดำเนินคดีในพื้นที่ห่างไกล
พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี
อารยะ กระโหมวงศ์ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 4 ภาค 9 บรรยายคำฟ้องมีใจความโดยสรุปว่า
ขณะเกิดเหตุ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีในหลวงรัชกาลที่ 10 เป็นพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน ตามรัฐธรรมนูญไทย 2560 มาตรา 2 และมาตรา 6 บัญญัติไว้ด้วยว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ไม่ได้”
ระหว่างวันที่ 9-28 ม.ค. 2564 จำเลยได้ใช้เฟซบุ๊กของจำเลย ซึ่งเปิดเป็นสาธารณะ โพสต์ภาพจากทวิตเตอร์บัญชีหนึ่ง พร้อมข้อความซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับตำรวจเลือกปกป้องกษัตริย์มากกว่าประชาชน และติดแฮชแท็ก #ม็อบ13กุมภา #whathappeninginthailand จากนั้นในช่องคอมเมนต์ใต้โพสต์ดังกล่าว จำเลยได้โพสต์ภาพการ์ตูนล้อเลียนเป็นภาพคนนั่งบนเก้าอี้กําลังมอบสายคล้องคอที่มีเหรียญ โดยมีการ์ตูนที่มีหัวเป็นสุนัข ตัวเป็นคน ก้มหมอบลงกราบ และมีตัวการ์ตูนที่มีลักษณะคล้ายๆ กันยืนตบมือข้างๆ พร้อมพิมพ์คำบรรยายภาพว่า “มารับปลอกคอเร้ววววว”
จำเลยยังได้แชร์โพสต์ของผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ซึ่งโพสต์ภาพถ่ายศิลปิน วง R.A.D. และเขียนข้อความว่า “ไอ้ยุทธ์สั่งยูทูบปิดไม่ให้ดู พวกกูจึงต้องช่วยกันเปิดให้ผู้คนดู เพลงขับไล่เผด็จการของวง R.A.D.” โดยจำเลยได้พิมพ์ข้อความประกอบว่า “ใช้ทรัพย์สินส่วนของมึง แล้วอยากจะมีอีกกี่เมียก็เรื่องของมึง”
ข้อความทั้งหมดทำให้ประชาชนที่พบเห็นเข้าใจได้ทันทีว่าสื่อถึงพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน อันเป็นการจาบจ้วง ล่วงเกิน ดูหมิ่น ใส่ความ หมิ่นประมาท และแสดงความอาฆาตมาดร้ายรัชกาลที่ 10 ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ โดยจำเลยมีเจตนาให้ประชาชนเคลือบแคลงสงสัยในพระมหากษัตริย์และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อันเป็นการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพพระมหากษัตริย์ ซึ่งอยู่ในฐานะที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดนราธิวาส คดีหมายเลขดำที่ อ.8/2565 ลงวันที่ 5 ม.ค. 2565)
ขณะเกิดเหตุ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีในหลวงรัชกาลที่ 10 เป็นพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน ตามรัฐธรรมนูญไทย 2560 มาตรา 2 และมาตรา 6 บัญญัติไว้ด้วยว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ไม่ได้”
ระหว่างวันที่ 9-28 ม.ค. 2564 จำเลยได้ใช้เฟซบุ๊กของจำเลย ซึ่งเปิดเป็นสาธารณะ โพสต์ภาพจากทวิตเตอร์บัญชีหนึ่ง พร้อมข้อความซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับตำรวจเลือกปกป้องกษัตริย์มากกว่าประชาชน และติดแฮชแท็ก #ม็อบ13กุมภา #whathappeninginthailand จากนั้นในช่องคอมเมนต์ใต้โพสต์ดังกล่าว จำเลยได้โพสต์ภาพการ์ตูนล้อเลียนเป็นภาพคนนั่งบนเก้าอี้กําลังมอบสายคล้องคอที่มีเหรียญ โดยมีการ์ตูนที่มีหัวเป็นสุนัข ตัวเป็นคน ก้มหมอบลงกราบ และมีตัวการ์ตูนที่มีลักษณะคล้ายๆ กันยืนตบมือข้างๆ พร้อมพิมพ์คำบรรยายภาพว่า “มารับปลอกคอเร้ววววว”
จำเลยยังได้แชร์โพสต์ของผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ซึ่งโพสต์ภาพถ่ายศิลปิน วง R.A.D. และเขียนข้อความว่า “ไอ้ยุทธ์สั่งยูทูบปิดไม่ให้ดู พวกกูจึงต้องช่วยกันเปิดให้ผู้คนดู เพลงขับไล่เผด็จการของวง R.A.D.” โดยจำเลยได้พิมพ์ข้อความประกอบว่า “ใช้ทรัพย์สินส่วนของมึง แล้วอยากจะมีอีกกี่เมียก็เรื่องของมึง”
ข้อความทั้งหมดทำให้ประชาชนที่พบเห็นเข้าใจได้ทันทีว่าสื่อถึงพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน อันเป็นการจาบจ้วง ล่วงเกิน ดูหมิ่น ใส่ความ หมิ่นประมาท และแสดงความอาฆาตมาดร้ายรัชกาลที่ 10 ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ โดยจำเลยมีเจตนาให้ประชาชนเคลือบแคลงสงสัยในพระมหากษัตริย์และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อันเป็นการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพพระมหากษัตริย์ ซึ่งอยู่ในฐานะที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดนราธิวาส คดีหมายเลขดำที่ อ.8/2565 ลงวันที่ 5 ม.ค. 2565)
ความคืบหน้าของคดี
-
วันที่: 14-10-2021นัด: รับทราบข้อกล่าวหาเวลา 09.00 น. ที่ สภ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส วารี (นามสมมติ) เดินทางจากจังหวัดสมุทรปราการไปรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก ในฐานความผิด “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) โดยปรากฏชื่อ พสิษฐ์ จันทร์หัวโทน เป็นผู้กล่าวหาในคดีนี้
ว่าที่ พ.ต.ต.นที จันทร์แสงศรี สารวัตร (สอบสวน) สภ.สุไหงโก-ลก แจ้งพฤติการณ์และข้อกล่าวหาแก่วารี โดยมีทนายความเข้าร่วม ระบุว่า เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2564 เวลาประมาณ 21.30 น. พสิษฐ์ จันทร์หัวโทน ได้เปิดเฟซบุ๊กพบผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้นําข้อมูลจากบัญชีทวิตเตอร์ที่เขียนข้อความเกี่ยวกับการเลือกปกป้องกษัตริย์ของตำรวจ โดยนำรูปภาพการ์ตูนแต่งกายชุดสีขาวนั่งบนเก้าอี้กําลังมอบสายคล้องคอที่มีเหรียญ โดยมีการ์ตูนที่มีหัวเป็นสุนัขและรูปร่างเป็นมนุษย์ก้มหมอบลงกราบ และมีตัวการ์ตูนที่มีลักษณะคล้ายๆ กันยืนตบมือข้างๆ
ขณะที่ผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าวได้เขียนข้อความประกอบภาพที่นำมาแชร์ว่า “มารับปลอกคอเร้ววว” และผู้กล่าวหาอ้างว่ามีผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กอีกรายหนึ่งได้แสดงความคิดเห็นต่อท้ายโพสต์นั้นว่า “รับใช้แทบตายยศถึงก็ไม่เท่าฟูฟู 555”
เมื่ออ่านข้อความข้างต้นและข้อความที่ต่อท้ายรวมกันแล้ว ทําให้เข้าใจความหมายว่า ตํารวจ ทหาร หรือเจ้าหน้าที่บ้านเมืองทํางานตามคําสั่งของในหลวงรัชกาลที่ 10 เปรียบได้กับสุนัข ทั้งยังนําข้าราชการเหล่านั้นไปเปรียบเทียบกับสุนัขทรงเลี้ยงของพระมหากษัตริย์ อันเป็นการดูหมิ่น และหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์
พสิษฐ์อ้างว่าได้ตรวจสอบแล้วพบว่า บัญชีเฟซบุ๊กที่โพสต์ข้อความดังกล่าวมีวารีเป็นเจ้าของ จึงได้มาแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.สุไหงโก-ลก ให้ดําเนินคดี
พนักงานสอบสวนได้ทําการส่งบัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าวไปให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ตรวจสอบ พบว่า บัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าวยังคงเปิดใช้งานอยู่ บนไทม์ไลน์เฟซบุ๊กพบข้อความที่พสิษฐ์นำมาร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับวารี
พนักงานสอบสวนกล่าวหาว่า พฤติการณ์ของผู้ต้องหาเป็นการนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายอาญา และข้อความดังกล่าวนั้นเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์
พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อกล่าวหากับวารีใน 2 ข้อหา ได้แก่ “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3)
วารีให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และแจ้งว่าจะให้การในชั้นศาลเท่านั้น
เวลา 13.00 น. พนักงานสอบสวนได้ยื่นขอฝากขังวารีผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ต่อศาลจังหวัดนราธิวาส โดยอ้างเหตุผลว่า เป็นคดีที่อัตราโทษสูงและเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี แม้ผู้ต้องหาจะเดินทางมาพบตามหมายเรียกก็ตาม ทนายความจึงได้ยื่นคำร้องขอประกันตัววารี ด้วยวงเงินประกันจำนวน 150,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์
16.00 น. ศาลจังหวัดนราธิวาสได้มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวตามคำร้อง โดยให้วางหลักประกันเป็นเงินสด 150,000 บาท
หลังได้รับการประกันตัว วารีเปิดเผยว่า การเดินทางจากสมุทรปราการไปรับทราบข้อกล่าวหาไกลถึง สภ.สุไหงโก-ลก ในครั้งนี้ ตนและแฟนหนุ่มต้องเสียค่าเดินทางและค่าที่พักรวมทั้งสิ้น ประมาณ 20,000 บาท อีกทั้งพวกเธอทั้งสองคนต้องหยุดพักงานถึง 3 วัน ทำให้ในเดือนนี้จะไม่สามารถลาพักงานได้อีกแล้ว
“วันที่มีหมายเรียกมาถึงบ้านไม่ได้รู้สึกตกใจหรือกลัวอะไร เพราะก่อนหน้านี้เราก็ออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุนการยกเลิกมาตรา 112 มาโดยตลอด
