ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
ดำ 45ก./2558 (อ. 3037/2562)
ผู้กล่าวหา
- ร.ต.อ.บัญชา เจือจาน (ตำรวจ)
ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
หมายเลขคดี
ดำ 45ก./2558 (อ. 3037/2562)
ผู้กล่าวหา
- ร.ต.อ.บัญชา เจือจาน
ความสำคัญของคดี
บัณฑิต นักเขียนและนักแปลอาวุโส ถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์จากการแสดงความคิดเห็นและตั้งคำถามในเวทีเสวนาปฏิรูปประเทศของพรรคการเมือง เขาปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยยืนยันว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต และข้อความไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
คดีนี้ถูกพิจารณาโดยเปิดเผยในศาลทหาร ซึ่งใช้เวลากว่า 4 ปี นับจากบัณฑิตถูกจับกุม กว่าที่ศาลทหารกรุงเทพจะสืบพยานจนเสร็จสิ้น แต่ได้งดการอ่านคำพิพากษาไว้เพื่อโอนคดีไปยังศาลยุติธรรมตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 9/2562 และศาลยุติธรรมต้องรับหน้าที่ในการทำคำพิพากษาทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ดำเนินการสืบพยานเอง ซึ่งอาจทำให้ศาลยุติธรรมไม่อาจอำนวยความยุติธรรมให้แก่จำเลยได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม การโอนคดีมาศาลยุติธรรมทำให้คดีนี้ซึ่งเกิดในช่วงกฎอัยการศึก สามารถอุทธรณ์-ฎีกาได้ตามกระบวนการปกติของศาลยุติธรรม
ระหว่างการสืบพยาน ศาลได้ส่งตัวบัณฑิตเข้าตรวจรักษาอาการทางจิตและประเมินความสามารถในการต่อสู้คดีตามที่ทนายจำเลยยื่นคำร้อง แพทย์วินิจฉัยว่า บัณฑิตมีร่องรอยความเจ็บป่วย แต่สามารถต่อสู้คดีได้ ขณะที่บัณฑิตยืนยันว่า เขาไม่ได้ป่วยทางจิต
คดีนี้ถูกพิจารณาโดยเปิดเผยในศาลทหาร ซึ่งใช้เวลากว่า 4 ปี นับจากบัณฑิตถูกจับกุม กว่าที่ศาลทหารกรุงเทพจะสืบพยานจนเสร็จสิ้น แต่ได้งดการอ่านคำพิพากษาไว้เพื่อโอนคดีไปยังศาลยุติธรรมตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 9/2562 และศาลยุติธรรมต้องรับหน้าที่ในการทำคำพิพากษาทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ดำเนินการสืบพยานเอง ซึ่งอาจทำให้ศาลยุติธรรมไม่อาจอำนวยความยุติธรรมให้แก่จำเลยได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม การโอนคดีมาศาลยุติธรรมทำให้คดีนี้ซึ่งเกิดในช่วงกฎอัยการศึก สามารถอุทธรณ์-ฎีกาได้ตามกระบวนการปกติของศาลยุติธรรม
ระหว่างการสืบพยาน ศาลได้ส่งตัวบัณฑิตเข้าตรวจรักษาอาการทางจิตและประเมินความสามารถในการต่อสู้คดีตามที่ทนายจำเลยยื่นคำร้อง แพทย์วินิจฉัยว่า บัณฑิตมีร่องรอยความเจ็บป่วย แต่สามารถต่อสู้คดีได้ ขณะที่บัณฑิตยืนยันว่า เขาไม่ได้ป่วยทางจิต
พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี
อัยการศาลทหารกรุงเทพเป็นโจทก์ยื่นฟ้องบัณฑิต อาร์ณีญาญ์ เป็นจำเลย ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยบรรยายฟ้องว่า
เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2557 เวลากลางวัน ได้มีการจัดประชุมเสวนาโดยกลุ่มนวัตกรรมไทย ที่ชั้น 6 อาคารวี เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ ซึ่งมีนายวรัญชัย โชคชนะ เป็นผู้จัดเสวนา และมีประชาชนประมาณ 15 คน รวมทั้งจำเลยเข้าร่วมเสวนา โดยมีร้อยตำรวจเอกบัญชา เจือจาน เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลสุทธิสาร เฝ้าสังเกตการณ์การประชุมเสวนาด้วย ขณะที่ผู้เข้าร่วมสัมมนากำลังเสนอความคิดเห็น จำเลยได้กล่าวถ้อยคำต่อผู้เข้าร่วมเสวนาว่า "ประเด็นของผมมีว่า ขณะนี้คนไทยแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งนิยมระบอบกษัตริย์XXX" และ "แล้วจะมีคำถามว่า XXX" ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องที่มีการเสวนากันอยู่ อันเป็นการละเมิดและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ดูหมิ่น ใส่ความ หมิ่นประมาทพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ การกระทำของจำเลยเป็นไปโดยประการที่น่าจะทำให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์ รัชกาลปัจจุบัน เสื่อมเสียพระเกียรติยศ และทรงถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง โดยเจตนาจะทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาไม่เคารพสักการะ
(อ้างอิง : คำฟ้อง ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 45ก./2558 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2558)
เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2557 เวลากลางวัน ได้มีการจัดประชุมเสวนาโดยกลุ่มนวัตกรรมไทย ที่ชั้น 6 อาคารวี เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ ซึ่งมีนายวรัญชัย โชคชนะ เป็นผู้จัดเสวนา และมีประชาชนประมาณ 15 คน รวมทั้งจำเลยเข้าร่วมเสวนา โดยมีร้อยตำรวจเอกบัญชา เจือจาน เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลสุทธิสาร เฝ้าสังเกตการณ์การประชุมเสวนาด้วย ขณะที่ผู้เข้าร่วมสัมมนากำลังเสนอความคิดเห็น จำเลยได้กล่าวถ้อยคำต่อผู้เข้าร่วมเสวนาว่า "ประเด็นของผมมีว่า ขณะนี้คนไทยแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งนิยมระบอบกษัตริย์XXX" และ "แล้วจะมีคำถามว่า XXX" ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องที่มีการเสวนากันอยู่ อันเป็นการละเมิดและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ดูหมิ่น ใส่ความ หมิ่นประมาทพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ การกระทำของจำเลยเป็นไปโดยประการที่น่าจะทำให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์ รัชกาลปัจจุบัน เสื่อมเสียพระเกียรติยศ และทรงถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง โดยเจตนาจะทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาไม่เคารพสักการะ
(อ้างอิง : คำฟ้อง ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 45ก./2558 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2558)
ความคืบหน้าของคดี
-
วันที่: 27-11-2014นัด: แจ้งข้อกล่าวหาหลังเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2557 ตำรวจและทหารนอกเครื่องแบบที่เข้าสังเกตการณ์งานเสวนาระดมความเห็นเสนอต่อ สปท. ของพรรคนวัตกรรม ควบคุมตัวนายบัณฑิตไป สน.สุทธิสาร จากการที่เขาแสดงความเห็นถึงสภาพปัญหาของสังคมไทยโดยเชื่อมโยงถึงความนิยมต่อ "ระบอบกษัตริย์" และควบคุมตัวบัณฑิตไว้ในห้องขัง 1 คืน ในวันนี้ พนักงานสอบสวนได้นำตัวบัณฑิตมาแจ้งข้อกล่าวหา หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เขาให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยระบุว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อประกอบการปฏิรูปประเทศ
ต่อมาในช่วงบ่าย ตำรวจและทหารได้คุมตัวบัณฑิตไปค้นบ้านเพิ่มเติม โดยอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก และได้ตรวจยึดเอกสาร รวม 10 รายการ ซึ่งมีทั้งงานเขียนของบัณฑิตเอง, คำพิพากษาคดี 112 ในคดีที่บัณฑิตเป็นจำเลยก่อนหน้านี้ รวมทั้งเอกสารและหนังสืออื่นๆ
(อ้างอิง: บันทึกการตรวจค้น/ตรวจยึด สน.สุทธิสาร ลงวันที่ 27 พ.ย. 2557) -
วันที่: 28-11-2014นัด: ฝากขังครั้งที่ 1พนักงานสอบสวนนำตัวบัณฑิต ไปขอฝากขังครั้งที่ 1 ต่อศาลทหารกรุงเทพ มีกำหนด 12 วัน นับแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2557 ถึง 9 ธันวาคม 2557 โดยอ้างเหตุว่า การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องสอบปากคำพยานอีกจำนวน 15 ปาก และรอผลตรวจประวัติอาชญากรรมและลายพิมพ์นิ้วมือของบัณฑิต โดยศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขัง
ต่อมา ทนายความได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว โดยญาติได้วางหลักประกันเป็นเงินสดจำนวน 400,000 บาท และอ้างเหตุดังต่อไปนี้
1. บัณฑิตได้แสดงความคิดเห็นไปโดยสุจริต เปิดเผย ทั้งนี้ มีเจตนาเพื่อปรับปรุงและแก้ไขปัญหาให้คนในสังคมเข้าใจถูกต้องตรงกันเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
2. บัณฑิตมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งและอาศัยอยู่กับครอบครัวที่เมืองไทย อีกทั้งมีอายุมากแล้วจึงไม่สามารถที่จะหลบหนีและพึ่งพาตนเองได้แต่อย่างใด ประกอบกับคดีนี้มีช่องทางที่จะต่อสู้ได้ หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจะไม่หลบหนีและจะต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองต่อไป
