ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
- ทำให้ทรัพย์สินสาธารณะเสียหาย (มาตรา 360)
- พ.ร.บ.ความสะอาดฯ
ดำ อ.477/2565
แดง อ.343/2566
ผู้กล่าวหา
- พ.ต.ท.ชัยรัตน์ แย้มวงษ์ รอง ผกก.สส.สภ.ปากคลองรังสิต (ตำรวจ)
ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
- พ.ร.บ.ความสะอาดฯ
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
- ทำให้ทรัพย์สินสาธารณะเสียหาย (มาตรา 360)
หมายเลขคดี
ดำ อ.477/2565
แดง อ.343/2566
ผู้กล่าวหา
- พ.ต.ท.ชัยรัตน์ แย้มวงษ์ รอง ผกก.สส.สภ.ปากคลองรังสิต
ความสำคัญของคดี
สมพล (นามสมมติ) พนักงานบริษัทวัย 28 ปี ถูก สภ.ปากคลองรังสิต ดำเนินคดีในข้อหา หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ, ทำให้ทรัพย์สาธารณะเสียหาย และข้อหาตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ โดยถูกกล่าวหาว่า ปาสีใส่ป้ายพระฉายาลักษณ์พระราชินีริมถนนติวานนท์ เขตเมืองปทุมธานี เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2565 หลังสมพลถูกจับตามหมายจับในคดีของ สภ.ปากเกร็ด และ สภ.เมืองปทุมธานี จากเหตุป้ายพระบรมฉายาลักษณ์บริเวณทางขึ้นทางด่วนศรีสมาน และหน้าตลาดอเวค อ.เมืองปทุมธานี ถูกปาสีในคืนเดียวกัน โดยสมพลรับกับตำรวจว่า ได้ปาสีใส่รูปในจุดอื่นๆ อีก ทำให้เขาถูกดำเนินคดีถึง 6 คดี โดยทั้งหมดเป็นคดีมาตรา 112 อย่างไรก็ตาม สมพลหลังได้รับการประกันตัวทั้งในชั้นสอบสวนและพิจารณาคดี
กรณีของสมพลเป็นอีกกรณีที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่มีอัตราโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี แต่กลับถูกตีความขยายขอบเขตเกินกว่าตัวบทของกฎหมาย ครอบคลุมถึงการกระทำต่อรูปภาพ ไม่ใช่เฉพาะตัวบุคคลเท่านั้น
กรณีของสมพลเป็นอีกกรณีที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่มีอัตราโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี แต่กลับถูกตีความขยายขอบเขตเกินกว่าตัวบทของกฎหมาย ครอบคลุมถึงการกระทำต่อรูปภาพ ไม่ใช่เฉพาะตัวบุคคลเท่านั้น
พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี
อัจฉริยา ทองโสม พนักงานอัยการจังหวัดปทุมธานี บรรยายฟ้องว่า
ประเทศไทยปกครองโดยพระมหากษัตริย์มาแต่สร้าง เริ่มตั้งแต่การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จนกระทั่งถึงปัจจุบันที่ประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผู้ใดจะล่วงละเมิดพระมหากษัตริย์ในทางหนึ่งทางใดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้ ทั้งรัฐและประชาชนต่างมีหน้าที่ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งพระมหากษัตริย์ ดังที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 6 และมาตรา 50
นอกจากนี้ประมวลกฎหมายอาญา ยังมีบทบัญญัติเกี่ยวกับความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ไว้เป็นพิเศษแตกต่างจากบุคคลทั่วไป ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายอาญาดังกล่าวย่อมเห็นได้โดยแจ้งชัดว่า องค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รวมถึงสถาบันกษัตริย์ ทรงเป็นที่เคารพสักการะและเป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทยมาแต่ครั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2565 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จําเลยได้หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินีฯ ด้วยการขว้างปาถุงบรรจุสีน้ำสีแดงใส่ป้ายพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พระบรมราชินี ในรัชกาลปัจจุบัน ที่ประดิษฐานไว้บริเวณริมถนนติวานนท์ ปากซอยวัดเทียนถวาย อําเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นทรัพย์สินของเทศบาลตําบลบ้านใหม่ ผู้เสียหาย ทําให้พระบรมฉายาลักษณ์เปรอะเปื้อนสีแดงที่บริเวณพระพักตร์และฉลองพระองค์ โดยจำเลยมีเจตนาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ และพระราชินี รวมถึงสถาบันกษัตริย์ ทําให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะ
และเป็นเหตุให้ป้ายพระฉายาลักษณ์ของผู้เสียหายซึ่งเป็นราชการส่วนท้องถิ่นที่จัดขึ้นเพื่อให้ประชาชนทั่วไปเคารพสักการะบูชา เปรอะเปื้อนเสียหาย เสื่อมค่า และใช้ประโยชน์ไม่ได้ คิดเป็นค่าเสียหายจํานวน 1,400 บาท
