ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
ดำ อ.734/2565
แดง อ.1358/2566

ผู้กล่าวหา
  • พ.ต.อ.นพฤทธิ์ กันทา ผกก.สส.ภ.จว.เชียงใหม่ (ตำรวจ)
ผู้ถูกดำเนินคดี

ข้อหา

  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)

หมายเลขคดี

ดำ อ.734/2565
แดง อ.1358/2566
ผู้กล่าวหา
  • พ.ต.อ.นพฤทธิ์ กันทา ผกก.สส.ภ.จว.เชียงใหม่

ความสำคัญของคดี

พิมชนก ใจหงษ์ นักกิจกรรมกลุ่มมังกรปฏิวัติ ถูกจับกุมตามหมายจับของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ในข้อหา "หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ" จากหน้าที่พักย่านบางบอน ก่อนถูกนำตัวไปดำเนินคดีที่ยัง สภ.แม่โจ้ จ.เชียงใหม่ โดยตำรวจไม่มีการออกหมายเรียกมาก่อน พิมชนกถูกตำรวจสืบสวนกล่าวโทษจากการโพสต์วิจารณ์ตำรวจ 1 ข้อความในเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2565 โดยกล่าวหาว่า ข้อความดังกล่าวมีลักษณะดูหมิ่นกษัตริย์ หลังศาลให้ฝากขัง ได้ให้ประกันพิมชนก มีเงื่อนไขห้ามโพสต์ข้อความหรือกระทำการให้สถาบันกษัตริย์เสื่อมเสีย และให้รายงานตัวต่อศาลทุก 12 วัน ซึ่งสร้างภาระให้กับพิมชนกซึ่งไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ที่เชียงใหม่เป็นอย่างมาก

กรณีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการตีความประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่มีอัตราโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี แต่กลับถูกตีความอย่างกว้างจนครอบคลุมให้การกระทำหรือข้อความหลายอย่างเป็นความผิด แม้ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตราดังกล่าว ซึ่งขัดต่อหลักกฎหมายอาญาที่ต้องตีความอย่างเคร่งครัดเนื่องจากมีบทลงโทษที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน

พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี

ขวัญชัย สนองคุณ พนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ บรรยายฟ้องมีใจความโดยสรุประบุว่า

เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2565 จําเลยได้พิมพ์ข้อความเข้าไปเผยแพร่ในระบบอินเตอร์เน็ตผ่านโปรแกรมเฟซบุ๊กของจำเลย โดยพิมพ์ข้อความว่า “รัฐบาลส้นตีน สถาบันก็ส้นตีน” ซึ่งข้อความ สถาบันก็ส้นตีน มีความหมาย…ถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ และคำว่า “ส้นตีน” เป็นคำบริภาษ เป็นคำด่าที่ใช้อวัยวะเบื้องต่ำในการสื่อความหมาย เมื่อนำมารวมกัน ย่อมแสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยในการดูหมิ่น ให้ร้าย หรือลดทอนคุณค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งข้อความที่จำเลยพิมพ์ทั้งหมดดังกล่าว และเป็นการจาบจ้วง ล่วงเกิน ดูหมิ่น ใส่ความ หมิ่นประมาท และแสดงความอาฆาตมาดร้ายกษัตริย์ โดยประการที่น่าจะทำให้รัชกาลที่ 10 เสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง

ทั้งนี้ โดยจำเลยมีเจตนาทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นศูนย์รวมของศรัทธาและเคารพบูชาประชาชนชาวไทย ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาไม่เคารพต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งอยู่ในฐานะที่ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้

(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดเชียงใหม่ คดีหมายเลขดำที่ อ.734/2565 ลงวันที่ 10 มิ.ย. 2565)

ความคืบหน้าของคดี

  • เวลาประมาณ 16.20 น. พิมชนก ใจหงษ์ นักกิจกรรมกลุ่มมังกรปฏิวัติ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 15 นาย เข้าจับกุมหน้าที่พักย่านบางบอน ชุดจับกุมนำโดย พ.ต.อ.เอนก ยอดหมวก รองผู้กำกับกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 ได้เข้าแสดงหมายจับของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ลงวันที่ 11 มี.ค. 2565 ในข้อหา "หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ" โดยมีพนักงานสอบสวน สภ.แม่โจ้ จ.เชียงใหม่ เป็นผู้ร้องขอออกหมาย และมี รัตน์ จ๋วงพานิช ผู้พิพากษาศาลจังหวัดเชียงใหม่ เป็นผู้ออกหมายจับ โดยเธอไม่เคยได้รับหมายเรียกมาก่อน

    ตำรวจนำตัวพิมชนกไปจัดทำบันทึกจับกุมที่ สน.แสมดำ โดยมีนักกิจกรรมและทนายความติดตามไป ต่อมาเวลาประมาณ 19.00 น. เศษ หลังทำบันทึกจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พาตัวพิมชนกเดินทางโดยรถยนต์ เพื่อไปยัง สภ.แม่โจ้ เจ้าของคดี โดยมีเพื่อนของพิมชนกติดตามไปด้วย 1 ราย ทั้งนี้ พิมชนกได้แจ้งกับตำรวจ สน.แสมดำ ด้วยว่า เธอมีกำหนดสอบ TCAS ในเช้าวันพรุ่งนี้

    (อ้างอิง: บันทึกจับกุม สน.แสมดำ ลงวันที่ 18 มี.ค. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/41627)
  • เวลาประมาณ 04.45 น. พิมชนกถูกนำตัวไปถึง สภ.แม่โจ้ โดยมีการวางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบราว 15 นาย รอรับตัว

    หลังทนายความติดตามไป เวลาประมาณ 05.15 น. พ.ต.ท.พงษ์ศักดิ์ เรือนแก้ว รองผู้กำกับ (สอบสวน) สภ.แม่โจ้ ได้ทำการแจ้งข้อกล่าวหาพิมชนก ฐาน “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

    พฤติการณ์ที่กล่าวหาระบุว่า เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2565 พ.ต.อ.นพฤทธิ์ กันทา ผู้กำกับสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ได้รับมอบหมายจากคณะทํางานคดีความมั่นคง ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ และตำรวจภูธรภาค 5 เพื่อร่วมกันพิจารณาเหตุ กรณีเมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2565 เวลาประมาณ 15.00 น. พิมชนกได้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กทำการโพสต์ข้อความ “รัฐบาลส้นตีน สถาบันก็ส้นตีน” ลักษณะเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ลงในเฟชบุ๊ก เปิดเป็นสาธารณะ ประชาชนทั่วไปสามารถพบเห็นได้ ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นสิ่งที่กระทบต่อสถาบัน ซึ่งเป็นสถาบันหลักและศูนย์รวมใจของชาติ

    ในที่ประชุมจึงได้มอบหมายให้ผู้กล่าวหา ในฐานะเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน และเป็นผู้ตรวจพบการกระทําผิดดังกล่าว ณ กองอํานวยการรักษาความปลอดภัยร่วม ภายในมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2565 เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน เพื่อให้ดําเนินคดีกับพิมชนก

    ด้านพิมชนกได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และยังไม่ขอให้การใดๆ ต่อพนักงานสอบสวนในวันนี้ โดยในตอนท้ายของการแจ้งข้อกล่าวหา พนักงานสอบสวนได้สอบถามความยินยอมให้ยึดโทรศัพท์มือถือและขอรหัสเข้าถึงข้อมูลของพิมชนกด้วย แต่พิมชนกปฏิเสธไม่ให้พนักงานสอบสวนยึดและเข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์มือถือของตนเอง

