ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
- พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
- ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)
ดำ 54/2559 (อ. 1541/2562)
ผู้กล่าวหา
- พล.ต.วิจารณ์ จดแตง และ พ.ต.อ.โสภณ มงคลโสภณรัตน์ (ทหาร)
ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
- พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14
- หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
- ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116)
หมายเลขคดี
ดำ 54/2559 (อ. 1541/2562)
ผู้กล่าวหา
- พล.ต.วิจารณ์ จดแตง และ พ.ต.อ.โสภณ มงคลโสภณรัตน์
ความสำคัญของคดี
ฐนกร (สงวนนามสกุล) พนักงานบริษัทเอกชน ถูกดำเนินคดีฐานยุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 จากการแชร์ผังทุจริตในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ และข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 โดยถูกกล่าวหาว่า กดไลค์เพจที่มีข้อความหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ และโพสต์เสียดสีคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง ฐนกรให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวน แต่ให้การปฏิเสธในชั้นศาล คดีอยู่ในการพิจารณาของศาลทหารกรุงเทพ โดยศาลไม่ได้สั่งพิจารณาลับ แต่ห้ามจดบันทึกและเผยแพร่คำเบิกความพยาน ซึ่งกระทบต่อสิทธิในการได้รับพิจารณาคดีโดยเปิดเผยของจำเลยเช่นเดียวกัน เนื่องจากทำให้สาธารณชนไม่อาจตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมได้
การตั้งข้อกล่าวหาในคดีนี้เห็นได้ชัดว่า เป็นการกล่าวหาทางการเมืองอย่างเกินความเป็นจริง ทั้งข้อหาตามมาตรา 116 กรณีโพสต์แผนผังการทุจริตของอุทยานราชภักดิ์ ซึ่งเป็นเพียงการพาดพิงบุคคลใน คสช. และการตั้งข้อหามาตรา 112 กรณีกดไลค์เพจเฟซบุ๊กและโพสต์เสียดสีสุนัขทรงเลี้ยง เนื่องจากไม่มีกฎหมายกำหนดว่าการกดไลค์เป็นความผิด และ “สุนัขทรงเลี้ยง” นั้นไม่ได้อยู่ในความคุ้มครองของมาตรา 112 การตั้งข้อหาเกินความเป็นจริงดังกล่าวส่งผลต่อสิทธิในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นสอบสวน และเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนในการแสดงความเห็นต่อความไม่โปร่งใสในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ กรณีการแสดงความเห็นต่อโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์นั้น มีผู้ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับฐนกรอีกอย่างน้อย 2 ราย คือ "แจ่ม" และธเนตร แต่ในที่สุดอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง "แจ่ม" ในทั้งสองข้อหา
การตั้งข้อกล่าวหาในคดีนี้เห็นได้ชัดว่า เป็นการกล่าวหาทางการเมืองอย่างเกินความเป็นจริง ทั้งข้อหาตามมาตรา 116 กรณีโพสต์แผนผังการทุจริตของอุทยานราชภักดิ์ ซึ่งเป็นเพียงการพาดพิงบุคคลใน คสช. และการตั้งข้อหามาตรา 112 กรณีกดไลค์เพจเฟซบุ๊กและโพสต์เสียดสีสุนัขทรงเลี้ยง เนื่องจากไม่มีกฎหมายกำหนดว่าการกดไลค์เป็นความผิด และ “สุนัขทรงเลี้ยง” นั้นไม่ได้อยู่ในความคุ้มครองของมาตรา 112 การตั้งข้อหาเกินความเป็นจริงดังกล่าวส่งผลต่อสิทธิในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นสอบสวน และเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนในการแสดงความเห็นต่อความไม่โปร่งใสในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ กรณีการแสดงความเห็นต่อโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์นั้น มีผู้ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับฐนกรอีกอย่างน้อย 2 ราย คือ "แจ่ม" และธเนตร แต่ในที่สุดอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง "แจ่ม" ในทั้งสองข้อหา
พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี
อัยการศาลทหารยื่นฟ้องนายฐนกร (สงวนนามสกุล) ต่อศาลทหารกรุงเทพ ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ.2550 มาตรา 14 คำฟ้องของอัยการกล่าวหาว่า ฐนกรกระทำความผิดรวม 3 กรรม ดังนี้
1) ระหว่างวันที่ 19 ก.ย. - 8 ธ.ค. 2558 จำเลยได้ใช้เฟซบุ๊กซึ่งเป็นของจำเลย เข้าไปดูและกดถูกใจ (like) แฟนเพจ “ยืนหยัด ปรัชญา” ที่โพสต์รูปภาพและข้อความประกอบซึ่งแสดงถึงความอาฆาตมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อันเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักร
2) เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2558 จำเลยได้ใช้เฟซบุ๊กซึ่งเป็นของจำเลย โพสต์ข้อความพาดพิงถึงคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง ในลักษณะประชดประชัน อันเป็นการดูหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระมหากษัตริย์ และเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักร
3) เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2558 จำเลยได้ใช้เฟซบุ๊กซึ่งเป็นของจำเลย โพสต์ภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ, พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร และบุคคลผู้มีชื่ออีกหลายคนที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ โดยมีข้อความประกอบภาพสรุปความได้ว่า บุคคลตามภาพมีความเกี่ยวข้องกับการทุจริตอุทยานราชภักดิ์ ลงในแฟนเพจ "สถาบันคนเสื้อแดงแห่งชาติ (สคช.ป" อันเป็นการลดทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลต่อประชาชนทั่วไป อันเป็นความเท็จ เพราะความจริงไม่ปรากฎหลักฐานการทุจริตในโครงการดังกล่าวแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยเป็นไปเพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศและบุคคลเหล่านั้น และเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 54/2559 ลงวันที่ 4 มี.ค. 2559)
1) ระหว่างวันที่ 19 ก.ย. - 8 ธ.ค. 2558 จำเลยได้ใช้เฟซบุ๊กซึ่งเป็นของจำเลย เข้าไปดูและกดถูกใจ (like) แฟนเพจ “ยืนหยัด ปรัชญา” ที่โพสต์รูปภาพและข้อความประกอบซึ่งแสดงถึงความอาฆาตมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อันเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักร
2) เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2558 จำเลยได้ใช้เฟซบุ๊กซึ่งเป็นของจำเลย โพสต์ข้อความพาดพิงถึงคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง ในลักษณะประชดประชัน อันเป็นการดูหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระมหากษัตริย์ และเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักร
3) เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2558 จำเลยได้ใช้เฟซบุ๊กซึ่งเป็นของจำเลย โพสต์ภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ, พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร และบุคคลผู้มีชื่ออีกหลายคนที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ โดยมีข้อความประกอบภาพสรุปความได้ว่า บุคคลตามภาพมีความเกี่ยวข้องกับการทุจริตอุทยานราชภักดิ์ ลงในแฟนเพจ "สถาบันคนเสื้อแดงแห่งชาติ (สคช.ป" อันเป็นการลดทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลต่อประชาชนทั่วไป อันเป็นความเท็จ เพราะความจริงไม่ปรากฎหลักฐานการทุจริตในโครงการดังกล่าวแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยเป็นไปเพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศและบุคคลเหล่านั้น และเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 54/2559 ลงวันที่ 4 มี.ค. 2559)
ความคืบหน้าของคดี
-