3. บัณฑิตมีอายุถึง 76 ปีแล้วและมีโรคประจำตัวหลายโรค ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเป็นประจำ ประกอบกับเป็นบุคคลธรรมดา ไม่มีอิทธิพลหรือความสามารถที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานได้ อีกทั้ง คดีนี้เป็นคดีที่ไม่มีพยานหลักฐานที่ซับซ้อนและพยานหลักฐานก็อยู่ในความดูแลของพนักงานสอบสวนแล้ว ผู้ร้องจึงไม่อาจก่ออุปสรรคต่อการสอบสวนได้อย่างแน่นอน
4. บัณฑิตเป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เคยอุปสมบทหมู่เนื่องในวันฉัตรมงคล พ.ศ. 2548 ที่จัดโดยสมาคมพ่อตัวอย่าง
ศาลทหารกรุงเทพอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว แต่ระบุเงื่อนไข 1. ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ 2. ห้ามชุมนุมทางการเมือง 3. ห้ามแสดงความคิดเห็นที่สร้างความปั่นปวนทางการเมือง
(อ้างอิง: คำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 1 และคำร้องประกอบคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ ฝก.91/2557 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2557)
วาด รวี นักเขียน ซึ่งเป็นนายประกัน ให้สัมภาษณ์ว่า มาเป็นนายประกันเนื่องจากเป็นนักเขียนด้วยกันและพอจะช่วยเหลือกันได้ เห็นผลงานของบัณฑิตมานานและคุ้ยเคยจากการพบเจอในงานวรรณกรรมและเสวนาทางการเมืองต่างๆ ตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร 2549 วาด รวี ให้ความเห็นว่า ข้อความของบัณฑิตที่แสดงความเห็นนั้นเป็นเรื่องการปฏิรูป ในสถานการณ์ปกติไม่น่าจะโดนคดีด้วยซ้ำ "แต่ตอนนี้สังคมพารานอยด์ (Paranoid) เจ้าหน้าที่ก็พารานอยด์ คำพูดแกพูดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในสังคม และไม่พาดพิงตัวบุคคลเลย"
(อ้างอิง: https://prachatai.com/journal/2014/11/56739)
-
วันที่: 09-12-2014นัด: ฝากขังครั้งที่ 2พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอฝากขังบัณฑิตครั้งที่ 2 ต่อศาลทหารกรุงเทพ มีกำหนด 12 วัน นับแต่วันที่ 10-21 ธันวาคม 2557 อ้างเหตุว่า การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องสอบปากคำพยานจำนวน 10 ปาก และรอผลตรวจลายพิมพ์นิ้วมือบัณฑิต เพื่อตรวจสอบประวัติการต้องโทษ ศาลมีคำสั่งอนุญาต
(อ้างอิง: คำร้องฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 2 ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ ฝก. 91/2557 ลงวันที่ 9 ธันวาคม 2557) -
วันที่: 19-12-2014นัด: ฝากขังครั้งที่ 3พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอฝากขังบัณฑิตครั้งที่ 3 ต่อศาลทหารกรุงเทพ มีกำหนด 12 วัน นับแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2557 ถึงวันที่ 2 มกราคม 2558 อ้างเหตุว่า การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องสอบปากคำพยานจำนวน 7 ปาก และรอผลตรวจลายพิมพ์นิ้วมือบัณฑิต เพื่อตรวจสอบประวัติการต้องโทษ ศาลมีคำสั่งอนุญาต
(อ้างอิง: คำร้องฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 3 ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ ฝก. 91/2557 ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2557) -
วันที่: 30-12-2014นัด: ฝากขังครั้งที่ 4พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอฝากขังบัณฑิตครั้งที่ 4 ต่อศาลทหารกรุงเทพ มีกำหนด 12 วัน นับแต่วันที่ 3-14 มกราคม 2558 อ้างเหตุว่า การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องสอบปากคำพยานจำนวน 4 ปาก และรอผลตรวจลายพิมพ์นิ้วมือบัณฑิต เพื่อตรวจสอบประวัติการต้องโทษ ศาลมีคำสั่งอนุญาต
(อ้างอิง: คำร้องฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 4 ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ ฝก. 91/2557 ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2557) -
วันที่: 14-01-2015นัด: ฝากขังครั้งที่ 5พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอฝากขังบัณฑิตครั้งที่ 5 ต่อศาลทหารกรุงเทพ มีกำหนด 12 วัน นับแต่วันที่ 15-26 มกราคม 2558 อ้างเหตุว่า การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องสอบปากคำพยานจำนวน 2 ปาก และรอผลตรวจลายพิมพ์นิ้วมือบัณฑิต เพื่อตรวจสอบประวัติการต้องโทษ ศาลมีคำสั่งอนุญาต
(อ้างอิง: คำร้องฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 5 ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ ฝก. 91/2557 ลงวันที่ 14 มกราคม 2558) -
วันที่: 26-01-2015นัด: ฝากขังครั้งที่ 6พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอฝากขังบัณฑิตครั้งที่ 6 ต่อศาลทหารกรุงเทพ มีกำหนด 12 วัน นับแต่วันที่ 27 มกราคม 2558 ถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2558 อ้างเหตุว่า การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากอยู่ระหว่างเสนอสำนวนการสอบสวนให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณา ศาลมีคำสั่งอนุญาต
(อ้างอิง: คำร้องฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 6 ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ ฝก. 91/2557 ลงวันที่ 26 มกราคม 2558) -
วันที่: 06-02-2015นัด: ฝากขังครั้งที่ 7พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอฝากขังบัณฑิตครั้งที่ 7 ต่อศาลทหารกรุงเทพ มีกำหนด 12 วัน นับแต่วันที่ 8 - 19 กุมภาพันธ์ 2558 อ้างเหตุว่า การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากอยู่ระหว่างเสนอสำนวนการสอบสวนให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณา ศาลมีคำสั่งอนุญาต
(อ้างอิง: คำร้องฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 7 ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ ฝก. 91/2557 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2558) -
วันที่: 19-02-2015นัด: ยื่นฟ้องอัยการศาลทหารกรุงเทพเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายบัณฑิตเป็นจำเลย โดยกล่าวหาว่า กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยการกระทำที่โจทก์กล่าวหาว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 คือถ้อยคำ 2 ประโยคของจำเลยที่แสดงความเห็นในงานเสวนาของพรรคนวัตกรรมไทย เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2557
หลังศาลรับฟ้องของโจทก์ จำเลยได้ยื่นขอประกันตัวอีกครั้งในชั้นพิจารณาคดี โดยใช้นายประกันและหลักทรัพย์เดิม ศาลทหารอนุญาตให้ประกันตัว แต่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ต้องนำตัวบัณฑิตไปทำการปล่อยตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ โดยได้รับการปล่อยตัวในเวลา 21.10 น.
ทั้งนี้ ต่อมา อัยการทหารได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง โดยเพิ่มเติมว่า จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ มีกำหนดโทษจำคุก 4 ปี แต่ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2557 จำเลยได้มากระทำผิดคดีนี้ภายในกำหนดเวลาที่ศาลฎีการอการลงโทษไว้ ขอให้ศาลนำโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ด้วย
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 45ก./2558 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2558 และ คำร้องแก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 45ก./2558 ลงวันที่ 13 มีนาคม 2558) -
วันที่: 31-03-2015นัด: สอบคำให้การหลังศาลอธิบายฟ้องให้ฟัง ได้ถามบัณฑิตว่า จะให้การอย่างไร บัณฑิตให้การปฏิเสธ พร้อมทั้งยื่นคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษร ศาลถามอีกว่า จำเลยได้เคยกระทำความผิดในลักษณะเดียวกันนี้จนศาลฎีกาเคยพิพากษาเมื่อวันที่ 17 ก.พ. 57 ให้จำคุก 4 ปี แต่รอลงอาญาไว้ 3 ปี จริงหรือไม่ บัณฑิตรับว่า เป็นความจริง ศาลทหารจึงนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 22 มิ.ย. 58
(อ้างอิง: คำให้การ ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 45ก./2558 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2558 และ https://prachatai.com/journal/2015/03/58646) -
วันที่: 22-06-2015นัด: ตรวจพยานหลักฐานนัดตรวจพยานหลักฐานและนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก โจทก์ได้ขอเลื่อนนัดสืบพยานโจทก์ไป เนื่องจากเป็นพยานตำรวจชุดจับกุม 2 นาย ซึ่งเป็นพยานคู่ ต้องเข้าเบิกความในวันเดียว แต่พยานมาศาลเพียงปากเดียว อีกปากหนึ่งติดธุระเรื่องการย้ายที่ทำงาน ศาลจึงให้เลื่อนการสืบพยานโจทก์ทั้งสองไปเป็นวันที่ 23 กันยายน 2558 เวลา 8.30 น.