    จากนั้น ทนายความได้ร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวพิมชนกในชั้นสอบสวน เนื่องจากในตอนเช้า พิมชนกมีกำหนดเข้าสอบ TCAS แต่พนักงานสอบสวน ระบุว่าตนเองไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องดังกล่าว ให้สอบถามผู้กำกับ ด้านผู้กำกับระบุว่า เพื่อให้รวดเร็วที่สุด ให้ทนายยื่นประกันตัวพิมชนกที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ หลังพนักงานสอบสวนขอฝากขัง เท่ากับตำรวจไม่อนุญาตให้ประกันตัวในชั้นสอบสวน

    เวลาประมาณ 08.00 น. พนักงานสอบสวน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่โจ้ ได้ควบคุมตัวพิมชนกขึ้นรถตำรวจ เดินทางไปยื่นขอฝากขังที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีการนำตัวพิมชนกไปควบคุมไว้ในห้องขังใต้ถุนศาลทันที แต่เนื่องจากเป็นวันเสาร์ ทำให้ในตอนแรก ไม่มีเจ้าหน้าที่ศาลที่เกี่ยวข้องกับการประกันตัว มารับคำร้อง

    พนักงานสอบสวนยังระบุในคำร้องขอฝากขังว่า ขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา โดยอ้างว่าคดีมีอัตราโทษสูง หากปล่อยตัวไป เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีและไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุร้ายประการอื่น

    จากนั้นเวลาประมาณ 09.30 น. ได้มีเจ้าหน้าที่ศาลมารับเรื่องการขอปล่อยตัวชั่วคราวของพิมชนก และดำเนินการทางเอกสาร จนกระทั่งเวลาประมาณ 10.30 น. ศาลอนุญาตให้ฝากขังพิมชนกในผัดแรก เป็นระยะเวลา 12 วัน ทนายความจึงได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหา โดยขอวางหลักทรัพย์จำนวน 150,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์

    จนกระทั่งเวลา 11.40 น. ศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวพิมชนก โดยกำหนดเงื่อนไขในการปล่อยตัว ได้แก่ “ห้ามผู้ต้องหาลงข้อความเสื่อมเสียในสังคมออนไลน์หรือกระทำการใด ๆ อันเป็นเหตุความเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือเดินทางออกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาลเท่านั้น และให้ผู้ต้องหามารายงานตัวต่อศาลทุก 12 วัน”

    เวลาประมาณ 12.30 น. พิมชนกได้รับการปล่อยตัวจากห้องคุมขังของศาล รวมระยะเวลาตั้งแต่ถูกจับกุมตัว ส่งตัวมาสอบสวนที่จังหวัดเชียงใหม่ และฝากขังต่อศาลแล้ว พิมชนกถูกควบคุมตัวไว้เป็นเวลากว่า 20 ชั่วโมง และถูกพาตัวเดินทางไกลเป็นระยะทางกว่า 700 กิโลเมตร รวมทั้งยังไม่สามารถไปสอบ TCAS ตามกำหนดการได้ทันเวลาอีกด้วย

    สำหรับคดีนี้ เป็นคดีแรกที่พิมชนกถูกกล่าวหาในข้อหาตามมาตรา 112 หลังก่อนหน้านี้เธอถูกกล่าวหาในคดีจากการชุมนุมหรือแสดงออกทางการเมืองมาแล้วรวม 6 คดี โดยในจำนวนนี้สิ้นสุดไปแล้ว 4 คดี เนื่องจากคดีมีอัตราโทษปรับ

    (อ้างอิง: คำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 1 ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ลงวันที่ 19 มี.ค. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/41627)
  • พนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ ยื่นฟ้องพิมชนกต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานความผิด “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ระบุว่า เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2565 พิมชนกได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “รัฐบาลส้นตีน สถาบันก็ส้นตีน” โดยมีเจตนาทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์

    ท้ายคำฟ้อง อัยการไม่คัดค้านการประกันตัว ระบุว่า หากจำเลยยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ขอให้อยู่ในดุลยพินิจของศาล

    (อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดเชียงใหม่ คดีหมายเลขดำที่ อ.734/2565 ลงวันที่ 10 มิ.ย. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/44766)
  • เวลา 09.30 น. พิมชนกเดินทางไปรายงานตัวที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่เป็นครั้งที่ 7 โดยเจ้าหน้าที่ศาลแจ้งว่าอัยการได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลแล้วเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 2565 ซึ่งเป็นวันผัดฟ้องและฝากขังในผัดสุดท้าย และแจ้งให้พิมชนกเข้าไปรอในห้องขังใต้ถุนศาลเพื่อให้ศาลสอบคำให้การ ขณะที่ทนายความได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวโดยใช้หลักทรัพย์เดิมจากชั้นสอบสวน

    ขณะพิมชนกรออยู่ในห้องขังใต้ถุนศาล เวลาประมาณ 14.00 น. ศาลได้วิดีโอคอนเฟอเรนซ์มาอธิบายฟ้องและสอบถามคำให้การ โดยพิมชนกให้การปฏิเสธ

    นอกจากนี้ ศาลยังแจ้งยกเลิกเงื่อนไขรายงานตัวทุก 12 วัน แต่กำชับให้มาตามนัดศาลอย่างเคร่งครัด โดยกำหนดนัดคุ้มครองสิทธิในวันที่ 29 มิ.ย. 2565 และนัดพร้อมคดีในวันที่ 18 ก.ค. 2565 เวลา 09.00 น.

    ต่อมาเวลา 16.30 น. ศาลสั่งอนุญาตให้ประกันตัวพิมชนกในระหว่างพิจารณา โดยยกเลิกเงื่อนไขการประกันตัวที่ให้มารายงานตัวต่อศาลทุก 12 วัน แต่เงื่อนไขในเรื่องการโพสต์ข้อความ และห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรยังกำหนดไว้เช่นเดิม

    “มันไม่ใช่ที่ที่หนูควรจะมาอยู่ มันไม่ใช่ที่ของหนู จริงๆ ก็ทำใจมาก่อนแล้วแต่พอใกล้ 4 โมง ก็ลุ้นมากว่าจะได้ประกันไหม”

    พิมชนกเล่าถึงความรู้สึกที่กดดันในห้องขังใต้ถุนของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ในห้วงเวลากว่า 6 ชั่วโมงของการรอคอยคำสั่งประกันตัวจากศาล การพูดคุยกับผู้ต้องขังคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้วยกันในขณะนั้น ทำให้ความเครียดลดลงได้บ้าง โดยในระหว่างถูกขังอยู่นั้น พิมชนกได้ฝากให้เพื่อนที่มาคอยให้กำลังใจ ซื้อข้าวกล่องเพื่อนำมาให้ผู้ต้องขังในคดีอื่นที่ถูกนำตัวมาจากเรือนจำเพื่อพิจารณาคดีที่ศาล

    “ผู้ต้องขังบางคน เขาไม่สมควรจะโดน แต่เขาโดนการกดทับจากสังคม หลายคนได้กินแต่ข้าวในเรือนจำที่ไม่อร่อยอยู่แล้ว ชีวิตในเรือนจำก็ยากลำบาก หนูช่วยอะไรเขาไม่ได้ ทำได้แค่ซื้อข้าวให้เขาได้ทาน ที่อร่อยกว่าข้าวที่เขาทานกันอยู่ในเรือนจำทุกวัน”

    พิมชนกเล่าต่อไปถึงการเตรียมความพร้อมทางด้านจิตใจสำหรับคดีนี้ว่า เป็นเรื่องยากสำหรับเธอพอสมควร โดยก่อนมาเชียงใหม่ก็พยายามใช้ชีวิตกับเพื่อน ครอบครัว คนสนิท ให้ได้มากที่สุด ก่อนจะทิ้งท้ายว่า “อยากขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ทักมาให้กำลังใจเยอะมาก ใครสัญญาจะเลี้ยงข้าวก็ห้ามลืมนะ”