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดปทุมธานี คดีหมายเลขดำที่ อ.477/2565 ลงวันที่ 12 พ.ค. 2565)
ประเทศไทยปกครองโดยพระมหากษัตริย์มาแต่สร้าง เริ่มตั้งแต่การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จนกระทั่งถึงปัจจุบันที่ประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผู้ใดจะล่วงละเมิดพระมหากษัตริย์ในทางหนึ่งทางใดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้ ทั้งรัฐและประชาชนต่างมีหน้าที่ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งพระมหากษัตริย์ ดังที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 6 และมาตรา 50
นอกจากนี้ประมวลกฎหมายอาญา ยังมีบทบัญญัติเกี่ยวกับความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ไว้เป็นพิเศษแตกต่างจากบุคคลทั่วไป ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายอาญาดังกล่าวย่อมเห็นได้โดยแจ้งชัดว่า องค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รวมถึงสถาบันกษัตริย์ ทรงเป็นที่เคารพสักการะและเป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทยมาแต่ครั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2565 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จําเลยได้หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินีฯ ด้วยการขว้างปาถุงบรรจุสีน้ำสีแดงใส่ป้ายพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พระบรมราชินี ในรัชกาลปัจจุบัน ที่ประดิษฐานไว้บริเวณริมถนนติวานนท์ ปากซอยวัดเทียนถวาย อําเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นทรัพย์สินของเทศบาลตําบลบ้านใหม่ ผู้เสียหาย ทําให้พระบรมฉายาลักษณ์เปรอะเปื้อนสีแดงที่บริเวณพระพักตร์และฉลองพระองค์ โดยจำเลยมีเจตนาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ และพระราชินี รวมถึงสถาบันกษัตริย์ ทําให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะ
และเป็นเหตุให้ป้ายพระฉายาลักษณ์ของผู้เสียหายซึ่งเป็นราชการส่วนท้องถิ่นที่จัดขึ้นเพื่อให้ประชาชนทั่วไปเคารพสักการะบูชา เปรอะเปื้อนเสียหาย เสื่อมค่า และใช้ประโยชน์ไม่ได้ คิดเป็นค่าเสียหายจํานวน 1,400 บาท
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดปทุมธานี คดีหมายเลขดำที่ อ.477/2565 ลงวันที่ 12 พ.ค. 2565)
ความคืบหน้าของคดี
-
วันที่: 21-02-2022นัด: แจ้งข้อกล่าวหาและฝากขังหลังจากเมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายหน่วยสนธิกำลังเข้าจับกุมสมพล (นามสมมติ) จากบ้านพักย่านดอนเมือง ตามหมายจับของศาลจังหวัดนนทบุรีและศาลจังหวัดปทุมธานี โดยกล่าวหาว่า สมพลปาสีน้ำสีแดงใส่พระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 บริเวณทางขึ้นทางด่วนศรีสมาน อ.ปากเกร็ด และบริเวณเกาะกลางถนนหน้าตลาดอเวค อ.เมืองปทุมธานี เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2565 นำตัวไปชี้ที่เกิดเหตุ จากนั้นควบคุมตัวอยู่ที่ สภ.ปากเกร็ด 2 คืน เพื่อสอบปากคำ และรอส่งฝากขังในวันจันทร์
ระหว่างการรอขอฝากขังสมพลต่อศาลจังหวัดปทุมธานีและศาลจังหวัดนนทบุรีผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ พนักงานสอบสวน สภ.ปากคลองรังสิต ได้เข้าแจ้งข้อกล่าวหาสมพลอีกคดีหนึ่ง โดยไม่ได้มีหมายจับ และไม่ได้มีทนายความอยู่ร่วมด้วย ในข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, “ทำให้ทรัพย์สาธารณะเสียหาย” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360 และ “ทำให้โคมไฟ ป้าย หรือสิ่งใดๆ ที่ราชการได้จัดทำไว้เพื่อสาธารณชนเกิดความเสียหายหรือใช้ประโยชน์ไม่ได้” ตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ มาตรา 35 เช่นเดียวกับคดีก่อนหน้านั้น จากการที่เขาให้การหลังถูกจับกุมว่า ได้ปาสีใส่รูปในจุดอื่นๆ อีก 4 จุด โดยในคดีของ สภ.ปากคลองรังสิต นี้ เป็นการปาสีใส่รูปของพระราชินีสุทิดาบริเวณริมถนนติวานนท์
จากนั้น พนักงานสอบสวน สภ.ปากคลองรังสิต ได้ยื่นคำร้องขอฝากขังสมพลในคดีนี้ต่อศาลจังหวัดปทุมธานี และทนายความได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างสอบสวน
ต่อมา เวลาประมาณ 15.30 น. ศาลอนุญาตให้ประกันตัวสมพล โดยให้วางหลักประกันเป็นเงินสด 200,000 บาท ซึ่งได้จากกองทุนราษฎรประสงค์ และนัดสมพลไปรับทราบฟ้องในวันที่ 17 พ.ค. 2565 เวลา 09.00 น.
(อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/40654) -
วันที่: 12-05-2022นัด: ยื่นฟ้องพนักงานอัยการจังหวัดปทุมธานี ยื่นฟ้องสมพลในฐานความผิด หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ, ทําให้ทรัพย์ที่มีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์เสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ 360 และทำให้ป้ายของราชการท้องถิ่นเสียหาย ตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ มาตรา 35 โดยบรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2565 จําเลยได้หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินีฯ ด้วยการขว้างปาถุงบรรจุสีน้ำสีแดงใส่ป้ายพระฉายาลักษณ์ของพระราชินีบริเวณริมถนนติวานนท์ ปากซอยวัดเทียนถวาย อําเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นทรัพย์สินของเทศบาลตําบลบ้านใหม่ ผู้เสียหาย ทําให้พระบรมฉายาลักษณ์เปรอะเปื้อนสีแดงที่บริเวณพระพักตร์และฉลองพระองค์ โดยจำเลยมีเจตนาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ และพระราชินี รวมถึงสถาบันกษัตริย์ ทําให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะ
และเป็นเหตุให้ป้ายพระฉายาลักษณ์ของผู้เสียหายซึ่งเป็นราชการส่วนท้องถิ่นที่จัดขึ้นเพื่อให้ประชาชนทั่วไปเคารพสักการะบูชา เปรอะเปื้อนเสียหาย เสื่อมค่า และใช้ประโยชน์ไม่ได้ คิดเป็นค่าเสียหายจํานวน 1,400 บาท
ท้ายฟ้องอัยการคัดค้านการให้ประกันระหว่างพิจารณาคดี อ้างว่าเป็นคดีที่มีโทษสูง เกรงว่าจำเลยจะหลบหนี ยากแก่การจับกุมมาดำเนินคดีภายหลัง พร้อมทั้งขอให้นับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีอื่นด้วย
ทั้งนี้ อัยการยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดปทุมธานีพร้อมกับคดีปาสีใส่รูป ร.10 บริเวณหน้าตลาดอเวค เมืองปทุมธานี
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดปทุมธานี คดีหมายเลขดำที่ อ.477/2565 ลงวันที่ 12 พ.ค. 2565) -
วันที่: 17-05-2022นัด: รายงานตัวต่อศาลรับทราบฟ้องเดินทางไปรายงานตัวตามที่ศาลนัด ก่อนเจ้าหน้าที่แจ้งว่า อัยการยื่นฟ้องแล้ว และนำตัวเขาไปควบคุมในห้องขังของศาล ทนายความได้ยื่นประกันในชั้นพิจารณา
ต่อมาหลังศาลรับฟ้องและถามคำให้การเบื้องต้น ซึ่งสมพลให้การปฏิเสธ ศาลได้อนุญาตให้ประกันสมพล โดยใช้หลักประกันเดิมจากชั้นฝากขัง นัดคุ้มครองสิทธิในวันที่ 1 มิ.ย. 2565 และนัดพร้อมสอบคำให้การ, ตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 20 มิ.ย. 2565 เวลา 09.00 น. -
วันที่: 01-06-2022นัด: คุ้มครองสิทธิศาลอธิบายฟ้องและแจ้งสิทธิให้จำเลยทราบ สมพลให้การปฏิเสธ และมีทนายความแล้ว ศาลจึงนัดตรวจพยานในวันที่ 20 มิ.ย.2565 ตามที่นัดไว้เดิม
-
วันที่: 20-06-2022นัด: สอบคำให้การหลังตรวจพยานหลักฐาน ศาลนัดสืบพยานในวันที่ 16-17 ก.พ. 2566
-
วันที่: 16-02-2023นัด: สืบพยานโจทก์ก่อนจะเริ่มกระบวนการสืบพยานที่ห้องพิจารณาคดีที่ 4 ประสงค์ ค้าทวี ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนได้อธิบายคำฟ้องให้แก่จำเลยฟัง และสอบถามว่าจำเลยจะให้การรับสารภาพหรือต่อสู้คดีในส่วนใดบ้าง
ทนายความจำเลยแถลงว่า จำเลยให้การยอมรับสารภาพในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360 และข้อหาตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ มาตรา 35 ส่วนในข้อหาหลักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จำเลยจะต่อสู้ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามมาตรา 112 และทนายความได้ชำระเงินค่าเสียหายของป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ให้แก่เทศบาลตำบลบ้านใหม่เพื่อให้คดีในส่วนแพ่งเสร็จสิ้นไป
การสืบพยานในคดีนี้ มีพยานโจทก์เข้าเบิกความทั้งหมดรวม 3 ปาก เบิกความในทำนองเดียวกันว่า การกระทำของจำเลยก่อให้เกิดความสกปรกเปรอะเปื้อนต่อพระบรมฉายาลักษณ์ พฤติกรรมของจำเลยเป็นการดูหมิ่นพระเกียรติ หมิ่นประมาท และแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันกษัตริย์ ในขณะที่ฝ่ายจำเลยไม่ได้นำพยานเข้าเบิกความ