“เรารู้สึกว่ากฎหมายข้อนี้มันไม่ยุติธรรม โทษจำคุก 3 ถึง 15 ปี มันหนักหนา ไม่สอดคล้องกับการกระทำที่เราถูกกล่าวหา อีกอย่างคือทุกคนสามารถแจ้งความได้ เจ้าทุกข์จะเป็นใครก็ได้ จะแจ้งข้อกล่าวหาที่ไหนก็ได้"
วารียังเล่าอีกว่าในวันที่รับทราบข้อกล่าวหาที่สภ.สุไหงโก-ลก เธอได้พบกับหญิงสาวรายหนึ่ง ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 โดยมีพสิษฐ์ เป็นผู้กล่าวหาเช่นเดียวกับเธอ และจะเข้ารับทราบข้อหาในวันถัดไป ทั้งสองได้พูดคุยถึงรายละเอียดในคดีและกล่าวให้กำลังใจกันและกัน
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังระบุว่า พสิษฐ์แจ้งความร้องทุกข์ในข้อหาตามมาตรา 112 กับประชาชนอีกอย่างน้อย 20 ราย ที่สถานีตำรวจแห่งนี้ ในจำนวนนี้รวมถึงคดีของ “ชัยชนะ” ผู้ป่วยจิตเวชในจังหวัดลำพูน ที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมและนำตัวไปแจ้งข้อกล่าวหาไกลถึงจังหวัดนราธิวาส
(อ้างอิง: บันทึกแจ้งข้อกล่าวหา สภ.สุไหงโก-ลก ลงวันที่ 14 ต.ค. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/36639) -
วันที่: 01-12-2021นัด: รายงานตัวต่อศาลพนักงานอัยการยังไม่มีคำสั่งในคดี นัดรายงานตัวอีกครั้งวันที่ 6 ม.ค. 2565
-
วันที่: 05-01-2022นัด: ยื่นฟ้องพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 4 ภาค 9 ยื่นฟ้องวารีต่อศาลจังหวัดนราธิวาส กล่าวหาว่า วารีแชร์และโพสต์ข้อความแสดงความเห็นในเฟซบุ๊ก ล่วงเกิน ดูหมิ่น ใส่ความ หมิ่นประมาท และแสดงความอาฆาตมาดร้ายรัชกาลที่ 10 เมื่อเดือนมกราคม 2564 โดยระบุว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
อย่างไรก็ตาม ท้ายคำฟ้อง พนักงานอัยการไม่ได้คัดค้านการให้ประกันจำเลยระหว่างพิจารณาคดี
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดนราธิวาส คดีหมายเลขดำที่ อ.8/2565 ลงวันที่ 5 ม.ค. 2565) -
วันที่: 06-01-2022นัด: รายงานตัวต่อศาล (รับทราบฟ้อง)วารีเดินทางไปรายงานตัวต่อศาลตามนัด พบว่าพนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดนราธิวาสแล้ว นายประกันจึงยื่นประกันวารีระหว่างพิจารณาคดี โดยใช้หลักทรัพย์เดิมในชั้นสอบสวนเป็นเงินสด 150,000 บาท ต่อมา ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ประกัน นัดสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 9 มี.ค. 2565
-
วันที่: 09-05-2022นัด: ตรวจพยานหลักฐานนัดพร้อมเพื่อคุ้มครองสิทธิ สอบคําให้การ ตรวจพยานหลักฐาน และกําหนดวันนัดสืบพยาน โจทก์ จําเลย และทนายจําเลยมาศาล ศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง จําเลยยืนยันให้การปฏิเสธ พร้อมกับแถลงแนวทางการต่อสู้คดีร่วมกับทนายจําเลยว่า จําเลยไม่ได้เป็นเจ้าของเฟซบุ๊กตามที่โจทก์ฟ้องและจําเลยมิได้เป็นผู้ลงมือกระทําความผิดตามที่โจทก์กล่าวหาแต่อย่างใด
โจทก์แถลงว่า ประสงค์ที่จะนําพยานเข้าสืบรวม 6 ปาก ได้แก่ ผู้กล่าวหา พยานผู้ให้ความเห็นเกี่ยวกับโพสต์ข้อความของจําเลย 4 ปาก และพนักงานสอบสวน ใช้เวลาสืบไม่เกิน 2 นัด
ทนายจําเลยแถลงว่า ประสงค์ที่จะนําพยานเข้าสืบรวม 2 ปาก ได้แก่ จําเลย และพยานผู้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการใช้เฟซบุ๊กและข้อความ ใช้เวลาสืบพยานไม่เกินครึ่งนัด รวม 2 นัดครึ่ง คู่ความตกลงนัดสืบพยานในวันที่ 23-25 ส.ค. 2565
(อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลจังหวัดนราธิวาส คดีหมายเลขดำที่ อ.8/2565 ลงวันที่ 9 พ.ค. 2565) -
วันที่: 23-08-2022นัด: สืบพยานโจทก์ภาพรวมของการสืบพยานโจทก์ ส่วนใหญ่เป็นการเบิกความที่ต้องอาศัยการตีความทั้งรูปภาพและข้อความตามฟ้อง พยานแทบทุกปากเบิกความไปในทิศทางเดียวกันว่า เหตุที่ 1 ตามฟ้อง มีเนื้อหาพาดพิงถึงกษัตริย์ในลักษณะที่ไม่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม พยานโจทก์เหล่านี้ก็รับกับทนายจำเลยว่า ผู้โพสต์และเนื้อหามีลักษณะมุ่งหมายที่จะตำหนิหรือตัดพ้อการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใช้กำลังในการสลายการชุมนุม #ม็อบ13กุมภา64 มากกว่า
ส่วนเหตุที่ 2 ตามฟ้อง ซึ่งเป็นการแสดงความเห็นด้วยภาพการ์ตูนล้อเลียน พยานทุกปากเห็นพ้องกันว่าตัวการ์ตูนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้และยื่นมือมอบเหรียญรางวัลแก่ตัวการ์ตูนตัวเป็นคนหัวเป็นสุนัขที่อยู่ท่าหมอบกราบนั้นหมายถึง ‘กษัตริย์’ โดยพยานครึ่งหนึ่งมีความเห็นว่ากษัตริย์ที่ว่านั้นเป็น ‘รัชกาลที่ 10’ แม้ภาพตัวการ์ตูนดังกล่าวจะไม่มีภาพใบหน้าหรือพระนามของกษัตริย์พระองค์ใดก็ตาม
พยานที่ระบุว่าตัวการ์ตูนที่นั่งเก้าอี้ คือ กษัตริย์รัชกาลที่ 10 นั้นอ้างเหตุผลประกอบหลายอย่างต่างกันไป เช่น เพราะคอมเมนต์นี้ถูกกระทำขึ้นในรัชสมัยของ รัชกาลที่ 10 หรือเป็นเพราะอ้างอิงจากตัวการ์ตูนอื่นในภาพที่ถวายความเคารพตัวการ์ตูนที่นั่งเก้าอี้ด้วยการหมอบกราบ หรือดูจากคอมเมนต์ต่อท้ายที่กล่าวถึง ‘ฟูฟู’ อย่างไรก็ดี พยานส่วนใหญ่ยอมรับว่าการหมอบกราบนั้นแท้จริงไม่ได้ใช้กับเฉพาะกษัตริย์ แต่ใช้กับพระบรมวงศานุวงศ์หรือในพิธีไหว้ครูด้วย
นอกจากนี้ พยานส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าเหตุที่ 2 มีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกับเหตุที่ 1 หรือไม่ กล่าวคือ ไม่ทราบว่า เหตุที่ 2 เป็นการคอมเมนต์ใต้ต้นโพสต์เหตุที่ 1 หรือไม่ เนื่องจากพยานทุกปากยกเว้นผู้กล่าวหาไม่ได้เห็นโพสต์ต้นฉบับในเว็บไซต์เฟซบุ๊ก
เหตุที่ 3 ตามฟ้อง ซึ่งเป็นการแชร์โพสต์ที่มีเนื้อหาวิจารณ์การปิดกั้นเพลงปฏิรูป ของวง R.A.D. พยานโจทก์เองทุกปากไม่ได้เบิกความถึง มีเพียงผู้กล่าวหาที่เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยชัดเจนว่า โพสต์นี้ไม่ได้มีการระบุถึงชื่อหรือรูปภาพของกษัตริย์พระองค์ใดเลย รวมถึงเห็นด้วยว่า การแชร์โพสต์นั้นโดยปกติผู้คนจะเขียนคำบรรยายประกอบให้มีความเชื่อมโยงและสอดคล้องกับโพสต์ต้นฉบับ ซึ่งพูดถึงการปิดกั้นเพลงปฏิรูปและเพลงขับไล่เผด็จการ
++พยานโจทก์ปากที่ 1 – พสิษฐ์ ผู้กล่าวหา
พสิษฐ์ จันทร์หัวโทน เบิกความว่า ประกอบอาชีพเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2564 ได้เปิดดูเฟซบุ๊ก ขณะอ่านข่าวสารอยู่นั้นได้สะดุดกับเฟซบุ๊กของจำเลยที่ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เมื่อตนเข้าไปดูบัญชีเฟซบุ๊กของจำเลยพบว่า จำเลยได้โพสต์และแชร์ข้อความรวมถึงรูปภาพ ซึ่งเป็นไปตามฟ้อง
เหตุที่ 1 ตามฟ้อง – พสิษฐ์เห็นว่าเป็นการดูหมิ่นพระเกียรติของกษัตริย์รัชกาลที่ 10 เพราะพระองค์ทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง ข้าราชการทำงานสนองพระยุคลบาท การสลายการชุมนุมเป็นหน้าที่ของตำรวจ ไม่เกี่ยวกับรัชกาลที่ 10 เลยแม้แต่น้อย
เหตุที่ 2 ตามฟ้อง – พสิษฐ์เข้าใจว่า ‘ผู้ที่นั่งเก้าอี้’ หมายถึง ‘กษัตริย์รัชกาลที่ 10’ เพราะสังเกตจากตัวการ์ตูนอื่นในภาพให้ความนอบน้อมและอยู่ในท่าหมอบคลาน ซึ่งเป็นประเพณีของชาวไทยเมื่อเข้าเฝ้ากษัตริย์ ตัวการ์ตูนที่ทำท่าทางหมอบคลานพยานเข้าใจว่าเป็น ‘ข้าราชการ’ เพราะสวมใส่ชุดพระราชทานสีขาวและมีบ่าอินทรธนูบนเครื่องแต่งกายนั้นด้วย
พสิษฐ์เห็นว่า เป็นการหยามหมิ่นพระเกียรติ เข้าใจได้ว่าหมายถึง กษัตริย์เลี้ยงข้าราชการไว้เป็นเหมือนดั่งสุนัขรับใช้ ที่เข้าใจว่าเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 10 เพราะข้อความนี้ถูกโพสต์ขึ้นในรัชสมัยของรัชกาลที่ 10
หลังจากนั้นพยานได้แคปภาพโปรไฟล์บัญชีเฟซบุ๊กของจำเลย พร้อมกับเหตุตามฟ้องทั้งสาม ต่อมาเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2564 จึงนำหลักฐานไปแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน ที่ สภ.สุไหงโก-ลก และได้เปิดบัญชีเฟซบุ๊กของจำเลยให้พนักงานสอบสวนดูด้วย เพื่อแสดงให้เห็นว่าบัญชีของจำเลยนี้มีอยู่จริงและยังคงใช้งานอยู่
ขณะไปแจ้งความให้ดำเนินคดีกับจำเลยในคดีนี้ พสิษฐ์ยังได้แจ้งความดำเนินคดี ในข้อหาตามมาตรา 112 กับประชาชนรายอื่นอีก 8 รายด้วย แต่พนักงานสอบสวนรับแจ้งความเพียง 6 รายเท่านั้น โดยประชาชนทั้ง 9 รายดังกล่าวไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ที่ อ.สุไหงโก-ลก หรือจังหวัดในภาคใต้เลยสักคนเดียว ในจำนวนนี้ยังมีเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีรวมอยู่ด้วย
ในวันที่เข้าแจ้งความ พสิษฐ์ได้มอบเอกสารเป็นเหตุตามฟ้องทั้ง 3 โพสต์ พร้อมทั้งรายละเอียดบัญชีเฟซบุ๊กของจำเลยด้วย และยังได้ให้ชื่อ-นามสกุลของจำเลยแก่พนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนจึงได้สั่งพิมพ์ข้อมูลของจำเลยจากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ออกมาให้ตรวจสอบ พยานตรวจดูแล้วเห็นว่าตรงกันกับข้อมูลที่ได้จากเฟซบุ๊กของจำเลย ไม่ว่าจะเป็นชื่อ นามสกุล และภาพถ่าย