    (อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดเชียงใหม่ คดีหมายเลขดำที่ อ.734/2565 ลงวันที่ 10 มิ.ย. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/44766)
  • ศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังอีกครั้ง พิมชนกยืนยันให้การปฎิเสธ ศาลนัดพร้อมตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 18 ก.ค. 2565 ตามที่นัดไว้เดิม
  • อัยการโจทก์แถลงมีพยานเอกสารอ้างส่ง 12 ฉบับ และพยานบุคคลที่จะนำเข้าสืบ 9 ปาก ด้านทนายจำเลยแถลงนำพยานบุคคลเข้าสืบรวม 5 ปาก นัดสืบพยานในวันที่ 21-23, 27-28 มิ.ย. 2566
  • ในการต่อสู้คดี จำเลยให้การรับว่าตนเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว แต่ข้อความไม่เป็นความผิด เนื่องจากไม่ได้หมายถึงสถาบันกษัตริย์ บริบทในขณะนั้นต้องการสื่อความหมายถึงสถาบันการศึกษา อีกทั้งหากแม้ข้อความจะถูกตีความว่าหมายถึงสถาบันกษัตริย์ แต่ก็ไม่ได้เป็นการดูหมิ่นถึงองค์พระมหากษัตริย์ อันจะเป็นความผิดตามองค์ประกอบมาตรา 112 ที่คุ้มครองเฉพาะตัวบุคคลเท่านั้น แต่คำว่า ‘สถาบัน’ มีองค์ประกอบอื่น ๆ ที่มากกว่าตัวบุคคล

    สำหรับการสืบพยานทั้ง 5 วัน เดิมนัดหมายสืบพยานโจทก์จำนวน 9 ปาก แต่เนื่องจากจำเลยรับข้อเท็จจริงว่าเป็นผู้โพสต์เฟซบุ๊ก จึงสามารถรับคำให้การชั้นสอบสวนของพยานปากผู้ตรวจสอบเฟซบุ๊กและเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้รวม 3 ปาก โจทก์คงเหลือพยานที่นำเข้าสืบพยานทั้งสิ้น 6 ปาก ส่วนจำเลยนำพยานเข้าสืบจำนวน 3 ปาก

    ทั้งนี้ ศาลผู้พิจารณาคดีไม่ให้ผู้สังเกตการณ์พิจารณาจดบันทึกระหว่างการสืบพยานตั้งแต่ในวันแรกด้วย

    คดีนี้ ต้องจับตาการตีความคำว่า ‘สถาบัน’ จะสามารถส่อความหมายว่าเป็น ‘สถาบันพระมหากษัตริย์’ ได้หรือไม่ และหากถูกตีความออกมาในลักษณะดังกล่าว คำว่า ‘สถาบันพระมหากษัตริย์’ จะกลายเป็นคำที่ถูกคุ้มครองไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่บัญญัติคุ้มครองตัวบุคคล คือ พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือไม่ และอาจส่งผลเป็นการตีความข้อหามาตรานี้อย่างกว้างขวางออกไปหรือไม่

    ++ตำรวจผู้กล่าวหา-หัวหน้าข่าวความมั่นคง-สันติบาล: อ้างจำเลยเคยมีพฤติการณ์ต่อต้านสถาบันฯ เป็นบุคคลเฝ้าระวัง ทำให้เข้าใจได้ว่า ‘สถาบัน’ หมายถึงสถาบันกษัตริย์

    เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสามปาก ได้แก่ พ.ต.อ.นพฤทธิ์ กันทา กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ผู้กล่าวหาในคดีนี้, พ.ต.ท.ประเทือง พัฒนโฆษิต หัวหน้าการข่าวความมั่นคง และ พ.ต.ท.คฑาวุธ เนียมกรด กองบังคับการตำรวจสันติบาล 1 เบิกความใกล้เคียงกันสรุปได้ว่า

    ในช่วงเวลาเกิดเหตุ พ.ต.อ.นพฤทธิ์ และ พ.ต.ท.ประเทือง ได้ปฏิบัติหน้าที่อยู่กองอำนวยการร่วมที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ในวาระที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ เสด็จแทนพระองค์ในการพระราชทานปริญญาบัตรให้แก่ผู้จบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้

    พ.ต.อ.นพฤทธิ์ ได้สำรวจบุคคลซึ่งอาจมีการเคลื่อนไหวที่อาจกระทบต่อการเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ โดยหนึ่งในบุคคลที่ได้รับแจ้งให้ติดตามเฝ้าระวังคือจำเลยในคดีนี้ เนื่องจากจำเลยเคยชูป้ายในครั้งที่สมเด็จพระเทพฯ เดินทางมาพระราชทานปริญญาบัตรที่หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    พ.ต.อ.นพฤทธิ์ เบิกความต่อไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าวันเกิดเหตุ ในวันที่ 16 ก.พ. 2565 จำเลยได้เดินทางเข้ามายังเส้นทางที่จะมีการเสด็จกลับของสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ และทำการไลฟ์ภาพสดในเฟซบุ๊ก พ.ต.อ.นพฤทธิ์ กับพวกเห็นว่า จุดดังกล่าวอยู่ใกล้ชิดกับเส้นทางเสด็จ จึงได้เข้าไปเจรจาให้จำเลยออกไปจากจุดดังกล่าว แต่จำเลยไม่ยอมออกไป

    ต่อมาในวันเกิดเหตุ วันที่ 17 ก.พ. 2565 ระหว่างที่ พ.ต.อ.นพฤทธิ์ ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่กองอำนวยการร่วมที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ พบว่า จำเลยได้โพสต์เฟซบุ๊กตามข้อความฟ้องในคดีนี้ ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถมองเห็นและแชร์ข้อความได้ พร้อมกับพบว่ามีการแชร์ข้อความดังกล่าวไปแล้ว 3 ครั้ง

    พ.ต.ท.คฑาวุธ ได้รับแจ้งเหตุว่า มีการโพสต์ข้อความดังกล่าว จึงได้ทำการสนับสนุนข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่สืบค้นข้อมูลจากเฟซบุ๊กทราบว่า จำเลยในคดีนี้เป็นผู้โพสต์ อีกทั้งจำเลยยังเป็นแกนนำกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มมังกรปฏิวัติ กลุ่มรุ่นใหม่นครสวรรค์

    พ.ต.อ.นพฤทธิ์ เข้าใจข้อความที่จำเลยโพสต์ว่า ‘รัฐบาลส้นตีน’ หมายความว่า รัฐบาลไทยในยุคปัจจุบัน ส่วนคำว่า ‘ส้นตีน’ เป็นอวัยวะเบื้องล่าง หากอ่านข้อความดังกล่าวแล้ว จะเข้าใจได้เปรียบเทียบรัฐบาลเป็นอวัยวะเบื้องล่างและลงต่ำ ส่วนคำว่า ‘สถาบัน’ เข้าใจได้ว่าหมายถึง สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งประกอบด้วย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และพระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงผู้สำเร็จราชการแทนด้วย เป็นการเปรียบเทียบสถาบันพระมหากษัตริย์ว่าอยู่เบื้องล่าง อยู่ต่ำ

    พยานเห็นว่า ข้อความดังกล่าวสามารถเจาะจงได้ชัดเจนว่าหมายถึงตัวพระมหากษัตริย์ พระราชินี พระบรมวงศานุวงศ์ด้วย เมื่ออ่านแล้วเป็นการด้อยค่า จาบจ้วง และบุคคลที่มาพบข้อความจะรู้สึกเสื่อมศรัทธาต่อสถาบันกษัตริย์ และตัวพระมหากษัตริย์

