ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
  • พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
  • Facebook
  • ทำให้เสียทรัพย์ (มาตรา 358)
  • อื่นๆ (ไต่สวนชันสูตรพลิกศพ, เลิกจ้าง(คดีแรงงาน), แจ้งความเท็จ, ซ่อนเร้นพยานหลักฐาน)
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
ดำ อ.750/2565
แดง อ.826/2566

ผู้กล่าวหา
  • ไม่ทราบชื่อ (ตำรวจ)
ผู้ถูกดำเนินคดี

ข้อหา

  • พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
  • Facebook
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
  • ทำให้เสียทรัพย์ (มาตรา 358)
  • อื่นๆ (ไต่สวนชันสูตรพลิกศพ, เลิกจ้าง(คดีแรงงาน), แจ้งความเท็จ, ซ่อนเร้นพยานหลักฐาน)

หมายเลขคดี

ดำ อ.750/2565
แดง อ.826/2566
ผู้กล่าวหา
  • 1

ความสำคัญของคดี

ปริญญา (นามสมมติ) หนุ่มลูกจ้างชาวจังหวัดหนองบัวลำภู ถูกจับกุมและดำเนินคดีในข้อหา วางเพลิงเผาทรัพย์และทำให้เสียทรัพย์ จากการเผาพระบรมฉายาลักษณ์ ร.10 บริเวณสวนสาธารณะหนองบัว เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2565 หลังจากนั้นอัยการยังมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) เพิ่มเติม อ้างว่า ปริญญาได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวช่วงเดือนมิถุนายน – ธันวาคม 2564 ในลักษณะหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ รวม 10 โพสต์

พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี

ธนชัย ศรีศิริ พนักงานอัยการจังหวัดหนองบัวลําภู บรรยายถึงการกระทำที่ฟ้องปริญญารวม 11 กรรม มีเนื้อหาโดยสรุปว่า

เมื่อวันที่ 18 มิ.ย., 24, 25, 29, 31 ส.ค., 1 ก.ย., 15, 26 ต.ค., 4 พ.ย. และ 5 ธ.ค. 2564 จำเลยได้โพสต์ข้อความและรูปภาพในเฟซบุ๊กของจำเลย กล่าวถึงรัชกาลที่ 10 โดยในจำนวน 10 โพสต์นี้ มี 3 โพสต์ที่เป็นการแชร์มาจากเพจ KTUK-คนไทยยูเค และ Somsak Jeamteerasakul พร้อมเขียนข้อความประกอบ อันเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2565 จำเลยได้วางเพลิงซุ้มเฉลิมพระเกียรติ รัชกาลที่ 10 บริเวณสวนสาธารณะหนองบัว ซึ่งเป็นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดหนองบัวลําภู จนได้รับความเสียหาย ถูกไฟไหม้หมดทั้งหลัง คิดเป็นค่าเสียหายจํานวน 114,900 บาท อันเป็นการวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น และทําให้เสียทรัพย์

(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดหนองบัวลำภู คดีหมายเลขดำที่ อ.750/2565 ลงวันที่ 19 ก.ค. 2565)

ความคืบหน้าของคดี

  • ตำรวจ 20 กว่านาย ทั้งฝ่ายสืบ สภ.เมืองหนองบัวลำภู, ตำรวจภูธรภาค 4, กองบังคับการปราบปราม และ บก.ปอท. นำหมายจับและหมายค้นออกโดยศาลจังหวัดหนองบัวลำภู ลงวันที่ 7 ก.พ. 2565 เข้าจับกุมปริญญา (นามสมมติ) ที่บ้านในช่วงเช้าตรู่ ข้อหาวางเพลิง และทำให้เสียทรัพย์ โดยตำรวจแจ้งว่าเป็นหมายจับจากเหตุวางเพลิงรูป ร.10 ในสวนสาธารณะ จากนั้นตำรวจได้ถามถึงโทรศัพท์และพาสเวิร์ดเข้าเครื่อง เข้าค้นห้อง ยึดเสื้อผ้า รถกระบะ ก่อนควบคุมตัวปริญญาไปที่ สภ.เมืองหนองบัวลำภู โดยมีแม่ พี่สาว และพี่เขย ติดตามไปด้วย

    นอกจากการทำบันทึกการจับกุม แจ้งข้อกล่าวหา “วางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น, ทำให้เสียทรัพย์” และสอบปากคำเกี่ยวกับเหตุการณ์วางเพลิง ตลอดจนถึงตรวจปัสสาวะ เก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อไปตรวจดีเอ็นเอ และทำแผนประกอบคำรับสารภาพในที่เกิดเหตุโดยตลอดกระบวนการไม่มีทนายความเข้าร่วมแล้ว พนักงานสอบสวนยังนำภาพแคปจากหน้าจอโทรศัพท์หลายภาพ เป็นโพสต์แสดงความเห็นวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ในเฟซบุ๊กมาให้เขาเซ็นรับว่า เป็นผู้โพสต์ข้อความเหล่านั้น ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์วางเพลิงที่แจ้งข้อกล่าวหา

    ช่วงเย็น ปริญญาถูกนำตัวไปศาลจังหวัดหนองบัวลำภูเพื่อขอฝากขัง ก่อนที่จะถูกนำตัวไปขังที่เรือนจำจังหวัดหนองบัวลำภู หลังศาลอนุญาตให้ฝากขัง และญาติไม่ได้ยื่นประกันตัว

    คำร้องขอฝากขังของพนักงานสอบสวนระบุพฤติการณ์คดีว่า เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2565 เวลา 03.18 น. พนักงานสอบสวนเวรได้รับแจ้งว่า มีเหตุเพลิงไหม้บริเวณสวนสาธารณะหนองบัว เมื่อเดินทางไปตรวจสอบพบซุ้มเฉลิมพระเกียรติ 1 ซุ้ม ได้รับความเสียหาย จากการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจากกล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุและบริเวณโดยรอบ พบบุคคลต้องสงสัยใช้รถยนต์กระบะขับมาจอดที่ริมถนนรอบบึงสาธารณะหนองบัว แล้วเข้าไปก่อเหตุวางเพลิงเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติ ก่อนกลับมาขับรถยนต์กระบะออกไปทางเดิม ซึ่งจากการสืบสวนทราบว่า บุคคลต้องสงสัยดังกล่าวคือ ปริญญา

    (อ้างอิง: บันทึกจับกุม สภ.เมืองหนองบัวลำภู และคำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 1 ศาลจังหวัดหนองบัวลำภู ลงวันที่ 8 ก.พ. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/45946)
  • ปริญญาได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำ รวมเวลาถูกขังระหว่างสอบสวน 61 วัน โดยเจ้าหน้าที่นัดให้ปริญญาไปรายงานตัวที่สำนักงานอัยการจังหวัดหนองบัวลำภูเดือนละครั้ง เอกสารที่เขาได้รับจากเรือนจำระบุสาเหตุที่ได้รับการปล่อยตัวว่า ครบกำหนดฝากขัง แต่พนักงานสอบสวน/อัยการไม่ยื่นคำร้องขอฝากขังต่อ