วันที่: 14-12-2015นัด: แจ้งข้อกล่าวหาและฝากขังครั้งที่ 1หลังฐนกรถูกทหารจับกุมตัวจากที่ทำงาน ซึ่งเป็นบริษัทเอกชน เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2558 และถูกนำไปควบคุมตัวโดยอาศัยอำนาจตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 รวม 7 วัน ทหารได้นำตัวฐนกรไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามดำเนินคดีในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากการกดไลค์เพจเฟซบุ๊ก และโพสต์ข้อความเสียดสีสุนัขทรงเลี้ยง และข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 จากการโพสต์ผังการทุจริตในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์
พนักงานสอบสวนทำบันทึกจับกุมและแจ้งข้อกล่าวหา โดยไม่มีทนายความหรือผู้ที่ฐนกรไว้วางใจเข้าร่วม แม้ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้แนะนำตนต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามไว้และขอให้พนักงานสอบสวนแจ้งทนายความเพื่อเข้าร่วมระหว่างการสอบสวนและแจ้งข้อกล่าวหาด้วย แต่ไม่ได้รับการติดต่อแต่อย่างใด ชั้นจับกุมและสอบสวนฐนกรให้การรับสารภาพ
จากนั้น พนักงานสอบสวนได้นำฐนกรไปขออำนาจศาลทหารกรุงเทพฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 1 มีกำหนด 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 14 - 25 ธ.ค. 2558 ระบุเหตุผลว่า เนื่องจากต้องสอบสวนพยานเพิ่มเติมอีก 15 ปาก รอผลการตรวจสอบข้อมูลคอมพิวเตอร์ และผลการตรวจสอบลายพิมพ์นิ้วมือ ศาลทหารมีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขัง โดยทนายความได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวโดยมีหลักประกันเป็นเงินสด 300,000 บาท แต่ศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ระบุว่า เนื่องจาก “คดีมีโทษสูงประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้าน เมื่อพิจารณาตามพฤติการณ์แห่งคดีแล้วน่าเชื่อว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี หรือไปก่อเหตุอันตรายอย่างอื่น อันเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงาน จึงไม่อนุญาต”
สำหรับบันทึกจับกุมและคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 1 นั้นระบุว่า เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 58 ทหารได้เชิญตัวฐนกรไปยังกองบังคับการปราบปราม ซึ่งนายฐนกรเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลทหารกรุงเทพ ที่ จพ.39/2558 ลงวันที่ 10 ธ.ค. 2558 เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและแสดงหมายจับดังกล่าว โดยกล่าวหาว่า นายฐนกรมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, มาตรา 116 แล ะพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ.2550 มาตรา 14 จากการกระทำ 3 เหตุการณ์ กล่าวคือ
• การกดถูกใจภาพของเฟซบุ๊กหนึ่งเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2558 อันเป็นการดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งทำให้บุคคลอื่นที่ไม่ทราบความจริงเข้าใจว่า พระมหากษัตริย์กระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
• การคัดลอกรูปภาพ 3 รูปภาพจากทวิตเตอร์ไปโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2558 ซึ่งมีข้อความประชดเสียดสีสุนัขทรงเลี้ยงของในหลวง
• การคัดลอกรูปภาพแผนผังที่มีข้อความ “เปิดปมทุจริตอุทยานราชภักดิ์” จากทวิตเตอร์ไปยังเพจเฟซบุ๊ก “สถาบันคนเสื้อแดงแห่งชาติ” เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2558 ซึ่งเป็นกลุ่มเฟซบุ๊กที่ชอบพูดเรื่องการเมือง ต่อต้านการทำงานของรัฐบาล เป็นการปลุกปั่นยุยงให้หมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นได้