    นอกจากนี้ พ.ต.อ.นพฤทธิ์ ได้ตรวจสอบเฟซบุ๊กของจำเลย พบโพสต์ที่น่าจะเกี่ยวกับสมาชิกราชวงศ์อีกด้วย ส่วน พ.ต.ท.ประเทือง อ้างว่า จำเลยมีพฤติการณ์ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ โดยเบิกความถึงกรณีจำเลยถูกดำเนินคดีกรณีชักธงแดง มีตัวเลข 112 ที่ สภ.คลองหลวง ในช่วงปี 2564, การร่วมกิจกรรมยืน หยุด ทรราช เป็นเวลา 112 นาที โดยจำเลยยืนถือป้าย ‘ปฏิรูปไม่เท่ากับล้มล้าง ยกเลิกมาตรา 112’ หรือจำเลยชูป้ายข้อความ ‘คุกไม่ใช่ที่เคาน์ดาวน์’

    พ.ต.อ.นพฤทธิ์ และ พ.ต.ท.ประเทือง ยังได้เบิกความย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ทำให้จำเลยเป็น ‘บุคคลเฝ้าระวัง’ กรณีจะไปถือป้าย ‘ปริญญาศักดินา’ ระหว่างการเสด็จมาพระราชทานปริญญาบัตรของกรมสมเด็จพระเทพฯ ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด้วย

    พยานอ้างว่า แม้พฤติการณ์ต่าง ๆ ของจำเลย และตัวโพสต์ในคดีนี้จะไม่ได้ระบุถึงสถาบันกษัตริย์โดยตรง แต่พยานเข้าใจว่า เมื่อบุคคลทั่วไปพบเห็นข้อความก็ย่อมเข้าใจได้ว่าต้องการสื่อถึงสถาบันกษัตริย์

    พ.ต.ท.ประเทือง ยังอธิบายว่า ข้อความของจำเลย สื่อถึงในหลวงรัชกาลที่ 10 ไม่ใช่โครงสร้างสถาบันพระมหากษัตริย์ และหากบุคคลทั่วไปมาอ่านก็อาจเข้าใจว่าเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ทำให้เสื่อมศรัทธา และไม่ใช่การติชมด้วยความสุจริต

    พยานได้ประชุมกับคณะทำงานคดีความมั่นคง และมีความเห็นว่า ถ้อยคำที่จำเลยโพสต์เข้าข่าย มาตรา 112 จึงได้มีการมอบหมายให้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษที่ สภ.แม่โจ้ เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2565

    ในการตอบทนายจำเลยถามค้าน พ.ต.อ.นพฤทธิ์ รับว่า คำว่า ‘สถาบัน’ นั้น ส่อไปได้หลายไปได้หลายความหมาย เช่น สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบันการเมือง และหากตัวพยานไม่ได้ตรวจสอบประวัติของจำเลยมาก่อน ก็อาจเข้าใจได้ว่าสถาบันนั้นก็อาจหมายความถึงสถาบันอื่นที่ไม่ใช่สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ได้ เพราะว่าทุกคนมีความคิดไม่เหมือนกัน ทั้งพยานยังคงยืนยันว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์หมายถึงตัวบุคคล”

    ตามองค์ประกอบมาตรา 112 เป็นความผิดต้องการที่จะคุ้มครองตัวบุคคล ซึ่งได้แก่ พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการฯ แต่ไม่ได้ระบุให้คุ้มครองสถาบันกษัตริย์ ทั้งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ระบุถึงตัวบุคคลพระมหากษัตริย์เพียงเท่านั้น แต่พยานยังคงยืนยันว่าสถาบันกษัตริย์นั้นรวมถึงบุคคลที่อยู่ในสถาบันด้วย ซึ่งองค์พระมหากษัตริย์อยู่ในสถาบันกษัตริย์

    ส่วนที่ พ.ต.ท.ประเทือง เบิกความไปว่า จำเลยเคยถูกดำเนินคดีเนื่องจากชักธงแดงที่มีข้อความ 112 นั้นจำเลยไม่ได้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 แต่ถูกดำเนินคดีข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เท่านั้น และจากพฤติการณ์ของจำเลยก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยถูกดำเนินคดีมาตรา 112 มาก่อน

    นอกจากนี้ พ.ต.ท.คฑาวุธ ได้ตอบคำถามค้านว่า แม้โพสต์ของจำเลยไม่ได้ระบุถึงตัวบุคคลโดยเฉพาะเจาะจง เนื่องจากระบุไว้เพียงคำว่า ‘สถาบัน’ แต่พยานก็เข้าใจว่าหมายถึงสถาบันกษัตริย์ เพราะจากการรวบรวมข้อมูลพบว่า จำเลยเคลื่อนไหวเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์มาโดยตลอด และพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ก็อยู่ในโครงสร้างของสถาบันกษัตริย์ ทำให้สถาบันกษัตริย์รวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ด้วย

    พ.ต.อ.นพฤทธิ์ เบิกความตอบพนักงานอัยการถามติงต่อไปว่า จากประสบการณ์ทำงานเกี่ยวกับมาตรา 112 เข้าใจว่าบุคคลที่มีความเห็นไม่ตรงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และมีแนวคิดที่จะต่อต้าน มักจะเลี่ยงถ้อยคำ เนื่องจากมีกฎหมายคุ้มครองสถาบันกษัตริย์อยู่ ส่วนสถาบันอื่นไม่มีกฎหมายคุ้มครองเฉพาะ

    ด้าน พ.ต.ท.ประเทือง เบิกความตอบอัยการถามติงว่า คำว่า ‘รัฐบาล’ หมายถึง รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่วน ‘สถาบัน’ หมายถึงสิ่งที่สูงกว่ารัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ คือสถาบันพระมหากษัตริย์

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/59198)

  • ++อาจารย์กฎหมาย: คำว่า ‘สถาบัน’ อาจหมายถึงองค์กร หรือหมายถึงตัวพระมหากษัตริย์ ทำให้ด้อยค่า จึงเป็นความผิดมาตรา 112

    ผศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ นวานุช คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ เบิกความว่า พยานมาให้ความเห็นในคดีนี้เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหนังสือไปถึงอธิการบดีขอให้มาให้ความเห็นในคดีมาตรา 112

    โดยพันธุ์ทิพย์ได้ให้ความเห็นว่าคำว่า ‘สถาบัน’ มีความหมายได้ 2 ทาง 1. คือเป็นองค์กร 2. สามารถตีความได้ถึงตัวบุคคล ขอยกตัวอย่างเช่น คำว่า สถาบันครอบครัว ความหมายที่ 1 หมายถึงองค์กรครอบครัว ความหมายที่ 2 หมายถึงตัวพ่อ แม่ ลูก

    เมื่อพิจารณาข้อความในคดีนี้ เป็นถ้อยคำสบประมาท เหยียดหยาม โดยคำว่ารัฐบาลในที่นี้สามารถตีความได้ถึงตัวบุคคล คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ส่วนคำว่า ‘สถาบันก็ส้นตีน’ นั้น สถาบันต้องมีความหมายเหนือกว่าคำว่ารัฐบาล ซึ่งเมื่อตนได้อ่านข้อความนั้นแล้วเข้าใจได้ว่า หมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ และคำว่า สถาบัน ก็หมายความครอบคลุมไปถึงพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

