ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
  • พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
  • Facebook
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
ดำ อ.573/2565

ผู้กล่าวหา
  • ร.ต.อ.ณัฐภัทร เรืองศิลป์ประเสริฐ (ตำรวจ)
ผู้ถูกดำเนินคดี

ข้อหา

  • พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
  • Facebook
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)

หมายเลขคดี

ดำ อ.573/2565
ผู้กล่าวหา
  • ร.ต.อ.ณัฐภัทร เรืองศิลป์ประเสริฐ

ความสำคัญของคดี

อานนท์ นำภา นักกิจกรรมและทนายความสิทธิมนุษยชน ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นกษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ม.14 (3) จากโพสต์เฟซบุ๊ก 2 โพสต์ ช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. 2564 โดยโพสต์ดังกล่าวมีเนื้อหาเกี่ยวกับการตั้งคำถามถึงการบริหารราชการแผ่นดินของรัชกาลที่ 10

กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่มีอัตราโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการปิดกั้นการแสดงความเห็นของประชาชนในทางวิพากษ์วิจารณ์ แม้ว่าจะเป็นการติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี

พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี

ณัฐพล รัตนทัศนีย์ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 บรรยายพฤติการณ์คดีในคำฟ้องว่า

1. เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2564 อานนท์ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “อานนท์ นำภา” ว่า “การที่ในหลวงวชิราลงกรณ์ลงมาบริหารราชการแผ่นดินด้วยตนเอง นี่ขัดกับหลักประชาธิปไตยแน่ๆ ไม่มีใครบอกเลยหรือว่ามันผิด และถ้าไม่มีใครบอก ก็จะทําผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอคนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาพูด ก็โดน 112 แบบนี้ สังคมมีแต่จะพากันเดินลงเหว”

การที่จําเลยโพสต์ข้อความดังกล่าว ทำให้บุคคลทั่วไปที่พบเห็นเข้าใจว่า รัชกาลที่ 10 ทรงใช้พระราชอํานาจเข้ามาแทรกแซงการบริหารราชการแผ่นดินด้วยตนเอง ซึ่งขัดกับหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย เมื่อประชาชนออกมาแสดงความคิดเห็นก็จะถูกดําเนินคดีอาญาให้ได้รับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และทําให้สังคมตกต่ำลง

2. เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2564 อานนท์ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “อานนท์ นำภา” ว่า “ย้ายลูกจากอัยการไปเป็นทหาร นี่แหละตัวอย่างของการทําตัวอยู่เหนือระบบระบอบทั้งปวง ทําอะไรตามใจ และใช้อํานาจบริหารประเทศอย่างแท้จริง ไม่ทําตนให้เป็นกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย แล้วจะให้คนเคารพในฐานะกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร นี่คือเหตุผลหนึ่งที่เราต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงสังคม ก่อนที่จะชิบหายไปมากกว่านี้”

การที่จําเลยโพสต์ข้อความดังกล่าว ทำให้บุคคลทั่วไปที่พบเห็นเข้าใจว่า รัชกาลที่ 10 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้รับโอนข้าราชการฝ่ายอัยการเป็นข้าราชการในพระองค์ ฝ่ายทหาร และพระราชทานพระยศทหารให้ พลโทหญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ อัยการผู้เชี่ยวชาญ สํานักงานอัยการภาค 2 สํานักงานอัยการสูงสุด มาทรงดํารงตําแหน่ง เสนาธิการกองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ (อัตรา พลเอก) และพระราชทานพระยศเป็นพลเอกหญิง เป็นการทรงใช้พระราชอํานาจบริหารประเทศตามอําเภอใจไม่เป็นไปตามกฎหมาย และเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนพระองค์ในการโยกย้ายดังกล่าว เป็นกษัตริย์ที่ไม่อยู่ภายใต้กฎหมายระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย

