ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
  • พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
  • Facebook
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
ดำ 60/2560
แดง 2329/2561

ผู้กล่าวหา
  • น.ส.ยุพา อินทร์สำเภา, ร้อยตำรวจเอก สมศักดิ์ ใจแล (ประชาชน)
ผู้ถูกดำเนินคดี

ข้อหา

  • พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
  • Facebook
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)

หมายเลขคดี

ดำ 60/2560
แดง 2329/2561
ผู้กล่าวหา
  • น.ส.ยุพา อินทร์สำเภา, ร้อยตำรวจเอก สมศักดิ์ ใจแล

ความสำคัญของคดี

นายเค (นามสมมุติ) ถูกดำเนินคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ หลังจากโพสต์ขายเหรียญลงในกรุ๊ปเฟซบุ๊กซื้อขายของมือสองแห่งหนึ่ง ในช่วงหลังการสวรรคตของรัชกาลที่ 9 ซึ่งบรรยากาศความโศกเศร้าครอบคลุมอยู่ทั่วไปในสังคมไทย และโพสต์ข้อความตอบโต้คนที่เข้ามาแสดงความเห็นตำหนิเขา โดยภาพและข้อความที่เคโพสต์ถูกตีความว่า มีลักษณะดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์

ในชั้นจับกุมและสอบสวนซึ่งไม่มีทนายความเข้าร่วม เครับว่าเป็นผู้โพสต์ภาพและข้อความดังกล่าวจริง แต่ไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ อย่างไรก็ตาม เคได้รับการประกันตัวหลังถูกคุมขังในเรือนจำกว่า 1 เดือน โดยใช้เงินสดถึง 2 แสนบาท และได้ต่อสู้คดีจนถึงชั้นอุทธรณ์ โดยศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องในที่สุด ทั้งนี้ ศาลวินิจฉัยว่า ข้อความที่เคโพสต์เป็นการต่อว่าผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่การหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาดมาดร้ายในหลวงรัชกาลที่ 9

พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี

พนักงานอัยการศาลจังหวัดชลบุรี บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2559 เวลากลางวัน จำเลยได้นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยจัดทำหรือโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเพจกลุ่มสินค้ามือสองที่ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ โดยจำเลยได้ถ่ายภาพเหรียญกษาปณ์ชนิดต่าง ๆ มีทั้งเหรียญ 25 สตางค์, 50 สตางค์, 1 บาท, 5 บาท และ 10 บาท ที่ปรากฏพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้นด้วยอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมโพสต์ข้อความประกอบว่า “ขายครับเหรียญล่ะ 5 บาท”

จากนั้นมีสมาชิกเพจเข้ามาโพสต์ข้อความต่อว่า และจำเลยโพสต์โต้ตอบ ซึ่งข้อความข้อความที่จำเลยโพสต์ ในบริบทของสังคม คำว่า "สลิ่ม" หมายถึงกลุ่มคนที่ชุมนุมทางการเมือง ส่วนคำว่า "พ่อ" หมายถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งสวรรคตไปเมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2559 ซึ่งประชาชนกำลังเศร้าโศกเสียใจกับการเสด็จสวรรคตของพระองค์

ข้อความดังกล่าวมีความหมายเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ โดยประการที่น่าจะทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสื่อมเสียพระเกียรติยศ เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและถูกเกลียดชัง ไม่เคารพสักการะ ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร อีกทั้งเป็นการดูหมิ่นผู้อื่นที่จงรักภักดี และเศร้าเสียใจจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

นอกจากนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร

(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดชลบุรี คดีหมายเลขดำที่ 60/2560 ลงวันที่ 11 มกราคม 2560)

ความคืบหน้าของคดี

  • หลังถูกชายกลุ่มหนึ่งเข้าทำร้ายร่างกายและลากตัวลงมาจากหอพักชั้น 4 เพื่อขอขมาต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ เคถูกตำรวจควบคุมตัวไปยัง สภ.พานทอง พร้อมทั้งถูกยึดโทรศัพท์มือถือ จากนั้น พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำเคอยู่หลายรอบโดยไม่มีทนายความเข้าร่วม ก่อนไปขอศาลชลบุรีออกหมายจับ และแจ้งข้อกล่าวหาว่า เคได้กระทำความผิดฐาน หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(3) จากการโพสต์รูปขายเหรียญ และโพสต์ข้อความโต้ตอบผู้ที่เข้ามาแสดงความเห็น เครับว่าเป็นผู้โพสต์ภาพและข้อความดังกล่าวจริง แต่ไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์

    (อ้างอิง: คำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 1 ศาลจังหวัดชลบุรี ลงวันที่ 20 ต.ค. 59 และ https://www.tlhr2014.com/?p=2844)
  • พนักงานสอบสวน สภ.พานทอง นำตัวเคไปขออำนาจศาลจังหวัดชลบุรีฝากขังครั้งที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 20-31 ต.ค. 59 รวม 12 วัน โดยระบุเหตุผลในคำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาว่า เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนยังคัดค้านการให้ประกันตัวผู้ต้องหา โดยอ้างเหตุว่า เนื่องจากคดีนี้มีอัตราโทษสูง และเป็นคดีเกี่ยวกับความมั่นคง หากปล่อยตัวไปเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีและไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุร้ายประการอื่น

    (อ้างอิง: คำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 1 ศาลจังหวัดชลบุรี ลงวันที่ 20 ต.ค. 59)
  • ทนายความของนายเคเดินทางไปที่ศาลจังหวัดชลบุรี เพื่อยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวนายเค คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวระบุว่า ผู้ต้องหาประสงค์ที่จะต่อสู้คดีเนื่องจากเห็นว่าการกระทำของตนไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย จึงต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง อีกทั้ง ไม่ได้ประสงค์จะหลบหนีตั้งแต่ต้น แต่ตนเองถูกออกหมายจับโดยไม่มีหมายเรียกมาก่อน จึงไม่ทราบว่าถูกกล่าวหา ไม่เช่นนั้นจะเดินทางเข้ามอบตัวเอง นอกจากนั้นแล้ว ที่บ้านยังมีฐานะยากจนและเป็นบุคคลธรรมดาไม่สามารถยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานได้ ด้วยหลักทรัพย์ประกันที่ศาลกำหนดเป็นจำนวนเงินที่สูงจึงรับประกันได้ว่าผู้ต้องหาจะไม่หลบหนี

    ศาลได้พิจารณาคำร้องแล้วต่อมาได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวได้ โดยมีหลักทรัพย์ประกันตัวเป็นเงินสดจำนวน 200,000 บาท

    (อ้างอิง: https://www.tlhr2014.com/?p=2844)
  • พนักงานอัยการจังหวัดชลบุรีเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายเคต่อศาลจังหวัดชลบุรี ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (3)

    คำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2559 เวลากลางวัน จำเลยได้จัดทำหรือโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเพจกลุ่มสินค้ามือสองที่ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ โดยถ่ายภาพเหรียญกษาปณ์ชนิดต่าง ๆ ที่ปรากฏพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พร้อมโพสต์ข้อความประกอบว่า “ขายครับเหรียญละ 5 บาท”

    จากนั้นมีสมาชิกเพจเข้ามาโพสต์ข้อความต่อว่า และจำเลยโพสต์โต้ตอบ ซึ่งข้อความที่โต้ตอบกันนั้น มีบางคำที่หมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 ซึ่งสวรรคตไปวันที่ 13 ต.ค. 2559 ซึ่งประชาชนกำลังเศร้าโศกเสียใจกับการเสด็จสวรรคต

    ข้อความดังกล่าวมีความหมายเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ โดยประการที่น่าจะทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสื่อมเสียพระเกียรติยศ เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและถูกเกลียดชัง ไม่เคารพสักการะ ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร อีกทั้งเป็นการดูหมิ่นผู้อื่นที่จงรักภักดี และเศร้าเสียใจจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

    นอกจากนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร

    (อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลจังหวัดชลบุรี คดีหมายเลขดำที่ 60/2560 ลงวันที่ 11 มกราคม 2560 และ https://www.tlhr2014.com/?p=3276)
  • ครบกำหนดฝากขังครั้งที่ 7 ศาลจังหวัดชลบุรีนัดเคมารายงานตัว พร้อมสำเนาคำฟ้องให้ทราบ และถามคำให้การ เคให้การปฏิเสธ และขอประกันตัวเพื่อต่อสู้คดี ศาลอนุญาตให้ประกันตัวและให้ใช้หลักประกันเดิมที่เคยใช้ในชั้นสอบสวน สำหรับปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างพิจารณาคดีในชั้นศาล

    (อ้างอิง: https://www.tlhr2014.com/?p=3276)
  • ศาลได้แจ้งสิทธิคู่ความตามกระบวนคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ อ่านคำฟ้องและอธิบายถึงสิทธิหน้าที่ต่าง ๆ ให้คู่ความทั้งสองฝ่ายทราบ เคยืนยันให้การปฏิเสธขอต่อสู้คดี ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 13 มี.ค. 2560

    (อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลจังหวัดชลบุรี คดีหมายเลขดำที่ 60/2560 วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560)
  • ศาลอ่านฟ้องให้จำเลยฟังและถามคำการ จำเลยยืนยันให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาตามคำให้การเดิม แต่รับว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวจริง โดยไม่ได้มีเจตนาจะหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ที่ทำลงไปเพราะโกรธคนที่เข้ามาต่อว่าในช่องแสดงความเห็นเท่านั้น

    โจทก์แถลงขอสืบพยานโจทก์จำนวน 15 ปาก จำเลยมีพยานที่จะนำสืบ 4 ปาก โดยสามารถรับข้อเท็จจริงของพยานโจทก์ได้ 1 ปาก ทำให้เหลือพยานที่ต้องสืบรวมทั้งหมด 18 ปาก ศาลนัดสืบพยานวันที่ 22-24 ส.ค. 2560

    (อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณาและบัญชีพยานจำเลย ศาลจังหวัดชลบุรี คดีหมายเลขดำที่ 60/2560 ลงวันที่ 13 มีนาคม 2560)

    วันที่ 21 ส.ค. 2560 ทนายจำเลยขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม เป็นพยานหลักฐานจำนวน 3 รายการ