พสิษฐ์ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า จบการศึกษาสูงสุดระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) สาขาหาดใหญ่ และผ่านการอบรมพาณิชย์นาวี หลักสูตรใบประกาศนียบัตรการเดินเรือพาณิชย์นาวี มีภูมิลำเนาอยู่ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
ทนายให้พสิษฐ์ดูบัญชีเฟซบุ๊กส่วนตัวของพสิษฐ์เองที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน และพสิษฐ์ให้การยืนยันว่าเป็นของตนเองจริงและเปิดใช้งานมาประมาณ 14 ปีแล้ว
พสิษฐ์รับว่า หนังสือคำร้องทุกข์กล่าวโทษในคดีนี้พสิษฐ์เป็นผู้จัดทำขึ้นมาด้วยตัวเอง ซึ่งมีส่วนที่ระบุว่าพสิษฐ์เป็นสมาชิกเครือข่ายประชาชนปกป้องสถาบันกษัตริย์ (คปส.) แต่พสิษฐ์ยืนยันว่าตนไม่ใช่สมาชิกของเครือข่ายดังกล่าว เหตุที่ในหนังสือคำร้องทุกข์ระบุว่าเป็นสมาชิก คปส. เพราะได้ดาวน์โหลดแบบฟอร์มจาก คปส. มาใช้ร้องทุกข์ในคดีนี้และไม่ได้เปลี่ยนข้อมูลส่วนที่เหลือในแบบฟอร์มไปเป็นอย่างอื่น
พสิษฐ์ยืนยันว่าไม่ได้ติดตามหรือจับตาจำเลยเป็นพิเศษเพื่อพยายามหาเหตุดำเนินคดีเอาผิด เป็นเพียงการติดตามทั่วไปและหากพบว่ามีข้อความหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ก็จะดำเนินคดีต่อไป
พยานเคยเข้าไปดูเพจเฟซบุ๊กของ คปส. ซึ่งเป็นเครือข่ายที่มีวัตถุประสงค์แจ้งความดำเนินคดีกับประชาชนที่แสดงความเห็นเข้าข่ายผิดมาตรา 112 จากนั้นทนายจำเลยให้ดูโพสต์หนึ่งของ คปส. ซึ่งโพสต์ว่า “เจตนารมณ์ของเพจจัดขึ้นมาเพื่อกระทืบเหี้ยโดยเฉพาะ” ทนายถามว่า ‘เหี้ย’ ในที่นี้คือ ‘ประชาชนผู้เห็นต่าง’ ใช่หรือไม่ พยานตอบว่า ‘ไม่ทราบ’
บ่อยครั้งที่สมาชิก คปส. มักพูดคุยกันบนเพจเฟซบุ๊ก คปส. เพื่อชักชวนกันไปแจ้งความดำเนินคดีกับประชาชนยังพื้นที่ห่างไกล เช่น สุไหงโก-ลก, เชียงใหม่, เชียงราย ฯลฯ ซึ่งพสิษฐ์ก็เคยไปคอมเมนต์ใต้โพสต์ของเพจดังกล่าวด้วย
พยานทราบว่า มาตรา 112 ไม่ได้ถูกใช้ในช่วงปี 2560-2563 เพราะพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาให้สัมภาษณ์ว่า กษัตริย์ รัชกาลที่ 10 ทรงมีเมตตาไม่ให้ใช้ ม.112 กับประชาชน แต่เมื่อช่วงปลายปี 2563 ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ใหม่ว่าจะใช้กฎหมายทุกฉบับดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมในขณะนั้น
ระหว่างที่มาตรา 112 ถูกระงับการบังคับใช้ พยานพบว่ามีผู้กระทำผิดเข้ามาตรานี้เป็นจำนวนมาก จึงได้ศึกษาข้อกฎหมายนี้เรื่อยมา ภายหลังที่ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ว่าจะกลับมาใช้กฎหมายทุกฉบับดำเนินคดีกับผู้ชุมนุม พยานจึงได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ผู้อื่นในข้อหา ม.112 ด้วยตัวเองทันที โดยไม่ได้ปรึกษาผู้ใดก่อน
พสิษฐ์ตอบทนายจำเลยอีกว่า ตนบันทึกโพสต์ที่นำไปแจ้งความด้วยวิธีการแคปหน้าจอจากโทรศัพท์มือถือและจัดแต่งขนาดรูปให้เหมาะสมกับกระดาษ แล้วจึงสั่งพิมพ์ออกมา ทั้งนี้ ขณะแจ้งความพยานให้พนักงานสอบสวนดูรูปที่แคปหน้าจอและบันทึกอยู่ในมือถือ โดยไม่ได้ส่งมอบมือถือหรือไฟล์รูปภาพต้นฉบับให้ด้วย
เกี่ยวกับโพสต์ที่ 1 ตามฟ้อง – พสิษฐ์เบิกความตอบทนายจำเลยว่า พยานไม่เห็นด้วยว่า การสลายการชุมนุมจะทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ด่าทอและโจมตีเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่เห็นด้วยว่าโพสต์จากทวิตเตอร์ที่จำเลยแชร์มามีจุดประสงค์มุ่งตำหนิเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งมีหน้าที่พิทักษ์ความสงบของประชาชน แต่เหตุที่ตำรวจสลายการชุมนุม พยานเห็นว่าเป็นเพราะผู้ชุมนุมทำลายข้าวของและก่อความวุ่นวาย แต่ทั้งนี้พยานไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์การชุมนุม #ม็อบ 13กุมภา64 ด้วย แต่ทราบเบื้องต้นว่ามีเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงกับประชาชน
ส่วนโพสต์ที่ 2 พยานเข้าใจว่า ‘ตัวการ์ตูนที่มีลักษณะตัวเป็นคน หัวเป็นสุนัข’ เป็น ‘เจ้าที่ตำรวจ’ ไม่ใช่ข้าราชการทั่วไป ส่วนวัตถุทรงกลมรีที่มีอักษร ‘ส’ อยู่ภายในที่ปรากฏอยู่ในภาพดังกล่าว พยานไม่ทราบว่าแปลว่าอะไร แต่ไม่ใช่อักษรพระปรมาภิไธยย่อของรัชกาลที่ 10 ซึ่งคือ ‘ว.ป.ร.’ ภาพดังกล่าวจะเป็นทำนองประชดเสียดสีหรือไม่ พยานไม่มีความเห็น
และเกี่ยวกับโพสต์ที่ 3 นั้น พยานเห็นด้วยว่า ปกติการแชร์โพสต์ผู้คนจะต้องเขียนคำบรรยายที่เชื่อมโยงกับต้นโพสต์ที่แชร์มา ซึ่งในที่นี้ต้นโพสต์มีเนื้อหาเกี่ยวกับประยุทธ์และเพลงขับไล่เผด็จการ โดยไม่มีข้อความระบุถึงชื่อกษัตริย์ รัชกาลที่ 10 จึงต้องตีความเอง ซึ่งการตีความขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคน
พสิษฐ์รับว่า ไม่ได้แจ้งความดำเนินคดีด้วย ม.112 กับผู้ใช้งานบัญชีทวิตเตอร์หรือเฟซบุ๊กที่จำเลยแชร์โพสต์มา หรือผู้ใช้งานเฟซบุ๊กที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นต่อท้ายในโพสต์ที่ 2
++พยานโจทก์ปากที่ 2 – ผศ.วันชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา
ผศ.วันชัย แก้วหนูนวล เบิกความว่า ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่ จ.นราธิวาส รับข้าราชการเป็นอาจารย์ สอนวิชาภาษาไทย อยู่ที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ เกี่ยวกับคดีนี้ เมื่อช่วงเดือน ต.ค. 2564 คณบดีได้ติดต่อมาบอกว่ามีผู้ต้องการขอคำปรึกษาเกี่ยวกับภาษาไทย เมื่อตนไปถึงสำนักงานคณบดีได้พบกับพนักงานสอบสวน สภ.สุไหงโก-ลก และได้ดูเอกสารซึ่งเป็นเหตุตามฟ้องในคดีนี้
เหตุที่ 1 ตามฟ้อง – พยานอ่านแล้วรู้สึกว่า เป็นการเขียนเพื่อสื่อในลักษณะตัดพ้อและเหน็บแนมต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เลือกปกป้องกษัตริย์ ไม่ใช่เพราะความจงรักภักดี แต่เพราะผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากกษัตริย์ และโพสต์นี้ก็มีการพาดพิงถึงกษัตริย์ด้วย ผู้โพสต์มีเจตนาเหน็บแนมและประชดประชันว่ากษัตริย์ไม่ได้ให้อะไรตำรวจเลย นอกจากปลอกคอ ซึ่งเป็นเครื่องผูกล่ามของสัตว์ บุคคลที่โพสต์ข้อความหรือภาพนี้มีเจตนาจาบจ้วงต่อพระมหากษัตริย์
เหตุที่ 2 ตามฟ้อง – พยานเห็นว่าสื่อถึงการเหน็บแนมผู้รับใช้สถาบันกษัตริย์ เพราะรูปภาพและบริบทพยายามเลียนแบบสถาบันกษัตริย์ที่มีการก้มหมอบกราบ มีรูปแทนพระองค์ คนที่นั่งอยู่น่าจะเป็นกษัตริย์ ผู้คนหมอบกราบ แต่งกายในชุดข้าราชการสีขาว น่าจะเป็นข้าราชบริพาร ข้าราชการ ข้อความสื่อถึงการประชดประชันสถาบันกษัตริย์และข้าราชการ
ผู้ที่เข้ามาแสดงความเห็นต่อท้ายเรื่องฟูฟู พยานเห็นว่าถ้ามองภาพที่จำเลยคอมเมนต์เป็นภาพการ์ตูนคนหัวสุนัขไว้ก่อนหน้า และดูข้อความของผู้ที่เข้ามาคอมเมนต์เรื่องฟูฟูนี้ก็จะรู้ได้ว่า ‘ฟูฟู’ เป็นสุนัขทรงเลี้ยงของกษัตริย์รัชกาลที่ 10 ข้อความหมายความว่า บุคคลที่รับใช้สถาบันกษัตริย์ทำงานหนักจนตายก็ไม่ได้ยศเหมือนอย่างสุนัขทรงเลี้ยง
ผศ.วันชัย ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ขณะให้การกับพนักงานสอบสวน พยานได้ดูเฉพาะเอกสารที่เป็นเหตุตามฟ้อง ซึ่งผ่านการตัดแต่งมาเรียงต่อกัน โดยไม่ได้เห็นต้นฉบับโพสต์ที่แท้จริง
เหตุที่ 1 ตามฟ้อง – ภาพ #ม็อบ13กุมภา พยานยืนยันไม่ได้ว่าเป็นภาพการสลายการชุมนุมของตำรวจ เพราะสิ่งที่ปรากฏในรูปภาพ ไม่ว่าใครๆ ก็ทำได้ และพยานไม่เคยเล่นทวิตเตอร์มาก่อน ในห้วงเวลาเดียวกันพยานทราบว่ามีความขัดแย้งทางการเมืองจนปะทุเป็นการประท้วงทางการเมือง ซึ่งเกิดมาจากความขัดแย้งในหลายประเด็นด้วยกัน
พยานยืนยันว่า ตำรวจมีหน้าที่เป็นผู้สลายการชุมนุม แต่ทั้งนี้ไม่จำเป็นจะต้องใช้ความรุนแรงหรือกำลังในการสลายการชุมนุมเสมอไป ผู้ชุมนุมอาจจะเลิกการชุมนุมไปเองหรือตำรวจอาจจะใช้วิธีเจรจาต่อรองให้ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมก็ได้เช่นกัน
หากตำรวจสลายการชุมนุม ประชาชนจะไม่ก่นด่าเสมอไป แต่ฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามกับรัฐจะด่าทอแน่นอน พยานยืนยันว่าโพสต์เกี่ยวกับการชุมนุมและการสลายการชุมนุมของตำรวจนี้มุ่งหมายตำหนิการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เหตุที่ 2 ตามฟ้อง – พยานไม่ทราบว่า โพสต์นี้เป็นส่วนเดียวกันที่ต่อเนื่องกับโพสต์แรกหรือไม่
ภาพตัวการ์ตูนตัวเป็นคนหัวเป็นสุนัข ทุกองค์ประกอบของภาพมุ่งเน้นสื่อความหมายถึงข้าราชการไทยที่หมอบกราบสถาบันกษัตริย์ การ์ตูนทำในเชิงล้อเลียนหรือเสมือน ตัวอักษรย่อไม่จำเป็นต้องทำให้สมบูรณ์ก็ได้ แต่สื่อความหมายได้ก็พอ ทั้งนี้ ‘ส’ ไม่ใช่อักษรพระปรมาภิไธยย่อของ รัชกาลที่ 10 ซึ่งตามความเป็นจริงนั้นคือ ‘ว.ป.ร.’