ข้อความทั้ง 2 เป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนและไม่เป็นความจริง และเป็นการใส่ร้าย จาบจ้วง ล่วงเกิน ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายรัชกาลที่10 โดยประการที่น่าจะทําให้รัชกาลที่10 เสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง โดยจําเลยมีเจตนาอาฆาตมาดร้ายและทําลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของประชาชนชาวไทย และทําให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะต่อพระมหากษัตริย์ซึ่งอยู่ในฐานะที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้

(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลอาญา คดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.753/2565 ลงวันที่ 28 มี.ค. 2565)

ความคืบหน้าของคดี

  • ขณะอานนท์ นำภา นักกิจกรรมและทนายความสิทธิมนุษยชน ถูกขังระหว่างการสอบสวนโดยไม่ได้รับการประกันตัวในคดีปราศรัยในการชุมนุม #แฮร์รี่พอตเตอร์2 พนักงานสอบสวน บก.ปอท. ได้เข้าแจ้งข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ม.14 (3) จาก 2 โพสต์เฟซบุ๊ก ช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. 2564 โดยโพสต์ดังกล่าวมีเนื้อหาเกี่ยวกับการตั้งคำถามถึงการบริหารราชการแผ่นดินของรัชกาลที่ 10

    พ.ต.ท.ทศพร ศรีสัจจา สารวัตร (สอบสวน) กก.2 บก.ปอท. ได้แจ้งพฤติการณ์ให้อานนท์ทราบผ่านระบบวิดิโอคอนเฟอเรนซ์ของทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง โดยมีทนายความร่วมฟังการสอบสวนอยู่ด้วย โดยบรรยายว่า

    ร.ต.อ.ณัฐภัทร เรืองศิลป์ประเสริฐ ผู้กล่าวหา ได้รับคําสั่งจาก ผู้บังคับบัญชา และขณะปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบติดตามความเคลื่อนไหวและเฝ้าระวังข้อมูลข่าวสารที่ไม่เหมาะสมหรือผิดกฎหมายทางสื่อสังคมออนไลน์ ได้พบผู้ใช้เฟซบุ๊ก บัญชีชื่อ “อานนท์ นําภา” มีการลงเผยแพร่ข้อความทางเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2564 และ 3 ก.พ. 2564 จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ สำนักงานกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นการหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิเวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง

    โพสต์ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ประกอบด้วย

    1. วันที่ 11 ม.ค. 2564 เวลา 21.42 น. เฟซบุ๊ก “อานนท์ นำภา” โพสต์ว่า “การที่ในหลวงวชิราลงกรณ์ลงมาบริหารราชการแผ่นดินด้วยตนเอง นี่ขัดกับหลักประชาธิปไตยแน่ๆ ไม่มีใครบอกเลยหรือว่ามันผิด และถ้าไม่มีใครบอก ก็จะทําผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอคนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาพูด ก็โดน 112 แบบนี้ สังคมมีแต่จะพากันเดินลงเหว”

    2. วันที่ 3 ก.พ. 2564 เวลา 20.25 น. เฟซบุ๊ก “อานนท์ นำภา” โพสต์ว่า “ย้ายลูกจากอัยการไปเป็นทหาร นี่แหละตัวอย่างของการทําตัวอยู่เหนือระบบระบอบทั้งปวง ทําอะไรตามใจ และใช้อํานาจบริหารประเทศอย่างแท้จริง ไม่ทําตนให้เป็นกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย แล้วจะให้คนเคารพในฐานะกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร นี่คือเหตุผลหนึ่งที่เราต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงสังคม ก่อนที่จะชิบหายไปมากกว่านี้”

    พนักงานสอบสวนได้แจ้ง 2 ข้อหา ได้แก่ “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ และนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร”

    เบื้องต้นอานนท์รับว่าเป็นเจ้าของเฟซบุ๊กดังกล่าวและเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวจริง แต่ปฏิเสธว่า ข้อความดังกล่าวไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพราะเป็นการแสดงความคิดเห็นติชมโดยสุจริต และต้องการให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่อย่างสง่างามในระบอบประชาธิปไตย โดยจะทำคำให้การในประเด็นอื่นเป็นหนังสือยื่นต่อพนักงานสอบสวนภายใน 30 วัน พร้อมทั้งระบุพยานเอกสารและพยานบุคคล