ทั้งนี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนมีข้อสังเกตว่าคดีดังกล่าวมีการกระทำที่อาจไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายประการตั้งแต่การปกปิดสถานที่ในการควบคุมตัว การปฏิเสธสิทธิในการเข้าถึงทนายความ นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตว่าในคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 1 โดยปกติพนักงานสอบสวนจะต้องบรรยายโดยละเอียดว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์อย่างไร ถ้อยคำหรือภาพที่กล่าวอ้างว่าดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทนั้นมีข้อความว่าอย่างไร แต่คำร้องดังกล่าวกลับไม่ระบุถ้อยคำที่ชัดเจน ได้เพียงแต่ระบุองค์ประกอบทางกฎหมายเท่านั้น
(อ้างอิง: บันทึกการจับกุม กองบังคับการปราบปราม ลงวันที่ 14 ธ.ค. 2558, คำร้องขอฝากขังผู้ต้องหา ครั้งที่ 1 ศาลทหารกรุงเทพ ลงวันที่ 14 ธ.ค. 2558 และ https://tlhr2014.wordpress.com/2015/12/14/thanakorn-112-116-1/) -
วันที่: 25-12-2015นัด: ฝากขังครั้งที่ 2ศาลทหารกรุงเทพอนุญาตให้ฝากขังฐนกรครั้งที่ 2 หลัง พ.ต.ท.ภานุภัค สืบปรุ พนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม ยื่นคำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 2 มีกำหนด 12 วัน นับตั้งแต่ 26 ธ.ค. 2558 ถึงวันที่ 6 ม.ค. 2559 เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น โดยต้องทำการสอบพยานอีก 10 ปาก, รอผลการตรวจสอบข้อมูลคอมพิวเตอร์ จากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับเทคโนโลยี, และผลการตรวจประวัติการต้องโทษของผู้ต้องหา
ต่อมา ญาติฐนกรได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวต่อศาลทหารกรุงเทพ โดยวางเงินสดจำนวน 900,000 บาท เป็นหลักทรัพย์ประกัน โดยครั้งนี้ถือการขอปล่อยตัวชั่วคราวเป็นครั้งที่ 2 ศาลทหารมีคำสั่งไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ระบุว่า “พนักงานสอบสวนไม่อยู่และไม่สามารถติดต่อได้ มีเหตุสมควรจึงให้งดถามเสีย ประกอบกับพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวไว้ตามคำร้องฝากขังฉบับ 14 ธ.ค. 2558 กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งจึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ยกคำร้อง พิเคราะห์แล้วเห็นว่าศาลนี้เคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยระบุเหตุผลไว้ชัดเจนแล้ว กรณีจึงไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม”
(อ้างอิง: คำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 2 ศาลทหารกรุงเทพ ลงวันที่ 25 ธ.ค. 2558 และ https://tlhr2014.wordpress.com/2015/12/25/thanakorn-112-1/)
-
วันที่: 06-01-2016นัด: ฝากขังครั้งที่ 3พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 3 ตั้งแต่ 7-18 ม.ค. 59 และศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขัง
วันเดียวกัน ทนายความได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวของศาลทหารกรุงเทพ ฉบับลงวันที่ 25 ธ.ค. 2558 ต่อศาลทหารกลาง ความว่า ฐนกรไม่มีพฤติการณ์หลบหนี ที่ผ่านมาได้ให้การที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อทหารและพนักงานสอบสวนหลายประการ ผู้ต้องหาเห็นว่าการกระทำไม่เป็นความผิด แต่ที่ได้ให้การรับสารภาพ เนื่องจากไม่มีโอกาสได้พบญาติหรือทนายความที่ไว้ใจ หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวก็ประสงค์จะต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ อีกทั้งพยานหลักฐานในคดีอยู่ในครอบครองของเจ้าหน้าที่หมดแล้ว ผู้ต้องหาจึงไม่อาจไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานได้อีก การปล่อยชั่วคราวจึงไม่กระทบต่อการสอบสวน แต่เป็นการให้โอกาสผู้ต้องหาในการรวบรวมพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตั้งแต่ชั้นสอบสวนอย่างเต็มที่