ภาพนี้เป็นการล้อเลียนข้าราชการ เพราะตัวการ์ตูนใส่ชุดข้าราชการสีขาว ไม่ใช่เฉพาะตำรวจ แต่ข้าราชการมีหลายเหล่า พิธีหมอบกราบใช้กับบุคคลที่มีพระยศตั้งแต่ชั้นพระบรมวงศานุวงศ์ขึ้นไป และยังใช้กับพิธีไหว้ครูอีกด้วย แต่พิธีไหว้ครูจะต้องมีองค์ประกอบภาพที่สื่อว่าเป็นวิธีไหว้ครูด้วย
++พยานโจทก์ปากที่ 3 – สุปราณี ปลัดอำเภอ
สุปราณี ใสบริสุทธิ์ ปลัดอำเภออยู่ที่ อ.สุไหงโก-ลก เบิกความว่า ในคดีนี้เมื่อช่วงเดือน ต.ค. 2564 พนักงานสอบสวน สภ.สุไหงโก-ลก ได้ติดต่อมาเพื่อขอให้มาเป็นพยานในคดีนี้และให้ดูเอกสารซึ่งเป็นเหตุตามฟ้อง พยานดูแล้วให้ความเห็นว่า
เหตุที่ 1 ตามฟ้อง – ทราบว่าเป็นข้อความที่แชร์มาอีกทีหนึ่ง แต่ไม่ทราบว่าแชร์มาจากที่ใด เห็นว่าเป็นการเปรียบเทียบว่าตำรวจปกป้องกษัตริย์ไม่ได้ปกป้องประชาชน ‘ปลอกคอ’ เป็นตัวแสดงถึงความเป็นเจ้าของ ใช้กับสุนัขหรือแมว พยานรู้สึกว่าการนำปลอกคอมาใช้กับตำรวจนั้นเสมือนว่าตำรวจเป็นสัตว์เลี้ยงของกษัตริย์ ซึ่งไม่เหมาะสม
เหตุที่ 2 ตามฟ้อง – ภาพนี้เป็นภาพล้อเลียนคนที่เข้าเฝ้ากษัตริย์ ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงของกษัตริย์ ให้กษัตริย์ชักจูงให้ทำในสิ่งที่ต้องการ บุคคลที่นั่งอยู่ล้อเลียนมาจากกษัตริย์ การนำหัวสุนัขมาสวมใส่กับคนที่หมอบกราบอยู่นั้นไม่เหมาะสม
เกี่ยวกับข้อความที่มีผู้ที่เข้ามาแสดงความเห็นเรื่องฟูฟูต่อท้ายคอมเมนท์ของจำเลยในเหตุที่ 2 นั้น คำว่า ‘ฟูฟู’ เป็นชื่อสุนัขทรงเลี้ยงของกษัตริย์ แต่พยานไม่แน่ใจว่าเป็นกษัตริย์พระองค์ใด
ในช่วงที่ทนายจำเลยถามค้าน สุปราณีรับว่า พนักงานสอบสวนให้พยานแปลความหมายข้อความและรูปภาพตามฟ้อง โดยไม่ทราบว่าต้นโพสต์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร
เหตุที่ 1 ตามฟ้อง – พยานจำไม่ได้ว่า #ม็อบ13กุมภา64 มีการสลายการชุมนุมหรือไม่ เมื่อตำรวจสลายการชุมนุมประชาชนฝั่งตรงข้ามจะก่นด่า แต่ก็ไม่เสมอไป และเห็นด้วยว่าเหตุที่ 1 ตามฟ้องเป็นการมุ่งตำหนิเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่มีการพาดพิงถึงพระมหากษัตริย์ด้วย
เหตุที่ 1 และ 2 พยานเห็นว่าอาจไม่ใช่ภาพเดียวกันก็ได้ และไม่ทราบว่ามีความเกี่ยวข้องต่อเนื่องกันหรือไม่ เหตุที่ 2 มุ่งต่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยต้องดูภาพรวมทั้งภาพ ไม่ใช่แค่ตัวการ์ตูนที่มีตัวเป็นคนและมีหัวเป็นสุนัข พยานไม่ทราบว่าอักษร ‘ส’ หมายความว่าอย่างไร ในภาพไม่ปรากฏชื่อและภาพของกษัตริย์รัชกาลที่ 10 โดยรวมแล้วภาพนี้เป็นภาพลักษณะเสียดสีล้อเลียนต้องอาศัยการตีความ การก้มหมอบกราบส่วนใหญ่ใช้กับกษัตริย์และยังใช้กับพระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงใช้ในพิธีไหว้ครูอีกด้วย ส่วนจะใช้กับพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณด้วยหรือไม่นั้น พยานไม่ทราบ
(อ้างอิง: คำให้การพยานโจทก์ ศาลจังหวัดนราธิวาส คดีหมายเลขดำที่ อ.8/2565 ลงวันที่ 23 ส.ค. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/49256)
-
วันที่: 24-08-2022นัด: สืบพยานโจทก์++พยานโจทก์ปากที่ 4 – ประสิทธิ์ ทนายความ
ประสิทธิ์ ศรีสืบ อาชีพทนายความ อาศัยอยู่ที่ จ.นราธิวาส เบิกความว่า เกี่ยวกับคดีนี้เมื่อช่วงเดือน ต.ค. ปี 2564 ได้รับการติดต่อจากพนักงานสอบสวน สภ.สุไหงโก-ลก ให้มาเป็นพยานและได้ดูเอกสาร ซึ่งเป็นเหตุตามฟ้อง พยานเข้าใจเกี่ยวกับการใช้งานเฟซบุ๊กเบื้องต้น แต่ไม่เคยเปิดใช้งานมาก่อน
เหตุที่ 1 ตามฟ้อง – เมื่ออ่านแล้วทำให้เข้าใจได้ว่ากษัตริย์เป็นคนไม่ดี เปรียบเทียบว่ากษัตริย์มองข้าราชการเป็นเหมือนเป็นสุนัขรับใช้ เพราะว่ามีคำว่า ‘ปลอกคอ’
เหตุที่ 2 ตามฟ้อง – พยานเข้าใจว่าคนที่นั่งเก้าอี้คือ ‘ผู้หลักผู้ใหญ่’ ถ้าดูจากบริบทของไทยจะเปรียบได้ว่าเป็น ‘กษัตริย์’ แต่ไม่ทราบว่าเป็นกษัตริย์พระองค์ใด ส่วนคนที่หมอบกราบพยานเข้าใจว่าเป็น ‘ข้าราชการ’ ผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นเรื่อง ‘ฟูฟู’ พยานไม่ทราบว่าฟูฟูหมายถึงผู้ใด
ประสิทธิ์ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานไม่ทราบว่าภาพตามฟ้องที่ถูกแคปหน้าจอมาเรียงต่อกันนั้นจะมีการตัดต่อหรือไม่ เพราะเห็นว่าเป็นสำเนาเอกสารแล้ว และเหตุที่ 1-2 ตามฟ้องจะมีความเกี่ยวเนื่องเป็นอันเดียวกันหรือไม่ พยานไม่ทราบ
เหตุที่ 1 ตามฟ้อง – พยานเห็นว่าเป็นข้อความลักษณะตัดพ้อและแสดงความน้อยใจต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พยานจำไม่ได้ว่าขณะนั้นมีการชุมนุมเพื่อประท้วงรัฐบาลหรือไม่ แต่หากเจ้าหน้าที่สลายการชุมนุม ประชาชนที่ทำการชุมนุมจะด่าทอเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เหตุที่ 2 ตามฟ้อง – พยานยืนยันว่าไม่ปรากฏพระนามและภาพของกษัตริย์รัชกาลที่ 10 เมื่อไม่ปรากฏชื่อใดในภาพการ์ตูนดังกล่าวจึงต้องอาศัยการตีความ ในทางกฎหมายจึงไม่ใช่การยืนยันข้อเท็จจริง เป็นเพียงการเปรียบเทียบเท่านั้น
หากไม่มีผู้มาแสดงความคิดเห็นต่อท้ายเรื่องฟูฟู ภาพการ์ตูนที่มีลักษณะตัวเป็นคนหัวเป็นสุนัขก็ไม่อาจตีความได้ว่าคนหัวสุนัขดังกล่าวนั้นหมายถึงสุนัขทรงเลี้ยงที่ชื่อฟูฟู ภาพการ์ตูนคนหัวสุนัข สื่อความหมายว่าคนก้มกราบเป็นสุนัขรับใช้ เปรียบเทียบเจ้าหน้าที่เป็นสุนัขรับใช้ เป็นภาพการ์ตูนล้อเลียน ไม่ได้มีลักษณะในการประชดประชัน
พยานไม่แน่ใจว่า พิธีหมอบกราบใช้กับผู้ที่มีพระยศตั้งแต่พระบรมวงศานุวงศ์ขึ้นไปหรือไม่ และไม่ทราบว่าหลังมีการรัฐประหาร ปี 2557 การหมอบกราบก็ได้ถูกใช้กับพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รวมถึงพิธีไหว้ครูด้วยหรือไม่ ส่วนตัวอักษร ‘ส’ ในภาพการ์ตูนนั้น พยานไม่ทราบว่าหมายถึงอะไร
++พยานโจทก์ปากที่ 5 – กิตติศักดิ์ นักการเมืองท้องถิ่น
กิตติศักดิ์ กังวานโยธากุล นักการเมืองท้องถิ่น อยู่ที่ อ.สุไหงโก-ลก เบิกความว่า เกี่ยวกับคดีนี้เมื่อช่วงเดือน ต.ค. ปี 2564 พนักงานสอบสวน สภ.สุไหงโก- ลก ติดต่อให้มาเป็นพยาน และให้ดูเอกสารซึ่งเป็นเหตุตามฟ้อง
เหตุที่ 2 ตามฟ้อง – พยานเข้าใจว่า ‘คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้’ คือ ‘กษัตริย์’ ส่วนคนมีหัวเป็นสุนัขตัวเป็นคนและอยู่ในท่าหมอบกราบนั้นคือ ‘ข้าราชการ’ โดยรวมภาพสื่อความหมายได้ว่า กษัตริย์มองข้าราชการเป็นสุนัขรับใช้ เพราะมีคำว่า ‘ปลอกคอ’ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้กับสุนัข พยานเข้าใจว่าเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 10 เพราะถูกข้าราชการให้ความเคารพด้วยการหมอบกราบ และเหตุนี้จำเลยกระทำขึ้นในปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ กษัตริย์รัชกาลที่ 10 ขึ้นครองราชย์อยู่
ต่อมา กิตติศักดิ์รับกับทนายจำเลยที่ถามค้านว่า พยานเห็นด้วยว่าเอกสารตามฟ้อง ซึ่งเป็นภาพแคปหน้าจอมาจากมือถือนั้นมีการตัดต่อมาวางเรียงกัน ไม่ได้ปรินท์มาจากเฟซบุ๊กต้นฉบับโดยตรง ฉะนั้นข้อความจะตรงกันกับต้นโพสต์ที่แท้จริงหรือไม่นั้นพยานไม่อาจทราบได้
เหตุที่ 1 ตามฟ้อง – พยานเห็นว่าเป็นข้อความที่โพสต์ในลักษณะตัดพ้อและแสดงความน้อยใจต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นข้อความเชิงเสียดสี ส่วนภาพถ่ายประกอบซึ่งเป็นการสลายการชุมนุมนั้น ไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับ #ม็อบ13กุมภา จริงหรือไม่ แต่หากตำรวจสลายการชุมนุมจริง ผู้ประท้วงก็น่าจะด่าทอตำรวจอยู่แล้วเป็นปกติ