    (อ้างอิง: บัญชีพยานเพิ่มเติม ศาลจังหวัดชลบุรี คดีหมายเลขดำที่ 60/2560 ลงวันที่วันที่ 22 สิงหาคม 2560)
  • สืบพยานโจทก์ 2 ปาก ประกอบด้วยนางสาวยุพา อินทร์สำเภา และนายเมืองเพรียว สุจิตตกุล

    พยานโจทก์ปากที่ 1 นางสาวยุพา อินทร์สำเภา ผู้กล่าวหาในคดี เบิกความมีเนื้อหาโดยย่อว่า

    เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2559 เวลา 9.00 น. พยานอยู่ที่หอพักใน ตำบลหนองตำลึง อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี พยานเป็นสมาชิกในเพจสินค้ามือสองอมตะนครฯ มีสมาชิกราว 80,000 กว่าคน สมาชิกในกลุ่มนั้นมีการโพสต์ขายสินค้ามือสอง ต่อมาวันที่ 18 ต.ค. 2559 เวลา 9.30 น. ได้เปิดเพจดูสินค้าต่างๆ พบบุคคลโพสต์ข้อความ ทราบชื่อภายหลังคือนายเค มีการโพสต์ขายเหรียญกษาปณ์เหรียญละ 5 บาท เหรียญ 25 สตางค์ เหรียญบาท เหรียญ 5 บาท และเหรียญ 10 บาท เหมาขาย 5 บาท ต่อมามีนายบาสเข้าโพสต์ข้อความว่า "ติดตลกว่างั้น ช่วงไว้อาลัย" จำเลยโพสต์ข้อความว่า "โพสต์เอาฮา อย่าคลั่งให้มาก ขอร้อง" จากนั้นมีคนชื่อนาโพสต์ต่อว่า "เป็นคนตลกว่างั้น ฮามากเลยว่างั้น" จำเลยก็โพสต์ต่อว่า "ไอ้พวกสลิ่ม ถ้ามึงรักพ่อมึงมากมึงก็ตายตามไปเลย" เมื่อพยานเห็นข้อความทั้งหมด เห็นว่า ใช้ข้อความไม่สมควร เหตุที่เห็นว่าในโพสต์ข้อความไม่สมควร ประกอบกับรูปภาพที่โพสต์ด้วย มีเหรียญเป็นเหรียญกษาปณ์ซึ่งมีรูปพระบรมฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และเป็นช่วงที่ไว้อาลัยอยู่ เนื่องจากเป็นช่วงที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 สิ้นพระชนม์ และเป็นช่วงที่คนเสียใจทั่วประเทศ

    พยานเห็นว่าคำว่า "พ่อ" หมายถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ซึ่งพยานเห็นว่าเป็นการหมิ่นประมาท หมิ่นพระองค์ท่าน และทำให้เกิดความเสียหายเสื่อมเสียแก่พระองค์ท่าน จากนั้นมีหลายๆ คน มาถามหาว่าจำเลยอยู่ที่ไหน ทำงานที่ไหน ต่อมาพบว่าทำงานอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง

    พยานกับพวกจึงไปหานายนายเคที่บริษัทดังกล่าว แต่ไม่พบตัวนายเค เจ้าหน้าที่บริษัทแจ้งว่าได้ออกกะไปแล้ว และบอกสถานที่พักของนายเคแก่พยาน จากนั้นพยานได้ไปหานายเคที่ที่พัก คนที่ไปกับพยานถามนายเคว่าได้โพสต์ข้อความดังกล่าวหรือไม่ นายเคว่าได้โพสต์จริง พยานจึงไปที่สถานีตำรวจและแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีนายเค ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ถามพยานว่า รู้สึกอย่างไรเมื่อได้อ่านข้อความดังกล่าว พยานตอบว่า รู้สึกเสียใจ เป็นข้อความในลักษณะหมิ่นพระองค์ท่าน ซึ่งเป็นที่รักของคนทั้งประเทศ

    ต่อมา พยานตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานได้พบจำเลยในวันเกิดเหตุ แต่ไม่ได้พูดคุยกับจำเลย พยานไม่ได้เป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กกับจำเลย เมื่อพยานเห็นโพสต์ของจำเลย พยานไม่ได้กดรายงานทางเฟซบุ๊ก และไม่ได้แจ้งแอดมินเพจให้ลบ ตอนที่จำเลยพิมพ์ว่าโพสต์เอาฮานั้น แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยว่าเป็นการโพสต์ติดตลก ไม่ได้จริงจัง

    ตอนที่พยานไปหาจำเลยนั้น ได้ขึ้นไปที่ห้องพักของจำเลยด้วย โดยมีคนจำนวนมากขึ้นไป มีกลุ่มชายทำร้ายร่างกายจำเลยและให้จำเลยกราบพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 9 และให้กล่าวคำว่าขอโทษ ซึ่งพระบรมฉายาลักษณ์อยู่ที่หน้าตึกด้านล่าง จำเลยได้ยกมือไหว้กราบและขอให้ไว้ชีวิตจำเลย จำเลยมีบาดแผลที่ร่างกายด้วย พยานได้ห้ามว่าอย่าทำร้ายจำเลย เกรงว่าจำเลยจะได้รับอันตรายถึงชีวิต

    เมื่อพยานไปแจ้งความ พยานตอบพนักงานสอบสวนว่า เฉพาะข้อความ "ไอ้พวกสลิ่ม..." เป็นข้อความที่หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ พยานยังเห็นว่า เหมือนเป็นการดูถูกพวกที่เคารพรักพระเจ้าอยู่หัวฯ แต่ข้อความดังกล่าวไม่ได้ทำให้จำเลยรู้สึกจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์น้อยลง

    สืบพยานโจทก์ปากที่ 2 นายเมืองเพรียว สุจิตตกุล

    พยานเป็นเจ้าของเพจเฟซบุ๊ก กลุ่มสินค้ามือสองอมตะนครฯ มีสมาชิกกว่า 90,000 คน พยานไม่ทราบว่าจำเลยเป็นสมาชิกหรือไม่ เนื่องจากสมาชิกมีจำนวนมาก เมื่อพยานดูเอกสารการโพสต์ขายของของจำเลย ก็รู้สึกว่าเป็นการขายเหรียญทั่วไปแต่เมื่ออ่านคอมเมนท์ก็รู้สึกว่ามีการบันดาลโทสะ ยั่วยุกันเพื่อโต้แย้ง มีการใช้อารมณ์

    ในชั้นพนักงานสอบสวน พยานได้ให้การไว้ว่า ข้อความดังกล่าวเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น รัชกาลที่ 9 ทั้งยังดูหมิ่นผู้อื่นที่จงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน พยานรู้สึกโกรธผู้ต้องหามาก และเชื่อว่าคนไทยทุกคนเมื่อได้เห็นข้อความดังกล่าวแล้ว ย่อมแสดงความรู้สึกเช่นเดียวกับพยาน ส่วนที่พนักงานสอบสวนบันทึกว่า แสดงความอาฆาตมาดร้าย พยานไม่ได้ให้การไว้เช่นนั้น

    พยานตอบทนายจำเลยถามค้านว่า หลังจากเกิดเหตุ พยานได้เข้าไปดูเฟซบุ๊กของจำเลย เห็นประวัติการโพสต์ที่โพสต์ของจำเลย มีข้อความสดุดีและรักสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องนี้ มีหลายโพสต์และมีการร่วมกิจกรรมด้วย ตั้งแต่ช่วงปี 2557 ถึง 2559 แต่พยานไม่ได้ส่งประวัติการโพสต์ของจำเลยที่ผ่านมาให้พนักงานสอบสวน ในมุมมองของพยานจำเลยไม่ได้ทำผิดกติกาใดในการโพสต์ขายของ ก่อนหน้าจำเลย ก็มีคนโพสต์ขายเหรียญจำนวนมาก ธนบัตรก็มี พยานยังยอมรับว่า ไม่มีข้อความตรงไหนของจำเลยที่ด่าพระองค์ท่าน เป็นเพียงการโต้แย้งกับผู้ที่มาคอมเมนท์ ซึ่งต่อมาจำเลยได้ลบออกไป ที่พยานเบิกความว่า การคอมเมนท์เป็นการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์นั้น พยานพิจารณาจากบริบทของเวลาในขณะนั้น ซึ่งเป็นความรู้สึกของพยานเอง

    (อ้างอิง: คำให้การพยานโจทก์ และรายงานกระบวนพิจารณา ศาลจังหวัดชลบุรี คดีหมายเลขดำที่ 60/2560 ลงวันที่วันที่ 22 สิงหาคม 2560)
  • สืบพยานโจทก์ 3 ปาก ประกอบด้วย ร.ต.อ.วัลลภ นวลสำลี, ร.ต.สมชาย เลื่องลือ และนายชุมพล แผ่นผา

    สืบพยานโจทก์ปากที่ 3 ร.ต.อ.วัลลภ นวลสำลี เป็นพยานที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อความ

    พยานรับราชการตำรวจที่สถานีตำรวจภูธรพานทอง อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี พนักงานอัยการถามว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีความสำคัญต่อประชาชนอย่างไร พยานตอบว่าเป็นพ่อของแผ่นดิน ประชาชนมีความรักเคารพพระองค์ท่านเหมือนพ่อ ข้อความที่บอกว่า "ถ้ารักพ่อมึงมากก็ตายตามไปเลย" เป็นข้อความที่พยานอ่านแล้วโกรธ นอกจากนี้ยังเป็นการดูหมิ่นประชาชนทั่วไปและอาฆาตมาดร้าย เป็นข้อความที่ไม่ควรพูดหรือเขียนในลักษณะที่ไม่เคารพพระองค์ท่านและยังดูหมิ่นผู้อื่นที่จงรักภักดี ซึ่งอยู่ระหว่างการโศกเศร้าเสียใจที่พระองค์เพิ่งสวรรคตไป

    พยานตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานมีบุตรหลานอยู่ในวัย 18-19 ปี จะเป็นเด็กที่อยู่ระหว่างวัยคึกคะนอง อยากรู้อยากเห็นอยากลองและชอบความสนุกสนาน บางทียังไม่ได้ดูอะไร ก็ทำไปก่อน ตามที่ทนายจำเลยถาม แต่ก็ต้องอยู่ภายในขอบเขต