    สาเหตุที่สามารถทำให้เข้าใจได้เช่นนั้น เนื่องจากบริบทเวลานั้นมีการประท้วงเกี่ยวกับมาตรา 112 ผนวกกับเมื่อพิจารณาพฤติการณ์ในการกระทำของจำเลยก่อนมีการโพสต์ เช่น เหตุการณ์ที่จำเลยชูป้าย ปฏิรูปไม่เท่ากับล้มล้าง ก็เชื่อได้ว่า คำว่า ‘สถาบัน’ นั้น หมายถึงตัวพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่โครงสร้างซึ่งเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์

    นอกจากนี้นักเคลื่อนไหวทางการเมืองมักจะใช้คำเลี่ยงเพื่อไม่ให้ถูกดำเนินคดี โดยไม่ชี้ชัดว่าหมายถึงพระมหากษัตริย์ ซึ่งอาจใช้ถ้อยคำเลี่ยงหรือไม่ก็คำพ้องเสียง และคำว่า ‘สถาบัน’ นั้นก็เป็นคำเลี่ยงการใช้คำว่า ‘กษัตริย์’

    ดังนี้ คำว่า ‘สถาบันก็ส้นตีน’ ถือเป็นการเหยียดหยามพระมหากษัตริย์ว่าอยู่ต่ำ และหากประชาชนทั่วไปมาเห็นโพสต์จะทำให้เป็นการเสื่อมเสียและเสื่อมศรัทธาในพระมหากษัตริย์ และถ้อยคำดังกล่าวไม่ใช่เป็นการติชมหรือแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต

    จากนั้นพันธุ์ทิพย์ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานเคยให้การในคดีมาตรา 112 หลายเรื่องทั้งในพื้นที่และต่างพื้นที่มาแล้วประมาณ 10 คดี และเคยมาเบิกความในฐานะพยานโจทก์มาแล้ว 5 คดี ซึ่งพยานมักจะให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่าเป็นความผิด ซึ่งมีบางคดีที่ศาลยกฟ้องแล้ว

    สำหรับคดีนี้ ในวันที่ไปให้ถ้อยคำที่ สภ.แม่โจ้ พนักงานสอบสวนเป็นผู้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดก่อนที่จำเลยจะมีการโพสต์ข้อความให้ฟัง แต่ไม่ได้นำพยานหลักฐานแวดล้อมเกี่ยวกับพฤติการณ์ของจำเลยมาให้ดู ซึ่งหากพยานไม่ได้รับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวจากพนักงานสอบสวน เมื่อพยานอ่านข้อความ ก็สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นสถาบันอื่น ซึ่งไม่ใช่สถาบันกษัตริย์ก็ได้

    นอกจากนี้ พันธุ์ทิพย์ยังเบิกความตอบทนายจำเลยโดยรับว่า องค์ประกอบความผิดตามมาตรา 112 นั้น มุ่งคุ้มครองพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ดังนี้ ในการดูหมิ่นนั้นจะต้องดูหมิ่นเฉพาะตัวบุคคลทั้ง 4 บุคคล ซึ่งจะต้องระบุแน่นอนว่าหมายถึงบุคคลใด แต่โพสต์ดังกล่าวของจำเลยไม่ได้ระบุชัดเจนแน่นอนว่าหมายถึงบุคคลใด

    พันธุ์ทิพย์ยังตอบพนักงานอัยการถามติงว่า พยานได้ให้การในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญ โดยก่อนจะให้การ พนักงานสอบสวนได้เล่าที่มาที่ไปให้พยานฟังก่อนจึงจะสามารถให้ความเห็นได้ หากบุคคลทั่วไปได้ทราบเรื่องที่พนักงานสอบสวนเล่าให้ฟัง ก็จะเข้าใจได้ว่าหมายถึงสถาบันกษัตริย์ หรือเพื่อนที่อยู่ในเฟซบุ๊กของจำเลยย่อมสามารถเข้าใจได้

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/59198)
  • ++อาจารย์ภาษาไทย: ‘รัฐบาล’ หมายถึงรัฐบาลประยุทธ์ ส่วน ‘สถาบันส้นตีน’ หมายถึงสถาบันกษัตริย์

    ผศ.ดร.สุนทร คำยอด อาจารย์ประจำและประธานหลักสูตรภาษาไทย มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เบิกความอธิบายคำว่า ‘สถาบัน’ ในความหมายทั่วไปคือองค์กรหนึ่งที่มีโครงสร้าง จะมีความเกี่ยวข้องกับสังคมและจะมีบุคคลหรือบุคลากรอยู่ในองค์กรดังกล่าว ยกตัวอย่าง สถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา

    อัยการโจทก์ถามพยานว่า โดยปกติทั่วไปแล้วหากประชาชนทั่วไปจะพูดถึงกษัตริย์หรือสถาบันพระมหากษัตริย์ส่วนใหญ่แล้ว จะนิยมพูดหรือสื่อโดยใช้ถ้อยคำใด พยานเบิกความว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ ในหลวง

    พยานอธิบายถ้อยคำตามฟ้องว่า คำว่ารัฐบาล บุคคลทั่วไปจะเข้าใจว่ารัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้า ส่วนคำว่า ‘ส้นตีน’ นั้นเป็นคำด่า อาจหมายถึง คณะรัฐมนตรีหรือรัฐบาลทั้งหมดก็ได้ และอาจจะหมายถึงนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลก็ได้

    ส่วนคำว่า ‘สถาบัน’ นั้น หากไม่ทราบเบื้องหน้าเบื้องหลังก่อนจะมีการโพสต์ หมายถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่ารัฐบาลซึ่งเขียนไว้ด้านหน้า ซึ่งหมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ และตามความรับรู้ของบุคคลทั่วไป สถาบันกษัตริย์ก็มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นประมุข ส่วนคำว่า ‘ส้นตีน’ หมายถึงคำด่า เนื่องจากเป็นอวัยวะเบื้องต่ำที่ใช้เป็นคำด่า รวมแล้วจึงหมายความว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ต่ำ เป็นการจาบจ้วง ไม่ถวายพระเกียรติ ไม่เป็นการติชมหรือการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต

    นอกจากนี้เมื่อพยานดูเฟซบุ๊กของจำเลย จึงเชื่อว่าหากเพื่อนของจำเลยในเฟซบุ๊กได้อ่านข้อความย่อมเข้าใจได้เช่นกัน เนื่องจากพฤติการณ์และข้อความของจำเลยสื่อไปในทางไม่ถวายพระเกียรติแก่สถาบันกษัตริย์

    อย่างไรก็ตาม สุนทรตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ความหมายของคำว่า สถาบัน หมายถึง “องค์กรที่มีความสำคัญ ไม่รวมถึงบุคลากรในสถาบันดังกล่าว” แต่ที่ตนเข้าใจว่า หมายถึงสถาบันกษัตริย์ เพราะคำด้านหน้าเริ่มต้นด้วยรัฐบาล คำถัดมาก็ย่อมต้องสูงกว่าคำว่ารัฐบาล คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากหลักการในภาษาไทยมีการเขียนไว้เช่นนั้น ส่วนบุคคลอื่นจะคิดเช่นไรนั้นพยานไม่ทราบ

    ก่อนตอบอัยการถามติงว่า คำว่า ‘สถาบัน’ ตามพจนานุกรม หมายความว่า สิ่งซึ่งคนในส่วนรวม คือสังคมจัดตั้งให้มีขึ้นเพราะเป็นประโยชน์ มีความต้องการและจำเป็นแก่วิถีชีวิตของตน ซึ่งคำว่าสถาบันที่ต่อจาก ‘รัฐบาลส้นตีน’ หมายความได้เพียงอย่างเดียว คือสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