++ตำรวจสืบสวนผู้กล่าวหาระบุ การเอาสีมาสาดเหมือนเอาขยะปฏิกูลมาทิ้ง กระทำกับรูปพระบรมฉายาลักษณ์เหมือนกระทำกับพระองค์จริง
พ.ต.ท.ชัยรัตน์ แย้มวงษ์ รองผู้กำกับการสืบสวน สภ.ปากคลองรังสิต และผู้กล่าวหาในคดีนี้ เบิกความว่า พยานทราบเหตุในคดีนี้ในวันที่ 14 ก.พ. 2565 เวลา 11.00 น. ได้รับแจ้งเบื้องต้นว่ามีผู้เอาสีน้ำสีแดงไปสาดพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ ซึ่งป้ายผ้าดังกล่าวติดตั้งอยู่บริเวณริมถนนติวานนท์ หน้าตลาดเทียนทวีทรัพย์ จังหวัดปทุมธานี
หลังทราบเหตุ พยานไปตรวจดูที่เกิดเหตุ พบว่ารูปพระบรมฉายาลักษณ์ของพระราชินีถูกสีแดงปาใส่ เปรอะเปื้อนบริเวณพระพักตร์และฉลองพระองค์ นอกจากนี้ยังตกลงไปที่พื้นใต้ภาพดังกล่าว
เมื่อพนักงานอัยการนำพยานเอกสารซึ่งปรากฏรูปภาพของป้ายดังกล่าวให้ดู พยานยืนยันว่า เป็นป้ายเดียวกันกับที่เบิกความถึง และยังเบิกความต่อไปว่าป้ายเป็นป้ายไวนิล ติดตั้งไว้เพื่อเทิดพระเกียรติพระราชินี เพื่อให้ประชาชนที่ผ่านมาเคารพสักการะและนึกถึงคุณงามความดีของพระองค์
พยานเบิกความว่า จากการดูด้วยสายตา คิดว่าสีที่จำเลยใช้ไม่น่าจะล้างออกได้โดยง่าย จึงรายงานเรื่องดังกล่าวต่อผู้บังคับบัญชา และผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้หาตัวผู้กระทำผิด
พยานกับพวกจึงสืบสวนโดยดูจากกล้องวงจรปิดและเส้นทางที่อยู่ใกล้กับป้ายดังกล่าว พบรถจักรยานยนต์ ไม่มีป้ายทะเบียน ไม่ทราบสีและยี่ห้อ พบชายสวมหมวกกันน็อคสีดำซึ่งเป็นผู้กระทำผิด จอดรถในตลาดเทียนทวีทรัพย์ และเดินไปที่เกิดเหตุ โดยภาพในกล้องวงจรปิดไม่เห็นขณะที่ชายคนดังกล่าวปาสี หลังจากนั้นชายคนดังกล่าวก็เดินกลับมาที่รถ มุ่งหน้าไปทางสะพานปทุมธานี 2
พยานได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบเพื่อบูรณาการการสืบสวนและประสานงานการสืบสวนกับท้องที่เกิดเหตุ คือ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์, สภ.เมืองปทุมธานี, สภ.ปากเกร็ด, สภ.คลองหลวง, สน.ดอนเมือง และกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 1
พยานเบิกความว่า หลังเกิดเหตุ สืบทราบจากเฟซบุ๊กซึ่งมีผู้โพสต์ข้อความพร้อมลงรูปพระบรมฉายาลักษณ์จำนวนหลายภาพ ทุกภาพมีสีแดงเปรอะเปื้อนอยู่ ปรากฏว่ามีภาพของพระบรมฉายาลักษณ์ของราชินีในคดีนี้อยู่ด้วย เฟซบุ๊กดังกล่าวโพสต์ข้อความและลงภาพในวันที่ 14 ก.พ. 2565 ช่วงเวลา 14.00 น. เศษ
พยานเบิกความต่อไปว่า หลังจากออกจากตลาดเทียนทวีทรัพย์ จำเลยได้ขับรถไปก่อเหตุทาง สภ.เมืองปทุมธานี และได้มีการขว้างปาสีใส่ป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 และพระราชินีของหน่วยงานราชการท้องถิ่นและเอกชนหลายจุด
จากการตรวจสอบการชำระเงินเติมน้ำมันโดยแอพลิเคชันของธนาคารและกล้องวงจรปิด จึงสืบสวนทราบว่าผู้ก่อเหตุคือ สมพล
อัยการนำพยานเอกสารซึ่งปรากฏรูปภาพขณะนำชี้สถานที่เกิดเหตุให้พยานดู พยานเบิกความว่า ในการชี้สถานที่เกิดเหตุเป็นการทำงานบูรณาการหลายสถานีตำรวจ โดย สภ.ปากคลองรังสิต ของพยานก็ไปร่วมด้วย และมีการพาตัวจำเลยไปตรวจยึดรถจักรยานยนต์ เสื้อผ้า หมวกกันน็อค และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการก่อเหตุ
พยานเบิกความว่า ตนได้รับการแต่งตั้งพิเศษให้เป็นคณะทำงานในคดีนี้ หลังจากรวบรวมพยานหลักฐานเสร็จสิ้นแล้ว พยานเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในวันที่ 20 ก.พ. 2565 และมอบรายงานการสืบสวนให้แก่พนักงานสอบสวน
พยานเบิกความว่า พฤติกรรมเอาสิ่งสกปรกคือสี ขว้างปาใส่พระบรมฉายาลักษณ์ เป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้าย เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ไม่สมควร พระบรมฉายาลักษณ์เสมือนตัวแทนของพระราชินี เนื่องจากพระราชินีเป็นที่เคารพรักต่อประชาชนทั่วไป ลักษณะการติดตั้งป้ายจะตั้งในตำแหน่งที่สูง ที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ถูกข้ามพระวรกาย เพื่อให้ประชาชนเคารพสักการะ