    ทนายจำเลยถามพยานว่า องค์ประกอบการกระทำความผิดอาญานั้น มีผู้กระทำและการกระทำ วัตถุที่มุ่งหมาย ถูกต้องใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่ ข้อความดังกล่าวนั้นตามที่พยานเบิกความแล้วนั้น คำว่ามึงหมายถึงพวกสลิ่ม ทนายจำเลยถามต่อว่า ข้อความส่วนใดมุ่งถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 112 พยานตอบว่า ไม่ได้เป็นการกระทำโดยตรง แต่พยานเห็นว่า โดยภาพรวมเป็นการกล่าวในลักษณะที่ไม่สมควรเท่านั้นเอง ทั้งนี้ พยานยอมรับว่า ในการตีความกฎหมายอาญานั้น ต้องตีความอย่างเคร่งครัด หากไม่มีความผิด ไม่มีกฎหมายก็ไม่มีโทษ และโพสต์ดังกล่าว เมื่อพยานอ่านแล้วไม่ทำให้ความจงรักภักดีของพยานลดน้อยถอยลง

    สืบพยานโจทก์ปากที่ 4 ร.ต.สมชาย เลื่องลือ อาชีพทนายความ เป็นพยานที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อความ

    พนักงานอัยการถามพยานว่า คำว่าพ่อในคอมเมนต์นั้นหมายถึงใคร พยานตอบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 จากนั้นพนักงานอัยการถามว่าพยานมีความเห็นอย่างไร พยานตอบว่าในช่วงเวลานั้นหากผู้ใดดูตามเอกสารดังกล่าวก็จะเห็นว่าเป็นการดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายรัชกาลที่ 9

    พยานตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานเรียนจบด้านกฏหมาย แต่ไม่ได้จบเนติบัณฑิต ประกอบอาชีพทนายความ พอมีความรู้ด้านกฏหมาย พนักงานสอบสวนไม่ได้ให้พยานดูเอกสารอื่น และได้บอกพยานว่า คดีลักษณะแบบนี้จะต้องมีหลายอาชีพให้ความเห็นเกี่ยวกับรูปภาพและการโพสต์ลักษณะเช่นนี้ แต่พยานไม่ทราบว่านอกจากจำเลยแล้วยังมีบุคคลอื่นโพสต์ขายเหรียญอีกหรือไม่ พยานเล่นเฟซบุ๊กและไลน์ไม่เป็น

    ทนายจำเลยถามว่า ข้อความที่ว่า "เออถ้ามึงรักพ่อมึงมากก็ตายตามไป" นั้น เป็นข้อความที่พยานได้เคยให้การไว้ในชั้นสอบสวนว่าเป็นข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น หมิ่นอย่างไร พยานตอบว่าไม่ได้เข้าใจเจตจำนงของจำเลยแต่ตามความเข้าใจของพยาน พยานเห็นว่าถ้อยคำดังกล่าวเมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เพิ่งเสด็จสวรรคคตใหม่ๆ และมีการโพสต์ข้อความนั้น ซึ่งเมื่อดูข้อความโดยรวมประกอบกับภาพโพสต์ขายเหรียญถือเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

    ทนายจำเลยถามย้ำว่าข้อความส่วนไหนเป็นข้อความที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พยานเบิกความว่า "มึงก็ตายตามไปเลย" เป็นข้อความหมิ่นฯ ทนายจำเลยถามว่า "มึง" ในถ้อยความนี้คือใคร พยานตอบว่าไม่ทราบ และคำว่า "สลิ่ม" หมายถึงใคร พยานก็ไม่ทราบอีกเช่นกัน แต่ตามความเห็นของพยาน ประโยคดังกล่าว จำเลยกล่าวว่า รัชกาลที่ 9

    ทนายจำเลยถามว่าองค์ประกอบสุดท้ายของความผิดมาตรา 112 นั้น เป็นการกระทำต่อองค์พระมหากษัตริย์ มีการกระทำส่วนใดที่เป็นการกระทำต่อพระมหากษัตริย์ พยานตอบว่า ช่วงเวลานั้นเป็นการขายเหรียญพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา ทนายจำเลยจึงถามว่า ข้อความว่า โพสต์เอาฮาและมีเลขอาราบิก 55555+ ของจำเลยนั้นแปลได้ว่า ต้องการโพสต์เอาฮาไม่ได้มีเจตนาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพใช่หรือไม่ พยานตอบว่าไม่ทราบเจตนาที่แท้จริงของจำเลย แต่จำเลยไม่ควรเอาเหรียญมาขาย การเอาเหรียญมาขายในช่วงเวลานั้นบ่งบอกเจตนาของจำเลย การกระทำเช่นนั้นเข้าองค์ประกอบความผิดแล้ว

    สืบพยานโจทก์ปากที่ 5 นายชุมพล แผ่นผา ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง อำเภอพานทอง เป็นพยานที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อความ

    พนักงานสอบสวนให้ดูเอกสารคอมเมนต์ พยานมีความเห็นว่าคำว่า "พ่อ" ในเอกสารหมายถึง รัชกาลที่ 9 ซึ่งพระองค์ท่านสวรรคตไปเมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2559 ประโยคที่ว่า "ไอ้พวกสลิ่ม ถ้ามึงรักพ่อมึงมาก มึงก็ตายตามกันไปเลย" เป็นประโยคที่พยานเห็นว่า เป็นคำที่ดูหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และดูหมิ่นประชาชนทั่วไปที่รักพระองค์ท่าน เมื่อพยานอ่านแล้วรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที ในช่วงนั้นประชาชนอยู่ในช่วงไว้อาลัย หากประชาชนทุกคนได้อ่านจะต้องรู้สึกไม่พอใจเหมือนพยาน

    พยานตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานไม่เคยไปตรวจสอบอุปนิสัยของจำเลยว่ามีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์หรือไม่ พยานเห็นว่าการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ ซึ่งอยู่ในข่ายความรับผิดชอบของพยาน พยานเห็นว่าประโยคข้างต้นนั้นไม่ได้ดูหมิ่นคนที่โพสต์ข้อความโต้ตอบกับจำเลย แต่เป็นการดูหมิ่นในหลวงรัชกาลที่ 9 และไม่ใช่ประโยคที่ใช้คำไม่สุภาพไม่เหมาะ แต่เป็นการใช้คำไม่เหมาะสมที่จะกล่าวถึงพระองค์ท่านในลักษณะเช่นนั้น

    ทนายจำเลยถามอีกว่า ถ้อยคำดังกล่าว ไม่มีถ้อยคำใดที่เป็นการต่อว่าหรือว่าร้ายต่อรัชกาลที่ 9 ใช่หรือไม่ พยานตอบว่า ข้อความดังกล่าวเป็นการทำให้ระคายเบื้องพระยุคลบาทและทำร้ายหัวใจคนไทย เป็นข้อความที่ต่อว่าคนที่รักในหลวง พยานรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของความเห็นความรู้สึก และพยานรู้สึกว่าข้อความทั้งหมดของจำเลยเป็นข้อความที่หมิ่น แต่ก็ไม่ได้ทำให้พยานรู้สึกจงรักภักดีลดน้อยลง

    --------------------------------------------

    หลังเสร็จสิ้นการสืบพยานโจทก์ 3 ปาก อัยการแถลงว่า พยานโจทก์ที่นัดไว้อีก 3 ปาก ติดภารกิจ ไม่สามารถมาศาลได้ ด้านทนายจำเลยได้ยื่นคำร้อง ว่าการสืบพยานในคดีนี้ไม่ได้เป็นอย่างรวดเร็วตามที่ผู้พิพากษาได้นัดไว้ 3 วันได้ เนื่องจากคดีเป็นคดีเกี่ยวกับความมั่นคง มีการสืบพยานเป็นเวลานาน เพื่อให้การคุ้มครองสิทธิของจำเลยและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ทนายจำเลยจึงขอให้สืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นทุกปาก ก่อนที่จะกำหนดนัดสืบพยานจำเลยต่อไป เพราะพยานจำเลยเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญที่เดินทางมาจากกรุงเทพมหานคร หากสืบพยานโจทก์ไม่แล้วเสร็จ จะทำให้พยานผู้เชี่ยวชาญเสียเวลาในการทำงาน

    ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้เกี่ยวข้องกับความมั่นคง และเป็นที่สนใจของประชาชน หากพิจารณาโดยเร่งรัดอาจส่งผลเสียหายต่อคู่ความ จึงกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ต่อในวันที่ 7 พ.ย. 2560 ส่วนนัดสืบพยานจำเลยที่นัดไว้วันที่ 24 ส.ค. 2560 ให้ยกเลิก

    ทั้งนี้ ศาลได้กำชับห้ามรายงานคำให้การพยานผ่านสื่อใด ๆ มิฉะนั้นจะสั่งลงโทษทนายความและผู้สังเกตการณ์ฐานละเมิดอำนาจศาล

    (อ้างอิง: คำให้การพยานโจทก์และรายงานกระบวนพิจารณา ศาลจังหวัดชลบุรี คดีหมายเลขดำที่ 60/2560 ลงวันที่วันที่ 23 สิงหาคม 2560)
  • คดีนี้แม้ไม่พิจารณาลับ แต่ศาลสั่งห้ามเผยแพร่คำเบิกความ รวมถึงบันทึกชื่อและเลขประจำตัวประชาชนของผู้มาสังเกตการณ์ และในรายงานกระบวนพิจารณาได้จดบันทึกชื่อและองค์กรของผู้สังเกตการณ์ไว้ด้วย

    นัดสืบพยานโจทก์ 3 ปาก (เลื่อนมาจากวันที่ 7 พ.ย. 60) ประกอบด้วยนางทานตะวัน บุตรศรีภูมิ, นายศุภฤกษ์ แสงจันทร์เลิศ และนายสำเริง ดวงชื่น พยานผู้ให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อความ

    สืบพยานโจทก์ปากที่ 6 นางทานตะวัน บุตรศรีภูมิ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ม.7 ท้องที่เกิดเหตุ