    ทั้งนี้ อานนท์ยังได้ขอให้พนักงานสอบสวน สอบผู้กล่าวหาเพิ่มเติมใน 3 ประเด็น ดังนี้

    1. รัชกาลที่ 10 ได้มีการโอนกำลังพลจากกรมทหารราบที่ 1 และกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ รวมทั้งจัดตั้งหน่วยงานส่วนพระองค์ และดำเนินการในการบริหารงานของกรมราชทัณฑ์ และให้ความเห็นในการโยกย้ายนายตำรวจ (ตั๋วช้าง) จริงหรือไม่
    2. ได้มีการโอนย้าย “พระองค์ภา” จากข้าราชการอัยการไปเป็นข้าราชการทหารจริงหรือไม่
    3. การกระทำทั้ง 2 ข้อ ถูกต้องตามหลักการ “ปกเกล้าแต่ไม่ปกครอง” และถูกต้องตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขหรือไม่

    อานนท์ถูกดำเนินคดี “หมิ่นประมาทกษัตริย์” หรือมาตรา 112 คดีนี้เป็นคดีที่ 14 แล้ว ทั้งหมดถูกดำเนินคดีหลังการเคลื่อนไหวเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2563 เป็นต้นมา ซึ่งอานนท์ได้เริ่มปราศรัยในที่สาธารณะถึงประเด็นปัญหาสถานะและบทบาทของสถาบันกษัตริย์ในสังคมไทย ก่อนจะนำไปสู่ข้อเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ โดยคดีทั้งหมดถูกดำเนินคดีจากการปราศรัยในการชุมนุมต่างๆ รวม 11 คดี และจากการโพสต์เฟซบุ๊กในประเด็นดังกล่าวอีก 3 คดี

    (อ้างอิง: บันทึกแจ้งข้อกล่าวหา กก.2 บก.ปอท. ลงวันที่ 8 ก.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/34791)
  • พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิศษฝ่ายคดีอาญา 7 ยื่นฟ้องอานนท์ นำภา ต่อศาลอาญา โดยไม่ได้นัดหมายอานนท์ให้ไปที่ศาลเพื่อส่งฟ้องด้วย แม้อานนท์ถูกปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2565 โดยนับเป็นคดีมาตรา 112 คดีที่ 11 ที่อานนท์ถูกฟ้องต่อศาล

    ณัฐพล รัตนทัศนีย์ พนักงานอัยการ บรรยายพฤติการณ์คดีในคำฟ้องว่า

    1. เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2564 อานนท์ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “อานนท์ นำภา” ว่า “การที่ในหลวงวชิราลงกรณ์ลงมาบริหารราชการแผ่นดินด้วยตนเอง นี่ขัดกับหลักประชาธิปไตยแน่ๆ ไม่มีใครบอกเลยหรือว่ามันผิด และถ้าไม่มีใครบอก ก็จะทําผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอคนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาพูด ก็โดน 112 แบบนี้ สังคมมีแต่จะพากันเดินลงเหว”

    การที่จําเลยโพสต์ข้อความดังกล่าว ทำให้บุคคลทั่วไปที่พบเห็นเข้าใจว่า รัชกาลที่ 10 ทรงใช้พระราชอํานาจเข้ามาแทรกแซงการบริหารราชการแผ่นดินด้วยตนเอง ซึ่งขัดกับหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย เมื่อประชาชนออกมาแสดงความคิดเห็นก็จะถูกดําเนินคดีอาญาให้ได้รับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และทําให้สังคมตกต่ำลง

    2. เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2564 อานนท์ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “อานนท์ นำภา” ว่า “ย้ายลูกจากอัยการไปเป็นทหาร นี่แหละตัวอย่างของการทําตัวอยู่เหนือระบบระบอบทั้งปวง ทําอะไรตามใจ และใช้อํานาจบริหารประเทศอย่างแท้จริง ไม่ทําตนให้เป็นกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย แล้วจะให้คนเคารพในฐานะกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร นี่คือเหตุผลหนึ่งที่เราต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงสังคม ก่อนที่จะชิบหายไปมากกว่านี้”