    ++พนักงานสอบสวน: เห็นว่า ‘สถาบัน’ สื่อถึงในหลวงรัชกาลที่ 10

    พ.ต.ท.พงษ์ศักดิ์ เรือนแก้ว พนักงานสอบสวน สภ.แม่โจ้ เบิกความว่า เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2565 พยานดำรงตำแหน่งรองผู้กำกับการสอบสวน ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคือ พ.ต.อ.นพฤทธิ์ กันทา เดินทางมาที่ สภ.แม่โจ้ เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษกับจำเลยในคดีนี้ พยานได้เป็นผู้สอบปากคำพยานโจทก์ในคดีนี้

    หลังจากที่ได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานแล้ว พยานได้ขอออกหมายจับจำเลยที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาวันที่ 19 มี.ค. 2565 เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้นำส่งตัวจำเลยให้แก่พยานพร้อมกับบันทึกจับกุม จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 จำเลยให้การปฏิเสธข้อหา

    ภายหลังที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานแล้ว พยานจึงมีความเห็นควรสั่งฟ้องคดี เนื่องจากข้อความที่จำเลยโพสต์ไว้นั้น เป็นการโพสต์ถึงสถาบันกษัตริย์ ซึ่งมี พระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ อยู่ในคำว่าสถาบันกษัตริย์ และคำว่า ‘สถาบัน’ ที่ปรากฏในข้อความดังกล่าว สามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นในหลวงรัชกาลที่ 10

    ขณะที่ พ.ต.ท.พงษ์ศักดิ์ ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า จากการรวบรวมพยานหลักฐานไม่พบว่ามีการดำเนินคดีกับจำเลยตามมาตรา 112 มาก่อน และไม่มีข้อความใดที่กล่าวถึงตัวพระมหากษัตริย์ ทั้งตนไม่ได้สอบความเห็นของบุคคลทั่วไป คงสอบสวนไว้แต่เพียงคำให้การของนักวิชาการสองท่าน โดยในการดำเนินคดีตามมาตรา 112 จะต้องมีการตั้งคณะทำงานของตำรวจ รวมถึงคดีนี้ด้วย

    พยานเบิกความว่า ตามมาตรา 112 คุ้มครองตัวบุคคลจำนวน 4 คน ได้แก่ พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งไม่ได้คุ้มครอง ‘สถาบันพระมหากษัตริย์’ ทั้งนอกจาก 4 บุคคลดังกล่าว ยังมีพระบรมวงศานุวงศ์อยู่ภายในสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย สถาบันพระมหากษัตริย์จึงเป็นโครงสร้างซึ่งใช้ดูแลบุคคลที่อยู่ภายในองค์กรดังกล่าว

    พยานรับว่า ในความผิดฐานดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทนั้น ต้องเป็นการชี้ชัดที่ตัวบุคคลว่าหมายถึงใคร แต่ข้อความตามคำฟ้องคดีนี้ไม่ได้มีการกล่าวชี้เฉพาะเจาะจงไปว่าเป็นผู้ใด และหากบุคคลทั่วไปมาอ่าน อาจมีความเห็นคิดได้เป็นหลายอย่าง ไม่ใช่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นสถาบันกษัตริย์

    จากนั้นพนักงานสอบสวนตอบอัยการถามติงว่า พฤติการณ์ของจำเลยคดีนี้เคยปรากฏภาพจำเลยยกป้ายคำว่า ‘ปฏิรูปไม่เท่ากับล้มล้าง หยุดทรราช ยกเลิกมาตรา 112’ ขึ้นบังพระบรมฉายาลักษณ์ และอีกภาพหนึ่งมีข้อความว่า ‘ประเทศนี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง’ ซึ่งในข้อความนั้นมีคำว่า กษัตริย์ อยู่ และในทางสอบสวนพบว่าในวันที่ 16 ก.พ. 2565 จำเลยไลฟ์สดอยู่ที่เส้นทางเสด็จของเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ

    การโพสต์ข้อความของจำเลยย่อมชี้ชัดว่าหมายถึงสถาบันกษัตริย์ ซึ่งหมายถึงรัชกาลที่ 10 ซึ่งหากบุคคลที่ติดตามเฟซบุ๊กของจำเลยมาโดยตลอดย่อมทราบได้

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/59198)
  • ++จำเลย: ถ้อยคำที่โพสต์หมายถึงสถาบันการศึกษา โจทก์เลือกสรรภาพการเคลื่อนไหวของพยานมาจับผิด

    พิมชนก ใจหงษ์ จำเลยในคดีนี้ เบิกความถึงสาเหตุที่ตนมักเคลื่อนไหวทางการเมือง เพราะเห็นว่าประชาชนมีความยากจน และจากการที่เห็นว่าบุคคลทั่วไปเรียกร้องทางการเมืองถูกดำเนินคดีโดยไม่เป็นธรรม ถูกกระทำด้วยความรุนแรงจากภาครัฐ คดีนี้เป็นคดีเดียวของพยานที่ถูกกล่าวหาตามมาตรา 112

    พยานเบิกความเกี่ยวกับโพสต์คำว่า ‘สถาบันก็ส้นตีน’ ว่าหมายความถึง ‘สถาบันการศึกษา’ เพราะเมื่อไล่ลำดับเวลาในเฟซบุ๊กจะพบว่า ในวันที่ 15 ก.พ. 2565 พยานได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องสถาบันการศึกษา ในวันดังกล่าวมีข่าวเกี่ยวกับนักเรียนโดนอาจารย์ตี และมีการติดแฮชแท็กในทวิตเตอร์ และเรียกร้องว่าเมื่อไรทางกระทรวงศึกษาจะจัดการเกี่ยวกับเรื่องความรุนแรงดังกล่าวเสียที ซึ่งเป็นเรื่องที่โยงไปถึงรัฐบาลเพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำเดิมและก็ยังไม่มีการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

    จากพยานหลักฐานของพยานโจทก์ที่นำภาพที่จำเลยถือป้ายข้อความต่าง ๆ มานั้น จำเลยระบุว่า ตนเคลื่อนไหวทางการเมืองในหลายท้องที่ แต่พยานโจทก์กลับนำเฉพาะภาพดังกล่าวมาเบิกความกล่าวหาว่าตนมีความผิดเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์เท่านั้น และการเคลื่อนไหวทางการเมืองของตนเข้าใจว่า ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 112 แต่อย่างใด

    พยานเบิกความย้อนถึงเหตุการณ์ในวันที่มีการไลฟ์สด เนื่องจากช่วงเช้าวันที่ 16 ก.พ. 2565 ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาพร้อมรถเก๋ง 4 คัน เข้ามาเฝ้าหอพัก แล้วแจ้งกับเจ้าของหอว่าพยานเป็นบุคคลอันตราย และเป็นเหตุให้ลูกพี่ลูกน้องของพยานถูกไล่ออกจากหอพักดังกล่าว ตนจึงลงจากหอพักมาต่อว่าเจ้าพนักงานตำรวจ และบอกตำรวจว่าตนไม่ได้จะเดินทางไปไหน

    ต่อมา เจ้าของหอพักดังกล่าวไม่ยอมให้กลับเข้าห้องพัก พยานจึงได้ไปดื่มกาแฟบริเวณแยกกาดรวมโชค แต่กลับมีเจ้าหน้าที่ตำรวจขับรถตามพยานไป และยืนเฝ้าบริเวณหน้าร้านกาแฟดังกล่าว พยานได้ออกมาพูดคุยเจรจากับ พ.ต.อ.นพฤทธิ์ กันทา ที่ริมถนนแล้ว ตำรวจแจ้งว่า เส้นทางดังกล่าวจะมีขบวนเสด็จผ่าน และไม่ยอมให้ตนยืนอยู่บริเวณดังกล่าว