    ทานตะวันตอบคำถามอัยการว่า ตำรวจเรียกให้ตนไปเป็นพยานเพื่อดูภาพที่แคปเจอร์มาจากหน้าจอ เมื่อตนได้อ่านข้อความแล้ว เข้าใจว่าคำว่า "พ่อ" หมายถึง พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และรู้สึกว่าข้อความเป็นการดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายพระเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นที่รักของประชาชนชาวไทยทุกคน

    ส่วนข้อความที่ว่า "เออไอ้พวกสลิ่ม ถ้ามึงรักพ่อมึงมาก มึงก็ตายตามไปเลยนั้น" ตนก็รู้สึกว่าข้อความเป็นการดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายพระเจ้าอยู่หัว และข้อความมีลักษณะที่ไม่ดี ทั้งยังเป็นการดูหมิ่นต่อประชาชนทั่วไปด้วย เพราะพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่รักของประชาชนชาวไทยทุกคน

    ทานตะวันตอบคำถามทนายจำเลยว่า เมื่อพยานเห็นข้อความแล้วรู้สึกโกรธ เนื่องจากข้อความดังกล่าวเป็นการดูหมิ่นตัวพยานเองที่เคารพรักในหลวง พยานเล่นเฟซบุ๊กเป็นแต่ไม่เก่ง และไม่ได้เป็นสมาชิกในกลุ่มเพจอมตะสินค้ามือ 2 จึงไม่ทราบด้วยว่าจำเลยจะเป็นสมาชิกกลุ่มขายสินค้านี้หรือไม่

    ทานตะวันตอบคำถามว่าคนที่ใส่เสื้อสีเหลืองและโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กรำลึกถึงการเสด็จสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นการแสดงออกถึงการจงรักภักดีต่อในหลวง โดยเอกสารที่ทนายความให้นางทานตะวันดูเป็นภาพแคปเจอร์มาจากเฟซบุ๊กของจำเลยที่ใส่เสื้อสีเหลืองมีตราสัญลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 และมีการโพสต์ข้อความ "ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป" ในวันที่ 13 ต.ค. 2559

    นางทานตะวันตอบว่า ตนทราบว่าเอกสารที่พนักงานสอบสวนให้ดูเป็นการกระทำของจำเลยเพราะพนักงานสอบสวนเป็นคนแจ้งให้ทราบ และพนักงานสอบสวนได้ถามนำด้วยคำถามว่า ภาพถ่ายและข้อความเหล่านี้เป็นการดูหมิ่นประมาทในหลวงรัชกาลที่ 9 ใช่หรือไม่

    การโพสต์ที่มีเครื่องหมายตัวเลข 555 และเครื่องหมาย + นั้น ก็หมายถึงข้อความที่มีความตลกอยู่ด้วย และคำว่า 'พวกสลิ่ม' และ 'มึง' ก็หมายถึงบุคคลที่โพสต์โต้ตอบกันไปมากับจำเลย

    นางทานตะวันตอบทนายจำเลยต่อไปว่า เฉพาะส่วนข้อความที่ว่า "ถ้ามึงรักพ่อมึงมาก มึงก็ตายตามไป" นั้น เป็นข้อความที่ไม่สมควร ไม่เหมาะสม และการอ่านข้อความที่แคปเจอร์มานั้นไม่ได้ทำให้ตนรู้สึกจงรักภักดีลดน้อยลง

    สืบพยานโจทก์ปากที่ 7 นายศุภฤกษ์ แสงจันทร์เลิศ อาชีพ รับจ้าง

    นายศุภฤกษ์เบิกความว่า พยานเคยไปที่สถานีตำรวจพานทอง พนักงานสอบสวนจึงให้ดูเอกสารในคดีนี้ พยานเข้าใจว่าคำว่า "พ่อ" หมายถึงพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ซึ่งเสด็จสรรรคตเมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2559 และรู้สึกว่าข้อความเป็นการหมิ่นประมาทเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะเป็นช่วงไว้อาลัย อีกทั้งเรื่องดังกล่าวนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะนำมาล้อเล่นกันได้

    ส่วนข้อความว่า "เออไอ้พวกสลิ่ม ถ้ามึงรักพ่อมึงมาก มึงก็ตายตามไปเลย" เป็นข้อความที่มีลักษณะดูหมิ่นและไม่สมควรยิ่งต่อรัชกาลที่ 9 ผู้โพสต์มีเจตนาที่ไม่ดีและเป็นการไม่เคารพต่อพระเจ้าอยู่หัว และดูหมิ่นพี่น้องประชาชนชาวไทย รวมทั้งตัวพยานเองที่รักในหลวงรัชกาลที่ 9

    นายศุภฤกษ์ตอบคำถามทนายจำเลยว่า ในวันที่ให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนพยานไปทำธุระที่สถานีตำรวจ พยานเล่นเฟซบุ๊กไม่เป็น จำเลยจะมีเจตนาขายเหรียญหรือไม่ตนก็ไม่ทราบ ส่วนคำว่า 'พวกสลิ่ม' และ 'มึง' พยานเห็นว่า หมายถึง บุคคลที่โพสต์โต้ตอบกันไปมากับจำเลย

    นายศุภฤกษ์ตอบคำถามติงจากพนักงานอัยการว่า นอกจาก'พวกสลิ่ม' และ 'มึง' จะหมายถึงบุคคลที่โต้ตอบข้อความแล้ว ยังหมายถึงประชาชนทั่วไป และหมายถึงในหลวงด้วย

    สืบพยานโจทก์ปากที่ 8 นายสำเริง ดวงชื่น ผู้ใหญ่บ้าน ม.7 ท้องที่เกิดเหตุ

    นายสำเริงเบิกความว่า พนักงานสอบสวนเรียกตนเองไปให้ปากคำเป็นพยาน เมื่อพยานดูภาพและข้อความที่จำเลยโพสต์แล้วเข้าใจว่า คำว่า "พ่อ" หมายถึงพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ซึ่งเสด็จสรรรคตเมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2559 และเห็นว่าเป็นข้อความที่ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 เนื่องจากพระองค์เป็นที่รักของคนไทยทุกคน

    ส่วนข้อความ "เออไอ้พวกสลิ่ม ถ้ามึงรักพ่อมึงมาก มึงก็ตายตามไปเลยนั้น" เป็นการโพสต์ไม่สมควรอย่างยิ่ง ไม่เคารพพระองค์ท่าน และยังเป็นการดูหมิ่นคนที่เคารพพระองค์ท่านด้วย

    นายสำเริงตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ตอนเกิดเหตุเล่นเฟซบุ๊กไม่เป็น แต่ตอนนี้เล่นเป็นแล้ว ไม่ได้เป็นเพื่อนกับจำเลย ตนทราบและเห็นภาพครั้งแรกจากพนักงานสอบสวนเอามาให้ดู

    นายสำเริงตอบคำถามว่าคนที่ใส่เสื้อสีเหลืองเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2557 และโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กว่า "ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป" เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2559 รำลึกถึงการเสด็จสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นการแสดงออกถึงความเคารพรักและเทิดทูลสถาบัน โดยบุคคลในภาพคือจำเลย

    ส่วนคำว่า 'พวกสลิ่ม' และ 'มึง' ก็หมายถึงบุคคลที่โพสต์โต้ตอบกันไปมากับจำเลย และข้อความนั้นก็ไม่มีส่วนใดเป็นการดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายในหลวงรัชกาลที่ 9 พยานยังยืนยันในฐานะผู้ใหญ่บ้านของท้องที่เกิดเหตุว่า ไม่เคยได้รับรายงานว่า จำเลยเกี่ยวข้องกับกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองแต่อย่างใด

    นายสำเริงตอบคำถามติงจากพนักงานอัยการถึงความหมายของข้อความอีกครั้งว่า ข้อความที่ว่าถ้ามึงรักพ่อมึงมาก มึงก็ตายตามไปนั้น เป็นข้อความที่ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระเจ้าอยู่หัว และคำว่า 'สลิ่ม' ก็หมายถึงพวกที่ชุมนุมทางการเมือง

    นัดสืบพยานโจทก์นัดต่อไปวันที่ 20 ก.พ. และ 17 พ.ค. 2561 พยานจำเลยหนึ่งนัดวันที่ 18 พ.ค. 2561

    (อ้างอิง: คำให้การพยานโจทก์และรายงานกระบวนพิจารณา ศาลจังหวัดชลบุรี คดีหมายเลขดำที่ 60/2560 ลงวันที่ 8 ธันวาคม 2560)
  • สืบพยานโจทก์ 2 ปาก ประกอบด้วยนางบุญธิษา ประทุมทิพย์ และนางสาวปัทมา เกียริพันธ์ พยานผู้ให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อความ

    สืบพยานโจทก์ปากที่ 9 นางบุญธิษา ประทุมทิพย์ อาชีพ ค้าขาย

    นางบุญธิษาเบิกความว่า ตำรวจเรียกให้ตนไปเป็นพยานเพื่อดูภาพที่แคปเจอร์มาจากหน้าจอ เมื่อตนได้อ่านข้อความแล้ว เข้าใจว่าคำว่า "พ่อ" หมายถึงพระเจ้าอยู่หัวราชกาลที่ 9 ซึ่งเพิ่งเสด็จสวรรคตไป และรู้สึกว่าข้อความเป็นการดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายพระเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นที่รักของประชาชนชาวไทยทุกคน พยานเห็นว่า การโพสต์ข้อความในช่วงเวลานั้นเป็นสิ่งไม่สมควร และยังเป็นการให้ร้ายคนอื่น คือ ประชาชนชาวไทย

    บุญธิษาตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า มีพนักงานสอบสวนซึ่งพยานไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แนะนำให้ไปเป็นพยานที่สถานีตำรวจ พยานเองไม่ได้เป็นเพื่อนทางเฟซบุ๊กกับจำเลย และไม่ได้เป็นสมาชิกของกลุ่มสินค้ามือสองอมตะนครออนไลน์ฯ ตามเอกสารที่พนักงานสอบสวนให้ดูนั้น ชื่อเฟซบุ๊กเป็นภาษาต่างประเทศ โดยพยานทราบว่า เป็นเฟซบุ๊กของจำเลยเนื่องจากพนักงานสอบสวนบอก และพยานไปให้ความเห็นต่อพนักงานสอบสวนหลังจากทราบแล้วว่าเรื่องคดีนี้เกี่ยวกับหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์