พยานเบิกความว่า มีการตรวจยึดโทรศัพท์มือถือของจำเลยที่ สภ.ปากเกร็ด เจอภาพที่จำเลยไปก่อเหตุในที่ต่างๆ รวมทั้งที่ก่อเหตุในคดีนี้ ภาพที่จำเลยถ่ายถูกส่งต่อให้กับบุคคลอื่น แสดงให้เห็นเจตนาที่จะเผยแพร่การกระทำนี้ออกไปให้เห็นว่า มีกลุ่มคนที่ไม่ชอบรัชกาลที่ 10 และพระราชินี การกระทำของจำเลยจึงไม่ใช่แค่เจตนาดูหมิ่นสถาบันกษัตริย์เท่านั้น แต่เป็นการชักจูงให้ประชาชนทั่วไปกระทำการเช่นเดียวกับที่จำเลยทำด้วย
พยานเบิกความว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ประกอบกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 การเอาสีมาสาด เหมือนเอาขยะปฏิกูลมาทิ้ง การทำกับรูปพระบรมฉายาลักษณ์ก็เหมือนทำกับพระองค์จริง เมื่อเปรียบเทียบกับอีกคดีที่ประชาชนนำป้ายมาติดหน้าพระพักตร์ของรัชกาลที่ 10 ว่าให้ทิ้งขยะปฏิกูล เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม จาบจ้วง หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อาฆาตมาดร้าย
ต่อมา ทนายจำเลยถามค้าน พ.ต.ท.ชัยรัตน์ ว่า จากที่พยานเบิกความว่า จำเลยส่งภาพให้บัญชีเฟซบุ๊กที่นำไปเผยแพร่ แต่ในรายงานการสืบสวนไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้ส่งภาพให้ใช่หรือไม่ พยานตอบว่า ใช่
ทนายความถามพยานว่า ไม่ปรากฏว่ามีการโพสต์ภาพลงเฟซบุ๊กโดยจำเลยใช่หรือไม่ พยานตอบว่า ใช่ พยานทราบว่า จำเลยเล่นเฟซบุ๊ก แต่ไม่ได้มีการตรวจสอบว่าจำเลยโพสต์ภาพลงเฟซบุ๊กหรือไม่
ทนายความถามว่า จากการรวบรวมพยานหลักฐานไม่ปรากฏว่าจำเลยโพสต์เฟซบุ๊กใดๆ เกี่ยวกับที่เกิดเหตุใช่หรือไม่ พยานตอบว่า ตนไม่ยืนยัน
พยานเบิกความรับว่า ในที่เกิดเหตุ บริเวณป้ายไม่มีข้อความดูหมิ่น หยาบคาย หรือใส่ความพระราชินี และแม้จำเลยจะปาสีใส่ป้าย ก็ไม่ได้ทำให้พยานเสื่อมศรัทธาในตัวรัชกาลที่ 10 และพระราชินี
อย่างไรก็ตาม พยานเบิกความตอบโจทก์ถามติงว่า ภาพที่ถูกพบว่ามีผู้โพสต์ลงในเฟซบุ๊ก เป็นภาพเดียวกันกับที่ตรวจพบในโทรศัพท์จำเลย แม้โพสต์ดังกล่าวจะไม่มีข้อความดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้าย แต่การโพสต์ภาพดังกล่าวแสดงเจตนาดูหมิ่นพระราชินี และข้อความมีลักษณะเหมือนให้จำเลยไปทำงานตามเจตนาของกลุ่ม การกระทำเป็นการดูหมิ่น จาบจ้วง และนำภาพมาโพสต์ลงในสื่อออนไลน์เป็นสาธารณะ ในความเห็นของพยาน ประชาชนทั่วไปอาจมีพฤติกรรมการเลียนแบบการกระทำเช่นจำเลยได้
เนื่องจากอัยการได้ถามติงในส่วนที่ทนายความไม่ได้ถามค้าน ทนายจำเลยจึงขออนุญาตศาลในการถามค้านเพิ่มเติม ศาลอนุญาต
ทนายจำเลยถามว่า หลังเกิดเหตุในคดีนี้ พยานตรวจสอบพบพฤติกรรมเลียนแบบหรือไม่ พยานตอบว่า ไม่ทราบว่ามีการเลียนแบบหรือไม่ เป็นเพียงความคิดเห็นของพยาน ส่วนบุคคลอื่นจะคิดอย่างไรนั้น พยานไม่ทราบ ก่อนตอบโจทก์ถามติงเพิ่มเติมว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดพฤติกรรมเลียนแบบและเกิดการดูหมิ่น เป็นไปได้ว่าประชาชนทั่วไปอาจกระทำตาม แต่เนื่องจากมีกฎหมายและการดำเนินคดี คนที่ทราบและเกรงกลัวกฎหมายก็อาจไม่กระทำ
หลังจบการสืบพยานในปากนี้ ศาลได้พูดคุยกับทนายความและจำเลยว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงยุติแล้ว แต่ต้องมาตีความเจตนาของจำเลย และศาลเห็นว่าในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์นั้นเป็นความผิดคนละกรรม แต่ในความผิดมาตรา 112 นั้น ศาลขอให้ส่งคำฟ้องในทุกคดีมาให้ศาล เพื่อพิจารณาว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวหรือไม่
++วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างระบุ การกระทำเป็นการลบหลู่พระราชินีและหมิ่นสถาบันกษัตริย์ เพราะพระมหากษัตริย์และพระราชินีเป็นที่เคารพรักของประชาชน
สายหยุด เพิ่มสวัสดิ์ ประชาชนผู้พบเห็นป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ขณะเปรอะเปื้อนของเหลวสีแดง เบิกความว่า ในวันที่ 13 ก.พ. 2565 เวลา 11.00 น. ตนขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาบริเวณถนนติวานนท์ เพื่อไปส่งผู้โดยสาร ขณะกำลังจะเดินทางกลับวินของตนซึ่งอยู่บริเวณหน้าตลาดเทียนทวีทรัพย์ ปกติบริเวณปากซอยจะมีการติดตั้งป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ของเทศบาลตำบลบ้านใหม่อยู่ เป็นป้ายพระฉายาลักษณ์ของพระราชินี ซึ่งเป็นผืนผ้าใบ ขนาดใหญ่พอสมควร ในการติดตั้งป้ายใช้เชือกขึงรั้งกับเหล็กที่ติดตั้งในตำแหน่งเกินกว่าความสูงของพยาน ป้ายดังกล่าวมีของเหลวสีแดงเปรอะเปื้อนพระพักตร์ ลงมาที่ฉลองพระองค์ และหยดลงบนพื้นจำนวนมาก
