ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
- พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
- อื่นๆ
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
ดำ อ.2934/2565
แดง อ.1449/2567
ผู้กล่าวหา
- อัครวุธ ไกรศรีสมบัติ สมาชิกกลุ่มอาชีวะปกป้องสถาบันฯ (ประชาชน)
ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
- พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
- อื่นๆ
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
หมายเลขคดี
ดำ อ.2934/2565
แดง อ.1449/2567
ผู้กล่าวหา
- อัครวุธ ไกรศรีสมบัติ สมาชิกกลุ่มอาชีวะปกป้องสถาบันฯ
ความสำคัญของคดี
“นุ้ย” วรัณยา แซ่ง้อ สื่ออิสระวัย 48 ปี ถูกจับกุมตามหมายจับศาลอาญา ก่อนนำตัวไปดำเนินคดี “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) จากการไปร่วมร้องเพลง “โชคดีที่มีคนไทย” และ “ใครฆ่า ร.8” ของวงไฟเย็น ระหว่างกิจกรรมขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ ครบ 8 ปี ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2565 หลังอัครวุธ ไกรศรีสมบัติ หรือ “เต้” กลุ่มอาชีวะปกป้องสถาบันฯ กับพวก เข้าแจ้งความ
ทั้งนี้ มีศิลปิน นักข่าวอิสระ และผู้ชุมนุมถูกดำเนินคดีมาตรา 112 จากการร้องหรือเล่นดนตรีเพลง “โชคดีที่มีคนไทย” ของวงไฟเย็น ในการชุมนุมครั้งต่างๆ ถึง 5 คน โดยมีทั้งประชาชน “กลุ่มปกป้องสถาบันฯ” และตำรวจเป็นผู้กล่าวหา แต่คดีของโชคดีมีตำรวจเป็นผู้กล่าวหา
กรณีดังกล่าวสะท้อนปัญหาสำคัญประการหนึ่งของการบังคับใช้มาตรา 112 ที่ใครก็ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ โดยไม่ต้องเป็นผู้เสียหายเอง และการตีความอย่างกว้าง จนกระทบต่อสิทธิเสรีภาพการแสดงออกโดยสงบของประชาชนอย่างกว้างขวาง ทั้งยังกลายเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งคนที่มีความคิดต่างทางการเมือง
ทั้งนี้ มีศิลปิน นักข่าวอิสระ และผู้ชุมนุมถูกดำเนินคดีมาตรา 112 จากการร้องหรือเล่นดนตรีเพลง “โชคดีที่มีคนไทย” ของวงไฟเย็น ในการชุมนุมครั้งต่างๆ ถึง 5 คน โดยมีทั้งประชาชน “กลุ่มปกป้องสถาบันฯ” และตำรวจเป็นผู้กล่าวหา แต่คดีของโชคดีมีตำรวจเป็นผู้กล่าวหา
กรณีดังกล่าวสะท้อนปัญหาสำคัญประการหนึ่งของการบังคับใช้มาตรา 112 ที่ใครก็ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ โดยไม่ต้องเป็นผู้เสียหายเอง และการตีความอย่างกว้าง จนกระทบต่อสิทธิเสรีภาพการแสดงออกโดยสงบของประชาชนอย่างกว้างขวาง ทั้งยังกลายเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งคนที่มีความคิดต่างทางการเมือง
พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี
ภัทรกร อุดมผล พนักงานอัยการ สํานักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 3 บรรยายคำฟ้องมีเนื้อหาโดยสรุปดังนี้
ขณะเกิดเหตุ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 2 บัญญัติว่า "ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” และมาตรา 6 บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้”
เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2565 จําเลยกับพวกอีกหนึ่งคนได้ร่วมกันร้องเพลง เล่นดนตรี และเต้นรํา ในเพลง “โชคดีที่มีคนไทย” และ "ใครฆ่า ร.8" โดยเนื้อเพลงเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ โดยประการที่น่าจะทําให้รัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 เสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง โดยจําเลยกับพวกมีเจตนาทําลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของประชาชนชาวไทย ทําให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพต่อพระมหากษัตริย์