    การที่จําเลยโพสต์ข้อความดังกล่าว ทำให้บุคคลทั่วไปที่พบเห็นเข้าใจว่า รัชกาลที่ 10 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้รับโอนข้าราชการฝ่ายอัยการเป็นข้าราชการในพระองค์ ฝ่ายทหาร และพระราชทานพระยศทหารให้ พลโทหญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ อัยการผู้เชี่ยวชาญ สํานักงานอัยการภาค 2 สํานักงานอัยการสูงสุด มาทรงดํารงตําแหน่ง เสนาธิการกองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ (อัตรา พลเอก) และพระราชทานพระยศเป็นพลเอกหญิง เป็นการทรงใช้พระราชอํานาจบริหารประเทศตามอําเภอใจไม่เป็นไปตามกฎหมาย และเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนพระองค์ในการโยกย้ายดังกล่าว เป็นกษัตริย์ที่ไม่อยู่ภายใต้กฎหมายระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย

    อัยการระบุว่า ข้อความทั้ง 2 เป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนและไม่เป็นความจริง และเป็นการใส่ร้าย จาบจ้วง ล่วงเกิน ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายรัชกาลที่10 โดยประการที่น่าจะทําให้รัชกาลที่10 เสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง โดยจําเลยมีเจตนาอาฆาตมาดร้ายและทําลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของประชาชนชาวไทย และทําให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะต่อพระมหากษัตริย์ซึ่งอยู่ในฐานะที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้

    ทั้งนี้ อัยการโจทก์ได้คัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวอานนท์ในชั้นพิจารณา โดยอ้างว่าคดีมีอัตราโทษสูงและเป็นคดีเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร

    อัยการยังได้ขอให้ศาลนับโทษจำคุกของอานนท์ในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีมาตรา 112 และคดีอื่นๆ ที่ฟ้องไปก่อนหน้านี้แล้วในศาลอาญา, ศาลอาญากรุงเทพใต้, ศาลแขวงดุสิต และศาลแขวงปทุมวัน รวม 16 คดี

    (อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลอาญา คดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.753/2565 ลงวันที่ 28 มี.ค. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/43849)
  • เวลา 09.00 น. ศาลอาญา รัชดาฯ นัดถามคำให้การ โดยอานนท์ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ศาลได้นัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 20 มิ.ย. 2565 เวลา 13.30 น.

    อย่างไรก็ตาม อานนท์ต้องรออยู่ในห้องควบคุมตัวตลอดทั้งวัน ระหว่างที่นายประกันยื่นประกันตัวในชั้นพิจารณา เนื่องจาก โดยในครั้งแรกทนายได้ยื่นประกันด้วยหลักทรัพย์จำนวน 90,000 บาท แต่ศาลได้สั่งให้ยื่นหลักทรัพย์จำนวน 200,000 บาท แล้วจะพิจารณาคำร้องอีกครั้งหนึ่ง นายประกันจึงต้องยื่นประกันครั้งที่ 2 โดยใช้หลักทรัพย์จำนวน 200,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์

    เวลา 17.00 น. ศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว โดยกำหนดเงื่อนไข 5 ข้อ ได้แก่ 1.ห้ามกระทำการในลักษณะเดียวกับที่ถูกกล่าวหา 2.ห้ามจำเลยกระทำหรือเข้าร่วมกิจกรรมอันจะทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ 3.ห้ามมิให้กระทำการใดๆ อันเป็นการขัดขวางกระบวนพิจารณาคดีของศาล 4.ห้ามเข้าร่วมกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง 5.ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/43849)

ชั้นสอบสวน

ผู้ถูกดำเนินคดี :
อานนท์ นำภา

การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
-

ศาลชั้นต้น

ผู้ถูกดำเนินคดี :
อานนท์ นำภา

ผลการพิพากษา
-
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต

แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์