    อย่างไรก็ตาม ความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน – 7 ปี ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 87 วรรคห้า ระบุว่า ศาลมีอำนาจสั่งขังได้ไม่เกิน 48 วัน กรณีนี้จึงน่าสงสัยว่า ปริญญาอาจจะถูกขังเกินกว่าที่กฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ไว้

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/45946)
  • ในการเข้ารายงานตัวที่สำนักงานอัยการจังหวัดหนองบัวลำภู ครั้งที่ 2 เมื่อต้นเดือนมิถุนายน เจ้าหน้าที่แจ้งว่า อัยการส่งสำนวนกลับไปให้ตำรวจแจ้งข้อหาเพิ่ม จากนั้น พนักงานสอบสวนได้โทรนัดให้ปริญญาไปที่ สภ.เมืองหนองบัวลำภู ในวันนี้

    เมื่อปริญญาไปพบตำรวจตามนัดตามลำพังคนเดียว พนักงานสอบสวนระบุว่า อัยการมีคำสั่งให้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่ม จากนั้นได้แจ้งพฤติการณ์คดีเพิ่มเติมให้เขาทราบโดยไม่มีทนายความเข้าร่วมเช่นเดียวกับในวันที่เขาถูกจับกุมว่า ในโทรศัพท์มือถือที่ตรวจยึดไปจากปริญญา เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพบว่า ปริญญาได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กของตนในลักษณะหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ในช่วงเดือนมิถุนายน – ธันวาคม 2564 รวม 9 โพสต์

    จากนั้นพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาปริญญาว่า “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ” เพิ่มเติมอีกข้อหา ครั้งนี้เขาให้การปฏิเสธ ระบุว่า เขาไม่ได้โพสต์เฉพาะเจาะจงถึงใคร หลังสอบปากคำเสร็จ ตำรวจปล่อยตัวกลับโดยไม่ได้ให้บันทึกแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมมาด้วย

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/45946)
  • ไม่ถึง 1 เดือนต่อมา ร.ต.อ.นำพล พนักงานสอบสวนเจ้าของคดีโทรศัพท์ถึงแม่ นัดปริญญาให้เข้าไปพบในวันถัดมาอีกครั้ง บอกเพียงว่า ไปคุยอะไรนิดหน่อย แต่เมื่อทนายความที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ปริญญาโทรสอบถามและขอเลื่อนนัด เนื่องจากติดธุระที่ได้นัดหมายไว้ก่อนแล้ว จึงทราบว่าเป็นการนัดไปแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมอีก โดยพนักงานสอบสวนแจ้งว่า หากไม่มาในวันที่ 5 ก.ค. 2565 ก็จะออกหมายเรียกทุกวัน ถ้าไม่มาอีกก็จะออกหมายจับ ปริญญายืนยันว่า ต้องการให้มีทนายไปด้วย และให้ตำรวจออกหมายเรียกมาก่อน

    ต่อมา ปริญญานัดหมาย ร.ต.อ.นำพล ว่าจะไปพบพร้อมทนายความในวันที่ 7 ก.ค. 2565 ก่อนได้รับแจ้งจาก ร.ต.อ.นำพล ว่า อัยการให้แจ้งข้อกล่าวหา “นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง” ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) เพิ่มเติม จากโพสต์ข้อความ 9 โพสต์ ที่ได้แจ้งไปแล้วก่อนหน้านี้

    ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนไม่ได้แจ้งถึงรายละเอียดของข้อความที่กล่าวหาทั้ง 9 ข้อความ แจ้งเพียงว่าเป็นโพสต์ในวันใดบ้าง ทนายความจึงขอให้แจ้งรายละเอียดก่อนที่จะสอบคำให้การ เนื่องจากก่อนหน้านี้ผู้ต้องหาก็ไม่ได้รับบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ทำให้ไม่ทราบถึงข้อความที่กล่าวหา จึงไม่ทราบว่าจะให้การอย่างไร รวมถึงทนายความไม่ทราบว่าจะให้คำปรึกษาถึงแนวทางการต่อสู้คดีอย่างไร พนักงานสอบสวนอ้างว่า สำนวนคดีอยู่ที่อัยการแล้ว ก่อนค้นหาสำเนาเอกสารมาให้ปริญญาและทนายความเปิดดู แต่ไม่มอบเอกสารให้

    ปริญญาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยขอให้การในรายละเอียดในชั้นศาล หลังลงบันทึกประจำวัน ทนายความได้ขอสำเนาบันทึกประจำวัน แต่ก็ไม่ได้รับอีก โดยพนักงานสอบสวนแจ้งว่า ให้ทำเป็นคำร้องยื่นมาในภายหลัง

    ปริญญามีนัดรายงานตัวที่สำนักงานอัยการฯ อีกครั้งในวันที่ 19 ก.ค. 2565 ซึ่งเป็นไปได้ว่า อัยการจะยื่นฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดหนองบัวลำภูในวันนั้น

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/45946)
  • ปริญญาเดินทางพร้อมญาติและทนายความเครือข่ายของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ไปที่ศาลจังหวัดหนองบัวลำภู ในวันนัดรายงานตัวต่ออัยการ เนื่องจากจากการสอบถามก่อนหน้าวันนัดของทนายความ ทำให้ทราบว่าอัยการมีคำสั่งฟ้องคดีแล้ว และจะยื่นฟ้องต่อศาลในวันนี้ หลังจากที่ปริญญาเพิ่งเข้ารับทราบข้อกล่าวหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เพิ่มเติมเมื่อวันที่ 7 ก.ค. ที่ผ่านมา

    ประมาณ 10.00 น. เจ้าหน้าที่สำนักงานอัยการฯ นำคำฟ้องมายื่นต่อศาล ก่อนปริญญาถูกนำตัวไปขังที่ห้องขังใต้ถุนศาล จากนั้นก่อนเที่ยงเล็กน้อย ศาลได้คอนเฟอเรนซ์จากห้องพิจารณาลงมาที่ห้องขังเพื่ออ่านคำฟ้องโดยสรุปและถามคำให้การเบื้องต้น โดยปริญญาให้การเช่นเดียวกับในชั้นสอบสวนคือรับสารภาพในข้อหาวางเพลิง, ทำให้เสียทรัพย์ แต่ปฏิเสธข้อหาตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ศาลจึงนัดคุ้มครองสิทธิในวันที่ 10 ส.ค. 2565 เวลา 09.00 น.