เหตุที่ 2 ตามฟ้อง – ภาพการ์ตูนที่มีตัวเป็นคน หัวเป็นสุนัข พยานเห็นว่าเป็นภาพการ์ตูนล้อเลียน เหน็บแนม ประชดเสียดสี ว่าเจ้าหน้าที่เป็นเหมือนสุนัข ไม่ทราบว่า ‘ข้าราชการ’ ในที่นี้นั้นหมายถึงตำรวจหรือทหารหรืออื่นใดกันแน่ เป็นภาพที่ให้ความหมายเน้นหนักไปที่เจ้าหน้าที่โดยเฉพาะ หากไม่มีผู้มาแสดงความคิดเห็นเรื่องฟูฟูต่อท้าย ภาพการ์ตูนตัวเป็นคนหัวเป็นสุนัขนี้จะไม่สามารถตีความได้ว่าเป็นสุนัขทรงเลี้ยงของกษัตริย์
การหมอบกราบใช้กับบุคคลที่มียศตั้งแต่พระบรมวงศานุวงศ์ขึ้นไป และยังใช้กับพิธีไหว้ครูอีกด้วย แต่ไม่ทราบว่าจะใช้กับพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณด้วยหรือไม่ ส่วนตัวอักษร ‘ส’ พยานไม่ทราบว่ามีความหมายว่าอย่างไร ตามภาพไม่ได้ปรากฏรูปใบหน้าหรือระบุชื่อของกษัตริย์รัชกาลที่ 10 หรือระบุชื่อว่าเป็นบุคคลใด จึงต้องอาศัยการตีความ
++พยานโจทก์ปากที่ 6 – พ.ต.ต.นที พนักงานสอบสวน
พ.ต.ต.นที จันทร์แสงศรี พนักงานสอบสวนในคดีนี้ เบิกความว่า ในคดีนี้เมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2564 เวลาประมาณ 17.00 น. ขณะปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ สภ.สุไหงโก-ลก พสิษฐ์ จันทร์หัวโทน ได้เดินทางมาแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีในข้อหา ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ กับจำเลยในคดีนี้ โดยได้ส่งมอบหนังสือแจ้งความร้องทุกข์ที่จัดทำขึ้นเองพร้อมกับเอกสารซึ่งเป็นรายละเอียดเหตุที่กล่าวหาว่าเป็นความผิดให้กับพยาน
พสิษฐ์บอกว่า ได้เล่นเฟซบุ๊กแล้วพบกับเฟซบุ๊กของจำเลย อ่านแล้วเห็นว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ตามมาตรา 112 จึงได้มาแจ้งความดำเนินคดี โดยพสิษฐ์ได้นำชื่อและนามสกุลของจำเลยมามอบให้ด้วยเพื่อให้พยานสืบค้นดูในฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ หลังได้ข้อมูลและตรวจสอบดูแล้ว พสิษฐ์บอกว่าข้อมูลตรงกันกับจำเลย ทั้งภาพใบหน้า และชื่อ-นามสกุล พสิษฐ์จึงยืนยันให้ดำเนินคดีจำเลย
ขณะรับแจ้งความ พยานไม่ได้ตรวจดูบัญชีเฟซบุ๊กของจำเลยจากมือถือของพสิษฐ์ เพราะในวันและเวลาเดียวกันนั้นพสิษฐ์มาแจ้งความดำเนินคดีมาตรา 112 กับประชาชนรายอื่นอีก 8 รายด้วยกัน พยานจึงยุ่งมาก
เอกสารที่พสิษฐ์นำมาแจ้งความด้วยนั้น มีรูปหนึ่งแสดงลิงค์ (link) โปรไฟล์บัญชีเฟซบุ๊กของจำเลยด้วย พยานจึงได้ส่งข้อมูลดังกล่าวไปตรวจสอบที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ผลการตรวจสอบจากหน่วยงานทั้งสองพบว่า ไม่สามารถดึงข้อมูลจากบัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าวมาตรวจสอบได้เนื่องจากข้อมูล IP Address ถูกเก็บไว้กับผู้ให้บริการที่ต่างประเทศ แต่พบว่าบัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าวเปิดใช้งานอยู่ และพบ ID LINE พร้อมกับโทรศัพท์มือถือถูกโพสต์อยู่ที่หน้าไทม์ไลน์ของเฟซบุ๊กดังกล่าวอีกด้วย ปรากฏตามรายงานการตรวจสอบ
เมื่อรวบรวมข้อมูลแล้วเสร็จ พยานจึงได้ออกหมายเรียกให้จำเลยมาพบ ที่ สภ.สุไหงโก-ลก เมื่อจำเลยและทนายความมาถึงจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาในข้อหาตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) โดยจำเลยให้การปฏิเสธ
พยานยังได้สอบปากคำจำเลยไว้อีกด้วย ขณะสอบปากคำจำเลยได้ให้เบอร์โทรศัพท์ไว้จำนวน 3 เบอร์ ซึ่ง 1 ใน 3 เบอร์นั้นตรงกับเบอร์โทรศัพท์ที่ ปอท.และกระทรวงดิจิทัลฯ ตรวจสอบพบว่าถูกโพสต์อยู่บนหน้าไทม์ไลน์เฟซบุ๊กของจำเลยโดยจำเลยเป็นคนโพสต์เอง
นอกจากนี้พยานยังได้สอบปากคำคนสนิทของจำเลยที่เดินทางไปพร้อมกัน โดยคนสนิทของจำเลยได้ให้การยืนยันว่าเบอร์ที่ปรากฏอยู่ในรายงานการตรวจสอบของ ปอท. และกระทรวงดิจิทัลฯ นั้นเป็นเบอร์โทรที่จำเลยเปิดใช้งานอยู่จริง
เหตุที่ 1 และที่ 2 ตามฟ้อง พยานเห็นว่าเมื่อปะติดปะต่อข้อความเข้าด้วยกันแล้ว เข้าใจได้ว่าตำรวจเลือกรับใช้กษัตริย์มากกว่าประชาชน โดยภาพการ์ตูนตัวเป็นคนหัวเป็นสุนัขเป็นการสื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นสุนัขรับใช้ ส่วนผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ พยานเข้าใจว่าเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 10 เพราะมีผู้มาแสดงความคิดเห็นต่อท้ายระบุชื่อ ‘ฟูฟู’ ซึ่งเป็นสุนัขทรงเลี้ยงของกษัตริย์รัชกาลที่ 10 และภาพการสลายการชุมนุมเหตุการณ์ประท้วงตามเหตุที่ 1 นั้นเกิดขึ้นในรัชสมัยของรัชกาลที่ 10
พนักงานสอบสวนตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า พยานไม่แน่ใจว่า พสิษฐ์เป็นสมาชิกของ คปส. หรือไม่ แต่เมื่ออ่านจากหนังสือคำร้องทุกข์ที่พสิษฐ์จัดทำขึ้นเองและส่งมอบให้เพื่อให้ดำเนินคดีกับจำเลยในคดีนี้นั้น มีการระบุไว้ชัดเจนว่า พสิษฐ์เป็นสมาชิกของ คปส. นอกจากนี้ในคำร้องดังกล่าวยังมีการระบุชื่อ-นามสกุลของจำเลยไว้อย่างชัดเจนอีกด้วย
ส่วนเอกสารประกอบการร้องทุกข์ ซึ่งเป็นเหตุให้ดำเนินคดีนี้นั้นไม่ได้ถูกสั่งพิมพ์ออกมาจากเฟซบุ๊กโดยตรง แต่ได้มาด้วยการแคปภาพหน้าจอมือถือแล้วนำไฟล์ภาพมาจัดวางเรียงต่อกัน
พนักงานสอบสวนร่วมในคดีนี้ ซึ่งอยู่ด้วยกันกับพยานในขณะที่พสิษฐ์มาแจ้งความร้องทุกข์ก็ไม่ได้ขอไฟล์รูปต้นฉบับนั้นไว้ และพยานก็ไม่ได้เข้าไปตรวจสอบบัญชีเฟซบุ๊กที่พสิษฐ์อ้างว่าเป็นของจำเลยว่ามีการโพสต์หรือแชร์จริงตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ อีกทั้งไม่ได้ยึดโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ของจำเลยมาไว้ตรวจสอบอีกด้วย พยานจึงไม่ทราบว่า เหตุตามฟ้องจะตรงกับโพสต์ในเฟซบุ๊กของจำเลยหรือไม่
พยานได้ยื่นคำร้องขอข้อมูลกับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของจำเลยเพื่อตรวจสอบแล้วว่าเบอร์ที่ได้จากการสอบปากคำและตรวจสอบของ ปอท.และกระทรวงดิจิทัลฯ นั้นเป็นของจำเลยจริงหรือไม่ แต่ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือไม่ได้ส่งจดหมายตอบกลับมาแต่อย่างใด
ตามรายงานการสอบสวนของ ปอท. และกระทรวงดิจิทัลฯ ไม่พบการกระทำตามฟ้องในบัญชีเฟซบุ๊กที่กล่าวหาว่าเป็นของจำเลยแต่อย่างใด และพยานทราบว่าโพสต์เฟซบุ๊กอาจจะมีการปลอมแปลงกันได้ ภาพแคปหน้าจอที่พสิษฐ์นำมาแจ้งความ ซึ่งเป็นเหตุที่ 1 และ 2 ตามฟ้องนั้นพยานไม่แน่ใจว่าจะเป็นข้อความที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันหรือไม่
เหตุที่ 1 ตามฟ้อง – พยานยืนยันว่า เป็นภาพการสลายการชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อประชาชนถูกสลายการชุมนุมโดยตำรวจ ประชาชนจะมีการก่นด่าตำรวจบ้าง ยืนยันว่าเป็นโพสต์ที่มีลักษณะมุ่งตำหนิการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เหตุที่ 2 ตามฟ้อง – จำเลยไม่ได้คอมเมนต์คำว่า ‘ฟูฟู’ แต่เป็นผู้อื่นที่มาแสดงความเห็นต่อท้าย พยานยืนยันว่าหากไม่ดูข้อความที่ผู้อื่นมาแสดงความเห็นต่อท้ายเรื่องฟูฟูนั้น เมื่ออ่านคอมเมนต์แรกของจำเลยแล้ว เห็นว่าสื่อความหมายได้ว่า การ์ตูนตัวคนหัวสุนัขนั้นจะหมายถึงสุนัขทรงเลี้ยงที่ชื่อ ฟูฟู ไม่ได้
คดีนี้พยานไม่ได้ออกหมายจับจำเลย จำเลยซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ต้องหาได้เดินทางมาพบกับพนักงานสอบสวนถึงที่ สภ.สุไหงโก-ลก ด้วยตนเอง และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
(อ้างอิง: คำให้การพยานโจทก์ ศาลจังหวัดนราธิวาส คดีหมายเลขดำที่ อ.8/2565 ลงวันที่ 24 ส.ค. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/49256) -