อุทธรณ์ยังระบุว่า เหตุสำคัญในการขอปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นกำลังหลักของครอบครัว ต้องเลี้ยงดูบิดามาดราที่อายุมากและมีโรคประจำตัว รวมทั้งน้องสาวที่อยู่ในวัยเรียน การปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาจะเป็นการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาในคดีอาญาตามหลักกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชนสากล ทั้งยังทำให้สังคมเห็นว่า กระบวนการยุติธรรมยังคงเป็นเสาหลักอำนวยความยุติธรรมให้กับได้อย่างแท้จริง
(อ้างอิง: อุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ศาลทหารกรุงเทพ ลงวันที่ 6 ม.ค. 59) -
วันที่: 15-01-2016นัด: ฝากขังครั้งที่ 4ศาลทหารกรุงเทพอนุญาตฝากขังฐนกรตั้งแต่วันที่ 19-30 ม.ค. 2559 ตามคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 4 ของพนักงานสอบสวน ที่อ้างว่า การสอบสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากยังต้องสอบพยานอีก 4 ปาก รอผลการตรวจสอบข้อมูลคอมพิวเตอร์จากกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับเทคโนโลยี (บก.ปอท.) กระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ และผลการตรวจสอบประวัติการต้องโทษของผู้ต้องหาจากกองทะเบียนประวัติอาชญากรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แม้ทนายความจะคัดค้านการฝากขังโดยให้เหตุผลว่า การสอบสวนที่ยังไม่เสร็จสิ้นตามคำอ้างของพนักงานสอบสวน ไม่ว่าจะเป็นการสอบพยาน การรอผลการตรวจสอบข้อมูลคอมพิวเตอร์ และการตรวจสอบประวัติการต้องโทษของผู้ต้องหา เป็นเหตุที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนสามารถดำเนินการสอบสวนได้โดยไม่จำเป็นต้องคุมขังผู้ต้องหาไว้ ประกอบกับพนักงานสอบสวนได้รวบรวมหลักฐานไว้ในความครอบครองแล้ว ทั้งผู้ต้องหายังเป็นบุคคลธรรมดา ที่ไม่อาจไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานได้ จึงไม่มีเหตุที่จะต้องคุมขังผู้ต้องหา
ทั้งนี้ การนำตัวฐนกรมาที่ศาลทหารกรุงเทพเพื่อขออนุญาตฝากขังครั้งนี้ เป็นการนำตัวผู้ต้องหามาศาลโดยทนายความไม่ทราบล่วงหน้า เนื่องจากคดีของฐนกรจะครบฝากขังครั้งที่ 3 ในวันจันทร์ ที่ 18 ม.ค. 2559 ซึ่งไม่ใช่วันหยุดราชการทั่วไป แต่ศาลทหารจะปิดทำการ เพราะเป็นวันหยุดราชการของกระทรวงกลาโหม เนื่องในวันกองทัพไทย
วันเดียวกันนี้ ศาลทหารกรุงเทพได้อ่านคำสั่งศาลทหารกลางที่ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่ให้ประกันตัวของศาลทหารกรุงเทพ ฉบับวันที่ 25 ธ.ค. 2558 โดยศาลทหารกลางระบุเหตุผลว่า เนื่องจากคำสั่งศาลทหารกรุงเทพที่ไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2558 อยู่ในระยะเวลาของการฝากขังครั้งที่ 1 แต่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 3 ไปแล้ว ศาลทหารกลางเห็นว่า การที่ศาลทหารกรุงเทพรับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของฐนกร ฉบับลงวันที่ 6 ม.ค. 2559 ไว้นั้น ไม่ถูกต้อง เนื่องจากล่วงเลยเวลาที่ศาลได้มีคำสั่งขังผู้ต้องหาในครั้งที่ 1 อันเป็นมูลเหตุให้ผู้ต้องหาใช้สิทธิอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งศาลดังกล่าว ศาลทหารกลางจึงไม่อาจพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งขอปล่อยตัวชั่วคราวของผู้ต้องหาได้ จึงให้ยกคำสั่งศาลทหารกรุงเทพที่สั่งรับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของผู้ต้องหา และให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของผู้ต้องหา