และจําเลยได้บันทึกและเผยแพร่ถ่ายทอดสดภาพเคลื่อนไหวและเสียง (Live) การร่วมกันร้องเพลง เล่นดนตรี และเต้นรําดังกล่าว ทางช่องยูทูบ “ศักดินาเสื้อแดง" ของจําเลย ให้ประชาชนทั่วไปพบเห็นได้ โดยจําเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.2934/2565 ลงวันที่ 24 พ.ย. 2565)
ขณะเกิดเหตุ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 2 บัญญัติว่า "ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” และมาตรา 6 บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้”
เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2565 จําเลยกับพวกอีกหนึ่งคนได้ร่วมกันร้องเพลง เล่นดนตรี และเต้นรํา ในเพลง “โชคดีที่มีคนไทย” และ "ใครฆ่า ร.8" โดยเนื้อเพลงเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ โดยประการที่น่าจะทําให้รัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 เสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง โดยจําเลยกับพวกมีเจตนาทําลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของประชาชนชาวไทย ทําให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพต่อพระมหากษัตริย์
และจําเลยได้บันทึกและเผยแพร่ถ่ายทอดสดภาพเคลื่อนไหวและเสียง (Live) การร่วมกันร้องเพลง เล่นดนตรี และเต้นรําดังกล่าว ทางช่องยูทูบ “ศักดินาเสื้อแดง" ของจําเลย ให้ประชาชนทั่วไปพบเห็นได้ โดยจําเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.2934/2565 ลงวันที่ 24 พ.ย. 2565)
ความคืบหน้าของคดี
-
วันที่: 01-09-2022นัด: จับกุมตามหมายจับเวลาประมาณ 19.30 น. มีรายงานว่า วรัณยา แซ่ง้อ หรือ “นุ้ย” สื่ออิสระวัย 48 ปี ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมบริเวณหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ภายหลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรม “ปล่อยเพื่อนเรา” โดยเป็นการจับกุมในคดี “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” จากกรณีการไปร่วมร้องเพลงของวงไฟเย็น ระหว่างกิจกรรมขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบ 8 ปี ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2565
การจับกุมดังกล่าวเป็นการจับกุมตามหมายจับของศาลอาญา ลงวันที่ 31 ส.ค. 2565 ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.พญาไท เข้าจับกุม ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.บวรภพ สุนทรเลขา ผู้กำกับการ สน.พญาไท
ในตอนแรกมีรายงานว่าตำรวจจะนำตัววรัณยาไปยัง สน.พญาไท สถานีตำรวจเจ้าของคดี แต่ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้นำตัวไปที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ภายในสโมสรตำรวจแทน
เวลา 21.00 น. ทนายความเดินทางติดตามไปถึง บช.ปส. แต่ยังรอพนักงานสอบสวนเดินทางมาถึง จากนั้นได้มีการจัดทำบันทึกจับกุม โดยส่วนหนึ่งได้ระบุว่าตำรวจได้รับแจ้งจาก “สายลับ” ว่าวรัณยาจะมาปรากฏตัวที่ถนนงามวงศ์วานดังกล่าว
พ.ต.ท.วิทยากร สุวรรณเรืองศรี รองผู้กำกับสอบสวน สน.พญาไท ได้เป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหาต่อวรัณยา โดยเหตุที่ถูกกล่าวหาเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2565 เจ้าหน้าที่กล่าวหาว่าวรัณยาพร้อมกับพวก ได้จัดกิจกรรมร้องเพลงเล่นดนตรีบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หลังป้ายรถเมล์ใต้สกายวอล์ค มีการไลฟ์สดผ่านช่องยูทูบ “ศักดินาเสื้อแดง” ให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าดูได้ โดยมีเนื้อเพลงลักษณะเสียดสีใส่ร้ายทางการเมือง และสถาบันพระมหากษัตริย์