    ตนได้พยายามอธิบายแล้วว่า ตนไม่มีอาวุธ ไม่มีการตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ทำไมจึงไม่สามารถยืนอยู่จุดบริเวณดังกล่าว ซึ่งตนในฐานะประชาชนก็ต้องยืนรับเสด็จได้ แต่ทางตำรวจก็ไม่อนุญาต อีกทั้งเส้นทางดังกล่าวในความจริงก็ไม่ใช่เส้นทางที่ขบวนเสด็จผ่าน

    จากนั้นพิมชนกตอบอัยการถามค้านว่า พยานจำไม่ได้ว่าโพสต์เรื่องสถาบันการศึกษาตามเอกสารที่อ้างส่งต่อศาลในวันที่เท่าไร ปีอะไร และเอกสารดังกล่าวไม่เคยนำส่งต่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการเพื่อเป็นหลักฐาน ส่วนโพสต์ข้อความในคดีนี้ตนได้ลบไปแล้ว และข้อความอื่น ๆ บางข้อความก็ได้ลบไปแล้วเช่นกัน เนื่องจากพยานเกรงว่าจะมีการแจ้งความดำเนินคดีกับตนอีก

    อย่างไรก็ดี โพสต์ของพยานที่พูดถึงสถาบันการศึกษา พยานก็จะระบุว่าเป็นสถาบันการศึกษา และในโพสต์ข้อความพูดถึงกระทรวงศึกษาธิการและรัฐบาล คำว่า ‘ส้นตีน’ เป็นคำด่า และที่ระบุว่า ‘รัฐบาลส้นตีน’ นั้นหมายความว่ารัฐบาลมันห่วย

    ++อาจารย์กฎหมาย: มาตรา 112 ไม่ได้คุ้มครอง “สถาบันพระมหากษัตริย์” แต่คุ้มครองบุคคลเพียง 4 ตำแหน่ง ซึ่งจะต้องระบุอย่างเฉพาะเจาะจงว่าหมายถึงบุคคลใดจึงจะเป็นความผิด

    ดร.กฤษณ์พชร โสมณวัตร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เบิกความให้ความเห็นเกี่ยวกับมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญไทยที่บัญญัติว่า องค์พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะล่วงละเมิดไม่ได้ ผู้ใดจะฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ไม่ได้ ความหมายของมาตรานี้ตรงไปตรงมาคือ ห้ามฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ เพราะมหากษัตริย์เป็นที่เคารพ ทางการเมืองเป็นประมุขแห่งรัฐ เป็นสถาบันตามรัฐธรรมนูญ แต่มาตราดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับประมวลกฎหมายอาญา เนื่องจากเป็นกฎหมายคนละฉบับกัน

    ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 บัญญัติไว้ชัดเจนเกี่ยวกับองค์ประกอบความผิดว่า คือ หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อบุคคล ได้แก่ พระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

    ในระบบกฎหมายไทย การตีความคำว่าหมิ่นประมาทและดูหมิ่น เทียบเคียงจากประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และมาตรา 393 ดังนี้ การจะลงโทษบุคคลตามประมวลกฎหมายอาญานั้น บุคคลนั้นจะต้องกระทำความผิดตามที่กฎหมายกำหนด ถ้ากฎหมายอาญามีความไม่ชัดเจน จะตีความขยายกฎหมายอาญาในทางที่เป็นโทษไม่ได้

    นอกจากองค์ประกอบภายในเกี่ยวกับเรื่องเจตนาแล้ว องค์ประกอบภายนอกซึ่งเป็นวัตถุแห่งการกระทำ ตามมาตรา 112 ระบุไว้ชัดเจนว่า บุคคลที่ได้รับการคุ้มครอง คือ พระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งทั้งสี่นี้เป็นตำแหน่งหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่ผูกพันอยู่กับตัวบุคคล ทำให้เห็นได้ว่ามาตรา 112 คุ้มครองตัวบุคคลเป็นหลัก ไม่ได้มีการพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ในตัวบทเลย

    นอกจากนี้ คำว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ ปรากฏอยู่ในกฎหมายอื่นบ้าง เช่น พ.ร.บ.สภาความมั่นคงแห่งชาติ แต่กฎหมายดังกล่าวก็ไม่ได้ให้คำนิยามคำว่า สถาบันกษัตริย์ ไว้ หากจะตีความ ‘สถาบัน’ หมายถึง องคาพยพที่มีการจัดตั้งขึ้น รวมทั้งประเพณี แบบแผน วัฒนธรรม พระบรมมหาราชวัง องคมนตรี ข้าราชการส่วนพระองค์ หากใช้คำว่า ‘สถาบันพระมหากษัตริย์’ ไปผูกพันกับการใช้มาตรา 112 ผลของมันจะขยายขอบเขตของกฎหมายดังกล่าวไปอย่างกว้างขวาง

    ต่อมา กฤษณ์พชรตอบโจทก์ถามค้านว่า พยานเห็นว่า คำว่า ‘สถาบัน’ ในโพสต์ของจำเลยยังบอกไม่ได้ว่าหมายถึง สถาบันกษัตริย์

    อัยการได้นำพยานหลักฐานเกี่ยวกับจำเลยที่ได้เคลื่อนไหวในทางการเมืองให้พยานดู และถามพยานว่า ‘สถาบัน’ นั้น หมายถึง สถาบันพระมหากษัตริย์ใช่หรือไม่ พยานเบิกความยืนยันว่า ไม่ใช่ แต่พยานเข้าใจว่า จำเลยมีความคับข้องใจเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เข้าใจว่า จำเลยอาจจะพูดถึงสถาบันการเมืองก็ได้ และถ้อยคำดังกล่าวอาจหมายถึงสถาบันอื่นนอกจากนี้ก็เป็นไปได้

    นอกจากนี้ ‘สถาบัน’ ไม่จำเป็นต้องมี ‘หัวหน้าสถาบัน’ เช่น สถาบันครอบครัวไม่มีใครเป็นหัวหน้าครอบครัว ทั้งนี้ ในตัวสถาบันมีตัวบุคคลอยู่ การด่าสถาบันไม่ได้หมายความถึงการด่าตัวบุคคลที่อยู่ในสถาบันนั้น และพยานไม่แน่ใจว่า พระมหากษัตริย์เป็นหัวหน้าหรือประมุขของสถาบันกษัตริย์

    พยานรับว่า หากมีการโพสต์ข้อความคำว่า ‘สถาบันพระมหากษัตริย์ส้นตีน’ ถ้อยคำดังกล่าวอาจจะกระทบในหลวงรัชกาลที่ 10 มากที่สุด

    อย่างไรก็ตาม กฤษณ์พชรตอบทนายจำเลยถามติงว่า เหตุที่การโพสต์คำดังกล่าวตามที่อัยการถาม จะกระทบถึงตัวพระมหากษัตริย์มากที่สุด เนื่องจากถ้อยคำดังกล่าวเขียนระบุว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ถ้อยคำดังกล่าวก็ไม่ใช่ถ้อยคำที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 112 เนื่องจากมาตราดังกล่าวระบุตัวบุคคลที่วัตถุแห่งการกระทำที่ชัดเจน คือ พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

    ส่วนคำว่า ‘สถาบันพระมหากษัตริย์’ ไม่ได้หมายถึงครอบครัวพระมหากษัตริย์ แต่รวมถึงแบบประเพณี กฎเกณฑ์ ข้าราชการส่วนพระองค์ พยานจึงไม่สามารถที่จะตอบได้ว่า ประมุขของสิ่งดังกล่าว หมายถึงตัวพระมหากษัตริย์เอง เนื่องจากในการแก้ไขกฎมณเฑียรบาล พระมหากษัตริย์ก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้เอง ถึงแสดงให้เห็นว่าพระองค์ไม่สามารถที่จะนำหรือชี้นำแก้ไขกฎดังกล่าวได้ด้วยตนเอง