(อ้างอิง: รายงานพิจารณา ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 45ก./2558 ลงวันที่ 22 มิถุนายน 2558) -
วันที่: 23-09-2015นัด: สืบพยานโจทก์ศาลทหารกรุงเทพนัดสืบพยานโจทก์ปากที่ 1 ร.ต.อ.บัญชา เจือจาน ผู้กล่าวหา และปากที่ 2 ส.ต.อ.ศิรวิทย์ รวมจิต
อัยการทหารแถลงต่อศาลว่า พยานที่จะนำมาเบิกความในวันนี้เป็นพยานคู่ จำนวน 4 ปาก ซึ่งอัยการทหารมีความประสงค์ขอซักถามพยานให้ครบทั้ง 4 ปากก่อน แล้วจึงให้ทนายจำเลยถามค้านภายหลัง โดยในวันนี้ได้นำพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมและผู้กล่าวหาเข้าสืบพยานก่อน 2 ปาก ในนัดหน้าจะนำเจ้าหน้าที่ทหารมาสืบพยานต่อ ทำให้การสืบพยานวันนี้ทนายจำเลยยังไม่ได้ถามค้านพยานโจทก์
ทั้งนี้ อัยการทหารขอให้ศาลมีคำสั่งพิจารณาคดีเป็นการลับ แต่ทนายจำเลยค้าน เมื่อศาลพิเคราะห์แล้ว มีคำสั่งให้พิจารณาคดีโดยเปิดเผย เพราะเห็นว่าข้อความไม่รุนแรงหรือหยาบคาย และมีเจ้าหน้าที่เข้าร่วมรับฟังด้วย
นอกจากนี้ อัยการทหารได้ส่งซีดีบันทึกภาพจำเลยขณะกำลังแสดงความคิดเห็นไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งทนายจำเลยได้ขอให้ศาลเปิดหลักฐานชิ้นนี้ก่อนทนายจำเลยทำการถามค้าน
สำหรับการเบิกความของพยานตำรวจทั้งสอง ให้การในลักษณะเดียวกันว่า ในวันเกิดเหตุ ช่วงที่เปิดให้ผู้ร่วมเสวนาถามคำถาม บัณฑิตพูดในลักษณะพาดพิงถึงระบอบพระมหากษัตริย์ หลังจากบัณฑิตพูดถ้อยคำดังกล่าว ผู้เข้าร่วมเสวนาบางคนห้ามไม่ให้พูดต่อ ขณะที่บางคนเดินออกนอกห้องไป พยานเห็นว่า ข้อความน่าจะเข้าข่ายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ จึงนำบัณฑิตไปยัง สน.สุทธิสาร
หลังสืบพยาน ทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลทหารส่งตัวบัณฑิตเข้าตรวจรักษาอาการทางจิตและประเมินความสามารถในการต่อสู้คดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 14 เนื่องจากเขาเคยถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์มาก่อน แต่ศาลฎีกาพิพากษารอลงอาญาในคดีนั้น เนื่องจากจำเลยมีอาการป่วยเป็นโรคจิตเภท ซึ่งเป็นอาการป่วยทางจิตเรื้อรัง ความคิดหวาดระแวง การใช้เหตุผลไม่เหมือนคนปกติทั่วไป การแสดงพฤติกรรมออกมามักจะเป็นไปตามอาการผิดปกติทางจิต ทางการแพทย์เรียกว่าบีไซด์ (Bizare) ศาลนัดฟังคำสั่งต่อคำร้องดังกล่าวในวันที่ 9 ตุลาคม 2558 เวลา 08.30 น. หากศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ส่งตัวจำเลยไปตรวจรักษาที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ การพิจารณาคดีจะหยุดลงชั่วคราวจนกว่าศาลจะได้รับผลการตรวจรักษา
ทั้งนี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 14 บัญญัติว่า “ในระหว่างทําการสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณา ถ้ามีเหตุควรเชื่อว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้วิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ให้พนักงานสอบสวนหรือศาลเเล้วเเต่กรณีสั่งให้พนักงานแพทย์ตรวจผู้นั้น เสร็จเเล้วให้เรียกพนักงานแพทย์ผู้นั้นมาให้ถ้อยคำหรือให้การว่าตรวจได้ผลประการใด”
(อ้างอิง: รายงานพิจารณา ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 45ก./2558 ลงวันที่ 23 กันยายน 2558, https://tlhr2014.wordpress.com/2015/09/23/bandit/ และ https://www.tlhr2014.com/?p=12871) -
วันที่: 09-10-2015นัด: ฟังคำสั่งศาลศาลทหารกรุงเทพนัดฟังคำสั่งต่อคำร้องของทนายจำเลยที่ขอให้ส่งตัวบัณฑิตไปเข้ารับการตรวจอาการทางจิตที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ โดยศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ส่งตัวจำเลยเข้ารับการตรวจตามคำร้องดังกล่าว และระหว่างรอผลการตรวจให้ระงับการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราว
(อ้างอิง: รายงานการพิจารณา ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 45ก./2558 ลงวันที่ 9 ตุลาคม 2558) -
วันที่: 02-02-2016นัด: ไต่สวนแพทย์ผู้ตรวจรักษาจำเลยศาลทหารกรุงเทพนัดไต่สวนจิตแพทย์ หลังบัณฑิตเข้ารับตรวจอาการทางจิตที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2558 ตามที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ส่งตัวจำเลยเข้ารับการตรวจรักษา เนื่องจากทนายจำเลยยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 14 โดยบัณฑิตเข้ารักษาเป็นผู้ป่วยในในวันที่ 16-19 ต.ค. 57 จากนั้น แพทย์ให้บัณฑิตออกมารักษาแบบผู้ป่วยนอก เพราะบัณฑิตมีความดันสูง ต้องรักษาในโรงพยาบาลปกติ และนัดเข้าตรวจรักษาอาการทางจิตอีกครั้งในวันที่ 27 ต.ค. 58
ทั้งนี้ นายแพทย์อภิชาติ แสงสิน นายแพทย์ชำนาญการจากสถาบันกัลยาณ์ฯ ซึ่งนัดหมายมาไต่สวนไม่มาศาลเนื่องจากติดธุระ จึงเลื่อนการไต่สวนไปเป็นวันที่ 11 ก.พ. 59
-
วันที่: 11-02-2016นัด: ไต่สวนแพทย์ผู้ตรวจรักษาจำเลยนายแพทย์อภิชาติ แสงสิน นายแพทย์ชำนาญการจากสถาบันกัลยาณ์ฯ เข้าเบิกความประกอบรายงานการตรวจวินิจฉัยและประเมินความสามารถในการต่อสู้คดีที่แพทย์ได้ยื่นส่งต่อศาลเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 58
แพทย์เบิกความตามรายงานว่า “ลุงบัณฑิตมีร่องรอยความเจ็บป่วย ได้รับการรักษาไม่ต่อเนื่อง มีเเนวโน้มก่อคดีซ้ำ จึงควรได้รับการรักษาต่อเนื่อง ขณะประกอบคดีรู้ผิดชอบ” และได้เบิกความเพิ่มเติมจากรายงานต่อไปว่า “จำเลยมีความคิดยึดติดกับเรื่องบางเรื่อง และการรับรู้ความเป็นจริงอ่อนด้อยกว่าคนทั่วไป”
ศาลถามแพทย์ว่า ลุงบัณฑิตสามารถต่อสู้คดีได้หรือไม่ ทางแพทย์จึงตอบว่าสามารถต่อสู้คดีได้ ทนายความจึงถามผ่านศาลว่า ถ้าจะนิยามอาการของบัณฑิตเป็นจิตเภทหรือวิกลจริตได้หรือไม่ จิตเเพทย์จึงตอบว่า จิตเภทเป็นส่วนหนึ่งของอาการวิกลจริต เพราะคำวิกลจริตนั้นกว้างมาก
หลังจากนั้นศาลจึงมีคำสั่งว่า คดีนี้บัณฑิตสามารถต่อสู้คดีได้ และนัดสืบพยานโจทก์ คือ ส.ท. พิชาญ วรรณกี้ และ จ.ส.อ.กายสิทธิ์ เจริญไพบูลย์ ในวันที่ 4 พฤษภาคม 59 เวลา 8.30 น
โดยทั่วไปแล้ว ในกรณีที่จำเลยเป็นผู้วิกลจริตและสามารถต่อสู้คดีได้นั้น หากดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วพบว่าขณะกระทำความผิดนั้นจำเลยวิกลจริต จำเลยก็อาจได้รับการยกเว้นโทษ หรือศาลอาจใช้ดุลพินิจลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ก็ได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65
(อ้างอิง: https://tlhr2014.wordpress.com/2016/02/12/banditdoctorjudge/)
-
วันที่: 04-05-2016นัด: สืบพยานโจทก์ศาลทหารกรุงเทพนัดสืบพยานโจทก์ นายทหารชุดจับกุม 2 นาย องค์คณะตุลาการประกอบด้วย พ.อ.นิรันต์ กำศร, พ.อ.อัมรินทร์ บุณยะวิโรจน์, และ พ.อ.โฆษนันทน์ สุทัศน์ ณ อยุธยา โดยอัยการทหารเบิกพยานโจทก์ปากที่ 3 จ.ส.อ.กายสิทธิ์ เจริญไพบูลย์ ผู้บังคับหมู่ปืนเล็ก สังกัดกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 พัน.2 รอ.) นายทหารชุดจับกุม ขึ้นให้การต่อศาล
จ.ส.อ.กายสิทธิ์ ให้การว่า วันที่ 26 พฤศจิกายน 2557 ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้มาร่วมประชุมกับชุดสืบสวนของ สน.สุทธิสาร ร่วมกับ ส.ท.พิชาญ ที่ประชุมได้มอบหมายให้ จ.ส.อ.กายสิทธิ์ร่วมสังเกตการณ์ ส่วน ส.ท.พิชาญได้รับมอบหมายให้บันทึกวิดีโองานเสวนา ที่จัดโดยวรัญชัย โชคชนะ มีลักษณะเป็นงานเสวนาทางการเมือง