    บุญธิษาตอบคำถามทนายจำเลยต่อว่า คนที่ใส่เสื้อสีเหลืองในเอกสารที่แคปเจอร์มาจากหน้าจอ เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2559, 5 ธ.ค. 2557, และรูปตัวบุคคลก้มกราบในหลวงรัชการที่ 9 พร้อมข้อความว่า ขอเป็นข้าพระบาททุกชาติไป ถือว่าเป็นบุคคลที่จงรักภักดีต่อในหลวงรัชการที่ 9 จริง ซึ่งบุคคลในภาพดังกล่าวคือจำเลย

    บุญธิษายังระบุว่า ภาษาที่ใช้ในการโพสต์ขายเหรียญนั้นเป็นภาษาที่วัยรุ่นใช้กัน แต่การโพสต์ข้อความที่แสดงออกถึงการตลกขบขันโดยมีภาพเหรียญ 10 บาทอยู่ด้วยไม่ถูกต้อง รวมทั้งการโพสต์ของจำเลยต่อมาว่า ขำ ขำ อย่าคลั่งให้มาก จำเลยอาจจะสื่อความหมายว่า อย่าจริงจังมาก แต่พยานก็เห็นว่า ไม่สมควร เพราะเป็นช่วงที่สวรรคคต ซึ่งเป็นความเห็นส่วนตัว

    ส่วนข้อความที่ว่า มึงรักพ่อมึงมาก มึงก็ตายตามไป นั้น พยานเห็นว่า เป็นข้อความส่วนที่ไม่เคารพ ซึ่งตำว่า มึง นั้นหมายถึง บุคคลที่โต้แย้งกับจำเลย ส่วนตัวพยานนั้นเมื่อดูภาพและข้อความของจำเลยไม่ได้ทำให้รู้สึกจงรักภักดีน้อยลง แต่กลับรู้สึกจงรักภักดีมากขึ้น

    บุญธิษาตอบคำถามติงจากพนักงานอัยการอีกครั้งว่า ข้อความในส่วนที่ว่า 555 เป็นเลขอารบิค ไม่ใช่เรื่องขบขัน แต่เป็นการดูหมิ่นและอาฆาตมาดร้ายในหลวง, ข้อความส่วนที่ว่า มึง นั้นนอกจากหมายถึงคนที่โต้ตอบกับจำเลยแล้ว ยังพัวพันกันไปถึงในหลวง, เอกสารที่พนักงานสอบสวนให้ดู ตนไม่เคยเห็นมาก่อน และเอกสารที่พนักงานสอบสวนให้ดูนั้นเป็นรูปเหรียญ และเหรียญสื่อถึงในหลวง

    สืบพยานโจทก์ปากที่ 10 นางสาวปัทมา เกียรติพันธ์ อาชีพ รับจ้าง

    นางสาวปัทมาเบิกความว่า ตำรวจเรียกให้ตนไปเป็นพยานเพื่อดูภาพที่แคปเจอร์มาจากหน้าจอ เมื่อตนได้อ่านข้อความแล้ว เข้าใจว่าคำว่า "พ่อ" หมายถึงพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นช่วงที่ท่านสวรรคต และรู้สึกว่าข้อความเป็นการดูหมิ่น ตนในฐานะคนไทยคนหนึ่งรู้สึกไม่ดี หากว่าพ่อของจำเลยเสียชีวิตบ้าง จำเลยจะรู้สึกอย่างไร และข้อความเหล่านี้เป็นการดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายรัชกาลที่ 9 และประชาชนทั่วไป

    นางปัทมาตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า พยานเล่นเฟซบุ๊กเป็น แต่ไม่ได้เป็นสมาชิกของกลุ่มสินค้ามือสองอมตะนครออนไลน์ฯ คอมเมนท์ในเฟซบุ๊กปกติลบออกได้ และพยานไม่ทราบว่า ก่อนหน้าที่จำเลยจะโพสต์ข้อความดังกล่าว ในกลุ่มเฟซบุ๊กดังกล่าวจะมีบุคคลมาว่ากล่าวจำเลยก่อนหรือไม่

    ปัทมาตอบคำถามต่อว่า ปกติมีการใช้ธนบัตรที่มีพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงในการซื้อของ รวมทั้งใช้ในวัตถุประสงค์อื่น เช่น ใช้แสดงมายากล ซึ่งไม่ถือว่า เป็นการดูหมิ่น หรือแสดงอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และพยานเคยเห็นการนำธนบัตรมาโพสต์โชว์ในเฟซบุ๊กในเชิงขำขัน เล่นมุกด้วย แต่ไม่เคยได้ยินว่า คนโพสต์ธนบัตรลงเฟซบุ๊กแล้วถูกจับ รวมทั้งไม่ทราบว่าการโพสต์ขายเหรียญจะทำได้หรือไม่

    พยานตอบคำถามถึงการขายเหรียญ 10 บาท ในราคา 5 บาท ว่า สามารถทำได้ ไม่มีกฎหมายห้ามไว้ แต่พยานจะไม่ทำ เพราะเป็นการขายที่ต่ำกว่ามูลค่า และการโพสต์ขายเหรียญของจำเลยเอง พยานเห็นว่า เป็นการโพสต์แบบไม่คิด

    ส่วนคำว่า 'พวกสลิ่ม' และ 'มึง' จะหมายถึงบุคคลที่โพสต์โต้ตอบกันไปมากับจำเลยหรือไม่ ปัทมาไม่ทราบได้ ทราบเพียงคำเดียวคือคำว่า 'พ่อ' ที่หมายถึงรัชกาลที่ 9 ประโยคว่า "เออไอ้พวกสลิ่ม ถ้ามึงรักพ่อมึงมาก มึงก็ตายตามไปเลยนั้น" พยานก็ไม่ทราบว่า มีความหมายอย่างไร

    ปัทมาบอกว่า การใช้คำไม่สุภาพกับคนที่ควรเคารพนับถือ หมายถึงการหมิ่นประมาทแล้ว ดังนั้นการใช้คำว่ามึงจึงถือว่าเป็นการหมิ่นประมาท

    นางปัทมาตอบคำถามติงจากพนักงานอัยการอีกครั้งว่า "เออไอ้พวกสลิ่ม ถ้ามึงรักพ่อมึงมาก มึงก็ตายตามไปเลยนั้น" หมายถึงบุคคลที่รักและเคารพพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 หากถ้ารักก็ตายตามไปเลย
    --------------------------------------

    ศาลแจ้งว่า ในคดีนี้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเดิมยังไม่ได้ดำเนินการตามระเบียบในการรายงานสำนวนคดีนี้แก่อธิบดีผู้พิพากษาภาค 2 จึงสั่งให้ดำเนินการตามระเบียบให้เรียบร้อย

    นัดสืบพยานโจทก์ปากต่อไปตามที่นัดไว้เดิมในวันที่ 17 พ.ค. 2561

    (อ้างอิง: คำให้การพยานโจทก์และรายงานกระบวนพิจารณา ศาลจังหวัดชลบุรี คดีหมายเลขดำที่ 60/2560 ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561)
  • วันนี้ศาลสืบพยานโจทก์ 3 ปาก ประกอบด้วยนายนัฐพล บุญธรรม พยานผู้โพสต์ข้อความโต้ตอบกับจำเลย, พันตำรวจตรี สุพิศ พรหมลา พนักงานสอบสวน สภ. พานทอง และร้อยตำรวจเอก สมศักดิ์ ใจแล พนักงานสอบสวน สภ. พานทอง และผู้กล่าวหาที่ 2

    สืบพยานโจทก์ปากที่ 11 นายนัฐพล บุญธรรม

    นายนัฐพลเบิกความว่า เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2559 ขณะที่ตนเล่นเฟซบุ๊กในเพจกลุ่มสินค้ามือสองอมตะนครฯ ได้เห็นข้อความโพสต์ขายเหรียญกษาปณ์ พร้อมข้อความประกอบว่า "ขายครับ เหรียญละห้าบาท 555+" ต่อมาจึงทราบว่าเป็นโพสต์ของจำเลย โดยเพจกลุ่มฯ นี้เป็นกลุ่มเปิด ไม่เป็นสมาชิกก็สามารถเข้าไปดูได้

    พยานจึงเข้าไปแสดงความคิดเห็น เพื่อเตือนสติจำเลยเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ไว้อาลัยการจากไปของรัชกาลที่ 9 เพราะตนเห็นว่าโพสต์ดังกล่าวของจำเลยเป็นการดูหมิ่น อาฆาตมาดร้าย รัชกาลที่ 9 ที่เพิ่งสวรรคคตไป รวมทั้งได้เก็บภาพหน้าจอหรือแคปเจอร์ ภาพและการแสดงความคิดเห็นไว้ทั้งหมดส่งให้แก่เพื่อนในเพจกลุ่มฯ ดังกล่าว เพื่อให้เพื่อนในกลุ่มรับรู้ว่า จำเลยกระทำไม่ถูกต้อง หลังจากนั้นตนจึงทราบจากพนักงานสอบสวนว่า มีกลุ่มประชาชนไปตามจับตัวจำเลยที่อาคารชุด

    นายนัฐพลตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า ตนไม่ทราบว่าโพสต์ที่เป็นสาธารณะต้องมีรูปลูกโลกอยู่ท้ายตัวเลขหรือตัวอักษรที่บอกเวลาที่โพสต์ โดยเอกสารที่พนักงานสอบสวนให้ดูนั้นก็ไม่มีรูปลูกโลกนั้นจริง

    พยานตอบทนายจำเลยอีกว่า พยานใช้สอยเงินก็ในฐานะสิ่งแลกเปลี่ยน และยืนยันว่า ตอนที่กำลังเก็บภาพหน้าจอนั้นพยานไม่ได้แชทอยู่กับจำเลย แม้ว่าจะมีภาพส่วนที่ปรากฏในเอกสารว่า มีรูปโปรไฟล์ของจำเลยอยู่ที่มุมล่างด้านขวา ซึ่งเอกสารนี้พยานไม่ได้นำส่งตำรวจ