วันที่: 25-08-2022นัด: สีบพยานจำเลยเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งเป็นภาพแคปหน้าจอโพสต์เฟซบุ๊กที่ผู้กล่าวหาอ้างว่าเป็นความผิดและนำมาแจ้งความร้องทุกข์นั้น พยานฝั่งจำเลยทั้งสองปากเห็นพ้องกันว่าเอกสารดังกล่าวยังไม่มีความน่าเชื่อถือเพียงพอ โดยเบิกความยืนยันว่าภาพในเอกสารดังกล่าวผ่านการตัดต่อ แก้ไข และเปลี่ยนมาอย่างแน่นอน เพราะหากเทียบกับกับรูปภาพที่ได้จากการแคปหน้าจอมือถือปกติ จะเห็นได้ว่ามีจุดต่างกันอยู่หลายจุด เช่น มีกรอบภาพ ขนาดภาพไม่เท่ากัน ภาพไม่มีส่วนหัวที่แสดงระดับแบตเตอร์รี่ หรือตัวเลขแสดงวัน-เวลา เป็นต้น แต่ไม่ทราบว่าจะทำด้วยวิธีการใด
ทั้งนี้พยานยังเบิกความตั้งข้อสังเกตอีกว่า การกล่าวหาจำเลยว่ากระทำผิดตามฟ้องนั้นไม่จำเป็นว่าจำเลยจะเป็นผู้กระทำด้วยตัวเองหรือเป็นเจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กก็สามารถมีหลักฐานหมาย จ.1 แผ่นที่ 2 และ 3 ดังกล่าวได้ ซึ่งอาจจะได้มาจากการเจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ (Hacker) โดยแฮกเกอร์ หรือไปล็อกอินในอุปกรณ์เครื่องอื่นแล้วลืมออกจากระบบ แล้วจึงมีบุคคลนิรนามมากลั่นแกล้งก็ย่อมเป็นไปได้ รวมถึงอาจจะได้มาจากวิธีการแก้ไขอื่นใดทางเทคนิคและคอมพิวเตอร์ เช่น Web Inspector, โปรแกรมตัดต่อภาพอื่นๆ เป็นต้น
นอกจากนี้ ผู้จัดการ iLaw ยังได้เบิกความถึง การใช้มาตรา 112 ในการกลั่นแกล้งผู้เห็นต่างทางการเมือง โดยชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันมีหลายกลุ่มจัดตั้งขึ้นมาเพื่อแจ้งความมาตรา 112 กับประชาชนโดยเฉพาะเป็นจำนวนหลายร้อยคดี
++พยานจำเลยปากที่ 1 – ยิ่งชีพ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ เบิกความว่า จบการศึกษาคณะนิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และศึกษาจบเนติบัณฑิต ปัจจุบันทำงานอยู่ที่โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ilaw) ในตำแหน่งผู้จัดการโครงการ โครงการดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อติดตามและศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งหลายปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นการบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมาตรา 116 รวมถึง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
พยานทำงานอยู่ที่ iLaw ตั้งแต่ปี 2552 และยังรับเป็นอาจารย์พิเศษอยู่ที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสอนในวิชารายงานข่าวด้านสิทธิมนุษยชน และได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรเรื่อง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ อีกด้วย
อีกทั้งยังเคยทำงานวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบจากการบังคับใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ร่วมกับนักวิชาการที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตั้งแต่ปี 2553-2555 โดยพบว่า มาตรา 14 ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มีจุดประสงค์บังคับใช้กับผู้เจาะระบบ (Hacker) ในลักษณะความผิดต่อระบบ แต่เมื่อบังคับใช้จริงกลับถูกนำมาใช้เอาผิดเกี่ยวกับการนำเข้าข้อมูลทางการเมืองหรือข้อมูลด้านความมั่นคง ซึ่งผิดเจตนารมณ์ของกฎหมายนี้
พยานเคยได้เรียนหลักสูตรการพิสูจน์ตัวตนทางอินเทอร์เน็ตและทำงานวิจัยด้านนี้มา การพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้งานเฟซบุ๊กนั้นสามารถตรวจสอบได้จากหลักฐาน 5 อย่างด้วยกัน ดังนี้
1. ต้องระบุต้นทางของเนื้อหาโพสต์ นั่นคือ ตัวชี้แจง (URLs) ซึ่งจะต้องสั่งพิมพ์หน้าเฟซบุ๊กบน Browser โดยตรง URLs จึงจะปรากฏ ซึ่งจะอยู่ด้านล่างซ้ายเสมอ และด้านบนจะปรากฏวันที่สั่งพิมพ์และผู้สั่งพิมพ์จะต้องลงลายมือเซ็นกำกับไว้ด้วย นอกจากนี้ด้านขวาล่างจะปรากฏตัวเลข ซึ่งแสดงจำนวนหน้ากำกับไว้ด้วยว่า โพสต์ต้นฉบับมีความยาวทั้งหมดกี่หน้า ทั้งหมดนี้ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานที่มีความน่าเชื่อถือระดับหนึ่งว่ามีต้นโพสต์อยู่จริง
2. เจ้าหน้าที่มีอำนาจตามมาตรา 18 แห่ง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ที่จะยื่นหนังสือไปยังผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือเพื่อขอข้อมูลว่า ผู้ใช้บริการขณะนั้นใช้ IP address ใด หลังจากนั้นจะยื่นต่อไปยังผู้ให้บริการเพื่อขอข้อมูลว่า ผู้จด IP Address นั้นเป็นผู้ใดและอยู่ที่ใด
3. เมื่อทราบชื่อที่อยู่ของผู้ใช้ IP Address ก็จะสามารถขอให้ศาลออกหมายเพื่อขอรายละเอียดข้อมูลจากแหล่งที่อยู่ว่ามีประวัติเคยเข้าใช้งานอะไรบ้าง
4. เจ้าหน้าที่ตรวจหาดีเอ็นเอบนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์มือถือได้เพื่อให้รู้ว่าใครใช้อุปกรณ์อยู่ในขณะนั้น
ทนายจำเลยให้พยานดูพยานหลักฐานที่ผู้กล่าวหานำเข้าแจ้งความจำเลย (หมาย จ.1) พยานให้ความเห็นว่า เป็นการแคปภาพหน้าจอมือถือ แล้วนำมาเรียงต่อกัน จากนั้นจึงสั่งพิมพ์ออกมา หน้าตาคล้ายแอพพลิเคชั่นเฟซบุ๊กบนโทรศัพท์มือถือ แต่ไม่ได้ปรากฏ URL
ภาพแคปหน้าจอดังกล่าวนั้นสามารถทำได้ด้วยการแคปหน้าจอโทรศัพท์มือถือแต่ละรุ่นแล้วบันทึกเป็นไฟล์ภาพลงในเครื่อง และน่าจะเอาไปเข้าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เพื่อจัดเรียงไฟล์ภาพก่อน ซึ่งมีข้อสังเกตคือ
1. ภาพแคปหน้าจอมือถือจะไม่มีกรอบภาพ แต่หมาย จ.1 มีกรอบภาพอยู่
2. ส่วนหัวของภาพที่ทำการแคปหน้าจอจะมีบ่งบอกเวลา ระดับแบตเตอรี่ ระดับสัญญาณโทรศัพท์ แต่หมาย จ.1 นั้นมีการตัดต่อเอาส่วนนี้ออกทั้งหมด
3. ขนาดภาพมีขนาดเท่ากันทั้งหมด โดยจะเท่ากับขนาดของหน้าจอมือถือแต่ละรุ่นที่ทำการแคปภาพ แต่จะเห็นได้ว่า ในแผ่นที่ 3 ซึ่งมีภาพแคปหน้าจอทั้งหมด 3 ภาพ มีขนาดรูปที่ไม่เท่ากัน ฉะนั้นจึงอาจพูดว่า ภาพที่ปรากฏอยู่บนหมาย จ.1 ทั้งหมดไม่ใช่ภาพต้นฉบับที่แคปหน้าจอมาจากมือถือ แต่มีการตกแต่ง แก้ไข เปลี่ยนแปลง ก่อนทำการสั่งพิมพ์ออกมา
ข้อความหรือโพสต์ในภาพที่แคปก่อนจะพิมพ์ สามารถแก้ไขด้วยโปรแกรมบางอย่างที่สามารถตัดต่อได้ด้วยเช่น Microsoft Word, Power Point, Photoshop, Keynote เป็นต้น
เท่าที่พยานได้ติดตามคดี ม.112 พบว่า มีหลายคดีที่จำเลยต่อสู้ว่า ถูกกลั่นแกล้ง เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมือง ข้อหานี้ถูกนำมาใช้กับผู้เห็นต่างทางการเมืองได้ อีกทั้งตอนนี้มีหลายกลุ่มจัดตั้งขึ้นมาเพื่อแจ้งความกับประชาชนโดยเฉพาะเป็นจำนวนหลายร้อยคดี และยังมีการโชว์ผลงานที่ได้แจ้งความกับประชาชนผู้เห็นต่างทางการเมืองอีกด้วยว่า ได้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับประชาชนไปแล้วจำนวนกี่ราย
จำนวนผู้ถูกดำเนินคดีด้วย ม.112 จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามบรรยากาศทางการเมืองในขณะนั้น ตัวอย่างเช่นเมื่อปี 2557 มีผู้ถูกดำเนินคดีด้วย ม.112 เป็นจำนวนมาก เพราะเกิดการรัฐประหารขึ้น แต่ในช่วงปี 2561-2562 พบว่า ไม่มีผู้ถูกดำเนินคดีด้วยกฏหมายข้อนี้เลย แต่ต่อมาเมื่อช่วงปี 2564 ถึงปัจจุบันมีผู้ถูกดำเนินคดีด้วย ม.112 เป็นจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์
วันที่ 19 พ.ย. 2553 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แถลงว่าจะบังคับใช้กฎหมายทุกมาตรากับผู้ชุมนุมทางการเมืองและจากนั้นผู้ถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 จึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นตลอดมาจนถึงปัจจุบัน
จากนั้นทนายจำเลยได้อ้างส่งศาลเป็นเอกสารแสดงข้อมูลเกี่ยวกับการแจ้งความด้วยมาตรา 112 เพื่อสร้างภาระให้ผู้ถูกกล่าวหาด้วยการริเริ่มคดีในพื้นที่ห่างไกล เช่น สุไหงโก-ลก, เชียงราย, ยะลา ฯลฯ ทำให้จะต้องเสียค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก โดยคดีเช่นนี้มีแนวโน้มเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