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนมีความเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ศาลทหารกลางมองคำสั่งอนุญาตฝากขังแต่ละครั้งแยกขาดออกจากกัน ซึ่งในมุมของการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหา การอนุญาตฝากขังแต่ละครั้งคือการขยายเวลาการควบคุมตัวผู้ต้องหาออกไป ผู้ต้องหาจึงควรมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวโดยไม่จำเป็นต้องอิงกับระยะเวลาการฝากขังแต่ละครั้ง
นอกจากนี้ ยังปรากฎในคำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ 617/2528 ว่า การยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งปล่อยชั่วคราวไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ที่กำหนดว่า การยื่นอุทธรณ์ ให้ยื่นต่อศาลชั้นต้นในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่าน หรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งให้คู่ความฝ่ายที่อุทธรณ์ฟัง ซึ่งศูนย์ทนายฯ เห็นว่าการยื่นอุทธรณ์คำสั่งปล่อยตัวชั่วคราวไม่ถูกจำกัดด้วยเงื่อนระยะเวลาตามคำสั่งศาลฎีกานี้ จึงสามารถยื่นอุทธรณ์คำสั่งได้ตราบเท่าที่ผู้ต้องหายังอยู่ในความควบคุมตัว และไม่เคยมีกรณียกคำร้องอุทธรณ์ด้วยเหตุผลแบบเดียวกับศาลทหารกลางในศาลยุติธรรมมาก่อน
(อ้างอิง: คำสั่งที่ 1/2559 ศาลทหารกลาง ลงวันที่ 14 ม.ค. 2559 และ https://tlhr2014.wordpress.com/2016/01/15/thanakornwichaijam/)
-
วันที่: 29-01-2016นัด: ฝากขังครั้งที่ 5พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอฝากขังฐนกรเป็นครั้งที่ 5 วันที่ 31 ม.ค. -11 ก.พ. 2559 โดยให้เหตุผลว่า การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น จำเป็นต้องสอบพยาน ติดตามผลการตรวจสอบข้อมูลคอมพิวเตอร์จากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับเทคโนโลยี (ปอท.) ต้องสอบสวนจำเลยเพิ่มเติม และจะต้องนำสำนวนคดีเสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นไปยังคณะทำงานพิจารณาคดีเกี่ยวกับคดีหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเพื่อมีความเห็นทางคดี นอกจากนั้นจะต้องทำการสอบสวนผู้ต้องหาเพิ่มเติมในคดีที่ผู้ต้องหามีหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ซึ่งเกี่ยวพันกับคดีนี้รวมคดีเดียวกัน ศาลทหารมีคำสั่งอนุญาตฝากขัง
ก่อนยื่นคำร้องฝากขัง พ.ต.ท.ภานุภัค สืบปรุ พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ได้นำหมายจับศาลสมุทรปราการ ลงวันที่ 9 ธ.ค. 2558 มาแสดงต่อฐนกร และได้อ่านข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในฐานความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14(1) โดยระบุพฤติการณ์ที่ถูกกล่าวหาว่า ฐนกรใช้เฟซบุ๊กส่วนตัวโพสต์ภาพแผนผัง “เปิดปมการทุจริต อุทยานราชภักดิ์” ที่เพจ “สถาบันคนเสื้อแดงแห่งชาติ” เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2558 ซึ่งฐนกรได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและไม่ให้การใด ๆ ในชั้นพนักงานสอบสวน
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนมีข้อสังเกตว่า หมายจับของศาลสมุทรปราการที่พนักงานสอบสวนนำมาแสดงเป็นการออกหมายจับในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) จากมูลเหตุเดียวกันกับคดีตามหมายจับของศาลทหารกรุงเทพในข้อหาตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(2), ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมาตรา 116 และหมายจับของศาลสมุทรปราการยังเป็นการออกหมายภายหลังจากที่ฐนกรถูกควบคุมตัวไปแล้วตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค. 2558 เช่นเดียวกับหมายจับของศาลทหารกรุงเทพอีกด้วย