หลังจากประชุมเสร็จ จ.ส.อ.กายสิทธิ์ เดินทางไปยังที่เกิดเหตุ เวลาประมาณ 12.00 น. ผู้เข้าร่วมเสวนาประมาณ 15 คนทยอยเข้าห้องประชุมเวลาประมาณ 13.00 น. พยานได้เข้าห้องประชุมตามนักข่าวไป ในวงเสวนาพูดคุยเรื่องการเมือง การเลือกตั้ง สว. สส. เหตุการณ์บ้านเมืองขณะนั้น โดยวรัญชัยเป็นผู้กำหนดประเด็น ผู้เข้าร่วมเสวนาทราบประเด็นจากเอกสารที่วางไว้ และที่วรัญชัยแจ้งให้ทราบก่อนเริ่มเสวนา
จ.ส.อ.กายสิทธิ์ ให้การอีกว่า ประมาณ 13.30 น. วรัญชัยเปิดให้ผู้ร่วมเสวนาถามคำถาม พอมาถึงนายบัณฑิต ได้พูดตามที่บันทึกไว้ในวิดีโอที่ ส.ท.พิชาญ และตำรวจ สน.สุทธิสาร บันทึกไว้ในลักษณะพาดพิงถึงระบอบพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่เสวนาในวันนั้น และไม่เกี่ยวกับที่บุคคลอื่นได้แสดงความคิดเห็นมาก่อนหน้า
พยานให้การต่อไปว่า หลังจากบัณฑิตพูดถ้อยคำดังกล่าว ผู้เข้าร่วมเสวนาบางคนห้ามไม่ให้พูดต่อ ขณะที่บางคนเดินออกนอกห้องไป จ.ส.อ.กายสิทธิ์ จึงปรึกษากับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ หรือไม่ ซึ่งพยานเห็นว่าข้อความยังไม่ชัดเจน แต่น่าจะเข้าข่ายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ จึงนำตัวบัณฑิตไป สน.สุทธิสาร
ต่อมา อัยการได้นำพยานปากที่ 4 ส.ท.พิชาญ วรรณกี้ หัวหน้าชุดยิง สังกัด ร.1 พัน.2 รอ. นายทหารชุดจับกุมอีกคน ขึ้นเบิกความต่อศาล
ส.ท.พิชาญ เบิกความว่า วันที่ 26 พฤศจิกายน 2557 ผู้บังคับบัญชาได้มอบหมายไปประชุมที่ สน.สุทธิสาร ร่วมกับแผนกสืบสวน สน.สุทธิสาร และ จ.ส.อ.กายสิทธิ์ เจริญไพบูลย์ โดยมี ผกก.สน.สุทธิสาร เป็นประธานการประชุม เนื่องจากมีรายงานว่า มีการจัดเสวนาของกลุ่มการเมือง ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2557 เวลา 13.00 น. ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้ ส.ท.พิชาญเป็นผู้บันทึกเสียงและวิดีโอ ขณะที่ จ.ส.อ.กายสิทธิ์ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ตรวจการณ์
ส.ท.พิชาญเบิกความต่อว่า เวลาประมาณ 13.00 น. ผู้ร่วมเสวนาประมาณ 15 คนทยอยเข้าห้องประชุม จากนั้นจึงมีการยกมือถามคำถามและเสนอความคิดเห็น ซึ่งผู้ร่วมเสวนาจะถามคำถามหรือเสนอความเห็นอย่างไร ส.ท.พิชาญ จำไม่ได้ แต่ได้บันทึกไว้ในวิดีโอ ประเด็นการเสวนาเกี่ยวกับการแต่งตั้งรัฐบาล โดยวรัญชัยเป็นผู้กำหนดประเด็นเสวนา และผู้เข้าร่วมทราบประเด็นจากเอกสารที่วรัญชัยแจก
พยานให้การต่อไปว่า ประมาณ 13.30 น. บัณฑิตพูดพาดพิงถึงระบอบกษัตริย์ โดยไม่เกี่ยวกับหัวข้อเสวนา หรือเกี่ยวกับที่คนอื่นแสดงความคิดเห็นก่อนหน้า ซึ่งผู้ร่วมเสวนาบางส่วนขอให้ไม่นำประเด็นนี้มาพูดคุย บางส่วนลุกออกจากที่นั่ง บางส่วนจะออกไปนอกห้องแต่ถูกกันไว้ไม่ให้ไปไหน
ส.ท.พิชาญ ได้ปรึกษากับตำรวจว่า ที่บัณฑิตพูดเข้าข่ายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ หรือไม่ จากนั้น จึงควบคุมตัวบัณฑิตไปที่ สน.สุทธิสาร เพราะเห็นว่าน่าจะเป็นการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ และได้เปิดวิดีโอที่บันทึกไว้ ให้ปากคำกับตำรวจ และมอบซีดีที่บันทึกวิดีโอให้กับตำรวจไว้
หลังอัยการนำสืบพยานนายทหารชุดจับกุมทั้งสองปากแล้ว ศาลได้นัดให้ทนายจำเลยถามค้านพยานโจทก์ที่เป็นชุดจับกุมที่มีนายตำรวจอีก 2 นาย ซึ่งเบิกความไปแล้วก่อนหน้านี้ พร้อม จ.ส.อ.กายสิทธิ์ และ ส.ท.พิชาญ ในวันที่ 25 กรกรฎาคม 2559 พร้อมทั้งอนุญาตให้ทนายความจำเลยคัดถ่ายซีดีที่ ส.ท.พิชาญบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
(อ้างอิง: https://tlhr2014.wordpress.com/2016/05/04/small_bandit_arniya_112/) -
วันที่: 25-07-2016นัด: สืบพยานโจทก์อัยการทหารนำพยานชุดจับกุม 4 นาย เข้าให้ทนายจำเลยถามค้าน โดย ร.ต.อ.บัญชา เจือจาน เข้าเบิกความตอบทนายจำเลยเป็นคนแรก ระหว่างสืบพยาน ตุลาการพระธรรมนูญ ได้ห้ามผู้สังเกตการณ์บันทึกการสืบพยานโดยละเอียด อนุญาตให้บันทึกแบบสั้น ๆ เท่านั้น
ร.ต.อ.บัญชา ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า วันที่ 26 พฤศจิกายน 2557 กลุ่มนวัตกรรมไทยจัดประชุมเพื่อนำข้อเสนอไปเสนอต่อคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ แต่ไม่แน่ใจว่าตัวแทนกลุ่มนวัตกรรมไทยได้ขออนุญาตหรือประสานไปยัง ผกก.สน.สุทธิสาร ก่อนหรือไม่ แต่ สน.สุทธิสาร ได้ส่งเจ้าหน้าที่ทหาร 2 นาย และตำรวจประมาณ 10 นาย แต่งกายทั้งในและนอกเครื่องแบบมาสังเกตการณ์
ร.ต.อ.บัญชา ให้การว่า การเสวนาครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมประมาณ 15 คน แต่จำไม่ได้ว่ามีสื่อมวลชนหรือไม่ โดยพยานไม่ใช่ผู้บันทึกวิดีโอหลักฐาน แต่เป็น ส.ต.อ.ศิรวิทย์ รวมจิตร ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร และเจ้าหน้าที่มีกล้องบันทึกภาพมากกว่าสองตัว นอกจากนี้ พยานยังไม่แน่ใจว่า ผู้ดำเนินรายการได้แจ้งผู้เข้าร่วมประชุมหรือไม่ว่ามีเจ้าหน้าที่มาสังเกตการณ์ ตัวพยานมีหน้าสังเกตการณ์บริเวณโดยรอบ สืบสวน และจับกุมผู้กระทำความผิด พยานไม่ได้อยู่ในห้องประชุมตลอดเวลา แต่ได้สั่งให้ ส.ต.อ.ศิรวิทย์ อยู่บันทึกวิดีโอตลอดการประชุม ในเอกสารที่แจกก่อนการประชุมมีการกำหนดวาระอื่น ๆ
เมื่อเปิดวิดีโอหลักฐานในสำนวนแล้ว พยานให้การยอมรับว่า มีช่วงหนึ่งที่ผู้ดำเนินรายการเปิดให้ผู้ร่วมประชุมเสนอประเด็น หลังจากนั้นผู้ดำเนินรายการได้อ่านประเด็นที่มีผู้เสนอเข้ามา ซึ่งมีประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย ก่อนที่จำเลยจะแสดงความเห็นเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์สองประโยค แต่มีผู้ทักท้วงไม่ให้พูดและลุกออกจากห้องประชุม ทำให้การเสวนาล้มเลิกไป
ร.ต.อ.บัญชา เห็นว่า ประโยคแรกที่จำเลยพูดขึ้นและมีผู้กล่าวแทรกขึ้นมาเป็นประโยคที่จบความแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าประโยคที่สองเป็นประโยคคำถามหรือไม่ เนื่องจากจำเลยยังพูดไม่จบประโยค จึงไม่ทราบว่าจำเลยจะพูดอะไรต่อ แต่จากคำพูดของจำเลย พยานรู้สึกว่าเป็นการหมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์
พยานโจทก์ตอบคำถามของค้านทนายจำเลยอีกว่า พยานเรียนจบคณะนิติศาสตร์ ทำงานสืบสวนมาโดยตลอด และยอมรับว่าโดยทั่วไป ประโยคคำถามไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริง ซึ่งภายหลังจำเลยกล่าวถ้อยคำที่ถูกกล่าวหาตามฟ้อง พ.ต.อ.ปรีชา กองแก้ว, พ.ต.ท.อัครวัฒน์ พุ่มไพศาลชัย, ร.ต.อ.ภาณุพงศ์ จินดาหลวง, ร.ต.อ.เดโช ประสานศรี, พยาน และเจ้าหน้าที่ทหาร ได้ปรึกษากับผู้บังคับบัญชามากกว่า 3 ชั่วโมง เนื่องจากยังไม่แน่ใจว่าถ้อยคำของจำเลยเป็นถ้อยคำหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์หรือไม่ แต่พยานไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ตัดสินใจให้ดำเนินคดีกับจำเลย หลังจากนั้นจึงพาตัวจำเลยไปยัง สน.สุทธิสาร โดยจำเลยไม่มีพฤติการณ์หลบหนี
จากนั้น โจทก์ได้นำ ส.ต.อ.ศิรวิทย์ รวมจิต เข้าสืบพยานต่อ ส.ต.อ.ศิรวิทย์ ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยโดยรับว่า ตนเองแต่งกายในชุดนอกเครื่องแบบเป็นผู้บันทึกวิดีโอผลัดกันกับ ส.ท.พิชาญ วรรณกี้ โดยมีกล้องของเจ้าหน้าที่เพียงตัวเดียว จะมีสื่อมวลชนด้วยหรือไม่พยานไม่แน่ใจ และผู้เข้าร่วมทราบว่ามีเจ้าหน้าที่มาสังเกตการณ์
ส.ต.อ.ศิรวิทย์ เห็นว่า จำเลยยังพูดประโยคแรกไม่จบความ ส่วนประโยคที่สองเป็นประโยคคำถามที่ยังถามไม่จบ เพราะมีคนแย้งและลุกออกจากห้องไปก่อน แต่จำเลยจะสื่อความหมายอย่างไร พยานไม่ทราบ หลังจากนั้นจึงมีการปรึกษากันในระหว่างผู้บังคับบัญชาว่า คำพูดของจำเลยเป็นความผิดหรือไม่ แต่พยานไม่ได้เข้าร่วม พยานเป็นผู้ทำบันทึกจับกุม ที่ สน.สุทธิสาร เวลาประมาณ 22.00 น.