พยานเคยไปเบิกความเป็นพยานจำเลยในคดี ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาหลายคดี ครั้งหนึ่งเคยไปที่ จ.เชียงราย ซึ่งเป็นคดีเกี่ยวกับการโพสต์เฟซบุ๊กที่จำเลยเป็นผู้ต่อต้านการรัฐประหารและถูกทหารกล่าวหาว่าทำผิด แต่สุดท้ายศาลจังหวัดเชียงรายพิพากษายกฟ้อง คดีนี้ถึงที่สุดแล้วโดยอัยการไม่อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นแต่อย่างใด
จากประสบการณ์การทำงานของพยาน ช่วงหนึ่งตำรวจมักจะใช้อำนาจตามมาตรา 18 ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เพื่อหาหลักฐานจากผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือและได้รับความร่วมมือมาโดยตลอด แต่ช่วงหลังไม่ค่อยมีหลักฐานลักษณะนี้ถูกนำขึ้นสู่ชั้นศาลเลย พยานไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด
ต่อมา ผู้จัดการ iLaw ตอบอัยการถามค้านว่า บัญชีเฟซบุ๊กจะต้องใส่อีเมลและรหัสผ่าน (Password) ก่อนลงชื่อเข้าใช้ (Log In) เพื่อยืนยันตัวตนก่อนเสมอ ผู้อื่นที่ไม่รู้อีเมลและรหัสผ่านจะไม่สามารถเข้าใช้งานได้ ข้อความที่โพสต์ แชร์ หรือคอมเมนต์ที่ไม่ถูกหรือไม่เหมาะสม หากอยู่ในเฟซบุ๊ก เจ้าของบัญชีจะสามารถทำการลบได้ทันที
เอกสารหมาย จ.1 ซึ่งเป็นเหตุตามฟ้อง มีลักษณะเป็นภาพแคปหน้าจอจากแอพพลิเคชั่นเฟซบุ๊กบนมือถือ
เหตุที่ 1 ตามฟ้อง ซึ่งเป็นโพสต์รูปที่ได้จากการแคปข้อความและรูปภาพที่ถูกโพสต์บนทวิตเตอร์ พยานเข้าใจว่ามีผู้แคปมาจากทวิตเตอร์ แต่ถูกนำมาโพสต์บนเฟซบุ๊กซ้ำอีกทีหนึ่ง และเข้าใจว่าน่าจะเป็นข้อความและรูปภาพที่ถูกโพสต์ลงในทวิตเตอร์ในวันที่เกิดเหตุการณ์ม็อบ 13 ก.พ. 2564
เอกสารหมาย จ.1 ที่เป็นภาพแคปหน้าจอและมีรายละเอียดเป็นลิงค์บัญชีเฟซบุ๊กของจำเลย พยานคิดว่าคนอื่นน่าจะสามารถเข้าถึงได้หากตั้งค่าการเข้าถึงและเผยแพร่เป็นสาธารณะ
เอกสารหมาย จ.1 ปรากฏเวลาที่โพสต์ว่า โพสต์เมื่อ 4 และ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา แสดงว่าเป็นเวลาที่แคปหน้าจอนับตั้งแต่โพสต์นั้นถูกโพสต์ ซึ่งยังไม่เกิน 24 ชั่วโมง หากเกินแล้วเวลาที่ระบุในโพสต์นั้นจะเปลี่ยนเป็นจำนวนวันแทน ตัวอย่างเช่น 1 วัน
พยานไม่ทราบว่า โดยทั่วไปผู้ใช้งานเฟซบุ๊กจะใช้ชื่อจริงหรือรูปตัวตนจริงมาเป็นชื่อบัญชีเฟซบุ๊กและรูปโปรไฟล์หรือไม่ แต่คนรู้จักส่วนใหญ่ของพยานใช้รูปจริงและชื่อจริง บางคนใช้ชื่อย่อหรือชื่อเล่นก็มี
อย่างไรก็ตาม ยิ่งชีพตอบทนายจำเลยถามติงว่า เอกสารหมาย จ.1 นั้นยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าจำเลยได้โพสต์จริงหรือไม่ และไม่ทราบว่าข้อความจะมีอยู่จริงหรือไม่ หลักฐานซึ่งเป็นเอกสารหมาย จ.1 ยังไม่มีความน่าเชื่อถือเพียงพอ
++พยานจำเลยปากที่ 2 – วรัญญตา ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์
วรัญญตา ยันอินทร์ เบิกความว่า จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาคอมพิวเตอร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ปัจจุบันทำงานอยู่ที่โครงการอินเทอร์เน็ตกฎหมายเพื่อประชาชน (iLaw) ในตำแหน่งผู้ประสานงานกิจกรรม และมีหน้าที่เป็นนักเทคนิคในโครงการศึกษาสปายแวร์ที่ชื่อว่า ‘เพกาซัส’ (Pegasus)
ก่อนหน้านี้พยานเคยเป็นผู้ดูแลระบบแอพพลิเคชั่น ทำหน้าที่ตรวจสอบความผิดพลาดของระบบ และเคยฝึกงานในตำแหน่งนักพัฒนาโปรแกรมเพื่อให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้และจำแนกรูปภาพได้
เอกสารหมาย จ.1 พยานเห็นว่าเป็นการแคปภาพหน้าจอจากแอพพลิเคชั่นเฟซบุ๊กบนโทรศัพท์มือถือ และนำมาตัดต่อด้วยโปรแกรมบางอย่าง จากนั้นนำมาจัดเรียงต่อกันก่อนสั่งพิมพ์ออกมา พยานไม่สามารถระบุที่มารูปภาพที่แคปหน้าจอได้ว่ามาจากที่ใด เพราะปกติจะรู้ได้ว่ามาจากที่ใดนั้นจะต้องสั่งพิมพ์จากเบราว์เซอร์โดยตรง และเมื่อสั่งพิมพ์ออกมาแล้วจะมีองค์ประกอบอยู่บนหน้ากระดาษ ดังนี้
1. ขอบด้านบนซ้ายของหน้ากระดาษจะปรากฏตัวเลขแสดงวันและเวลา ณ ขณะที่สั่งพิมพ์
2. ขอบด้านบนของหน้ากระดาษเกือบกึ่งกลางปรากฏชื่อเว็บไซต์ของหน้าที่สั่งพิมพ์
3. ด้านล่างซ้ายของหน้ากระดาษจะปรากฏ URL ซึ่งเป็นที่อยู่ของ Website ที่สั่งพิมพ์ออกมา เป็นประโยชน์ในการใช้ระบุต้นโพสต์ว่ามีที่อยู่บนที่ใดบนโลกอินเทอร์เน็ต
4. ด้านขวาล่างปรากฏตัวเลขแสดงเลขที่หน้าที่สั่งพิมพ์
ข้อสังเกตที่ทำให้ทราบว่ามีภาพแคปหน้าจอมือถือผ่านการตัดต่อ แก้ไข หรือเปลี่ยนแปลง
1.การแคปภาพหน้าจอมือถือ ส่วนบนสุดจะแสดงปริมาณแบตเตอรี่ สัญญาณมือถือ และเวลา ขึ้นอยู่กับมือถือแต่ละยี่ห้อ แต่รูปตามเอกสารหมาย จ.1 ไม่มีส่วนที่แสดงข้อมูลเหล่านี้เลย จึงคาดว่ามีการตัดต่อ
2. การแคปภาพหน้าจอมือถือจะได้ภาพที่มีขนาดเท่ากันทุกภาพ แต่เอกสารหมายจอหนึ่งแผ่นที่ 3 ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 3 ภาพ ภาพที่ 3 มีขนาดไม่เท่ากันกับอีก 2 ภาพที่เหลือ
3. การแคปภาพจากมือถือจะไม่มีเส้นกรอบจึงเชื่อว่ามีการตัดต่อรูปภาพ
การตัดต่อสามารถทำได้ทั้งขนาดภาพและข้อความบนรูปภาพ การตัดต่อข้อความในรูปภาพสามารถทำได้โดยใช้โปรแกรมจากมือถือหรือคอมพิวเตอร์ ซึ่งแม้จะเป็นโปรแกรมระดับพื้นฐานก็สามารถทำได้
นอกจากนี้เฟซบุ๊กนั้น ผู้ใดจะเป็นคนสร้างก็ได้ โดยใช้เพียงอีเมลและเบอร์โทรศัพท์ โดยจะใช้ชื่อและนามสกุลใดก็ได้ แม้จะเป็นบัญชีจริงก็สามารถถูกบุคคลอื่นเจาะระบบเข้าใช้งานได้เช่นกัน เช่นกรณีที่ไปเข้าสู่ระบบบนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นแล้วลืมออกจากระบบบัญชี หรือจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงโดยใช้วิธี Web Inspector ก็ได้เช่นกัน
วิธี Web Inspector เป็นเครื่องมือที่ไว้ใช้ตรวจสอบความถูกต้องของเว็บไซต์และสามารถใช้แก้ข้อมูลบนเบราว์เซอร์ได้ด้วย วิธีใช้งานให้ไปที่หน้าโปรแกรม Chrome จากนั้นกด Control + Shift + C หรือ I จากนั้นจะปรากฏหน้าต่าง Web Inspector ขึ้นมา และสามารถแก้ไขข้อความบนหน้าเว็บไซต์ได้ทันที ซึ่งผลการแก้ไข เปลี่ยนแปลงที่ได้จะมีความแนบเนียนกว่าการตัดต่อรูปภาพด้วยโปรแกรมทั่วไปเสียอีก
ความรู้นี้บุคคลอื่นก็สามารถทำได้เช่นกัน เพราะความรู้เรื่องนี้ถูกเผยแพร่อยู่ทั่วไปบนอินเทอร์เน็ต เอกสารหมาย จ.1 จึงมีความน่าเชื่อถือค่อนข้างน้อย เนื่องจากสามารถตัดต่อ แก้ไข และเปลี่ยนแปลงได้ด้วยวิธีการใดๆ ให้มีขึ้นและผ่านการตัดต่อจากมือถืออยู่แล้ว 100%
จากนั้น พยานตอบอัยการถามค้านว่า เจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กมีรหัสผ่านในการเข้าใช้งานของแต่ละคน คนที่จะสามารถเจาะเข้าระบบได้ไม่จำเป็นต้องมีความรู้เฉพาะเสมอไป พยานไม่สามารถบอกได้ว่าตามเอกสารหมาย จ.1 นั้นผ่านการแก้ไขข้อความที่จุดใดมาบ้าง เพราะหากผ่านการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงด้วยวิธี Web Inspector จะแนบเนียนอย่างมาก
เอกสารหมาย จ. 1 แผ่นที่ 3 มีรูปภาพที่ 3 แสดงถึงลิงค์บนโปรไฟล์ที่อ้างว่าที่อยู่เว็บไซต์หน้าบัญชีเฟซบุ๊กของจำเลย ซึ่งเป็นคนละตัวกันกับ URL หน้าเว็บไซต์แต่ละหน้ามี URL เฉพาะตัว แต่ลิงค์โปรไฟล์ในเอกสารหมาย จ.1 ที่ว่ามานั้นก็ทำให้เข้าถึงหน้าบัญชีเฟซบุ๊กนั้นได้เช่นกัน
และตอบทนายจำเลยถามติงว่า รูปเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 3 รูปที่ 3 ภาพนี้มีกรอบและไม่ใช่ขนาดปกติ ยืนยันได้ว่าผ่านการแก้ไขและตัดต่อมาอย่างแน่นอน จะตรงกับหน้าบัญชีเฟซบุ๊กของจำเลยหรือไม่นั้นไม่อาจทราบได้
เมื่อเสร็จการสืบพยาน ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 6 ต.ค. 2565 เวลา 09.00 น.