    คำฟ้องของธนชัย ศรีศิริ พนักงานอัยการจังหวัดหนองบัวลําภู ที่ยื่นฟ้องปริญญาในฐานความผิด วางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น, ทําให้เสียทรัพย์, หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ และนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 217, 358, 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) บรรยายถึงการกระทำที่ฟ้องปริญญารวม 11 กรรม

    โดย 10 กรรม เป็นการโพสต์ข้อความและรูปภาพในเฟซบุ๊กบัญชีชื่อเดียวกับปริญญาในภาษาอังกฤษในช่วงเดือนมิถุนายน-ธันวาคม 2564 มีเนื้อหาที่กล่าวถึงรัชกาลที่ 10 จำนวน 10 โพสต์ ในจำนวนนี้เป็นการแชร์โพสต์มาจากเพจ KTUK-คนไทยยูเค และ Somsak Jeamteerasakul พร้อมเขียนข้อความประกอบ รวม 3 โพสต์ ซึ่งอัยการกล่าวหาว่า เป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง

    ในอีก 1 กรรมนั้น อัยการบรรยายว่า เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2565 จำเลยได้วางเพลิงซุ้มเฉลิมพระเกียรติ รัชกาลที่ 10 บริเวณสวนสาธารณะหนองบัว ซึ่งเป็นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดหนองบัวลําภู จนได้รับความเสียหาย ถูกไฟไหม้หมดทั้งหลัง คิดเป็นค่าเสียหายจํานวน 114,900 บาท อันเป็นการวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น และทําให้เสียทรัพย์

    อย่างไรก็ตาม พนักงานอัยการไม่ได้คัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวปริญญาระหว่างพิจารณาคดี โดยระบุว่า ให้อยู่ในดุลพินิจของศาล

    ต่อมา ในช่วงบ่าย ทนายความได้ยื่นคำร้องขอประกันปริญญาโดยเสนอหลักประกันเป็นเงินสด 150,000 บาท พร้อมระบุเหตุผลประกอบว่า จำเลยมีอาชีพเป็นหลักแหล่ง มีความประสงค์จะต่อสู้คดี โดยไม่มีเจตนาจะหลบหนี เห็นได้จากหลังจากได้รับการปล่อยตัวเมื่อถูกขังครบกำหนดฝากขังแล้ว จำเลยก็ยังไปรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่สำนักงานอัยการฯ มาโดยตลอด ทั้งยังอ้างถึงหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญาเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีการพิสูจน์ตามกฎหมายได้ว่ามีความผิด

    ราวบ่ายสองศาลมีคำสั่งยกคำร้อง ระบุในคำสั่งว่า คดีมีอัตราโทษสูง และเมื่อพิจารณาประกอบคำฟ้องที่โจทก์ฟ้องมาว่าจำเลยกระทำผิดถึง 11 กรรม จึงเชื่อว่าหากปล่อยชั่วคราวจำเลยจะหลบหนี

    อย่างไรก็ตาม ทนายความยังพยายามให้ปริญญาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคดี โดยได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวอีกครั้ง ระบุเหตุผลเพิ่มเติมว่า จำเลยทราบมาแต่ต้นแล้วว่าถูกแจ้งข้อกล่าวหาทั้งหมด 11 กรรม และได้ให้ความร่วมมือในกระบวนการดำเนินคดีมาตลอด ทั้งยังเดินทางมาศาลเพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลด้วยตนเอง นอกจากนี้จำเลยยินดีเข้าสู่กระบวนการจิตสังคม และให้ศาลตั้งผู้กำกับดูแล หรือกำหนดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราวตามที่ศาลเห็นสมควร

    ประมาณครึ่งชั่วโมงหลังยื่นคำร้องขอประกันครั้งที่ 2 ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยมีหลักประกัน 150,000 บาท กำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยไปกระทำการอันมีลักษณะที่อาจเป็นความผิดตามที่ถูกฟ้องอีก และห้ามออกนอกราชอาณาจักร ให้เข้ารับคำปรึกษาที่คลีนิกให้คำปรึกษาด้านจิตสังคม และให้แต่งตั้งผู้ให้คำปรึกษาเป็นผู้กำกับดูแลสอดส่องดูแลพฤติกรรม

    กระทั่งเวลา 16.30 น. หลังใช้เงินสดจากกองทุนราษฎรประสงค์วางเป็นหลักประกัน ปริญญาจึงได้รับการปล่อยตัว รวมเวลาถูกขังอยู่ที่ห้องขังใต้ถุนศาล รอกระบวนการรับฟ้องและขอประกันตัวกว่า 6 ชั่วโมง

    ปริญญาเปิดเผยว่า หลังจากเขารู้ตัวก่อน 1 วันว่า อัยการจะยื่นฟ้อง เขาก็รู้สึกเครียดจนคืนนั้นนอนไม่หลับ คิดไปต่างๆ นานาว่าจะเจออะไรบ้างที่ศาล แต่เขาก็ไม่ได้ทำใจว่า ศาลจะไม่ให้ประกัน ทันทีที่รู้ว่าไม่ได้ประกันเขาก็รู้สึกเคว้งคว้าง เขาจะไม่ได้ไปทำงานในวันพรุ่งนี้หรือ แต่ไม่นานทนายมาบอกอีกครั้งว่าได้ประกันแล้ว ความรู้สึกของเขาถึงกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกที

    “ผมคิดว่า ไม่มีใครควรถูกดำเนินคดีจากการวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ คนที่วิจารณ์ก็เพราะต้องการให้เกิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ยิ่งสถาบันเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยก็ยิ่งต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อให้อยู่ได้อย่างสง่างามและยั่งยืน เหมือนการทำความสะอาดบ้านที่ควรเริ่มทำสะอาดจากชั้นบนก่อน”

    (อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดหนองบัวลำภู คดีหมายเลขดำที่ อ.750/2565 ลงวันที่ 19 ก.ค. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/46450)
  • จำเลยแจ้งความประสงค์จะสู้คดี ส่วนคำให้การจะยื่นในนัดหน้า ศาลจึงนัดสอบคำให้การในวันที่ 12 ก.ย. 2565 เวลา 09.00 น.
  • โจทก์, ผู้รับมอบอํานาจจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดหนองบัวลําภู (ผู้เสียหาย), จําเลย และทนายจําเลย มาศาล ศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง จําเลยประสงค์จะต่อสู้คดี จากนั้นศาลแจ้งว่า ผู้เสียหายได้ยื่นคําร้องขอให้บังคับจําเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนลงวันที่ 6 ส.ค. 2565 หากจําเลยจะยื่นคําให้การในส่วนแพ่งให้ยื่นก่อนหรือภายในนัดหน้า และให้เลื่อนคดีไปนัดพร้อมเพื่อกําหนดวันนัดสืบพยานและตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 3 ต.ค. 2565 เวลา 09.00 น.