พยานตอบคำถามติงของอัยการทหารว่า พยานไม่ทราบว่าใครเสนอประเด็นให้ผู้ดำเนินรายการพูดเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่จากคำพูดของจำเลย พยานคิดว่าประโยคแรกเป็นประโยคหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ส่วนประโยคที่สองเข้าใจว่าจำเลยต้องการจะสื่อว่าไม่ให้มีสถาบันพระมหากษัตริย์
ต่อมา โจทก์นำ จ.ส.อ.กายสิทธิ์ เจริญไพบูลย์ เข้าสืบพยาน จ.ส.อ.กายสิทธิ์ ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า พยานจบการศึกษาชั้น ม.6 และรับราชการทหารมา 29 ปี พยานไม่เคยทำงานสืบสวนสอบสวน และไม่ใช่เจ้าพนักงาน หรือผู้ช่วยเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
จ.ส.อ.กายสิทธิ์ ยอมรับว่า ทหารมีอุดมการณ์ที่จะต้องจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เมื่อมีผู้กล่าวหรือตั้งคำถามถึงพระมหากษัตริย์ พยานในฐานะทหารและคนไทยย่อมจะรู้สึกเสียใจและไม่พอใจ ในวันที่เกิดเหตุพยานรับหน้าที่เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีแต่อย่างใด มีทหารนอกเครื่องแบบ 3-4 นาย มาร่วมสังเกตการณ์ในวันนั้น และมีสื่อมวลชนภายในงานมาร่วมบันทึกการเสวนาด้วย โดยพยานสังเกตจากป้ายห้อยคอ
จากนั้น อัยการทหารนำ ส.ท.พิชาญ วรรณกี้ เข้าตอบคำถามค้านของทนายจำเลย ความว่า พยานจบการศึกษาชั้น ม.6 รับราชการทหารมา 8 ปี ไม่เคยทำงานสืบสวนสอบสวนมาก่อน รวมถึงไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานหรือผู้ช่วยเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา หรือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ส.ท.พิชาญ ยอมรับเช่นเดียวกับ จ.ส.อ.กายสิทธิ์ ว่า ทหารมีอุดมการณ์จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หากมีผู้พูดถึงหรือตั้งคำถามต่อพระมหากษัตริย์ พยานรู้สึกไม่พอใจ แต่ขณะจำเลยพูดในวงเสวนา พยานไม่สามารถจับใจความคำพูดของจำเลยได้ เนื่องจากพยานเป็นผู้บันทึกวิดีโอ
หลังเสร็จสิ้นการสืบพยานทั้ง 4 ปากในนัดนี้ โจทก์แถลงขอนำพยานโจทก์ลำดับที่ 5 เข้าสืบพยานในนัดต่อไป ศาลนัดสืบพยานครั้งต่อไปวันที่ 5 ตุลาคม 2559
(อ้างอิง: https://www.tlhr2014.com/?p=1282) -
วันที่: 05-10-2016นัด: สืบพยานโจทก์พยานโจทก์ปากที่ 5 ซึ่งอัยการทหารนัดหมายมาเบิกความไม่มาศาล ศาลจึงเลื่อนนัดสืบพยานปากนี้ไปเป็นวันที่ 20 มกราคม 2560
-
วันที่: 20-01-2017นัด: สืบพยานโจทก์สืบพยานโจทก์ นายสมคิด ทิพย์สอน หัวหน้าพรรคนวัตกรรมไทย
นายสมคิดเบิกความว่า เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2557 เวลาประมาณ 13.30 น. พรรคนวัตกรรมไทยและสหพรรคการเมืองไทยได้จัดเสวนาเพื่อหาแนวทางในการเสนอและมีส่วนร่วมปฏิรูปประเทศ ที่อาคารวี ชั้น 6 ซอยรัชดาภิเษก 26 เขตห้วยขวาง หัวข้อเสวนามี 5 หัวข้อ ซึ่งผู้ร่วมเสวนาช่วยกันคิดขึ้น ในการเสวนามีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 15 คน โดยได้แจ้งให้ สน.สุทธิสาร ทราบ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาสังเกตการณ์ด้วย ซึ่งจำเลยก็ทราบและอยู่ในสถานที่เสวนาด้วย
การเสวนาเริ่มขึ้นเวลา 13.00 น. พยานอยู่ในการเสวนา นายวรัญชัยกล่าวเปิดงาน ให้ผู้เข้าร่วมแนะนำตัวเอง และให้ผู้เข้าร่วมเสนอความเห็น เมื่อไม่มีผู้ใดพูด จำเลยจึงลุกขึ้น พยานไม่ทันได้ฟัง แต่ผู้เข้าร่วมเดินออกจากห้องประชุมเนื่องจากทราบว่าจำเลยเคยถูกดำเนินคดีในความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ และเกรงว่าจำเลยจะพูดไม่อยู่ในหัวข้อเสวนา
หลังเกิดเหตุ พยานได้ไปพบพนักงานสอบสวน สน.สุทธิสาร พนักงานสอบสวนแจ้งข้อความที่จำเลยพูดให้พยานทราบตามบันทึกวีดิโอ ซึ่งพยานไม่เห็นด้วยกับที่จำเลยพูด เพราะประชาชนชาวไทยต้องเคารพรักพระมหากษัตริย์ และระบอบกษัตริย์ที่จำเลยพูดถึงหมายถึงรัชกาลที่ 9
พยานตอบถามค้านทนายจำเลยว่า จบชั้นประถมปีที่ 7 ที่ จ.ตาก ขณะเกิดเหตุเป็นว่าที่หัวหน้าพรรคนวัตกรรมไทย ก่อนหน้านี้เคยเป็นสมาชิกสภาจังหวัดของ จ. ตาก เคยสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 4 ครั้ง เกี่ยวข้องกับการเมืองมาโดยตลอด วันเกิดเหตุที่มีการเสวนา นางจุฑาภาเป็นผู้เชิญผู้เข้าร่วม โดยมีประชาชนทั่วไปด้วย และนางจุฑาภาได้ทำหนังสือขออนุญาตประธานกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ และแจ้งต่อ สน.สุทธิสาร โดยผู้กำกับฯ สน.สุทธิสารได้มาที่สถานที่จัดงานในตอนเช้า และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร 4 คน มาร่วมสังเกตการณ์
พยานไม่ทราบว่ามีการออกสื่อวิทยุด้วยหรือไม่ แต่มีผู้สื่อข่าวบันทึกภาพไว้ด้วย ในการประชุมมีผู้เข้าร่วมเกิน 15 คน แต่เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทยอยกลับไปบ้าง
ทนายจำเลยขอซักค้านพยานปากนี้ต่อในนัดหน้า โจทก์ไม่ค้าน ศาลจึงนัดพยานปากนี้มาให้ทนายจำเลยถามค้านต่อในวันที่ 9 มีนาคม 2560
(อ้างอิง: คำให้การพยาน ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 45ก./2558 ลงวันที่ 20 มกราคม 2560) -
วันที่: 09-03-2017นัด: สืบพยานโจทก์สืบพยาน นายสมคิด ทิพย์สอน หัวหน้าพรรคนวัตกรรมไทย ต่อจากนัดพิจารณาเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2560
ทนายจำเลยขออนุญาตศาลเปิดซีดีบันทึกงานเสวนาดังกล่าว นาทีที่ 25.24 เป็นต้นไป จำเลยพูดว่า "ประเด็นของผมมีว่า ขณะนี้คนไทยแบ่งเป็นสองฝ่าย..." นางจุฑาภาได้พูดห้ามไม่ให้จำเลยพูด หลังจากนั้น จำเลยพูดต่อในประโยคที่ 2 ซึ่งจำเลยยังพูดไม่จบ ผู้เข้าร่วมประชุมห้ามจำเลยพูด จากนั้นผู้เข้าร่วมประชุมก็เดินออกจากห้องไป
พยานเบิกความว่า การที่จำเลยไม่พูดให้จบทั้งสองประโยค ทำให้พยานไม่ทราบว่าจำเลยมีเจตนาจะสื่อความหมายอย่างไร และประโยคที่ 2 เป็นประโยคคำถาม ซึ่งไมได้ยืนยันข้อเท็จจริง ส่วนคำว่าระบอบกษัตริย์ คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่องค์พระมหากษัตริย์
นายสมคิดเบิกความในตอนท้ายว่า ตั้งแต่ปี 2548 ประเทศไทยมีความขัดแย้งทางการเมืองสูง มีการนำสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้อง อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาได้ ซึ่งรายงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ระบุว่า ให้มีการระมัดระวังในการใช้ถ้อยคำ ซึ่งอาจผิดประมวลกฎหมายอาญาได้ หลังรัฐประหารเป็นต้นมา การพูดพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์และองค์พระมหากษัตริย์ ไม่ว่ากรณีใดๆ ไม่สามารถพูดถึงได้เลย
หลังสืบพยานปากนี้เสร็จ ศาลนัดหมายสืบพยานโจทก์ปากต่อไปในวันที่ 19 พฤษภาคม 2559
(อ้างอิง: คำให้การพยาน ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 45ก./2558 ลงวันที่ 9 มีนาคม 2560) -
วันที่: 19-05-2017นัด: สืบพยานโจทก์อัยการทหารแถลงว่า ไม่สามารถติดตามพยานมาศาลได้ ศาลจึงเลื่อนนัดสืบพยานโจทก์ไปเป็นวันที่ 8 สิงหาคม 2560