พยานเบิกความต่อไปว่า ขณะที่พยานเห็นก็มีประชาชนทั่วไปเห็นแล้ว พยานไม่ทราบว่ามีบุคคลใดแจ้งเหตุให้หน่วยงานราชการทราบหรือไม่ ต่อมาในวันที่ 14 ก.พ. 2565 พยานขับรถมอเตอร์ไซค์ผ่านมา พบว่าเจ้าหน้าที่เทศบาลได้แกะรูปพระบรมฉายาลักษณ์ไปแล้ว
พยานไม่ทราบว่าบุคคลที่ปาสีใส่ป้ายเป็นใคร ในฐานะประชาชน ตนรู้สึกโกรธมาก เป็นการลบหลู่พระราชินีและหมิ่นสถาบันกษัตริย์ เพราะกษัตริย์และพระราชินีเป็นที่เคารพรักของประชาชน เป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ ไม่มีใครควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ถ้าพยานเห็นตอนกระทำจะทนไม่ได้ จะต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เมื่อทราบว่าตำรวจสามารถจับกุมผู้กระทำผิดไว้ได้ จึงเดินทางเข้าให้การกับพนักงานสอบสวน
สายหยุดตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ป้ายที่ติดตั้งอยู่ที่ทางเท้าริมถนน นอกจากป้ายพระบรมฉายาลักษณ์แล้ว ยังมีแผ่นป้ายอื่นๆ และมีระดับความสูงเท่าเทียมกัน บนป้ายผ้าไม่มีถ้อยคำว่าร้าย ด่าทอ ดูหมิ่น มีเพียงสีที่เปรอะเปื้อน แต่พยานรู้สึกโกรธคนปา ไม่น่ากระทำเช่นนี้ ไม่เข้าใจว่าผู้ก่อเหตุทำไมจึงทำเช่นนี้ และหลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว พยานยังคงรู้สึกรัก เคารพ และเทิดทูนพระราชินีเช่นเดิม
พยานยังตอบอัยการถามติงด้วยว่า การทำลายภาพพระบรมฉายาลักษณ์ก็ไม่สมควรแล้ว การทำลายที่พยานหมายถึงคือการปาสี ปกติไม่มีบุคคลใดกระทำเช่นนั้น
(อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/54722)
-
วันที่: 17-02-2023นัด: สืบพยานโจทก์++พนักงานสอบสวนระบุ พระบรมฉายาลักษณ์เสมือนหนึ่งตัวแทน หน่วยงานราชการติดตั้งไว้เพื่อสักการะเทิดทูน การที่จำเลยปาสีจึงเป็นการดูหมิ่น
พ.ต.ท.สุวัฒน์ โพธิ์รี พนักงานสอบสวน สภ.ปากคลองรังสิต เบิกความว่า ในวันที่ 20 ก.พ. 2565 เวลา 18.00 น. ขณะตนเป็นพนักงานสอบสวนเวรอยู่ มี พ.ต.ท.ชัยรัตน์ แย้มวงษ์ เข้าร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีกับจำเลย เนื่องจากเป็นผู้กระทำผิดโดยนำสีน้ำสีแดง ปาใส่แผ่นป้ายภาพไวนิลพระฉายาลักษณ์ของพระราชินี ซึ่งติดตั้งอยู่ที่ริมถนนติวานนท์ ปากซอยวัดเทียนถวาย และป้ายผ้าดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของเทศบาลตำบลบ้านใหม่ โดยติดตั้งไว้เพื่อเทิดทูนและเคารพสักการะพระราชินีในวันเฉลิมพระชนมพรรษา
พยานเบิกความถึงรายงานการสืบสวน การเข้าจับกุม และการตรวจยึดทรัพย์สินของจำเลย
ในวันที่ 21 ก.พ. 2565 เทศบาลตำบลบ้านใหม่ มอบอำนาจให้ สุชาฎา ฤทธิ์เนื่อง มาร้องทุกข์ว่าแผ่นป้ายภาพพระบรมฉายาลักษณ์ 1 แผ่น เสียหายตั้งแต่พระพักตร์ลงมาถึงฉลองพระองค์ และย้อยลงมาที่พื้น จนไม่สามารถนำไปใช้งานต่อได้ ราคาป้ายดังกล่าว 1,400 บาท โดยป้ายมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ให้คนเคารพเทิดทูน และป้ายดังกล่าวติดตั้งสูงจากพื้นดิน ในตำแหน่งที่สูงกว่าศีรษะของคนทั่วไป
พยานเบิกความต่อไปว่า ตนได้รับแต่งตั้งเป็นคณะทำงานในคดีนี้ จึงได้เข้าตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุและนำป้ายผ้าส่งพิสูจน์ที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 1 และเก็บตัวอย่างสีที่เปื้อนพื้นร่วมกับเจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 1 รวมทั้งมีของกลางที่ส่งมาจากสถานีตำรวจภูธรอื่นด้วย ปรากฏว่าของกลางซึ่งเป็นเศษสีที่เก็บมาจากที่เกิดเหตุเป็นสีชนิดเดียวกันทั้งหมด และตรงกับสีที่ตรวจยึดได้ที่บ้านจำเลย
พยานเบิกความว่า ตนได้แจ้งข้อกล่าวหาและสอบปากคำจำเลยในวันที่ 21 ก.พ. 2565 ก่อนแจ้งข้อกล่าวหาได้แจ้งสิทธิและจัดหาทนายความให้จำเลยแล้ว โดยแจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 และข้อหาทำให้เสียทรัพย์ที่มีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ จากนั้นตนได้ตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของจำเลย พบว่า จำเลยได้กระทำผิดหลายคดีที่ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์, สภ.ปากเกร็ด, สภ.คลองหลวง และ สภ.เมืองนนทบุรี ส่วน สน. ดอนเมืองยังไม่ทราบข้อมูล