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/59198)
  • ++อาจารย์ภาษาไทย : ‘สถาบัน’ ไม่ใช่ตัวบุคคล แต่มีตัวบุคคลอยู่ในสถาบัน

    อาจารย์ภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เบิกความว่า ในส่วนของประโยคหลังที่ระบุว่า ‘สถาบันก็ส้นตีน’ นั้น คำว่า ‘สถาบัน’ เป็นประธานของประโยค ส่วนภาคแสดงคือคำว่า ‘ส้นตีน’ ส่วนคำว่า ‘ก็’ เป็นคำเชื่อมประโยคหน้าและหลัง

    ในส่วนของคำว่า ‘สถาบัน’ นั้นมี 2 ความหมาย ความหมายแรกเป็นองค์กร-หน่วยงาน ความหมายที่สองหมายถึงสถาบันทางสังคม ซึ่งเป็นการรวมกฎเกณฑ์ ระเบียบ ประเพณีหลาย ๆ อย่างรวมกัน ดังนั้น คำว่า ‘สถาบัน’ นั้นไม่ใช่ตัวบุคคล แต่มีตัวบุคคลอยู่ในสถาบัน และเมื่อดูข้อความดังกล่าวแล้ว เห็นได้ว่า จำเลยแสดงความไม่พอใจรัฐบาล และสถาบัน ซึ่งพยานไม่เข้าใจคำว่า ‘สถาบัน’ ดังกล่าวหมายถึงสถาบันใด เนื่องจากหลังคำว่า ‘สถาบัน’ ก็ไม่มีถ้อยคำอื่นต่อ

    อัยการถามค้านโดยให้พยานดูหลักฐานภาพที่จำเลยเคยไปเคลื่อนไหวกิจกรรมทางการเมืองในสถานที่ต่าง ๆ แล้วถามว่า คำว่า ‘สถาบัน’ ตามที่ปรากฏนั้น สามารถชี้ชัดได้หรือไม่ว่าหมายถึงสถาบันกษัตริย์ พยานเบิกความว่า ไม่จำเป็น

    นอกจากนี้ แม้ว่าถ้อยคำที่ปรากฏอยู่ในข้อความ ‘สถาบันส้นตีน’ จะสามารถได้ระบุว่าเป็น สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ตาม พระมหากษัตริย์ที่เป็นบุคคลก็ไม่ใช่บุคคลที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด เนื่องจากมีคำว่าสถาบันอยู่ ซึ่งไม่ได้ชี้ชัดว่าเป็นตัวพระมหากษัตริย์
    .
    หลังเสร็จการสืบพยาน ศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 6 ก.ย. 2566 เวลา 09.00 น.

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/59198)
  • พิมชนกเดินทางจากจังหวัดปทุมธานีมายังศาลจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมทนายจำเลยที่เดินทางมาฟังคำพิพากษา

    เวลาประมาณ 09.30 น. ชาคริต ศรีแก้วณวรรณ์ ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน นั่งพิจารณาและเริ่มอ่านคำพิพากษา มีใจความโดยสรุปว่า

    ได้ไล่เรียงคำเบิกความของเจ้าพนักงานตำรวจผู้กล่าวหา ถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2565 ที่จำเลยไปอยู่บริเวณเส้นทางขบวนเสด็จของสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ หลังจากพระราชทานปริญญาบัตรที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โดยมีการพยายามไลฟ์สดและทางตำรวจได้เข้าห้ามไว้ ในวันถัดมา ผู้กล่าวหาจึงพบข้อความในโพสต์เฟซบุ๊กของจำเลยตามฟ้องในคดีนี้ ขณะที่จำเลยก็เบิกความยอมรับว่า ได้โพสต์ข้อความดังกล่าวจริง

    ศาลยังพิจารณาถึงคำเบิกความของพยานโจทก์ปากเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลและหน่วยความมั่นคงที่กล่าวถึงประวัติการเคลื่อนไหวทางการเมืองของจำเลยก่อนหน้าเกิดเหตุในคดีนี้ จากการติดตามของทางตำรวจ ซึ่งมีการไล่เรียงการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์และมาตรา 112 โดยมีภาพถ่ายจากกิจกรรมต่าง ๆ ประกอบ พยานโจทก์จึงเข้าใจได้ว่าโพสต์ของจำเลยตามฟ้องนั้นกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์

    ศาลเห็นว่า แม้จำเลยอ้างว่า ‘สถาบัน’ ในข้อความที่โพสต์ จะหมายถึงสถาบันการศึกษา แต่จำเลยก็เคยโพสต์เกี่ยวกับเรื่องสถาบันการศึกษาเพียง 1 ครั้ง และเป็นการมากล่าวอ้างภายหลัง โดยไม่ได้ให้การไว้ตั้งแต่ต้น ศาลเห็นว่า ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ จึงเชื่อได้ว่าข้อความของจำเลยนั้นมีเจตนากล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยการหลบเลี่ยง แต่ก็เข้าใจได้ว่าหมายถึงสถาบันใด

    แม้ข้อความจะไม่ได้กล่าวถึงพระมหากษัตริย์พระองค์ใด แต่ศาลเห็นว่ามาตรา 112 คุ้มครองทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ก็เป็นองค์ประกอบของสถาบันพระมหากษัตริย์

    ถ้อยคำของจำเลยเป็นการบริภาษ และมีเจตนาในการดูหมิ่น ให้ร้าย ลดทอนคุณค่าของพระมหากษัตริย์ จึงเห็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

    พิพากษาลงโทษจำคุก 3 ปี จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา
    .
    หลังอ่านคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ตำรวจศาลได้ควบคุมตัวพิมชนก ไปควบคุมที่ห้องขังใต้ถุนศาล ก่อนทนายความจะได้ยื่นขอประกันตัวระหว่างอุทธรณ์

    ต่อมาเวลาประมาณ 13.40 น. ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวจำเลยระหว่างอุทธรณ์ โดยให้วางหลักทรัพย์จำนวน 150,000 บาท ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์ โดยจำเลยเตรียมยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อไป

    ทั้งนี้ น่าสังเกตว่าแนวทางการตีความองค์ประกอบมาตรา 112 ยังมีความขัดแย้งแตกต่างกันไปในแต่ละศาล อาทิ เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2566 ศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้มีคำพิพากษาในคดีมาตรา 112 ของ “ฮ่องเต้” ธนาธร วิทยเบญจางค์ บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมีส่วนที่วินิจฉัยยกฟ้องใน 1 กระทง กรณีอ่านแถลงการณ์ที่มีเนื้อหาพาดพิงถึงสถาบันกษัตริย์ โดยศาลเห็นว่าคำว่า “สถาบันกษัตริย์” ในแถลงการณ์ ไม่ได้ระบุเจาะจงถึงตัวบุคคลหรือองค์พระมหากษัตริย์ ยังไม่ชัดเจนว่าจำเลยมีเจตนากล่าวถึงองค์พระมหากษัตริย์

    (อ้าง: https://tlhr2014.com/archives/59243)

ชั้นสอบสวน

ผู้ถูกดำเนินคดี :
พิมชนก ใจหงษ์

การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต

ศาลชั้นต้น

ผู้ถูกดำเนินคดี :
พิมชนก ใจหงษ์

ชื่อองค์คณะผู้พิพากษา :
  1. ชาคริต ศรีแก้วณวรรณ์

ผลการพิพากษา
ลงโทษ
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ : 06-09-2023

ศาลอุทธรณ์

ผู้ถูกดำเนินคดี :
พิมชนก ใจหงษ์

ผลการพิพากษา
-
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต

แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์