-
วันที่: 08-08-2017นัด: สืบพยานโจทก์พยานโจทก์ปากนายวรัญชัย โชคชนะ ไม่มาศาล โดยไม่ทราบผลการส่งหมายและเหตุขัดข้อง แต่โจทก์ยังมีความประสงค์ที่จะนำพยานปากนี้เข้าสืบอยู่เนื่องจากเป็นพยานสำคัญในคดี จึงขอเลื่อนสืบปากนี้ออกไปก่อน
นัดหน้าโจทก์จะนำรองศาสตราจารย์ เสาวลักษณ์ อนันตศานต์ เข้าเบิกความเป็นพยานโจทก์ปากที่ 6 ศาลนัดสืบพยานในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 เวลา 8.30 น.
-
วันที่: 14-11-2017นัด: สืบพยานโจทก์พยานโจทก์ปากที่ 6 รองศาสตราจารย์ เสาวลักษณ์ อนันตศานต์ อายุ 70 ปี เป็นอาจารย์สอนปริญญาตรีและโท และเป็นอาจารย์ภาคภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง สอนหนังสือตั้งแต่ปี 2515 ถึงปัจจุบัน ปัจจุบันเป็นลูกจ้างรายปี มหาวิทยาลัยรามคำแหง
พยานให้การโดยสรุปว่า ประโยคที่นายบัณฑิตกล่าวเป็นคำพูดที่ไม่สมควรกล่าว เนื่องจากเป็นคำพูดที่ล่วงเกิน ล่วงละเมิด และจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์
นัดต่อไปอัยการทหารจะนำพยานโจทก์ปาก พันตำรวจโท พงษ์นรินทร์ ลับไพรี เข้าเบิกความ ศาลนัดสืบพยานในวันที่ 22 มกราคม 2561 เวลา 8.30 น.
(อ้างอิง: คำให้การพยาน ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 45ก./2558 ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560) -
วันที่: 22-01-2018นัด: สืบพยานโจทก์สืบพยานโจทก์ปาก พันตำรวจโท พงษ์นรินทร์ ลับไพรี แต่เนื่องจากพันตำรวจโท พงษ์นรินทร์ ลับไพรี เกษียณราชการ อัยการจึงขอเลื่อนสืบพยานโจทก์ปากนี้ออกไปก่อน และขอนำ พันตำรวจโท ภิรมย์ เมืองไสย เข้าเบิกความก่อนในนัดต่อไป ศาลนัดสืบพยานครั้งต่อไปวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561
-
วันที่: 12-02-2018นัด: สืบพยานโจทก์สืบพยานโจทก์ปากที่ 7 พันตำรวจโท ภิรมย์ เมืองไสย พนักงานสอบสวน
พยานเบิกความตอบอัยการโจทก์ว่า พยานรับราชการตำแหน่งสารวัตรสองสวน กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม ก่อนหน้านี้เป็นพนักงานสอบสวนชำนาญการ สน.สุทธิสาร ตั้งแต่ปี 2547-2560 พยานได้สอบสวนนายบัณฑิต เป็นผู้ต้องหา ในความผิดฐานดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ ซึ่งเป็นจำเลยในคดีนี้
เหตุในคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2557 เวลาประมาณ 13.30 น. ที่ห้องประชุมชั้น 6 อาคารวี ซอยรัชดาภิเษก 26 เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ พยานทราบเหตุคดีนี้ในวันดังกล่าว เวลาประมาณ 22.30 น. ขณะปฏิบัติหน้าที่สอบสวนเวร เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวจำเลยพร้อมของกลางมาส่งมอบ โดยกล่าวหาว่าจำเลยทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
พยานรับตัวไว้และได้สอบปากคำ ร้อยตำรวจเอก บัญชา เจือจาน ผู้กล่าวหา ซึ่งให้การโดยสรุปว่า ในวันเกิดเหตุมีการจัดประชุมเสวนาที่อาคารวี ผู้กล่าวหาและเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารได้เข้าร่วมสังเกตการณ์ และบันทึกภาพลงแผ่นบันทึกข้อมูลไว้ มีผู้เข้าร่วมเสวนาประมาณ 15 คน จำเลยได้พูดประโยคที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ ผู้เข้าร่วมเสวนาได้โต้แย้งให้จำเลยหยุดพูด บางคนออกจากห้องเสวนาไป ตำรวจและทหารที่สังเกตการณ์เห็นว่าคำพูดดังกล่าวเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จึงเข้าค้นตัวจำเลย พบคำพิพากษาที่จำเลยเคยถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ในการจับกุมจำเลยมีการจัดทำบันทึกการจับกุม และรายงานข้อเท็จจริง พร้อมถ่ายภาพประกอบ
เมื่อรับตัวจำเลยแล้ว พยานได้ทำบัญชีของกลาง บันทึกการแจ้งสิทธิ และถ่ายภาพจำเลยพร้อมของกลาง นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารได้ตรวจค้นบ้านของจำเลยที่อยู่หนองแขมด้วย แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายเพิ่มเติม
ในการสอบปากคำพยานในคดีนี้ พยานได้ร่วมสอบสวนกับ พันตำรวจโท พงษ์นรินทร์ ลับไพรี ได้สอบปากคำผู้กล่าวหา และพยานอีก 9 ปาก โดยได้ทำบันทึกคำให้การไว้ด้วย พยานได้สอบปากคำจำเลย แจ้งข้อกล่าวหา และแจ้งสิทธิตามกฎหมายให้จำเลยทราบ โดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
จากข้อเท็จจริงตามข้อกล่าวหา ถ้อยคำที่จำเลยพูดประโยคแรกเป็นการใส่ร้ายใส่ความว่า พระมหากษัตริย์อยู่เหนือกฎหมาย และข้อความที่สองเป็นการแสดงความอาฆาตมาดร้ายและไม่ประสงค์ดีต่อพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 จึงมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาในความผิดตามฟ้อง
พ.ต.ท.ภิรมย์ ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ไม่ทราบว่าก่อนจัดงาน คณะผู้จัดงานได้ขออนุญาตก่อนหรือไม่ แต่ปกติจะมีการแจ้งให้ทราบ ในวันเกิดเหตุมีทั้งทหารและตำรวจเข้าสังเกตการณ์ และในวิดีโอวัตถุพยานที่ทนายจำเลยขอให้ศาลเปิดตั้งแต่นาทีที่ 17.50 มีนักข่าวทำข่าวอยู่ในการเสวนาด้วย และนาทีที่ 24.14 นายวรัญชัย โชคชนะ พิธีกรได้แจ้งหัวข้อการเสวนาว่า มีเรื่องเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ แต่หัวข้อที่ 5 ระบุว่า อื่นๆ ซึ่งสามารถให้เข้าร่วมเสวนาระบุหัวข้อในการเสวนาได้
พยานยังตอบทนายจำเลยโดยรับว่า ข้อความที่จำเลยพูด เป็นคำพูดที่ยังไม่จบประโยค คนทั่วไปอาจไม่ทราบว่าจะสื่อถึงอะไร และลักษณะประโยคที่จำเลยพูด ประโยคแรกเป็นประโยคบอกเล่า ส่วนประโยคที่สองเป็นประโยคคำถาม
พ.ต.ท.ภิรมย์ เบิกความอีกว่า พยานจบนิติศาสตร์บัณฑิต เป็นพนักงานสอบสวนตั้งแต่ปี 2547 การตีความกฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัด และลักษณะข้อความต้องมีการยืนยันข้อเท็จจริง นอกจากนี้ พยานได้อ่านคำพิพากษาฎีกาที่ยึดได้ มีส่วนหนึ่งในคำวินิจฉัยศาลระบุว่า จำเลยป่วยเป็นจิตเภท แต่พยานไม่ได้ส่งจำเลยไปตรวจวินิจฉัยอาการทางจิต พยานมีความเห็นว่า คำว่า "ระบอบ" หมายถึงสถาบัน ไม่ใช่ตัวบุคคล
พยานตอบคำถามอัยการที่ถามติง โดยขยายความว่า ระบอบเจ้า หมายถึง พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะที่จำเลยมาถึงสถานีตำรวจ และขณะที่พยานสอบปากคำจำเลย จำเลยมีลักษณะอาการปกติ โดยมีทนายส่วนตัวมาด้วย และในการสอบปากคำพยานในคดี คำตอบของพยานที่สอบปากคำทุกคนมีความเห็นไปในแนวทางเดียวกัน คือ คำพูดของจำเลยเป็นการก้าวล่วงพระมหากษัตริย์และสถาบันพระมหากษัตริย์
สืบพยานโจทก์ปากพนักงานสอบสวนเสร็จสิ้น โจทก์แถลงหมดพยาน ศาลจึงนัดสืบพยานจำเลยในวันที่ 24 เมษายน, 15 และ 28 พฤษภาคม 2561
(อ้างอิง: คำให้การพยาน ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 45 ก./2558 ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 และ https://www.tlhr2014.com/?p=12871)
-