(อ้างอิง: คำให้การพยานจำเลย ศาลจังหวัดนราธิวาส คดีหมายเลขดำที่ อ.8/2565 ลงวันที่ 25 ส.ค. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/49256) -
วันที่: 06-10-2022นัด: ฟังคำพิพากษาศาลอ่านคำพิพากษามีใจความโดยสรุป ดังนี้ แม้โจทก์จะนำสืบได้ว่าบัญชีเฟซบุ๊กเป็นของจำเลยจริง ตามรูปในทะเบียนราษฎรและรูปโปรไฟล์เฟซบุ๊กที่เหมือนกัน ประกอบกับเบอร์โทรศัพท์ที่ถูกโพสต์บนหน้าบัญชีเฟซบุ๊กกับเบอร์โทรศัพท์ที่จำเลยและญาติของจำเลยเคยให้การไว้ก็เป็นเบอร์เดียวกัน
แต่ศาลเห็นว่า พยานโจทก์ยังไม่พอให้เชื่อได้ว่าจำเลยเป็นผู้นำเข้าโพสต์ดังกล่าวจริงหรือไม่ เพราะพยานโจทก์มีเพียงผู้กล่าวหาเพียงคนเดียวที่เป็นผู้เบิกความว่าจำเลยโพสต์จริง แต่กลับเบิกความถึงการเห็นโพสต์แตกต่างกัน อีกทั้งภาพที่นำมาแจ้งความก็ไม่ปรากฏ URL ประกอบการคำเบิกความของพยานจำเลยซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งสองเห็นว่า ภาพมีการตัดต่อมา พยานโจทก์จึงยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กดังกล่าวตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
++ต้นทุนของการต่อสู้คดี ม.112 จาก สมุทรปราการ-นราธิวาส ของ ‘วารี’ กระทั่งศาลสั่งยกฟ้อง
1. สูญเสียเงินค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางไปต่อสู้คดีที่ จ.นราธิวาส ทั้งหมดประมาณ 60,000 บาท และที่ไม่สามารถเบิกจ่ายกับกองทุนดาตอร์ปิโดได้อย่างน้อย 30,000 บาท (เป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางของแฟน และค่าใช้จ่ายบางประการที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือของกองทุนฯ)
2. สูญเสียความมั่นใจ ความสุขในการใช้ชีวิต วิตกกังวล และได้รับผลกระทบต่อภาวะจิตใจจนกลายเป็นปัญหาต่อการใช้ชีวิตประจำวันและการทำงาน เช่น วิตกกังวลจนมีอาการนอนไม่หลับ ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นต้น
3. สูญเสียรายได้จากการทำงาน 2 เท่า (ของวารีและแฟน) เพราะต้องลางานมาเพื่อต่อสู้คดี
4. แบกรับความเสี่ยงที่อาจจะต้องเผชิญเหตุร้ายจากเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และแม้จะไม่ได้รับอันตรายใด ก็ยังคงได้รับผลกระทบทางจิตใจและความปลอดภัยในชีวิตอยู่ดี
(อ้างอิง: คำพิพากษา ศาลจังหวัดนราธิวาส คดีหมายเลขดำที่ อ.8/2565 คดีหมายเลขแดงที่ อ.1135/2565 ลงวันที่ 6 ต.ค. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/49319) -
วันที่: 24-03-2023นัด: โจทก์ยื่นอุทธรณ์อัยการโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ภาค 9 โดยระบุว่าจำเลยเป็นผู้นำเข้าข้อมูลเป็นข้อความและภาพตามฟ้อง ตามเอกสารที่นำไปร้องทุกข์กล่าวโทษของผู้กล่าวหา
โจทก์ยืนยันว่า ภาพตามนั้น ผู้กล่าวหาได้มาโดยวิธีการจับภาพหน้าจอ (Capture) ด้วยโทรศัพท์มือถือของตัวเอง และนำภาพที่ได้ไปลงในโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อ ‘ปรับแต่ง’ ขนาดภาพ ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกในการจัดทำเอกสารสำหรับนำไปแจ้งความกับตำรวจเท่านั้น
เมื่อภาพตามถูกปรับแต่งขนาดภาพ ทำให้ภาพบางส่วนถูกตัดออกไป จึงไม่มีรายละเอียดระบุวันที่และเวลาของภาพถ่าย ซึ่งหากเป็นภาพจับหน้าจอจากโทรศัพท์มือถือปกติจะมีข้อมูลวันและเวลาแสดงผลที่อยู่บริเวณขอบด้านบนของภาพ
อย่างไรก็ตาม โจทก์ยืนยันว่าแม้จะไม่มีรายละเอียดข้อมูลวันและเวลาดังกล่าว แต่รายละเอียดภาพและข้อความนั้นก็ยังคงเหมือนกับต้นฉบับที่แสดงผลในหน้าจอโทรศัพท์มือถือ โจทก์จึงคัดค้านว่า พยานหลักฐานนั้น ‘มีน้ำหนัก’ รับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง และขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับเป็นลงโทษจำเลยตามฟ้อง
(อ้างอิง: อุทธรณ์ของโจทก์ ศาลจังหวัดนราธิวาส คดีหมายเลขดำที่ อ.8/2565 คดีหมายเลขแดงที่ อ.1135/2565 ลงวันที่ 24 มี.ค. 2566 และ https://tlhr2014.com/archives/60934)
-
วันที่: 26-10-2023นัด: ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ศาลจังหวัดนราธิวาสอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 9 ซึ่งมีคณะผู้พิพากษา 3 คน เป็นผู้จัดทำคำพิพากษา ได้แก่ นภาพร ถาวรศิริ, วราภรณ์ สุระพัฒน์พิชัย และสุชาติ อินประสิทธิ์ โดยพิพากษายกฟ้องตามศาลชั้นต้น เนื่องจากเห็นว่าพยานโจทก์ยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดจริงตามฟ้อง โดยมีประเด็นสำคัญในคำพิพากษา ดังนี้
1. พสิษฐ์พบบัญชีเฟซบุ๊กจากโทรศัพท์มือถือของตัวเอง และคิดว่าน่าจะเป็นความผิดจึงได้ทำการจับภาพหน้าจอ (Capture) ไว้ จากนั้นได้นำข้อมูลภาพดังกล่าวไป ‘ปรับแต่ง’ ด้วยโปรแกรม Microsoft Word Processor ในเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อจัดพิมพ์ภาพดังกล่าวออกมาเป็นหลักฐาน และนำไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ สภ.สุไหงโก-ลก
ศาลเห็นว่า การที่พสิษฐ์นำภาพไปปรับแต่งด้วยโปรแกรมในเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วจัดพิมพ์ออกมานั้น ไม่อาจมั่นใจได้ว่าข้อมูลภาพที่ถูกปรับแต่งจะยังคงเหมือนกันกับ ‘ต้นฉบับ’ ที่แสดงในหน้าจอโทรศัพท์มือถือดังที่โจทก์กล่าวอ้างในอุทธรณ์หรือไม่
2. พสิษฐ์เบิกความตอบคำถามค้าน รับว่าเอกสารนั้น ไม่ได้ถูกสั่งพิมพ์จากเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง แต่ถูกปรับแต่งผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เอกสารที่ได้จึงไม่ปรากฏ URL ให้ตรวจสอบต้นทางข้อมูล จึงไม่อาจระบุได้ว่าภาพโพสต์ดังกล่าวมีต้นทางมาจากแหล่งใด ใช่จากบัญชีเฟซบุ๊กของจำเลยหรือไม่
3. เมื่อพสิษฐ์นำเอกสารส่งมอบแก่พนักงานสอบสวน พสิษฐ์ไม่ได้มอบ ‘ไฟล์ภาพต้นฉบับ’ ที่ Capture ไว้ในโทรศัพท์มือถือแก่พนักงานสอบสวนด้วย สอดคล้องกับที่ พ.ต.ต.นที จันทร์แสงศรี ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนได้เบิกความว่า หลังจากรับแจ้งความร้องทุกข์ ไม่เคยได้ตรวจสอบภาพถ่ายตามเอกสารในโทรศัพท์ของพสิษฐ์ และไม่ได้ขอไฟล์รูปภาพต้นฉบับจากพสิษฐ์ไว้ด้วย
4. พ.ต.ต.นที ไม่ได้มีการตรวจสอบบัญชีเฟซบุ๊กว่า มีการโพสต์ข้อความดังกล่าวจริงหรือไม่ และก็ไม่มีการตรวจยึดโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ของจำเลยเพื่อมาตรวจสอบ จึงไม่ทราบว่า การกระทำตามฟ้องตรงกับข้อความต้นโพสต์หรือไม่
5. ตามรายงานการสอบสวนหาตัวผู้จดทะเบียนผู้ใช้งานเฟซบุ๊กไม่มีรายงานว่าพบโพสต์ตามฟ้องบนบัญชีเฟซบุ๊กที่กล่าวหา
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า นอกจากพยานโจทก์ปากผู้กล่าวหาและพนักงานสอบสวนแล้ว พยานโจทก์ปากอื่น ๆ ล้วนเป็นพยานโจทก์ที่นำมาเบิกความเพื่อแสดงความเห็นเกี่ยวกับข้อความและภาพว่ามีลักษณะเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 112 หรือไม่เท่านั้น
พยานหลักฐานของโจทก์จึงยังคงมีความเคลือบแคลงอยู่ว่า จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีข้อสงสัยตามสมควร ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยโดยพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 9 เห็นพ้องด้วย
.
คดีของวารีนับเป็นคดี 112 คดีที่ 3 ซึ่งมีพสิษฐ์ จันทร์หัวโทน เป็นผู้แจ้งความไว้ และมีคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แล้ว โดยก่อนหน้านี้มีคดีของ “อุดม” และ “กัลยา” ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืนจำคุกคนละ 4 ปี และ 6 ปี ตามลำดับ โดยที่ศาลฎีกามีคำสั่งไม่ให้ประกันในระหว่างฎีกา ทำให้ขณะนี้ ทั้งสองคนถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำจังหวัดนราธิวาส
(อ้างอิง: คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 9 คดีหมายเลขดำที่ อ.8/2565 คดีหมายเลขแดงที่ อ.1135/2565 ลงวันที่ 13 ก.ย. 2566 และ https://tlhr2014.com/archives/60934)
สถานะ การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว หรือ ผลการพิพากษา
ชั้นสอบสวน
ผู้ถูกดำเนินคดี :
วารี (นามสมมติ)
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
ศาลชั้นต้น
ผู้ถูกดำเนินคดี :
วารี (นามสมมติ)
ชื่อองค์คณะผู้พิพากษา :
- ชวพร ณ นคร
- จิระวดี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
- สุรพร ชลสาคร
ผลการพิพากษา
ยกฟ้อง
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ :
06-10-2022
ศาลอุทธรณ์
ผู้ถูกดำเนินคดี :
วารี (นามสมมติ)
ชื่อองค์คณะผู้พิพากษา :
- นภาพร ถาวรศิริ
- วราภรณ์ สุระพัฒน์พิชัย
- สุชาติ อินประสิทธิ์
ผลการพิพากษา
ยกฟ้อง
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
-
พิพากษาวันที่ :
26-10-2023
แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์