เจ้าหน้าที่ได้ยกเนื้อเพลง “โชคดีที่มีคนไทย” และ “ใครฆ่า ร.8” ของวงไฟเย็น มากล่าวหา พร้อมระบุว่าบุคคลทั่วไปเมื่อได้ฟังเพลงดังกล่าวรู้ได้ทันทีว่า เจตนาด้อยค่าพระมหากษัตริย์ ทั้งพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันและในอดีต ทำให้ผู้ได้ยินได้ฟังรู้สึกดูหมิ่น เกลียดชังพระมหากษัตริย์ เป็นการนำข้อมูลอันเป็นเท็จมาแสดงต่อสาธารณะและสื่อโซเชียลที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ เป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์
ตำรวจระบุว่าคดีนี้มี อัครวุธ ไกรศรีสมบัติ หรือ “เต้” จากกลุ่มอาชีวะปกป้องสถาบันฯ กับพวก เป็นผู้มาร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา โดยวรัณยาได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
หลังการสอบปากคำ พนักงานสอบสวนได้ควบคุมตัววรัณยาไว้ที่ บช.ปส. 1 คืน
(อ้างอิง: บันทึกการจับกุม สน.พญาไท ลงวันที่ 1 ก.ย. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/47855) -
วันที่: 02-09-2022นัด: ฝากขังพนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขออำนาจศาลอาญาในการฝากขังผู้ต้องหา อ้างเหตุว่า ยังต้องรอสอบพยานเพิ่มเติมอีก 6 ปาก และรอผลตรวจลายนิ้วมือและประวัติการต้องโทษ
พนักงานสอบสวนยังคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา โดยระบุว่าคดีมีอัตราโทษสูง หากได้รับการปล่อยตัว เกรงว่าจะหลบหนีและผู้ต้องหาเคยกระทำความผิดในลักษณะเดียวกันนี้มาก่อน และอยู่ระหว่างปล่อยตัวชั่วคราวของศาลอาญากรุงเทพใต้ เกรงว่าจะไปกระทำความผิดซ้ำ หรือทำผิดเงื่อนไขของศาล
ต่อมา ศาลอาญาได้อนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาเป็นระยะเวลา 12 วัน ตามคำร้องของพนักงานสอบสวน โดยเห็นว่ามีเหตุจำเป็นเมื่อการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ ทางทนายความจึงได้ยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราว
ก่อนที่เวลาประมาณ 17.15 น. ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัว โดยวางหลักทรัพย์ 90,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์ ศาลกำหนดเงื่อนไขห้ามมิให้ผู้ต้องหากระทำการใดๆ ในลักษณะหรือทำนองเดียวกันกับการกระทำตามที่ถูกกล่าวหา หรือกระทำไปในทางที่ทำให้เสียหายหรือเสื่อมเสียแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ และให้ตั้งผู้กำกับดูแลผู้ต้องหา โดยให้ผู้ต้องหาไปรายงานตัวกับผู้กำกับดูแลทุก 15 วัน ในระหว่างการปล่อยตัวชั่วคราว มิฉะนั้นถือว่าผิดสัญญาประกัน
นัดรายงานตัวต่อศาลวันที่ 20 ต.ค. 2565 เวลา 08.30 น.
ก่อนหน้านี้ วรัณยาได้เคยถูกดำเนินคดีในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ มาตรา 116 มาก่อน จากกิจกรรมทำโพลสำรวจความเดือดร้อนจากขบวนเสด็จ บริเวณห้างสยามพารากอน เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2565 โดยเธอไปไลฟ์สดกิจกรรมดังกล่าว แต่กลับถูกดำเนินคดีไปด้วย
(อ้างอิง: คำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 1 ศาลอาญา ลงวันที่ 2 ก.ย. 2565 และ https://tlhr2014.com/archives/47855) -
วันที่: 24-11-2022นัด: ยื่นฟ้องพนักงานอัยการ สํานักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องวรัณยาในฐานความผิด หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงตามประมวลกฎหมายอาญา กล่าวหาว่า เนื้อเพลง “โชคดีที่มีคนไทย” และ “ใครฆ่า ร.8” ที่วรัณยากับพวกอีกหนึ่งคนร้องบริเวณอนุสาวรีย์ชัยฯ เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2565 พร้อมทั้งเผยแพร่ทางช่องยูทูบ “ศักดินาเสื้อแดง" เป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ โดยประการที่น่าจะทําให้รัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 เสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง โดยจําเลยกับพวกมีเจตนาทําลายสถาบันพระมหากษัตริย์