วันที่: 24-04-2018นัด: สืบพยานจำเลยพยานจำเลยปากแรก บัณฑิต เข้าเบิกความเป็นพยานให้ตนเอง โดยเบิกความต่อศาลเกี่ยวกับเจตนาของตนว่า เขาต้องการจะสื่อสารว่าสังคมกำลังขัดแย้งแบ่งเป็น 2 ฝ่าย หากต่อสู้กันจนเกิดความรุนแรงจะทำอย่างไร ซึ่งเขาเจตนาจะพูดถึงระบอบการปกครอง ไม่ใช่ตัวบุคคล ส่วนที่กล่าวว่ากษัตริย์อยู่เหนือกฎหมายนั้นหมายความว่า พระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะที่จะถูกฟ้องร้องหรือวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้
เมื่อศาลมีคำสั่งให้ส่งตัวจำเลยไปตรวจรักษาอาการทางจิต ระหว่างรักษาแบบผู้ป่วยในอยู่ที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ เขาไม่ได้รับประทานยาตามแพทย์สั่ง หลังจากนั้นเมื่อได้รับยาก็โยนทิ้งทั้งหมด เพราะเขาไม่ได้เป็นผู้วิกลจริต และเชื่อว่าถ้อยคำที่พูดในคดีนี้ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
(อ้างอิง: คำให้การพยาน ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 45 ก./2558 ลงวันที่ 24 เมษายน 2561) -
วันที่: 15-05-2018นัด: สืบพยานจำเลยสาวตรี สุขศรี อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งทนายจำเลยนัดหมายนำเข้าเบิกความในวันนี้ ไม่มาศาล เนื่องจากติดสอน ศาลจึงให้เลื่อนการสืบพยานปากนี้ออกไปก่อน
-
วันที่: 28-05-2018นัด: สืบพยานจำเลยทนายจำเลยนำนายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) พยานผู้เชี่ยวชาญเข้าเบิกความต่อศาลทหารกรุงเทพในประเด็นความเห็นเกี่ยวกับข้อความของจำเลย, ปัญหาการบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
ยิ่งชีพเบิกความให้ความเห็นว่า ประโยคที่จำเลยถูกฟ้องประโยคแรกยังพูดไม่จบประโยค ส่วนประโยคที่ 2 เป็นประโยคคำถามที่ยังไม่จบเช่นกัน ทั้งสองประโยคไม่มีลักษณะหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย และพูดถึงระบอบมากกว่าตัวบุคคล
หลังสืบพยานปากนี้จนเสร็จ ศาลนัดสืบพยานจำเลยปาก นางสาวสาวตรี สุขศรี ในวันที่ 3 สิงหาคม 2561
(อ้างอิง: คำให้การพยาน ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 45 ก./2558 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2561) -
วันที่: 03-08-2018นัด: สืบพยานจำเลยจำเลยป่วยไม่ได้เดินทางมาศาล ศาลจึงให้เลื่อนสืบพยานผู้เชี่ยวชาญ น.ส.สาวตรี สรีสุข ไปเป็นวันที่ 14 พฤศจิกายน 2561
-
วันที่: 14-11-2018นัด: สืบพยานจำเลยบัณฑิต จำเลยยังคงป่วย ไม่สามารถมาศาลได้ ศาลจึงให้เลื่อนการสืบพยานจำเลยปากพยานผู้เชี่ยวชาญ น.ส.สาวตรี สรีสุข ออกไปเป็นวันที่ 13 มีนาคม 2562 เวลา 09:00 น.
-
วันที่: 13-03-2019นัด: สืบพยานจำเลยพยานจำเลยปากที่ 3 ซึ่งเป็นพยานปากสุดท้ายเข้าเบิกความ หลังจากเลื่อนมาแล้ว 3 ครั้ง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สาวตรี สุขศรี อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอาญา เข้าให้การต่อศาลว่า ประโยคที่ถูกฟ้องของจำเลยไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ทั้งสองประโยค เพราะไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริง ไม่เข้าข่ายหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย
พยานเห็นว่า ถ้อยคำว่า "กษัตริย์อยู่เหนือการเมือง" ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ผู้ใดจะฟ้องร้องพระมหากษัตริย์มิได้ เนื่องจากพระองค์ทรงกระทำการใดผ่านผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ส่วนประโยคที่ 2 เป็นการตั้งคำถามเกี่ยวกับระบอบการปกครองซึ่งเป็นคำถามสากล ไม่ได้กล่าวถึงพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
สืบพยานปากสุดท้ายเสร็จสิ้น ศาลทหารกรุงเทพนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 24 มิถุนายน 2562
(อ้างอิง: คำให้การพยาน ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 45 ก./2558 ลงวันที่ 13 มีนาคม 2562) -
วันที่: 24-06-2019นัด: ฟังคำพิพากษาศาลทหารกรุงเทพเลื่อนอ่านคำพิพากษาไปวันที่ 5 สิงหาคม 2562 เวลา 13.00 น. โดยศาลให้เหตุผลว่า เนื่องจากคดีมีประเด็นสำคัญต้องไตร่ตรอง
(อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 45 ก./2558 ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2562) -
วันที่: 05-08-2019นัด: ฟังคำพิพากษาวันนี้เดิมศาลนัดฟังคำพิพากษา แต่ศาลแจ้งคู่ความว่า เนื่องจากคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 9/2562 เรื่องการยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2562 ซึ่งกำหนดในข้อที่ 2 ให้ยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดให้คดีอยู่ในอำนาจของศาลทหาร บรรดาการกระทำความผิดตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติตามวรรคหนึ่ง ไม่ว่าจะกระทำก่อนหรือหลังคำสั่งนี้ใช้บังคับ ให้อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ส่วนการกระทำความผิดที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดีของศาลทหารในวันก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับ ให้โอนคดีนั้น ๆ ไปยังศาลยุติธรรม
ศาลจึงให้งดการฟังคำพิพากษาคดีนี้ไว้ชั่วคราวและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลนี้ และส่งสำนวนคดีไปยังศาลยุติธรรม โดยให้สัญญาประกันตัวยังคงมีผลต่อไป
ทนายจำเลยตั้งคำถามต่อศาลว่า คดีนี้ศาลทหารเขียนคำพิพากษาเสร็จแล้วและจะส่งไปให้ศาลยุติธรรมอ่านใช่หรือไม่ เพราะคดีสืบเสร็จแล้ว และมีนัดฟังคำพิพากษา แต่ศาลตอบเพียงว่าศาลทหารไม่มีอำนาจทำคำพิพากษาแล้ว เป็นอำนาจศาลยุติธรรมในการทำคำพิพากษา
อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า การโอนคดีไปศาลยุติธรรมทั้งที่กระบวนการสืบพยานเสร็จสิ้นแล้ว อาจทำให้ตุลาการศาลยุติธรรมมีปัญหาในการทำคำพิพากษา เนื่องจากไม่ได้ดำเนินการสืบพยานเอง จึงอาจไม่เห็นอากัปกริยาของพยานและจำเลย ต้องเขียนคำพิพากษาจากบันทึกการสืบพยานในสำนวนที่ศาลทหารกรุงเทพส่งไปให้เท่านั้น
นอกจากนี้ คดีดังกล่าวยังเกิดในช่วงกฎอัยการศึก ซึ่งห้ามอุทธรณ์-ฎีกาในศาลทหาร ก็มีปัญหาว่า หากโอนคดีไปศาลยุติธรรมแล้วคู่ความในคดีจะสามารถขออุทธรณ์-ฎีกาได้หรือไม่
(อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 45 ก./2558 ลงวันที่ 5 สิงหาคม 2562 และ https://www.tlhr2014.com/?p=13201) -
วันที่: 27-01-2020นัด: พร้อมศาลได้นัดบัณฑิตมาทำสัญญาประกันตัวชั่วคราวใหม่ หลังโอนย้ายคดีมาจากศาลทหาร แต่ยังคงใช้หลักประกันเดิมที่ได้วางไว้ในศาลทหาร อย่างไรก็ตาม ตัวแทนของกองทุนยุติธรรมซึ่งเป็นนายประกันไม่ได้มาศาล จึงยังทำเรื่องขอปล่อยตัวชั่วคราวในศาลนี้ไม่ได้ ทนายจำเลยได้ขอเวลาเพื่อประสานกับกองทุนยุติธรรม ศาลเห็นควรก่อนจะสั่งนัดพร้อมอีกครั้งในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 09.00 น.