พยานเบิกความว่า พยานตรวจสอบบัญชีธนาคารของจำเลย พบว่าวันที่ 13 ก.พ. 2565 จำเลยได้ชำระเงินค่าน้ำมันจำนวน 50 บาท และ สภ.ปากเกร็ด ได้ส่งตรวจพิสูจน์ว่ามีภาพสถานที่เกิดเหตุและเป็นภาพที่ถ่ายจากโทรศัพท์มือถือของจำเลยจริง
พยานเบิกความตอบพนักงานอัยการถึงเหตุที่ตนแจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 ว่า ตนเห็นว่าพระบรมฉายาลักษณ์เสมือนหนึ่งตัวแทน หน่วยงานราชการติดตั้งไว้เพื่อสักการะเทิดทูน การที่จำเลยนำสีมาปาภาพจึงเป็นการดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์และพระราชินี
จากนั้น พ.ต.ท.สุวัฒน์ ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า บนป้ายผ้าไม่มีข้อความใดๆ ในทางการสอบสวน ไม่พบพยานหลักฐานว่า จำเลยพูดคุยกับบุคคลที่ใช้เฟซบุ๊กโพสต์ภาพสถานที่เกิดเหตุ ส่วนข้อความในโพสต์ดังกล่าว แม้ไม่มีข้อความใดที่สื่อให้เห็นว่าเป็นการดูหมิ่นรัชกาลที่ 10 และพระราชินี แต่การลงภาพก็อาจแปลความหมายว่าดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายได้
ในการสอบสวนมีการทำงานเป็นคณะบุคคล แต่พยานเป็นผู้สอบสวนโดยส่วนมาก พฤติการณ์ของจำเลยที่พยานแจ้งข้อกล่าวหามีเพียงพฤติการณ์ปาสีเพียงพฤติการณ์เดียว ไม่มีพฤติการณ์อื่น
คำฟ้องโจทก์ที่ระบุว่าการปาสีใส่ป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ทำให้ประชาชนทั่วไปเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะนั้น ในส่วนของพยานก็ยังคงเคารพรักเช่นเดิม แต่บุคคลอื่นจะมีความเห็นเช่นใด พยานไม่ทราบ
พยานเบิกความตอบพนักงานอัยการถามติงด้วยว่า การกระทำของจำเลยอาจทำให้บุคคลอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่างได้ โดยนอกจากการปาสีบนป้ายผ้าแล้ว ยังมีบุคคลอื่นโพสต์ภาพการกระทำของจำเลยด้วย ทั้งนี้ จากการสืบสวนทราบว่าจำเลยเป็นสมาชิกของบุคคลที่ไม่ชื่นชอบสถาบันกษัตริย์
.
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนมีข้อสังเกตว่า การที่สมพลถูกดำเนินคดีแยกไปตามท้องที่สถานีตำรวจที่รับผิดชอบที่เกิดเหตุ ทำให้เขาถูกดำเนินคดีถึง 6 คดี ทั้งๆ ที่พฤติการณ์ในคดีนี้คล้ายคลึงกับคดีของ นิว สิริชัย ที่พ่นสีเป็นข้อความลงบนรูปของสมาชิกราชวงศ์รวม 6 จุด รอบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต แต่เหตุในคดีของสิริชัยเกิดขึ้นในท้องที่ของ สภ.คลองหลวง เพียงแห่งเดียวจึงถูกฟ้องมาเป็นกรรมเดียว
การพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยเป็น “กรรมเดียว” หรือ “หลายกรรมต่างกัน” เป็นส่วนที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เนื่องจากการที่พนักงานอัยการสั่งฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ทั้งๆ ที่จำเลยกระทำความผิดเพียงกรรมเดียว และศาลก็พิพากษาลงโทษจำเลยแยกกรรมไปตามฟ้อง จะส่งผลให้จำเลยได้รับโทษทางอาญาหนักเกินกว่าที่สมควรได้รับ
“กรรมเดียว” จะพิจารณาจากการเคลื่อนไหวร่างกายกระทำการในครั้งเดียวไม่ได้ จำเป็นจะต้องพิจารณาถึงเจตนา พฤติการณ์ และผลจากการกระทำของจำเลยด้วย ดังนั้นแม้จะเป็นความผิดที่มีการเคลื่อนไหวหลายครั้ง หากกระทำลงโดยมีเจตนามุ่งหมายเพียงจุดประสงค์เดียว และละเมิดต่อกฎหมายฐานเดียวกัน การกระทำดังกล่าวแม้จะเกิดขึ้นหลายครั้งซ้ำๆ ดังเช่น กรณีของสมพล หรือนิว สิริชัย ก็สามารถถูกพิจารณาว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวได้ด้วยเช่นกัน
การถูกดำเนินคดีแยกกันถึง 6 คดีเช่นนี้ ทำให้สมพลมีโอกาสถูกลงโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ถึง 15 ปี ในทุกๆ คดี ดังนั้นแม้ศาลจะลงโทษในอัตราโทษต่ำสุดและลดโทษให้ เขาก็ยังอาจถูกลงโทษจำคุกรวมกันมากกว่า 10 ปี
(อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/54722) -
วันที่: 28-03-2023นัด: ฟังคำพิพากษาเวลา 09.20 น. ณ ห้องพิจารณาคดีที่ 4 สมพลเดินทางมาฟังคำพิพากษาเพียงคนเดียว ก่อนเข้าห้องพิจารณาคดี เขาเปิดเผยว่า ตนมีความเครียดกับคดีค่อนข้างมาก และเล่าว่าปัจจุบันเขาลาออกจากงานเรียบร้อยแล้ว