    ณัฐพลตอบคำถามอัยการอีกครั้งว่า ยืนยันว่าโพสต์ของจำเลยเป็นโพสต์สาธารณะ เนื่องจากเป็นเพจขายสินค้าซึ่งทุกคนเข้าถึงได้

    สืบพยานโจทก์ปากที่ 12 พันตำรวจตรี สุพิศ พรหมลา

    พันตำรวจตรีสุพิศเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุพานทองว่ามีเหตุประชาชนชุมนุมกันอยู่หน้าอาคารชุดที่เกิดเหตุ เพื่อจับกุมผู้โพสต์เฟซบุ๊กด้วยข้อความที่ไม่เหมาะสม แต่พยานยังไปไม่ถึงที่เกิดเหตุก็มีตำรวจใกล้เคียงนำตัวบุคคลดังกล่าวมาที่ สภ. จากนั้น พยานเบิกความใหม่ว่า พยานเป็นผู้เชิญบุคคลดังกล่าวมาที่ สภ. ในเวลาก่อนเที่ยง แม้จะยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา แต่จำเลยได้เขียนบันทึกรับสารภาพไว้ด้วยลายมือแล้ว

    พยานได้ทำการสอบสวนจำเลย ถึงชื่อที่ใช้ในเฟซบุ๊ก, โทรศัพท์ที่ใช้ในการโพสต์, และข้อความที่โพสต์และการโต้ตอบ ทั้งนี้ จำเลยให้การว่า คำว่า "พ่อ" ที่จำเลยโพสต์ไปนั้น หมายถึงรัชกาลที่ 9 ซึ่งพยานเห็นว่า การโพสต์แสดงความคิดเห็นของจำเลยดังกล่าว ทำให้ประชาชนทั่วไปรู้สึกโกรธแค้นและไปชุมนุมกันเพื่อตามจับตัวจำเลย

    พยานเบิกความอีกว่า ได้รายงานผู้บังคับบัญชาและทำรายงานการสืบสวน รวมทั้งยื่นคำร้องขอศาลนี้ออกหมายจับในวันที่ 18 ต.ค. 59 เวลาประมาณ 20.00 น. พยานยังร่วมกันกับพวกจับกุมจำเลย และแจ้งข้อหาในชั้นจับกุมว่า หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง โดยจำเลยให้การรับสารภาพ

    พันตำรวจตรีสุพิศตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ตอนที่พยานนำตัวจำเลยมาที่ สภ.พานทอง นั้น จำเลยมีร่องรอยของการถูกทำร้าย ส่วนเอกสารที่ใช้เป็นพยานหลักฐานนั้นได้มาจากประชาชนและเจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายสืบสวน

    พยานเข้าไปดูในเฟซบุ๊กของจำเลยแล้วไม่พบว่า จำเลยเคยโพสต์ข้อความหรือภาพในลักษณะหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์มาก่อน แต่พยานไม่เคยเข้าไปดูในเพจขายสินค้ามือสองอมตะนครฯ ว่า จำเลยเคยโพสต์ข้อความหรือภาพในลักษณะดังกล่าวหรือไม่

    พันตำรวจตรีสุพิศ กล่าวว่า จำเลยรับว่าเป็นผู้โพสต์ภาพและข้อความตามฟ้องจริง แต่ไม่ได้ตั้งใจจะพิมพ์อย่างนั้น เป็นเพียงแค่รู้สึกโกรธพวกที่มาคอมเมนท์ในลักษณะเหมือนว่าจำเลยไม่เคยรักรัชกาลที่ 9

    สืบพยานโจทก์ปากที่ 13 ร้อยตำรวจเอก สมศักดิ์ ใจแล

    ร้อยตำรวจเอกสมศักดิ์เบิกความว่า ขณะที่ตนทำหน้าที่พนักงานสอบสวนเวร นางสาวยุพา อินทร์สำเภา ผู้กล่าวหาได้มาแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับจำเลย พยานจึงได้สอบถามนางสาวยุพาถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ส่วนเอกสารการโพสต์ เจ้าพนักงานตำรวจชุดสืบสวนนำมาให้ตน พยานยังได้สอบปากคำนายณัฐพล บุญธรรม คนที่ตอบโต้ความเห็นกับจำเลยและบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วยตามเอกสารสอบคำให้การที่ส่งศาล จากนั้นจึงขอหมายจับจำเลยจากศาลนี้

    ในวันเดียวกัน เวลาประมาณ 20.00 น. เจ้าพนักงานตำรวจจึงได้ร่วมจับกุมตัวจำเลยตามหมายจับมาส่งตัวให้พยาน พร้อมโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใช้ก่อเหตุ

    พยานส่งโทรศัพท์นั้นไปที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง แต่จากการพิสูจน์ไม่ปรากฎภาพและข้อความตามฟ้องแล้ว ซึ่งตรงกับคำให้การของจำเลยเองว่า ได้ลบภาพและข้อความนั้นแล้ว พยานยังเป็นผู้กล่าวหาที่ 2 ในคดีนี้ด้วย

    ร้อยตำรวจเอกสมศักดิ์ตอบคำถามที่ทนายจำเลยถามค้านว่า ขณะสอบคำให้การจำเลย ไม่มีทนายความหรือญาติของจำเลยอยู่ด้วย ซึ่งจำเลยแจ้งว่าไม่ต้องการ พยานไม่ได้สั่งให้ชุดสืบสวนไปตรวจสอบประวัติการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก รวมทั้งไม่ได้เรียกให้ผู้ปกครองท้องที่ของจำเลยมาสอบสวนเกี่ยวกับพฤติการณ์หรือมูลเหตุจูงใจในการกระทำของจำเลย อีกทั้งไม่ได้ขอความร่วมมือไปยัง กอ.รมน. หรือตำรวจสันติบาลในการตรวจสอบข้อมูลเรื่องการชุมนุมทางการเมือง เนื่องจากประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นหมวดเกี่ยวกับความมั่นคงอยู่แล้ว

    พยานระบุว่า จำเลยไม่ได้ยอมรับว่า ถาพถ่ายและข้อความที่โพสต์นั้นเป็นการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์

    ที่พยานทำความเห็นควรสั่งฟ้องจำเลยในข้อหาดังกล่าวนั้น เพราะเห็นว่าการโพสต์ของจำเลยไม่ได้มีเจตนาขายเหรียญจริง ๆ

    พยานเข้าใจความหมายของคำว่า สลิ่ม ว่า หมายถึง คนที่เข้าไปแสดงความคิดเห็นก่อนหน้ากับจำเลย ส่วนคำว่า มึง พยานไม่ทราบว่าหมายถึงใคร

    ร้อยตำรวจเอก สมศักดิ์ตอบคำถามอัยการอีกครั้งว่า ที่ไม่ได้สอบปากคำผู้ปกครองท้องที่เพราะพยานหลักฐานเพียงพอต่อการพิจารณาสั่งฟ้องแล้ว ส่วนคำว่า สลิ่ม หมายถึง กลุ่มการเมือง ไม่ได้หมายถึงขนมชนิดหนึ่ง
    ---------------------------------------------

    หลังสืบพยานโจทก์ทั้งสามปากเสร็จสิ้น โจทก์และจำเลยแถลงรับพยานที่เป็นนายจ้าง ผู้ยืนยันหมายเลขโทรศัพท์ของจำเลย โจทก์จึงแถลงหมดพยานที่จะนำสืบ

    ศาลจึงนัดสืบพยานจำเลยต่อในวันที่ 18 พ.ค. 2561

    (อ้างอิง: คำให้การพยานโจทก์และรายงานกระบวนพิจารณา ศาลจังหวัดชลบุรี คดีหมายเลขดำที่ 60/2560 ลงวันที่ 17 พฤษภาคม 2561)
  • สืบพยานจำเลย 2 ปาก ประกอบด้วย ตัวจำเลย และนายอิสระ ชูศรี พยานผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา

    สืบพยานจำเลยปากที่ 1 จำเลย

    จำเลยเบิกความตอบทนายจำเลยว่า พยานรับว่า เป็นคนโพสต์ภาพเหรียญกษาปณ์และข้อความจริง แต่ปฏิเสธว่า ไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง เนื่องจากไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พยานเจตนาโพสต์เล่น ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจจะขายเหรียญดังกล่าวจริง เนื่องจากก่อนหน้านี้มีคนหลายคนนำเหรียญและธนบัตรมาโพสต์ขายกันในเพจนี้เป็นจำนวนมาก

    หลังจากที่พยานโพสต์ไปแล้วก็มีบุคคลมีชื่อเข้ามาแสดงความคิดเห็น พยานจึงตอบกลับไป เพื่อบอกบุคคลดังกล่าวว่า อย่าจริงจังกับโพสต์ขายเหรียญของตน โดยมีคนเข้ามากดถูกใจความเห็นของพยานด้วย

    ต่อมามีบุคคลอีกคนหนึ่งเข้ามาแสดงความคิดเห็นต่ออีก พยานจึงแสดงความเห็นกลับไปว่า "เออ ไอ้พวกสลิ่ม ถ้ามึงรักพ่อมึงมากมึงก็ตายตามไปเลย" เนื่องจากตนเองโกรธและโมโหที่คนผู้นี้เข้ามาแสดงความเห็นเหมือนกับว่าตนไม่เคยรักรัชกาลที่ 9 แต่ข้อความดังกล่าวตนมีเจตนาต่อว่าคนที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นเท่านั้น ไม่ได้ดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายรัชกาลที่ 9 แต่อย่างใด หลังจากนั้นตนก็ลบโพสต์นี้ทันที เนื่องจากไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจผิด

    คำว่า 'สลิ่ม' ตนหมายถึง คนที่ไม่มีเหตุผล คำว่า 'มึง' หมายถึง คนที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น ส่วนคำว่า 'พ่อ' หมายถึง รัชกาลที่ 9