    (อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลจังหวัดหนองบัวลำภู คดีหมายเลขดำที่ อ.750/2565 ลงวันที่ 12 ก.ย. 2565)
  • ทนายจําเลยแถลงว่า ได้สอบข้อเท็จจริงจากจําเลยเบื้องต้นแล้ว จําเลยประสงค์จะให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ในข้อหาวางเพลิงและทำให้เสียทรัพย์ และไม่ต่อสู้ในคดีส่วนแพ่ง แต่จะให้การปฏิเสธตามฟ้องโจทก์ในข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โดยจำเลยจะแต่งตั้งทนายความที่มีความเชี่ยวชาญมาปฏิบัติหน้าที่ อย่างไรก็ตาม ทนายความคนดังกล่าวยังไม่ได้สอบข้อเท็จจริงจากจําเลย จึงยังไม่ทราบแนวทางการต่อสู้คดีในข้อหาดังกล่าวที่แน่ชัด จำเลยจึงขอเลื่อนการตรวจพยานหลักฐานไปนัดหน้า โจทก์และผู้เสียหายไม่ค้าน ศาลจึงให้เลื่อนไปนัดพร้อมสอบคําให้การและกําหนดวันนัดสืบพยานในวันที่ 17 ต.ค. 2565 เวลา 09.00 น.

    (อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลจังหวัดหนองบัวลำภู คดีหมายเลขดำที่ อ.750/2565 ลงวันที่ 3 ต.ค. 2565)
  • จำเลยยื่นคำให้การรับสารภาพในข้อหาวางเพลิง, ทำให้เสียทรัพย์ และให้การปฏิเสธข้อหา ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากโพสต์ในเฟซบุ๊ก 10 โพสต์ ในส่วนแพ่งให้การว่า ค่าเสียหายที่ผู้เสียหายเรียกมาสูงเกินไป

    อัยการแถลงว่า ถ้าจำเลยรับสารภาพใน 2 ข้อหา และรับข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง โจทก์ก็ติดใจสืบพยานบุคคลตามบัญชีระบุพยานจากเดิม 11 ปาก เหลือเพียง 3 ปาก คือ เจ้าหน้าที่ที่ตรวจสอบเฟซบุ๊กของจำเลยและพนักงานสอบสวน แต่ทนายจำเลยรับข้อเท็จจริงเพียง 2 ปาก โจทก์จึงจะนำสืบ 9 ปาก และจะอ้างเพิ่มอีก 3 ปาก คือ อบจ.ผู้เสียหาย 2 ปาก และตำรวจที่รับโทรศัพท์ไปตรวจสอบก่อนส่งพิสูจน์ รวม 12 ปาก ใช้เวลาสืบ 3 นัด

    ทนายจำเลยแถลงแนวทางต่อสู้คดีว่า ไม่ได้โพสต์และข้อความไม่เป็นความผิดตามมาตรา 112 มีพยานบุคคลนำสืบ 4 ปาก ได้แก่ จำเลย, ผู้เชี่ยวชาญด้านพยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์, นักวิชาการด้านกฎหมายและภาษาศาสตร์ ใช้เวลา 1 นัด นัดสืบพยานโจทก์วันที่ 14-16 ก.พ. 2566 และนัดสืบพยานจำเลยวันที่ 17 ก.พ. 2566

    (อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลจังหวัดหนองบัวลำภู คดีหมายเลขดำที่ อ.750/2565 ลงวันที่ 17 ต.ค. 2565)
  • ทนายจําเลยยื่นคําร้องผ่านระบบซีออสขอเลื่อนคดี อ้างว่าติดสืบพยานที่ศาลอาญาในคดีอื่น ซึ่งได้กําหนดนัดพิจารณาไว้ล่วงหน้าแล้ว ในวันตรวจพยานหลักฐานและกําหนดวันนัดสืบพยานทนายจําเลยไม่ได้เดินทางมาศาล จึงทําให้มีการกําหนดวันนัดคลาดเคลื่อนทับซ้อนกับคดีที่ทนายจําเลยกําหนดวันนัดพิจารณาไว้ล่วงหน้าแล้ว โจทก์แถลงไม่คัดค้านการเลื่อนคดี ศาลจึงให้เลื่อนนัดสืบพยานโจทก์และพยานผู้ร้องไปเป็นวันที่ 4-6 ก.ค. 2566 และสืบพยานจําเลยในวันที่ 7 ก.ค. 2566 โดยกําชับคู่ความทั้งสองฝ่ายว่า ศาลจะไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีเพราะเหตุใด ๆ อีก

    (อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลจังหวัดหนองบัวลำภู คดีหมายเลขดำที่ อ.750/2565 ลงวันที่ 14 ก.พ. 2566)
  • จำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีเนื่องจากตรวจพบโควิด ศาลอนุญาต แต่เนื่องจากหมอให้กักตัวถึงวันที่ 6 ก.ค. 2566 ศาลจึงยังคงวันนัดวันที่ 7 ก.ค. 2566 ไว้ และแนะนำให้จำเลยตรวจ ATK ทุกวัน หากไม่มีเชื้อแล้วให้รีบแจ้ง เพื่อศาลจะได้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ เนื่องจากคดีนี้ศาล อัยการ ทนายจำเลย เปลี่ยนคนใหม่ทั้งหมด วันนี้ศาลจึงให้จำเลยเข้าร่วมทางออนไลน์ด้วย
  • ก่อนเริ่มสืบพยาน จำเลยแถลงขอถอนคำให้การเดิมที่ปฏิเสธในส่วนข้อหาตามมาตรา 112 รวม 10 กรรม โดยให้การใหม่รับว่าโพสต์ตามฟ้องจริง และรับว่าเนื้อหาที่โพสต์เป็นความผิด 7 กรรม ส่วนอีก 3 กรรม ขอต่อสู้ว่าไม่เป็นความผิด ได้แก่

    ข้อ 1.5 “พ่อและแม่ผู้ให้กําเนิดคือผู้มีพระมหากรุณาธิคุณ ไม่ใช่กษัตริย์ที่ชอบแอบอ้าง”

    ข้อ 1.7 “ถึงแม้เขาจะฆ่าคนตาย ถึงเขาจะเอาเงินภาษีไปใช้โดยไม่เกิดประโยชน์หรือทําสิ่งผิดกฎหมาย กูยังจะหาข้อแก้ตัวให้ เชื่อว่าเขาสูงส่ง การกระทําของเขาเป็นเรื่องที่ถูกต้องและดีงาม เพราะมีคนเล่าให้ฟัง และหนังสือกับทีวีก็บอกกูแบบนั้น”

    ข้อ 1.8 “ถ้าไม่อิน พระเดชานุภาพคงไม่มี” พร้อมแชร์โพสต์จากบัญชีเฟซบุ๊ก “Somsak Jeamteerasakul” มีข้อความว่า “ภาพที่ถูกกล่าวหาว่าผิดกฏหมายหมิ่นพระเดชานุภาพนิสิตสองคนถูกจับกลุ่มไปและได้รับการประกันตัวออกมา” โดยมีภาพถ่ายป้ายข้อความที่นิสิตทั้งสองถูกดำเนินคดีนั้น

    รวมทั้งต่อสู้ว่า อัยการฟ้องข้อ 1.8 และ 1.9 โดยไม่มีการแจ้งข้อเท็จจริงในชั้นสอบสวนมาก่อน

    ทนายจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงพยานโจทก์ทั้งหมดซึ่งเป็นพยานข้อหาวางเพลิงและตรวจโทรศัพท์ ยกเว้นปากพนักงานสอบสวน ซึ่งย้ายไป สภ.โชคชัย จ.นครราชสีมา แล้ว ศาลจึงเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ 1 ปาก พร้อมกับพยานจำเลย ในวันที่ 14 ก.ค. 2566

    นอกจากนี้ จำเลยได้นำเงินจำนวน 10,000 บาท มาวางต่อศาลเพื่อชำระเป็นค่าเสียหายให้ อบจ.หนองบัวลำภู
  • โจทก์นำพนักงานสอบสวนเข้าสืบ 1 ปาก ทนายจำเลยแถลงรับสารภาพในส่วนแพ่ง จึงไม่ต้องสืบพยานผู้ร้อง ในส่วนที่ฝ่ายจำเลยขอผ่อนชำระค่าเสียหายเป็นรายเดือน ตัวแทน อบจ.อ้างว่า ไม่มีระเบียบให้ผ่อนชำระได้

    จากนั้นทนายจำเลยสืบพยานจำเลย 1 ปาก ในประเด็นที่พนักงานสอบสวนไม่ได้แจ้งข้อหาในชั้นสอบสวน 2 กรรม แต่ไม่ได้นำจำเลยเข้าเบิกความ จะจัดทำคำแถลงประกอบในส่วนที่รับสารภาพมายื่นในภายหลัง

    ทั้งนี้ ในระหว่างการสืบพยานซึ่งบันทึกคำเบิกความพยานเป็นวีดิโอ ศาลได้ตั้งคำถามถามพยานเองในบางครั้งด้วย โดยผู้พิพากษาผู้นั่งพิจารณาคดีอธิบายว่า ระบบยุติธรรมของไทยเป็นระบบกล่าวหา คู่ความต้องเสนอหลักฐานเอง แต่สำหรับศาลการพิจารณาคดีเป็นการค้นหาความจริง ศาลอาจจะถามแทรกบ้างเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์ครบถ้วน

    นอกจากนี้ หลังสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย ศาลยังได้นำพยานของศาลเข้าเบิกความรวม 2 ปาก เป็นผู้ให้คำปรึกษาและนักจิตวิทยาประจำคลีนิกจิตสังคมของศาล คดีเสร็จการพิจารณา ทนายจำเลยขอยื่นแถลงปิดคดีใน 30 วัน ศาลมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะและทำรายงานส่งศาล กับให้นักจิตวิทยาทำแนวทางการแก้ไขฟื้นฟูจำเลยเสนอศาล ภายในวันที่ 8 ส.ค. 2566 ก่อนนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 31 ส.ค. 2566

    ++พนักงานสอบสวน: จำเลยไม่ได้โพสต์ถึง ร.10 แต่พยานโยงกับโพสต์อื่น-การชุมนุม จึงเข้าใจเอง รับ ไม่ได้แจ้ง 2 โพสต์ในชั้นสอบสวน

    ร.ต.อ.นําพล ลัญฉเวโรจน์ พนักงานสอบสวนในคดี เบิกความในฐานะพยานโจทก์ว่า เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2565 ขณะพยานปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ สภ.เมืองหนองบัวลำภู เวลา 03.18 น. ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่สวนสาธารณะสมเด็จพระนเรศวร พยานจึงไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ พบว่ามีเพลิงไหม้ซุ้มเฉลิมพระเกียรติในส่วนที่เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10

    ต่อมา ชุดสืบสวนจากกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตํารวจภูธรภาค 4 ได้สืบสวนหาตัวผู้ก่อเหตุ โดยสืบสวนจากเฟซบุ๊ก และกล้องวงจรปิดทั่วเมืองหนองบัวลําภู พบรถยนต์กระบะต้องสงสัย

    วันที่ 6 ก.พ. 2565 ชุดสืบสวนทราบว่า ผู้กระทําความผิด คือ จําเลย และจากการตรวจสอบเฟซบุ๊กของจำเลย พบข้อความลักษณะดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ จึงจัดทำรายงานการสืบสวนและมอบให้พยาน พยานจึงยื่นคําร้องขอศาลออกหมายจับจําเลย

    ต่อมา วันที่ 8 ก.พ. 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าจับกุมจําเลยที่บ้าน พร้อมตรวจยึดรถกระบะ เสื้อผ้า และโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง นำตัวมาที่ สภ.เมืองหนองบัวลำภู จากนั้นพยานได้เปิดให้จําเลยดูรายงานการสืบสวนที่มีภาพถ่ายโพสต์ในเฟซบุ๊กของจําเลย และให้ลงชื่อในภาพถ่าย ก่อนแจ้งข้อกล่าวหาวางเพลิงเผาทรัพย์และทําให้เสียทรัพย์

    พยานได้สรุปสํานวนทําความเห็นควรสั่งฟ้องจําเลยส่งให้อัยการ ถัดมาอัยการมีคําสั่งให้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมจําเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พยานจึงเรียกจำเลยมาในวันที่ 8 มิ.ย. 2565 จำเลยมากับแม่ในฐานะผู้ไว้วางใจโดยให้การปฏิเสธในข้อหาดังกล่าว

    จากนั้นวันที่ 7 ก.ค. 2565 พยานได้เรียกจำเลยมาแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 ตามที่อัยการมีคําสั่งอีกด้วย โดยพยานได้เปิดรายงานการสืบสวนให้จําเลยดูทุกหน้า

    เหตุที่ในตอนแรกพยานแจ้งข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์เพียงอย่างเดียวไม่ได้แจ้งข้อหาตามมาตรา 112 เนื่องจากในการดําเนินคดีตามมาตรา 112 จะต้องมีคณะกรรมการระดับภาคพิจารณา

    ข้อความตามฟ้องข้อ 1.7 ที่พยานพิจารณาว่าข้อความดังกล่าวว่าเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 112 เพราะพยานโยงกับข้อความที่โพสต์หลังจากนั้นทำให้เข้าใจว่าข้อความดังกล่าวกล่าวถึงรัชกาลที่ 10 แม้จะไม่ได้มีการระบุถึง

    ประกอบกับช่วงนั้นมีการชุมนุมเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 มีการโจมตีว่าพระองค์ท่านว่าเอาภาษีของประชาชนไปใช้ เมื่อพยานอ่านข้อความตามฟ้องข้อ 1.7 แล้วจึงเข้าใจว่าหมายถึงรัชกาลที่ 10

    สําหรับข้อความตามฟ้องข้อ 1.5 พยานอ่านแล้วเข้าใจว่า คําว่า กษัตริย์ หมายถึง รัชกาลที่ 10 เข้าใจว่าสื่อถึงกษัตริย์ประเทศไทยไม่ใช่กษัตริย์ประเทศอื่น เนื่องจากประเทศไทยถือว่า พระมหากษัตริย์เป็นพ่อ และคําว่า พระมหากรุณาธิคุณ เป็นคําที่ใช้กับพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ 2 วันก่อนหน้านั้นจำเลยโพสต์ว่า เป็นใครก็ไม่รู้ แต่ยัดเยียดว่าเป็นพ่อ และเอ่ยชื่อรัชกาลที่ 10