นอกจากนี้ อัยการโจทก์ได้ทำการตรวจสอบวัตถุพยาน พบว่าซีดีที่เป็นคลิปเหตุการณ์มีสภาพแตกหัก จึงขอส่งสำเนาซีดีชิ้นใหม่ในนัดหน้า ทนายจำเลยไม่คัดค้าน แต่ขอตรวจสอบเนื้อหาในแผ่นซีดีก่อนที่จะใส่ในสำนวน
(อ้างอิง: https://www.tlhr2014.com/?p=15711) -
วันที่: 17-02-2020นัด: พร้อมศาลนัดพร้อมจำเลย ทนายจำเลย และอัยการโจทก์ มาเพื่อทำสัญญาประกันตัวใหม่ ทนายจำเลยแจ้งศาลว่า วันนี้ตัวแทนของกองทุนยุติธรรมมาศาลแล้ว ทว่ายังขาดเอกสารสำคัญคือหนังสือมอบอำนาจและใบเสร็จรับเงินจากศาลทหาร จึงยังไม่อาจทำสัญญาประกันในวันนี้ได้ ทั้งนี้ ตัวแทนของกองทุนฯ ระบุว่า จำเเป็นต้องใช้เวลาราว 3 สัปดาห์ เพื่อดำเนินการให้แล้วเสร็จ
พร้อมกันนั้น ทางอัยการโจทก์ยังได้ยื่นคำแถลงเพื่อขอส่งวัตถุพยานแผ่นซีดีใหม่แทนที่อันเก่าซึ่งแตกหัก ทนายจำเลยได้ตรวจสอบและรับรอง ศาลจึงได้กำหนดนัดพร้อมเพื่อสอบคำให้การอีกครั้งในวันที่ 17 มีนาคม 2563 เวลา 9.00 น. และกำชับให้ทนายจำเลยทำเรื่องขอประกันตัวให้แล้วเสร็จก่อนหรือภายในวันนัดดังกล่าว
(อ้างอิง: https://www.tlhr2014.com/?p=16021) -
วันที่: 17-03-2020นัด: ถามคำให้การศาลอาญา รัชดาฯ ได้นัดพร้อมคู่ความมาในวันนี้เพื่อถามคำให้การและกำหนดนัดฟังคำพิพากษา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจำเลยป่วย ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ ศาลจึงได้เลื่อนนัดเป็นวันที่ 21 เมษายน 2563
คดีนี้มีการดำเนินการทำสัญญาประกันใหม่หลังโอนย้ายคดีมายังศาลยุติธรรมแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 13 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยศาลได้กำหนดเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยในระหว่างพิจารณา คือ ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
(อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ. 3037/2562 ลงวันที่ 17 มี.ค. 2563 และ https://www.tlhr2014.com/?p=16576) -
วันที่: 21-04-2020นัด: ถามคำให้การเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ศาลจึงให้ยกเลิกกำหนดนัดเดิม และนัดถามคำให้การและกำหนดนัดฟังคำพิพากษาไปเป็นวันที่ 13 ก.ค. 2563 เวลา 09.00 น.
-
วันที่: 13-07-2020นัด: ถามคำให้การศาลอาญาอ่านและอธบายฟ้องจำเลยฟังอีกครั้ง บัณฑิตยืนยันให้การปฏิเสธ และรับว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ โจทก์และจำเลยแถลงว่า การสืบพยานโจทก์และจำเลยเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งสองฝ่ายติดใจสืบพยานและส่งพยานหลักฐานเพียงเท่านี้ และไม่คัดค้านกระบวนการพิจารณาที่ได้ดำเนินการมาแล้ว ศาลแจ้งว่าคดีเป็นอันเสร็จการพิจารณา นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 ส.ค. 2563 เหตุที่นัดนานเนื่องจากติดเรียงคำพิพากษาหลายเรื่อง
(อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ. 3037/2562 ลงวันที่ 13 ก.ค. 2563) -
วันที่: 25-08-2020นัด: ฟังคำพิพากษาศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้อง โดยคำพิพากษาของศาลได้เท้าความถึงพฤติการณ์ของคดีเมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2557 จำเลยเข้าร่วมประชุมกับกลุ่มนวัตกรรมไทย ในช่วงที่เปิดให้แสดงความเห็นเวลาราว 13.30 น. จำเลยได้พูดประโยคแรก แสดงความเห็นเกี่ยวกับระบอบกษัตริย์ ความว่า “ประเด็นของผมมีว่า ขณะนี้ คนไทยแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งนิยมระบอบกษัตริย์ ที่กษัตริย์มีอำนาจอยู่เหนือกฎหมาย เป็นประมุขของรัฐ … มันก็จะมีคำถามว่า ระหว่างการรักษาระบอบเจ้าเอาไว้ กับการยกเลิกระบอบเจ้านั้นเสีย …” แต่ยังไม่ทันพูดจบประโยค ก็ถูกห้ามไม่ให้พูดต่อ จากนั้นจำเลยพยายามจะพูดต่ออีกประโยค สร้างความไม่พอใจให้กับผู้เข้าร่วม จนบางคนเดินออกจากห้อง ภายหลัง จำเลยได้ถูกควบคุมตัวไปยัง สน.สุทธิสาร และถูกสั่งฟ้องโดยอัยการศาลทหารในเวลาต่อมา
ในส่วนของพยานโจทก์ ร้อยตำรวจเอก บัญชา เจือจาน, สิบตำรวจเอก ศิรวิทย์ รวมจิตร, จ่าสิบเอก กายสิทธิ์ เจริญไพบูลย์, สิบโท พิชาญ วรรณกี้ ผู้จับกุมจำเลย ต่างเบิกความว่า สาเหตุที่เข้าจับกุมจำเลยเนื่องจากปรึกษากันเองแล้วเห็นว่าน่าจะเข้าข่ายหมิ่นประมาทหรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์
ในส่วนของพยานโจทก์ ศาสตราจารย์ เสาวลักษณ์ อนันตศานต์ อาจารย์ภาคภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่เข้าเบิกความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำพูดของจำเลย มองว่ามีลักษณะเข้าข่ายหมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้ายกษัตริย์ อย่างไรก็ตาม คำเบิกความดังกล่าวก็เป็นเพียงข้อคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น
ศาลได้พิเคราะห์ถึงถ้อยประโยคของจำเลยที่ยังกล่าวไม่จบ จึงไม่ชัดเจนเพียงพอว่าจำเลยมีพฤติกรรมหรือจุดประสงค์ต้องการจะหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ หรือไม่
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นทั้ง 3 ส่วน จึงมีเหตุควรสงสัยตามสมควรในพยานหลักฐานของโจทก์ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง ศาลพิพากษายกฟ้อง
หนึ่งคดีสิ้นสุด อีกหนึ่งยังสู้ต่อ
สำหรับคดีของบัณฑิตคดีนี้ เป็นคดีที่เคยถูกพิจารณาในศาลทหารกรุงเทพ มาตั้งแต่วันที่ 19 ก.พ. 58 ใช้เวลากว่า 4 ปี จึงสืบพยานทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยจนเสร็จสิ้น และศาลทหารได้เตรียมนัดฟังคำพิพากษาแล้ว กระทั่ง คสช. ได้มีคำสั่งให้โอนย้ายคดีจากศาลทหารมายังศาลยุติธรรม ตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 9/2562 ก่อน คสช. ยุติบทบาท คดีของบัณฑิตจึงถูกโอนย้ายมายังศาลอาญา โดยที่ศาลอาญาต้องทำคำพิพากษาทั้งที่ไม่ได้เป็นผู้พิจารณาคดีมาก่อน และไม่ได้มีโอกาสได้เห็นอากัปกิริยาของพยานและจำเลยในคดี
อย่างไรก็ตาม นอกจากคดีนี้ บัณฑิตยังถูกฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากการแสดงความเห็นเกี่ยวกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ควรบรรจุไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี 2558 อีกคดี คดีนี้ถูกโอนย้ายมาจากศาลทหารกรุงเทพเช่นกัน โดยศาลอาญานัดสืบพยานวันที่ 19-20 พ.ย. 2563
สถานะ การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว หรือ ผลการพิพากษา
ชั้นสอบสวน
ผู้ถูกดำเนินคดี :
สมอลล์ บัณฑิต อาร์ณีญาญ์
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
ศาลชั้นต้น
ผู้ถูกดำเนินคดี :
สมอลล์ บัณฑิต อาร์ณีญาญ์
ผลการพิพากษา
ยกฟ้อง
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ :
25-08-2020
แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์