    หลังจากที่ตนลบโพสต์ไปแล้ว ผู้ที่ถูกตนต่อว่าได้ถ่ายภาพหน้าจอไว้ แล้วโพสต์ซ้ำลงไปในเพจกลุ่มสินค้ามือสองอมตะนครฯ พร้อมกับมีข้อความชักชวนปลุกปั่นให้คนมาทำร้ายตน และมีผู้ลบชื่อของตนออกจากกลุ่มขายของนี้ด้วย หลังจากเหตุการณ์ตนก็ได้เปลี่ยนชื่อโปรไฟล์ในเฟซบุ๊กเป็นชื่อภาษาไทย เนื่องจากไม่ทราบว่า สมาชิกในเพจขายสินค้าดังกล่าวพูดคุยอะไรเกี่ยวกับตนบ้าง และเกรงว่าจะมีคนมารุมทำร้าย

    พยานเบิกความย้อนไปในวันที่ถูกทำร้ายในวันที่ 18 ต.ค. 2559 ว่า ตนออกจากที่ทำงานของเวลา 5.30 น. กลับมาที่พัก และมาโพสต์ภาพและข้อความดังกล่าวเวลาประมาณ 7.00 น. แล้วก็นอนหลับไป จนเวลาประมาณ 9.30 น. มีเจ้าพนักงานตำรวจโทรศัพท์มาหาว่าให้ออกไปอยู่ที่อื่นก่อน มีคนกำลังจะมาทำร้ายตน หลังจากนั้นก็มีคนมาเคาะประตูห้อง ตนจึงเปิดประตูซึ่งมีคนไม่ต่ำกว่า 10 คนอยู่ที่ประตูทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เดินกรูกันเข้ามาในห้อง ล็อกคอตน รุมทำร้ายทั้งใบหน้าและลำตัว จากนั้นก็ลากลงไปที่บันไดจากชั้น 4 ถึงชั้น 1 แล้วพาไปที่ป้อมยามหน้าอาคารที่พัก บังคับให้กราบพระบรมฉายาลักษณ์ รัชกาลที่ 9 เหตุเกิดชลมุนประมาณ 15 นาที ตามวิดิโอที่เผยแพร่ทั่วไปในสื่อออนไลน์

    จากนั้นก็มีพนักงานตำรวจมารับตัวพยานไปที่สถานีตำรวจภูธรพานทอง ไปถึงเวลาประมาณ 10.00 น. เนื่องจากพยานมีแผลตามร่างกาย ตำรวจและทหารจึงพาไปรักษาบาดแผลที่โรงพยาบาล ก่อนส่งตัวกลับมาที่สถานีตำรวจ

    จำเลยเบิกความต่อว่า จากนั้น ตำรวจให้ตนเขียนบันทึกเรื่องราวตั้งแต่ก่อนโพสต์ภาพจนกระทั่งเกิดเหตุด้วยลายมือ จากนั้นให้ตนนั่งอยู่ในห้องสืบสวนจนกระทั่งเวลา 20.00 น. จึงมีตำรวจนำหมายจับมาให้ดู หลังจากพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา ตนให้การรับว่า โพสต์ภาพและข้อความจริง แต่ไม่ได้มีเจตนาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตนได้แจ้งให้ตำรวจติดต่อมารดาที่จังหวัดพิษณุโลก แต่ตำรวจพาเข้าห้องขังเลย โดยไม่ยินยอมให้ติดต่อมารดา รวมทั้งในการสอบปากคำในวันที่ 19 ต.ค. 2559 ก็ไม่มีทนายความและญาติเข้าร่วมฟังการสอบสวนด้วย ตนขอติดต่อมารดาอีก พนักงานสอบสวนก็ไม่ดำเนินการให้

    ที่เอกสารของพนักงานสอบสวนระบุว่า ตนให้การรับสารภาพนั้น ที่จริงตนให้การรับว่าโพสต์ภาพและข้อความตามฟ้องจริง แต่ไม่ได้มีเจตนาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์

    ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องนี้ ตนเคยโพสต์ภาพและข้อความที่แสดงถึงความจงรักภักดีต่อรัชกาลที่ 9 มาโดยตลอด รวมทั้งในวันที่รัชกาลที่ 9 สวรรคต ตนก็ได้โพสต์แสดงความอาลัยต่อพระองค์ท่าน

    ผศ. สาวตรี สุขศรี อาจารย์ประจำภาควิชาอาญาและอาชญาวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เคยทำบันทึกแสดงความคิดเห็นต่อคดีของตนไว้ตามบันทึกที่อ้างส่งศาล นอกจากนี้ ผู้ใหญ่บ้านที่จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นผู้ปกครองท้องที่ของตนได้ทำหนังสือรับรองว่า ตนไม่เคยมีพฤติกรรมฝักใฝ่ทางการเมือง มีความรักชาติ ยึดมั่นในศาสนา และมีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์

    จำเลยตอบคำถามค้านของอัยการว่า ประชาชนที่เข้ามาทำร้ายตนเป็นเพราะโกรธแค้นจากโพสต์และข้อความที่ประชาชนเหล่านั้นเข้าใจว่าหมิ่นประมาทรัชกาลที่ 9 เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาในที่เกิดเหตุก็มาเพื่อระงับเหตุไม่ให้มีการทำร้ายตนมากขึ้น

    เพจกลุ่มสินค้ามือสองอมตะนครฯ เป็นกลุ่มปิด หากมิใช่สมาชิกจะไม่สามารถเห็นโพสต์ได้ และมีกฎเกณฑ์ว่า หากสมาชิกโพสต์ผิดกฎหมายจะถูกลบชื่อจากการเป็นสมาชิก แต่กรณีของตนนั้นเป็นเพราะน่าจะหลังจากที่ผู้บันทึกภาพหน้าจอไว้ไปโพสต์ข้อความนั้นซ้ำอีกครั้ง และสมาชิกในเพจไม่พอใจจึงได้ลบชื่อของตนออก

    พยานยังตอบโจทก์อีกว่า ในภาพถ่ายที่เป็นหลักฐาน เหรียญกษาปณ์ทุกกองไว้จะหันด้านที่มีพระบรมฉายาลักษณ์ขึ้น พยานยังระบุว่า ไม่เคยติดตามการเมือง และไม่รู้เรื่องการเมือง

    ในบันทึกคำให้การที่มีข้อความว่า จำเลยไม่ต้องการทนายความและญาติหรือบุคคลที่ไว้วางใจร่วมฟังการสอบสวนด้วยนั้น จำเลยระบุว่า ตนไม่ได้อ่านเอกสารนี้ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ได้อ่านให้ตนฟังเช่นกัน บอกเพียงว่า ให้รีบลงชื่อเสีย

    จำเลยตอบคำถามติงของทนายจำเลยว่า ยืนยันว่า เพจกลุ่มสินค้ามือสองอมตะนครฯ เป็นกลุ่มปิด ผู้ดูแลเพจก็เบิกความแล้วว่าเป็นกลุ่มปิด

    การลบชื่อของตนออกจากกลุ่มน่าจะไม่ต้องการให้ตนทราบว่ากำลังจะโดนรุม เดี๋ยวจะหนีไปเสียก่อน ซึ่งตนเห็นว่าหากสมาชิกกลุ่มเห็นว่าการโพสต์ของตนผิดกฎหมายก็ควรไปแจ้งความดำเนินคดี ไม่ควรจะมารุมทำร้ายกัน

    ภาพเหรียญกษาปณ์ที่ตนโพสต์ไปนั้น หมายถึงเหรียญอย่างเดียว มิได้หมายถึงพระบรมฉายาลักษณ์ รัชกาลที่ 9

    จำเลยยังระบุว่า ตนได้แจ้งต่อพนักงานสอบสวนแล้วว่า ไม่มีเงินจ้างทนายความ ขอติดต่อมารดาที่จังหวัดพิษณุโลกก่อน แต่พนักงานสอบสวนไม่ได้ติดต่อให้

    สืบพยานจำเลย ปากที่ 2 นายอิสระ ชูศรี อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล สาขาภาษาศาสตร์ ด้านการวิเคราะห์ความหมายในภาษา

    ทนายจำเลยให้นายอิสระดูภาพถ่ายที่เป็นพยานหลักฐานในคดี พยานดูแล้วเบิกความว่า ความหมายของโพสต์ เป็นเรื่องการขายเหรียญกษาปณ์ แต่เมื่อดูภาพเหรียญกษาปณ์แล้วจะเห็นว่า มีบางเหรียญที่มีมูลค่ามากกว่าที่ผู้โพสต์ต้องการขาย รวมทั้งเมื่อดูจากการแสดงความคิดเห็นแรกที่สอบถามเรื่องราคาแล้ว ย่อมแสดงให้เห็นว่าข้อความดังกล่าวมีความกำกวม แต่เมื่ออ่านคอมเมนท์ 2 คอมเมท์ถัดไปอีก ก็จะทราบจุดประสงค์ของผู้โพสต์จริง ๆ ว่า ต้องการโพสต์เอาฮา ไม่ได้โพสต์ขายเหรียญจริง ๆ ส่วนคำว่า 'สลิ่ม' ไม่ได้มีคำนิยามที่ชัดเจน อยู่ที่ว่าผู้ที่นำไปใช้ใช้ในบริบทใด

    หากดูโพสต์และการแสดงความคิดเห็นโดยรวมแล้ว พยานมีความเห็นว่า เป็นโพสต์ที่มีลักษณะไปในทางไม่เหมาะสม เป็นการล้อเลียน ทำให้ผู้เห็นโพสต์รู้สึกอึ้ง มึนงง ไม่เข้าใจว่าผู้โพสต์ต้องการโพสต์เพื่ออะไร

    พยานผู้เชี่ยวชาญด้านภาษายังตอบคำถามต่อไปว่า เหรียญกษาปณ์ของไทยมีความหมายในสองทาง คือ เป็นเงินใช้ชำระหนี้ตามกฎหมาย และในทางพระมหากษัตริย์ เช่น หากเหรียญหล่นลงพื้นแล้วกลิ้งไป คนไทยก็จะไม่เอาเท้าเหยียบ