    ส่วนข้อความตามฟ้องข้อ 1.8 พยานเข้าใจว่า หมายถึง ถ้าไม่มีคนรัก พระมหากษัตริย์คงไม่มีพระราชอํานาจ สําหรับสมศักดิ์เป็นผู้ต้องหาในคดีตามมาตรา 112 ซึ่งหลบหนีไปตามช่องทางธรรมชาติไปอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส

    และโพสต์ตามฟ้องข้อ 1.9 พยานก็ได้ให้จําเลยดูขณะแจ้งข้อกล่าวหาด้วย

    ร.ต.อ.นําพล ตอบทนายจําเลยถามค้าน ในเวลาต่อมาว่า จากการสืบสวนพบว่า หากจำเลยจะโพสต์ถึงรัชกาลที่ 10 จะเอ่ยพระนามมาโดยตรงในบางครั้ง

    ตามบันทึกคำให้การ ในการแจ้งข้อหาจําเลยเพิ่มเติมตามมาตรา 112 เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2565 ไม่มีการแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโพสต์ในวันที่ 26 ต.ค. 2564 (ฟ้องข้อ 1.8) และ 4 พ.ย. 2564 (ฟ้องข้อ 1.9) รวมถึงการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ในวันที่ 7 ก.ค. 2565 ก็ไม่มีการแจ้ง 2 โพสต์ดังกล่าวเช่นกัน จากนั้นพยานได้แก้ไขเอกสารให้มีโพสต์วันที่ 4 พ.ย. 2564 โดยฝ่ายจำเลยไม่ได้ลงชื่อรับรองการแก้ไขด้วย ตามภาพถ่ายประกอบคดีซึ่งมีทั้งหมด 28 แผ่น ที่พยานให้จําเลยดูขณะแจ้งข้อกล่าวหาก็ไม่ปรากฏโพสต์ทั้งสองดังกล่าว

    ศาลถามว่า พยานให้จำเลยดูภาพโพสต์ตามฟ้องข้อ 1.9 ในรายงานการสืบสวนเมื่อไหร่ ร.ต.อ.นําพล ตอบว่า วันที่ 8 ก.พ. 2565 พยานเปิดภาพถ่ายทีละภาพให้จําเลยดู จำเลยก็รับว่า เป็นเฟซบุ๊กของจําเลย และจําเลยโพสต์ข้อความและภาพเหล่านั้นเอง

    แต่เมื่อทนายจำเลยถามว่า ตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลย ระบุว่าให้ผู้ต้องหาดูภาพถ่ายประกอบคดี ไม่ได้ระบุว่าให้ดูรายงานการสืบสวนใช่หรือไม่ ร.ต.อ.นำพล รับว่า ใช่

    พนักงานสอบสวนยังตอบทนายจำเลยเกี่ยวกับข้อความตามฟ้องที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า ในข้อ 1.5 ที่ว่า “พ่อและแม่ผู้ให้กําเนิดคือผู้มีพระมหากรุณาธิคุณ ไม่ใช่กษัตริย์ที่ชอบแอบอ้าง” นั้น จำเลยไม่ได้ระบุพระนามของพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือรัชทายาท

    ส่วนในข้อ 1.7 ที่พยานเบิกความว่า ทราบว่าจำเลยกล่าวถึงรัชกาลที่ 10 โดยอ้างถึงการชุมนุมนั้น พยานไม่ได้รวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับการชุมนุมดังกล่าวเข้ามาในสำนวน อีกทั้งข้อความดังกล่าวก็ไม่ได้มีการเอ่ยพระนามพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือรัชทายาท และก็อาจจะหมายความถึงเผด็จการหรือ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม พยานก็เห็นว่าเป็นไปได้ยากมาก

    และในข้อ 1.8 ที่พยานเบิกความถึงสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นั้น พยานไม่ได้มีรายงานการสืบสวนเกี่ยวกับสมศักดิ์ และจำเลยไม่ได้นำภาพถ่ายป้ายผ้าเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เอง เป็นเพียงการแชร์โพสต์บอกเล่าว่ามีคนถูกดำเนินคดีเท่านั้น

    ตามรายงานการสืบสวน เจ้าหน้าที่ที่จัดทํานำแต่โพสต์ที่เป็นความผิดมาเรียงต่อกัน แต่ในชีวิตประจำวันจริงๆ จำเลยก็มีการโพสต์เรื่องอื่นๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ได้นำโพสต์เหล่านั้นมาแสดงในรายงานการสืบสวนด้วย

    ในตอนท้าย พนักงานสอบพยานสวนได้ตอบที่ศาลถามอีกครั้งว่า พยานให้จำเลยดูภาพถ่ายข้อความตามฟ้องข้อ 1.8 และ 1.9 ในรายงานการสืบสวน ไม่ใช่ภาพถ่ายประกอบคดี และในชั้นสอบสวน จําเลยให้ความร่วมมือในการสอบสวน ไม่ก้าวร้าว

    ++ทนายชั้นสอบสวน: พงส.ไม่ได้แจ้งข้อเท็จจริง 2 โพสต์ ทั้งแก้ไขบันทึกคำให้การโดยทนาย-จำเลย ไม่รับรู้

    กริษณุภูมิ นิลนามะ ทนายจําเลยในชั้นสอบสวน เบิกความในฐานะพยานจำเลยว่า เกี่ยวกับคดีนี้พยานได้รับการติดต่อจากจำเลยให้ไปร่วมฟังการสอบสวนในวันที่ 7 ก.ค. 2565 ซึ่งจำเลยถูกพนักงานสอบสวนเรียกไปแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ส่วนการแจ้งข้อกล่าวหาในครั้งอื่นพยานไม่ได้เข้าร่วมด้วย

    ต่อมา ในชั้นฟ้องปรากฏความผิดที่ไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่จําเลยในวันที่พยานเป็นทนายความให้จําเลย ได้แก่ ฟ้องข้อ 1.8 และ 1.9 อีกทั้งบันทึกคำให้การในวันดังกล่าวก็มีการแก้ไขข้อความโดยไม่ปรากฏลายเซ็นของพยาน ซึ่งโดยปกติพยานในฐานะทนายความต้องลงชื่อรับรองการแก้ไขร่วมด้วย หรือให้จําเลยลงชื่อด้วย พยานจึงไม่ได้รับรู้การแก้ไขข้อความดังกล่าว

    พนักงานสอบสวนให้พยานและจำเลยดูภาพถ่ายประกอบคดี ไม่ได้นำรายงานการสืบสวนมาให้ดู แต่พนักงานสอบสวนจะได้ให้จำเลยดูในการแจ้งข้อกล่าวหาก่อนหน้านั้นหรือไม่ พยานไม่ทราบ