ท้ายคำฟ้อง พนักงานอัยการคัดค้านการปล่อยชั่วคราวจำเลยระหว่างพิจารณาคดี อ้างว่า คดีมีอัตราโทษสูง และเป็นคดีเกี่ยวกับความมั่นคง
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.2934/2565 ลงวันที่ 24 พ.ย. 2565) -
วันที่: 25-11-2022นัด: รายงานตัวตามสัญญาประกันวรัณยาเดินทางไปศาลในนัดรายงานตัวตามสัญญาประกัน โดยได้รับแจ้งว่า อัยการยื่นฟ้องในกำหนดฝากขังแล้ว วรัณยาจึงต้องถูกควบคุมตัวเข้าห้องเวรชี้ เพื่อรอศาลสอบคำให้การเบื้องต้น ขณะนายประกันยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวชั้นพิจารณาคดี
หลังศาลสอบคำให้การ ศาลได้อนุญาตปล่อยชั่วคราวโดยใช้หลักประกันเดิมในชั้นฝากขัง พร้อมทั้งนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 23 ม.ค. 2566 เวลา 13.30 น. -
วันที่: 23-01-2023นัด: ตรวจพยานหลักฐานศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จําเลยฟัง วรัณยาให้การปฏิเสธตามคําให้การฉบับลงวันที่วันนี้ โจทก์แถลงว่า ประสงค์จะสืบพยานบุคคลรวม 32 ปาก เป็นผู้กล่าวหา 3 ปาก, ผู้ถอดเทป, นักวิชาการผู้ให้ความเห็น 3 ปาก, ประชาชนผู้ให้ความเห็นเกี่ยวกับถ้อยคํา 20 ปาก, ผู้ตรวจพิสูจน์แผ่นซีดีของกลาง และพนักงานสอบสวน 4 ปาก เนื่องจากกลุ่มพยานที่ให้ความเห็นเป็นการให้ความเห็นในข้อเท็จจริงเดียวกัน ศาลจึงให้โจทก์เลือกนําพยานนักวิชาการมาสืบ 1 ปาก และประชาชน 2 ปาก คงเหลือพยานโจทก์ที่นําเข้าสืบรวม 12 ปาก ขอใช้เวลาสืบ 2 นัด
จําเลยและทนายจําเลยแถลงแนวทางการต่อสู้คดีว่า การกระทําของจําเลยไม่เป็นความผิด ประสงค์นําพยานเข้าสืบรวม 4 ปาก ได้แก่ จําเลย, ผู้เชี่ยวชาญทางด้านรัฐศาสตร์ นําสืบเกี่ยวกับข้อเท็จจริงทางการปกครอง, ผู้เชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์ นําสืบว่าจําเลยไม่ใช่บุคคลที่นําข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์ ขอใช้เวลาสืบ 1 นัด
นัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 30 ม.ค., 23 ก.พ. 2567 และสืบพยานจำเลยในวันที่ 15 มี.ค. 2567
(อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.2934/2565 ลงวันที่ 23 ม.ค. 2566)
-
วันที่: 30-01-2024นัด: สืบพยานโจทก์อานนท์ นำภา ถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อทำหน้าที่ทนายจำเลย โดยสวมกุญแจข้อเท้า ก่อนเริ่มสืบพยาน ศาลแจ้งว่า โจทก์ยื่นคำร้องขอรวมการพิจารณาคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1845/2566 ของศาลนี้ ที่มีโชคดี ร่มพฤกษ์ เป็นจำเลย เข้ากับคดีนี้ และศาลมีคำสั่งอนุญาตโดยให้ วรัณยา แซ่ง้อ เป็นจำเลยที่ 1 และโชคดี ร่มพฤกษ์ เป็นจำเลยที่ 2
สืบพยานโจทก์ได้ 3 ปาก ได้แก่ ตำรวจ สน.พญาไท ผู้กล่าวหา, ชุดสืบสวน บก.น.1 และณัฐพร โตประยูร พยานความเห็น 112
(อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.2934/2565 ลงวันที่ 30 ม.ค. 2567)
-
วันที่: 23-02-2024นัด: สืบพยานโจทก์สืบพยานโจทก์ได้ 4 ปาก ได้แก่ อัครวุธ ไกรศรีสมบัติ ผู้กล่าวหา, พยานความเห็น 2 ปาก และพนักงานสอบสวน
-
วันที่: 15-03-2024นัด: สืบพยานจำเลยก่อนเริ่มสืบพยานจำเลย ทนายจำเลยแถลงต่อศาลว่าจำเลยทั้งสองตัดสินใจถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง โดยขอยื่นคำแถลงประกอบคำรับสารภาพภายใน 30 วัน ศาลมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะจำเลยทั้งสองรายงานต่อศาล และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 9 พ.ค. 2567 เวลา 09.00 น.