    ส่วนการโต้ตอบกันในการแสดงความเห็น เห็นได้ว่า ผู้โพสต์เห็นว่าเป็นเรื่องตลก แต่ผู้ที่เข้ามาแสดงความเห็น 2 คน ไม่ได้คิดแบบเดียวกับผู้โพสต์ โดยเห็นว่าไม่ใช่เรื่องตลก เมื่อมีความเห็นไม่ตรงกัน การสนทนาจึงเป็นเรื่องที่ผู้รับสารตำหนิผู้โพสต์ว่าผู้โพสต์ทำไม่สมควร เมื่อถูกตำหนิผู้โพสต์จึงโกรธ คอมเมนท์ก่อนหน้าสุดท้ายผู้โพสต์จึงใช้คำสรรพนามที่ไม่สุภาพและต่อว่าผู้ที่เข้ามาคอมเมนท์

    นายอิสระตอบคำถามค้านของอัยการว่า เหรียญกษาปณ์มีความแตกต่างจากพระบรมฉายาลักษณ์โดยตรง เพราะเหรียญสร้างเป็นสื่อในการแลกเปลี่ยนเงิน แม้เหรียญก็สื่อถึงพระมหากษัตริย์กษัตริย์ได้ แต่ก็คาดการณ์ได้ยากว่าแต่ละคนจะปฏิบัติต่อเหรียญอย่างไร ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคน ส่วนคำว่า สลิ่ม มีหลายความหมาย ความหมายหนึ่งหมายถึง กลุ่มคนเสื้อหลากสีที่มาชุมนุมกันทางการเมือง แต่พยานไม่มั่นใจว่า กลุ่มคนสลิ่มนั้นมีแนวคิดในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่

    นายอิสระตอบคำถามติงทนายความจำเลยอีกครั้งว่า ความหมายหลักของเหรียญกษาปณ์นั้นขึ้นกับบริบท หากว่านำเหรียญมาใส่กรอบห้อยคอ บูชา ก็มีความหมายหลักเป็นตัวแทนของพระมหากษัตริย์ได้ แต่สำหรับโพสต์ของจำเลยนั้น พยานเห็นว่า ผู้โพสต์ตั้งใจเล่นกับความกำกวมของความหมายระหว่าง เงินที่ใช้ในการชำระหนี้ กับ ตัวแทนของพระมหากษัตริย์ ทำให้ผู้อ่านไม่แน่ใจว่า จะขายเหรียญหรือไม่ขายกันแน่
    ------------------------------------------------

    จำเลยแถลงหมดพยานนำสืบ นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 5 ก.ค. 2561

    (อ้างอิง: คำให้การพยานโจทก์และรายงานกระบวนพิจารณา ศาลจังหวัดชลบุรี คดีหมายเลขดำที่ 60/2560 ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2561)
  • ศาลจังหวัดชลบุรีอ่านคำพิพากษา ยกฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ แต่ลงโทษฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยหลอกลวง ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1) ให้จำคุก 1 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา จึงลดโทษเหลือจำคุก 8 เดือน จำเลยได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์โดยเพิ่มหลักทรัพย์ประกันตัวเป็น 270,000 บาท ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว

    คำพิพากษาของศาลจังหวัดชลบุรี พอสรุปได้ดังนี้

    ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยใช้โทรศัพท์มือถือโพสต์ขายเหรียญกษาปณ์ชนิดต่างๆ ที่ปรากฏพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชพร้อมข้อความประกอบ และแสดงความคิดเห็น มีปัญหาต้องวินิจฉัยเพียงประการเดียวว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่

    ศาลเห็นว่า เหรียญกษาปณ์เป็นเงินตราประเภทหนึ่ง ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย เหรียญกษาปณ์แต่ละชนิดที่นำออกใช้จะมีมูลค่าเท่าใดขึ้นอยู่กับราคาซึ่งกำหนดไว้หน้าเหรียญ เหรียญกษาปณ์เป็นสังหาริมทรัพย์ที่สามารถนำไปซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ ในฐานะที่เป็นทรัพย์สินที่ประชาชนทั่วไปหาไว้เป็นของสะสม ราคาของเหรียญในฐานที่เป็นทรัพย์สินย่อมขึ้นอยู่กับความต้องการหรือความนิยมของผู้ซื้อและความพอใจของผู้ขาย ราคาขายจึงอาจสูงหรือต่ำกว่าราคาที่หน้าเหรียญ การขายเหรียญในราคาที่ต่ำกว่าราคาหน้าเหรียญจึงมีผลเพียงแต่ลดทอนมูลค่าของเหรียญกษาปณ์ แต่ไม่มีผลเป็นการลดทอนคุณค่าในเชิงสัญลักษณ์บนเหรียญกษาปณ์ที่แสดงถึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์แต่อย่างใด

    ทั้งการที่พสกนิกรชาวไทยซึ่งอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชต่างรักเคารพเทิดทูนพระองค์ท่าน ก็โดยเหตุที่ว่า ตลอดระยะเวลาที่พระองค์ทรงครองสิริราชสมบัติ ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอันมีคุณประโยชน์ต่อพสกนิกรชาวไทยนานัปการ ความรักเคารพเทิดทูนของพสกนิกรชาวไทยที่มีต่อพระองค์ท่านจึงไม่แปรผันไปตามมูลค่าของเหรียญกษาปณ์ที่สูงขึ้นหรือต่ำลง การที่จำเลยโพสต์ภาพเหรียญกษาปณ์ชนิดต่างๆ พร้อมข้อความประกาศขายเหรียญทั้งหมดในราคาเดียว ไม่ว่าจะมีเจตนาขายเหรียญกษาปณ์นั้นหรือไม่ จึงไม่เป็นการใส่ความพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ไม่เป็นการดูถูกเหยียดหยามพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

    จำเลยต้องการโพสต์เพื่อสร้างความตลก แต่ผู้ที่รับสารไม่ได้คิดแบบเดียวกัน เมื่อถูกตำหนิจำเลยจึงโกรธ และแสดงความคิดเห็นโดยใช้คำสรรพนามไม่สุภาพต่อว่าผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่การหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาดมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาดมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

    อย่างไรก็ตาม เมื่อมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า “เหมาเหรียญ 10 เหรียญละ 5 บาท ใช่ไหมคะ” ซึ่งเป็นการสอบถามในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการขายโดยตรง จำเลยกลับไม่ตอบ แต่ตอบโต้คนที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นในทางตำหนิจำเลยทันที แสดงเจตนาที่อยู่ภายในใจว่า จำเลยมิได้มีเจตนาจะขายเหรียญจริง โพสต์ของจำเลยจึงเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยหลอกลวง การกระทำของจำเลยมีผลเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของเพจ ทำให้ประชาชนที่เป็นสมาชิกของเพจที่มีอยู่ประมาณ 90,000 คน และผู้ดูแลรู้สึกสับสน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1)

    ในระหว่างการพิจารณาคดีนี้ ได้มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ.2560 ยกเลิกความในมาตรา 14 เดิม และให้ใช้ความใหม่แทน ปรากฏว่า กฎหมายที่แก้ไขใหม่เป็นคุณแก่จำเลยมากกว่า จึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่บังคับแก่จำเลย

    พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1) ที่แก้ไขใหม่ ขณะกระทำความผิดจำเลยมีอายุ 19 ปี เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษลงหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 76 จำคุก 1 ปี คำรับสารภาพในชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างนับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

    (อ้างอิง: คำพิพากษา ศาลจังหวัดชลบุรี คดีหมายเลขดำที่ 60/2560 คดีหมายเลขแดงที่ 2329/2561 ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 และ https://www.tlhr2014.com/?p=9262)
  • ศาลจังหวัดชลบุรีอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยกฟ้อง ‘เค’ ในข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากการโพสต์ขายเหรียญหลังช่วงสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

    คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่ลงโทษจำคุก 8 เดือน ข้อหา พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 14 (1)

    ศาลอุทธรณ์ พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ข้อหานี้ ส่วนความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ นั้น ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นสมาชิกกลุ่มเฟซบุ๊กขายสินค้ามือสองแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี และใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โพสต์ขายเหรียญ พร้อมข้อความประกอบและแสดงความคิดเห็นเมื่อ 18 ต.ค. 2559

    ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า องค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ตามมาตรา 14 (1) ที่แก้ไขใหม่ บัญญัติว่า “โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” แต่ในคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่า การกระทำของจำเลยเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 14 (3) แตกต่างจากองค์ประกอบตามมาตรา 14 (1) ทั้งโจทก์ก็มีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 14 (3) เท่านั้น

    ดังนั้น นอกจากฟ้องของโจทก์ไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 14 (1) เดิมและที่แก้ไขใหม่แล้ว โจทก์ก็ไม่ได้ประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าวอีกด้วย ศาลจึงไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่ไม่ได้กล่าวในฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรค 1 และ วรรค 4

    คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่า จำเลยมีความผิดและลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1) ที่แก้ไขใหม่ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น เมื่อวินิจฉัยข้อนี้แล้วจึงไม่ต้องวินิจฉัยข้ออื่นต่อไป พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ

    (อ้างอิง: คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 2 คดีดำที่ 42/2562 คดีแดงที่ 585/2562 ลงวันที่ 11 มีนาคม 2562 และ https://www.tlhr2014.com/?p=12645)
  • โจทก์และจำเลยไม่ยื่นฎีกา คดีถึงที่สุด

    (อ้างอิง: หนังสือรับรองคดีถึงที่สุด ศาลจังหวัดชลบุรี คดีหมายเลขดำที่ 60/2560 คดีหมายเลขแดงที่ 2329/2561 ลงวันที่ 19 สิงหาคม 2562)

ชั้นสอบสวน

ผู้ถูกดำเนินคดี :
เค (นามสมมติ)

การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต

ศาลชั้นต้น

ผู้ถูกดำเนินคดี :
เค (นามสมมติ)

ชื่อองค์คณะผู้พิพากษา :
  1. นางศศิอนงค์ จงกลนี ปรางทอง
  2. นางสิริกาญจน์ ทิตตภักดี

ผลการพิพากษา
ลงโทษ
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ : 07-05-2018

ศาลอุทธรณ์

ผู้ถูกดำเนินคดี :
เค (นามสมมติ)

ชื่อองค์คณะผู้พิพากษา :
  1. นายธีระศักดิ์ วริวงศ์
  2. นายสุวรรณ จันทร์ดี
  3. นายโสภณ มัธยันต์พล

ผลการพิพากษา
ยกฟ้อง
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ : 04-06-2019

แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์