    กริษณุภูมิตอบโจทก์ถามค้านโดยยืนยันว่า ในวันที่แจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2565 พยานไม่ได้อยู่ร่วมด้วย พยานอยู่ร่วมเพียงวันที่แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ

    ทั้งนี้ ในการแจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2565 ก็ไม่ปรากฏโพสต์ตามฟ้องข้อ 1.8 และ 1.9 เช่นเดียวกัน

    ++ที่ปรึกษา-นักจิตวิทยา: จำเลยมีความคิดอ่านเป็นของตัวเอง หลังรับการปรึกษามีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ไม่มีแนวโน้มสร้างความเดือดร้อนให้สังคม

    ผู้ให้คําปรึกษาประจําคลินิกจิตสังคม ศาลจังหวัดหนองบัวลำภู เบิกความตอบศาลในฐานะพยานของศาลว่า เกี่ยวกับคดีนี้หลังศาลมีคําสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจําเลยในระหว่างพิจารณาคดี ศาลมีคําสั่งส่งตัวจําเลยเข้าพบและรับคําปรึกษาจากคลินิกจิตสังคม

    จากการตรวจดูข้อมูลในเบื้องต้น จําเลยถูกกล่าวหาว่ากระทําความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความคิดความอ่าน พยานจึงอยากทราบว่า จําเลยมีความคิดความอ่านอย่างไร เท่าที่พูดคุยจําเลยมีความคิดความอ่านเป็นของตัวเอง อาจจะได้รับข้อมูลจากสื่อซึ่งเป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ ในฐานะที่พยานเคยเป็นครูจึงพยายามปรับความคิดของจําเลย ให้เห็นว่าสังคมไทยเป็นสังคมพิเศษต่างจากประเทศอื่น ทําอย่างไรให้จำเลยปรับความคิดดำเนินชีวิตต่อไปได้

    จำเลยมาพบพยานรวมทั้งหมด 4 ครั้ง พยานสังเกตดูพฤติกรรมของจําเลยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน รับผิดชอบตนเอง และพฤติกรรมด้านต่างๆ พยานเห็นว่า จำเลยมองโลกในแง่ดีขึ้น มีการปรับปรุงพฤติกรรมในหลายๆ ด้าน

    จําเลยมีความคิดความอ่านหลายอย่าง เช่น อยากมีกิจการเป็นของตัวเอง ห่วงอนาคตตนเอง อยากทําให้แม่สบายใจ เป็นจุดที่ทําให้จําเลยพยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

    จําเลยให้ความร่วมมือในการมาพบและพูดคุยกับพยาน โดยมาพบตรงเวลา อ่อนน้อม ไม่ก้าวร้าว และรับฟังคําแนะนําจากพยาน พยานเห็นว่า จำเลยอยู่ในวัย 23 ปี ยังเป็นวัยรุ่น ก็ย่อมมีความคิดความเชื่อของตนเอง แต่ไม่เป็นภัยกับสังคมในแง่อื่นๆ

    นักจิตวิทยา คลินิกจิตสังคม ศาลจังหวัดหนองบัวลําภู เบิกความตอบศาลในฐานะพยานของศาลว่า เกี่ยวกับคดีนี้ หลังศาลมีคําสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจําเลยในระหว่างพิจารณาคดี ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลได้ส่งสํานวนคดีนี้มายังคลินิกจิตสังคม พยานดูสํานวนในเบื้องต้นแล้ว ได้พิจารณาส่งตัวจําเลยไปให้นายไพริน สุริยะพันธุ์พงศ์ เป็นผู้ให้ค่าปรึกษาจําเลย

    พยานเป็นผู้ซักประวัติเบื้องต้น จําเลยให้ความร่วมมือดี มาพบตรงเวลานัด บางครั้งก่อนถึงวันนัดจําเลยก็จะโทรมาสอบถามให้แน่ใจก่อน

    พยานเห็นว่า จำเลยมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จําเลยมีงานทํา สามารถจัดการชีวิตประจําวันของตนเองได้ โดยไม่เดือดร้อนคนอื่น

    พยานมองว่า จําเลยสามารถปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมให้ดีขึ้นได้ ไม่มีแนวโน้มสร้างความเดือดร้อนให้สังคม โดยปัจจุบันจําเลยสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้เป็นอย่างดี

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/58951)

  • ++แถลงการณ์ปิดคดี: จำเลยเพียงโพสต์แสดงความเห็นต่อสังคม – รัฐบาลเผด็จการ ไม่ได้ระบุถึงกษัตริย์องค์ใด ไม่ได้เจตนาหมิ่นประมาทกษัตริย์ ทั้งชำระค่าเสียหายจากการวางเพลิงเกือบครบแล้ว ขอศาลรอการลงโทษ

    ทนายจำเลยยื่นแถลงการณ์ปิดคดีต่อศาลเพื่อประกอบดุลพินิจในการมีคำพิพากษา

    1. ในส่วนที่จำเลยให้การต่อสู้คดีตามคำฟ้องข้อ 1.5, 1.7, 1.8 และข้อ 1.9

    1.1 ที่จำเลยโพสต์ข้อความตามฟ้องข้อ 1.5 นั้น จำเลยไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์ แต่เป็นการแสดงความเห็นเกี่ยวกับสังคม ที่บุคคลอื่นมักจะมีการกล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ปรากฏให้เห็นตามสื่อต่างๆ เสมอๆ เป็นจำนวนมาก

    ประกอบจำเลยได้ดูหนังที่เป็นเรื่องราวของกษัตริย์ต่างประเทศในอดีตหลายๆ เรื่อง ซึ่งผู้ปกครองนำกษัตริย์มาแอบอ้าง ในส่วนนี้จำเลยมีความคิดเห็นและตระหนักว่า พ่อแม่ก็มีพระคุณอย่างยิ่งเช่นกัน จำเลยไม่ได้หมายความว่าพระมหากษัตริย์แอบอ้างว่าเป็นผู้มีพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องจากการกล่าวว่าพระมหากษัตริย์มีพระมหากรุณาธิคุณหรือไม่เป็นเรื่องที่พสกนิกรเป็นผู้กล่าวถึงพระองค์เท่านั้น

    ประกอบกับคำว่า “กษัตริย์” มีความหมายที่ไม่ได้ระบุจำเพาะเจาะจงว่าหมายถึงพระมหากษัตริย์พระองค์ใด อาจหมายถึงพระมหากษัตริย์ในอดีตได้เช่นกัน แต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 คุ้มครองเฉพาะพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันเท่านั้น จำเลยเห็นว่าถึงแม้จะเป็นถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมแต่ก็มิใช่ถ้อยคำดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์

    1.2 ที่จำเลยโพสต์ข้อความตามฟ้องข้อ 1.7 ว่า “ถึงแม้เขาจะฆ่าคนตาย…” นั้น จำเลยต้องการจะสื่อถึงรัฐบาลหรือผู้ใช้กฎหมายที่เป็นเผด็จการ