เวลา 09.30 น. ประสงค์ ค้าทวี ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนออกนั่งพิจารณาคดี ก่อนอ่านคำพิพากษา มีใจความโดยสรุปดังนี้
ศาลอ่านคำฟ้องของพนักงานอัยการให้จำเลยฟังโดยสรุป และระบุว่า จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360 และข้อหาตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ มาตรา 35 แต่ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จำเลยให้การต่อสู้ว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามมาตรา 112
จำเลยชำระเงินค่าเสียหายของป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ให้แก่เทศบาลตำบลบ้านใหม่เรียบร้อยแล้ว
ศาลวินิจฉัยว่า ในวันเกิดเหตุ จำเลยขว้างปาถุงบรรจุสีแดงใส่ป้ายภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ พระราชินีในรัชกาลที่ 10 ที่ประดิษฐานไว้บริเวณริมถนนติวานนท์ ปากซอยวัดเทียนถวาย ทรัพย์สินของเทศบาลตำบลบ้านใหม่ ทำให้ป้ายภาพเปรอะเปื้อน ไม่สามารถใช้การได้ จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคแรก ฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง
ส่วนในความผิดฐานดูหมิ่นพระราชินี ตามมาตรา 112 พยานโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยขับรถจักรยานยนต์ขว้างปาถุงบรรจุสีแดงใส่ภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 และพระราชินีหลายท้องที่ รวมทั้งป้ายที่เกิดเหตุในคดีนี้ จำเลยใช้กล้องโทรศัพท์มือถือถ่ายและส่งภาพให้บุคคลอื่น
จำเลยให้การในชั้นสอบสวนว่า เหตุที่จำเลยก่อเหตุเพราะติดตามข่าวสารด้านลบของสถาบันกษัตริย์มานาน จำเลยตระเตรียมการล่วงหน้า ขับรถจักรยานยนต์ขว้างปาถุงบรรจุสีแดงใส่ภาพพระบรมฉายาลักษณ์รวม 11 จุด เห็นได้ชัดว่าจำเลยมีเจตนามุ่งทำลายทรัพย์สินของผู้อื่นเท่านั้น โดยไม่ปรากฏพฤติการณ์ว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 112 พยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตาม มาตรา 112
ที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีอื่น เห็นว่าคดียังไม่มีคำพิพากษา ไม่สามารถนับโทษต่อได้
คดีในส่วนแพ่ง จำเลยได้ชดเชยค่าเสียหายให้แก่ผู้ร้องจนเป็นที่พอใจแล้ว
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม มาตรา 360 และ พ.ร.บ.ความสะอาดฯ มาตรา 35 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษบทหนักที่สุดคือ มาตรา 360 ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษลงกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน การกระทำของจำเลยไม่เหมาะสม มีความร้ายแรง จึงไม่รอการลงโทษ
หลังศาลมีคำพิพากษา สมพลถูกเจ้าหน้าที่ศาลเข้ามาใส่กุญแจข้อมือ ก่อนถูกนำตัวไปที่ห้องพิจารณาคดีที่ 3 เพื่อฟังคำพิพากษาในอีกคดีของศาลนี้
ต่อมาหลังทนายยื่นขอประกันตัวจำเลยระหว่างอุทธรณ์คดี ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวสมพล โดยให้วางเงินประกันจำนวน 50,000 บาท ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์ โดยศาลไม่ได้กำหนดเงื่อนไขอื่นเพิ่มเติม
นอกจากการต่อสู้ชั้นอุทธรณ์ในคดีนี้ ในคดีอื่นๆ ของสมพล ยังมีนัดสืบพยานต่อไป โดยสองคดีที่ศาลจังหวัดธัญบุรี มีนัดสืบพยานช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2566 นี้ ส่วนหนึ่งคดีที่ศาลจังหวัดนนทบุรี มีนัดสืบพยานช่วงเดือนมกราคม 2567
(อ้างอิง: คำพิพากษา ศาลจังหวัดปทุมธานี คดีหมายเลขดำที่ อ.477/2565 คดีหมายเลขดำที่ อ.343/2566 ลงวันที่ 28 มี.ค. 2566) https://tlhr2014.com/archives/54849)
สถานะ การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว หรือ ผลการพิพากษา
ชั้นสอบสวน
ผู้ถูกดำเนินคดี :
สมพล (นามสมมติ)
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
ศาลชั้นต้น
ผู้ถูกดำเนินคดี :
สมพล (นามสมมติ)
ชื่อองค์คณะผู้พิพากษา :
- ประสงค์ ค้าทวี
ผลการพิพากษา
ลงโทษ
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ :
28-03-2023
ศาลอุทธรณ์
ผู้ถูกดำเนินคดี :
สมพล (นามสมมติ)
ผลการพิพากษา
-
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์