-
วันที่: 09-05-2024นัด: ฟังคำพิพากษาที่ห้องพิจารณาคดี 907 วรัณยาและโชคดีเดินทางมาศาลด้วยสีหน้าแจ่มใส พร้อมด้วยเพื่อน ประชาชน และสื่ออิสระ ร่วม 15 คน ที่มารอให้กำลังใจ หรือมาร่วมติดตามฟังคำพิพากษา ก่อนที่จะมีเจ้าหน้าที่ศาลแจ้งว่ามีการเปลี่ยนแปลงห้องในการอ่านคำพิพากษาเป็นห้องพิจารณาคดี 908
เวลาประมาณ 09.45 น. ศาลออกพิจารณาคดี และมีการพูดคุยกับจำเลยทั้งสองว่า ภายหลังรับสารภาพ จำเลยทั้งสองรู้สึกสำนึกผิดหรือไม่ โชคดีและวรัณยาตอบคำถามในทำนองเดียวกันว่า ตนสำนึกในการกระทำ และจะไม่กระทำความผิดซ้ำอีก
ก่อนศาลอ่านคำพิพากษา ได้ให้จำเลยสาบานตนต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 โชคดีและวรัณยาจึงสาบานตนทีละคนด้วยถ้อยคำว่า “ข้าพเจ้าสำนึกในการกระทำความผิดว่า หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ให้เป็นที่ระคายเบื้องพระยุคลบาทของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และให้สัตย์ปฏิญาณว่า จะจงรักภักดีและเทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ และจะไม่กลับไปกระทำการ หรือเข้าร่วมกิจกรรมใด ๆ ที่มิบังควรไม่ว่าทางตรง หรือทางอ้อม หากไม่ปฏิบัติตามขอให้พบกับความวิบัติ อย่าให้มีความสุขสวัสดิ์” พร้อมทั้งลงนามในเอกสารสาบานตน
จากนั้น ศาลจึงเริ่มอ่านคำพิพากษา สามารถสรุปใจความสำคัญในส่วนของคำวินิจฉัยได้ดังนี้
เห็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ประกอบมาตรา 83 (ร่วมกันกระทำความผิด) โดยจำเลยที่ 1 (วรัณยา) มีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) ด้วย การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกัน หมิ่นประมาท ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112 อันเป็นบทหนักสุด ลงโทษจำคุกคนละ 6 ปี จำเลยให้การรับสารภาพหลังสืบพยานโจทก์ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกคนละ 4 ปี
พิเคราะห์คำฟ้องและรายงานการสืบเสาะแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ได้เป็นผู้นำ หรือผู้จัดกิจกรรม และไม่พบว่ามีการกระทำเข้าร่วมกับกลุ่มผู้กระทำความผิดในลักษณะเดียวกันอีกภายหลังการปล่อยตัวชั่วคราว โดยในอีกคดีหนึ่งของจำเลยที่ 2 ก็เป็นการกระทำในวันเดียวกันกับคดีนี้ จำเลยทั้งสองประกอบอาชีพสุจริต มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง และมีภาระหน้าที่ตามปุถุชนคนทั่วไป
จากประวัติที่ผ่านมาจำเลยทั้งสองได้มีส่วนร่วมในการทำงานช่วยเหลือราชการอันเป็นประโยชน์สาธารณะต่อสังคม และกิจกรรมก็เป็นโครงการในพระราชดำริของสถาบันพระมหากษัตริย์
ปัจจุบัน จำเลยทั้งสองเข้าสู่วัยชรา โดยจำเลยที่ 1 เป็นหญิงมีภาระที่ต้องอุปการะมารดาซึ่งเป็นบุคคลชราภาพ ส่วนจำเลยที่ 2 แพทย์มีความเห็นว่า การมองเห็นของจำเลยอยู่ในระดับตาบอดถาวรทั้งสองข้าง
ตามคำแถลงประกอบคำรับสารภาพและคำสาบานต่อหน้าศาล จำเลยทั้งสองได้ตระหนักแล้วว่าการกระทำของตนเป็นการมิบังควร ทั้งสำนึกในการกระทำความผิด ขอกลับตัวเป็นพลเมืองดี ยึดมั่นและเทิดทูนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และให้คำมั่นสัญญาและสาบานว่า จะไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำอันใดที่มีลักษณะเช่นเดียวกับคดีนี้อีก