    นอกจากนี้ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทคือการใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม ดูหมิ่น คือการด่า ดูถูกเหยียดหยาม และจะต้องได้ความว่าการใส่ความหรือการดูหมิ่นดังกล่าวได้ระบุถึงตัวบุคคลว่าเป็นใคร หรือหมายถึงบุคคลใดโดยเฉพาะ แต่จากข้อความดังกล่าวย่อมไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยหมายความถึงบุคคลใด ทั้งบุคคลทั่วไปที่อ่านข้อความย่อมไม่อาจทราบหรือเข้าใจได้ว่าข้อความดังกล่าวหมายถึงผู้ใดและเป็นเรื่องจริงตามที่พิมพ์ลงหรือไม่

    อีกทั้งความผิดฐานหมิ่นประมาทที่ได้กระทำโดยการโฆษณาทางหน้าโพสต์นั้น ต้องพิเคราะห์จากข้อความที่พิมพ์ลงในหน้าโพสต์ตามคำฟ้องเท่านั้นว่า ผู้อ่านสามารถทราบได้หรือไม่ว่าบุคคลที่ถูกกล่าวอ้างตามที่พิมพ์ลงนั้นเป็นผู้ใด ที่พยานปาก ร.ต.อ.นำพล พนักงานสอบสวน เบิกความว่า พยานโยงข้อความที่จำเลยโพสต์หลังจากนั้น ดังนั้น ข้อความตามฟ้องข้อ 1.7 แม้ไม่ระบุถึงรัชกาลที่ 10 ก็โยงกันได้อยู่ดีนั้น เป็นการเชื่อมโยงและตีความไปเองของพยาน ไม่ได้พิเคราะห์จากข้อความที่พิมพ์ลงในหน้าโพสต์ตามคำฟ้องเท่านั้น และไม่ใช่เจตนาที่จำเลยต้องการสื่อ

    ดังนั้นข้อความตามคำฟ้องในข้อ 1.7 จึงไม่ใช่การดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

    1.3 ที่จำเลยโพสต์ข้อความตามฟ้องข้อ 1.8 จำเลยมีเจตนาเพียงแสดงความคิดเห็นในลักษณะไม่เห็นด้วยที่ตำรวจดำเนินคดีนิสิตสองคนดังกล่าว และอยากให้ใช้ความระมัดระวังในการบังคับใช้มาตรา 112 เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์ ประกอบกับจำเลยไม่ได้เป็นผู้สร้างข้อความหรือป้ายผ้าดังกล่าวด้วยตนเอง

    ทั้งนี้ จำเลยใช้เฟซบุ๊กในการแสดงออกถึงสิ่งที่จำเลยให้ความสนใจด้วย เช่น หนัง ดนตรี ศิลปะ รวมถึงเรื่องราว ทั่วๆไป มิได้โพสต์แต่เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น

    1.4 ในส่วนที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า พนักงานสอบสวนไม่ได้แจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโพสต์ตามคำฟ้องข้อ 1.8 และข้อ 1.9 ให้จำเลยทราบ ปรากฏตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนที่ไม่ได้ระบุวันที่ของโพสต์เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2564 และ 4 พ.ย. 2564 ประกอบกับภาพถ่ายประกอบคดีก็ไม่ปรากฏภาพถ่ายโพสต์ดังกล่าว จำเลยจึงไม่ทราบว่าตนจะต้องถูกดำเนินคดีจากโพสต์ทั้งสองนั้น

    แม้พนักงานสอบสวนจะเบิกความตอบโจทก์ไว้ว่า ได้นำรายงานการสืบสวนให้จำเลยดูก่อนการแจ้งข้อกล่าวหานั้น จำเลยยืนยันว่า พนักงานสอบสวนให้จำเลยดูเพียงแต่ภาพถ่ายประกอบคดี และให้จำเลยลงชื่อรับรองความถูกต้องของเอกสารดังกล่าวเท่านั้น ปรากฏตามคำให้การผู้ต้องหาฉบับลงวันที่ 8 ก.พ. 2565

    และในส่วนบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยฉบับลงวันที่ 7 ก.ค. 2565 ที่ปรากฏลายมือของพนักงานสอบสวนเพิ่มเติมวันที่ 4 พ.ย. 2564 ด้วยปากกาสีน้ำเงินและลงชื่อกำกับไว้นั้น จำเลยไม่ได้ทราบมาก่อนและไม่ได้ลงชื่อรับรองการแก้ไขนั้น ประกอบกับทนายความที่ร่วมรับฟังการสอบสวนในวันดังกล่าวก็เบิกความว่า ไม่ทราบถึงการแก้ไขเพิ่มเติมข้อความดังกล่าว เพราะหากทราบก็ย่อมต้องลงลายมือชื่อกำกับไว้ด้วย จึงน่าเชื่อได้ว่า พนักงานสอบสวนแก้ไขเพิ่มเติมข้อความดังกล่าวภายหลังที่ผู้ต้องหาได้ลงลายมือชื่อไปแล้วและไม่ได้อยู่ในความรับรู้รับทราบของฝ่ายผู้ต้องหาแต่อย่างใด

    จำเลยเห็นว่าการที่พนักงานสอบสวนมิได้แจ้งข้อเท็จจริงตามฟ้องข้อ 1.8 และ 1.9 จึงเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฏหมาย ทำให้พนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเฉพาะในข้อ 1.8 และ 1.9

    2. ในส่วนความผิดที่จำเลยให้การรับสารภาพไปแล้วนั้น

    2.1 จำเลยและครอบครัวได้พยายามชำระค่าเสียหายทางแพ่งที่ผู้ร้องเรียกร้องมาในคำร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการทำละเมิดจำนวน 114,900 บาท โดยได้นำเงินมาวางต่อศาลเพื่อชำระให้แก่ผู้เสียหายไปแล้วเป็นจำนวน 113,173 บาท ยังคงเหลือเงินที่จำเลยยังต้องชำระให้แก่ผู้เสียหายอีกจำนวน 1,727 บาท ซึ่งจำเลยและครอบครัวจะนำมาชำระให้ครบถ้วนโดยเร็วที่สุด

    2.2 จำเลยขอศาลพิจารณาให้โอกาสแก่จำเลย โดยรอการลงโทษ และกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ให้เหมาะสมกับอายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ และสิ่งแวดล้อมของจำเลย หรือสภาพความผิด หรือการรู้สึกความผิด และพยายามบรรเทาผลร้ายที่เกิดขึ้น หรือเหตุอื่นอันควรปรานี โดยจำเลยจะปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอย่างเคร่งครัด

    (อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/58951)

ชั้นสอบสวน

ผู้ถูกดำเนินคดี :
ปริญญา (นามสมมติ)

การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
-

ศาลชั้นต้น

ผู้ถูกดำเนินคดี :
ปริญญา (นามสมมติ)

ผลการพิพากษา
ลงโทษ
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ : 31-08-2023

แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์