จากพฤติการณ์จึงเชื่อได้ว่า จำเลยทั้งสองเป็นคนหลงผิด ภายหลังได้เข้าใจในข้อความจริงอย่างถ่องแท้แล้วไม่ได้หวนกระทำความผิดอีก จำเลยทั้งสองเคยทำประโยชน์ต่อสังคมและมีสภาพการดำรงชีพมีความทุกข์ยากลำเค็ญ นับว่ายังมีคุณงามความดีต่อประเทศชาติ และมีข้อให้น่าเห็นใจอันเป็นเหตุให้ควรปราณีอยู่บ้าง
ประกอบกับนิสัยและความประพฤติอื่นไม่พบข้อเสื่อมเสียที่ร้ายแรงประการอื่นใดอีก น่าจะอยู่ในวิสัยที่จะแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ ควรให้โอกาสจำเลยทั้งสองกลับตัวกลับใจเป็นพสกนิกรที่ดี มีแนวคิดยึดมั่นและศรัทธาในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และพระมหากษัตริย์ที่เป็นสถาบันหลักในการปกครอง โดยนำวิธีการคุมความประพฤติมาใช้บังคับสักครั้งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม
โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษ 2 ปี คุมความประพฤติ 1 ปี โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน และให้ทำกิจกรรมบริการสาธารณะไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร
ส่วนที่โจทก์มีคำร้องขอให้มีการนับโทษจำคุกในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีอื่นของจำเลย เนื่องจากคดีนี้และคดีดังกล่าว ศาลมิได้พิพากษาลงโทษจำคุก คำขอในส่วนนี้จึงให้ยก
ผู้พิพากษาที่ทำคำพิพากษาในคดีนี้ ได้แก่ วัฒนา ชัยรัตน์ และ สุรเดช ยิ้มเกิด
หลังการอ่านคำพิพากษาแล้วเสร็จ ศาลได้มีการพูดคุยกับจำเลยทั้งสอง โดยศาลเชื่อว่า จำเลยทั้งสองสำนึกผิดจริง กลับตัวกลับใจเป็นพลเมืองที่ดี และพสกนิกรที่ดีของพระมหากษัตริย์ และหวังว่าจะไม่หวนกระทำความผิดซ้ำอีก พร้อมเน้นย้ำกับจำเลยทั้งสอง ถึงเงื่อนไขในระหว่างรอการลงโทษ หากมีการกระทำผิดอีก
.
ทั้งนี้ วรัณยามีคดีตามมาตรา 112 อีกหนึ่งคดีกับพวกรวม 8 คน จากการไปไลฟ์สดกิจกรรมทำโพลสำรวจความเดือดร้อนจากขบวนเสด็จที่บริเวณห้างสยามพารากอน เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2565
จากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน คดีนี้นับเป็นคดีมาตรา 112 ในยุคหลังปี 2563 คดีแรกที่ศาลลงโทษจำคุกกระทงละ 6 ปี ก่อนลดหย่อนโทษลงและให้รอลงอาญา หลังจากก่อนหน้านี้โดยมากในคดีที่มีคำพิพากษาออกมา ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกกระทงละ 3 ปี เป็นหลัก แต่ก็มีคดีที่พิพากษาลงโทษจำคุกกระทงละ 4 และ 5 ปีด้วย โดยมาตรา 112 กำหนดโทษจำคุกไว้ขั้นต่ำ 3 ปี และสูงสุดถึง 15 ปี อัตราโทษที่ศาลลงยังมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปมาตามนโยบายและบริบททางการเมืองอีกด้วย
(อ้างอิง: https://tlhr2014.com/archives/66899)
สถานะ การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว หรือ ผลการพิพากษา
ชั้นสอบสวน
ผู้ถูกดำเนินคดี :
วรัณยา แซ่ง้อ
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
ศาลชั้นต้น
ผู้ถูกดำเนินคดี :
วรัณยา แซ่ง้อ
ชื่อองค์คณะผู้พิพากษา :
- วัฒนา ชัยรัตน์
- สุรเดช ยิ้มเกิด
ผลการพิพากษา
ลงโทษ
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ :
09-05-2024
แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์