ทั้งนี้ บันทึกแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมดังกล่าว ระบุพฤติการณ์ที่ถูกกล่าวหา คือ เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2558 ผู้ต้องหาได้เข้าใช้เฟซบุ๊กซึ่งเป็นของจำเลย โพสต์ภาพ แผนผัง ข้อความ ไปยังเพจ “สถาบันคนเสื้อแดงแห่งชาติ” มีเนื้อหากล่าวหาว่า มีการทุจริตและบุคลที่เกี่ยวข้องได้รับประโยชน์จากโครงการอุทยานราชภักดิ์ ดังนี้ 1. เปิดปมการทุจริต อุทยานราชภักดิ์ ตอนที่ 1.แผนผังผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ระบุ ก๊กประยุทร, ก๊กประวิทย์+อุดมเดช และก๊กสุราเชษฐ์ 2.เปิดปมการทุจริต อุทยานราชภักดิ์ ตอนที่ 2 เส้นทางการโอนเงินของโครงการระบุ “เงินส่วนต่าง 600 ล้านบาท หายไปไหนใครชี้แจง” 3.เปิดปมการทุจริต อุทยานราชภักดิ์ ตอนที่ 3 เรื่องรอการพิสูจน์ ระบุ “เงินส่วนต่างที่หายไปและความลับอื่นๆที่ยังไม่มีคำตอบ” 4.อุทยานราชภักดิ์ต้องใช้ใบบัว 5,920,00 ใบ จึงจะปิดได้มิด
(อ้างอิง: คำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 5 ศาลทหารกรุงเทพ ลงวันที่ 29 ม.ค. 2559, บันทึกแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม กองบังคับการปราบปราม ลงวันที่ 29 ม.ค. 2559 และ https://tlhr2014.wordpress.com/2016/01/29/thanakorn-112-116/) -
วันที่: 11-02-2016นัด: ฝากขังครั้งที่ 6พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอฝากขังฐนกรต่อเป็นครั้งที่ 6 ตั้งแต่ 12-23 ก.พ. 2559 โดยให้เหตุผลว่า การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ยังต้องสอบพยานอีก 2 ปาก ต้องติดตามเร่งรัดผลการตรวจสอบข้อมูลคอมพิวเตอร์ และอยู่ระหว่างนำสำนวนคดีเสนอไปยังคณะทำงานพิจารณาคดีเกี่ยวกับคดีหมิ่นสถาบัน และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้มีความเห็นทางคดี
ทนายความได้ยื่นคำร้องคัดค้านโดยระบุเหตุผลว่า การตั้งข้อกล่าวหาในคดีดังกล่าวเป็นการตั้งข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงเกินกว่าความเป็นจริง ทำให้การแสวงหาพยานหลักฐานเป็นไปโดยล่าช้าเกินกว่าจำเป็น ซึ่งต้องควบคุมตัวผู้ต้องหาระหว่างการฝากขังอันเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ต้องหาระหว่างการสอบสวน โดยการตั้งข้อกล่าวหามาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญายังเป็นการตั้งข้อกล่าวหาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจาก “สุนัขทรงเลี้ยง” นั้นไม่ได้อยู่ในความมุ่งหมายในการคุ้มครองตามมาตรา 112 พนักงานสอบสวนย่อมทราบองค์ประกอบความผิดของกฎหมายดี ทำให้การตั้งข้อหามาตรา 112 เป็นอุปสรรคในการขอปล่อยตัวชั่วคราว อีกทั้งข้อกล่าวหาในการโพสต์แผนผังการทุจริตของอุทยานราชภักดิ์นั้นก็เป็นเพียงการหมิ่นประมาทบุคคล ดังเช่นกรณีคดีของนางรินดา ปฤชาบุตร ซึ่งศาลทหารเคยมีความเห็นว่าเป็นความผิดตามมาตรา 326 หรือไม่เท่านั้น ไม่ใช่ข้อกล่าวหาตามมาตรา 116 อันเป็นการกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต
ศาลสั่งยกคำร้องคัดค้านฝากขังของทนายผู้ต้องหา และมีคำสั่งว่าคำร้องของผู้ร้องฝากขังมีเหตุรับฟังได้ จึงอนุญาตให้ฝากขังครั้งที่ 6
(อ้างอิง: คำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 6 และคำร้องคัดค้านฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 6 ศาลทหารกรุงเทพ ลงวันที่ 11 ก.พ. 2559 และ https://tlhr2014.wordpress.com/2016/02/11/thanakorn-112-sixthround/)
-
วันที่: 23-02-2016นัด: ฝากขังครั้งที่ 7พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอฝากขังฐนกรต่อเป็นครั้งที่ 7 ตั้งแต่ 24 ก.พ. - 4 มี.ค. 2559 โดยทนายความผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องคัดค้าน
ระบุเหตุผลว่า เนื่องจากพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนครบถ้วนพอที่จะสั่งคดีแล้ว และผู้ต้องหาได้ให้การปฏิเสธ ไม่มีข้อเท็จจริงใดที่พนักงานสอบสวนจะต้องสอบสวนเพิ่มเติมอีกแล้ว การที่พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาเป็นผัดที่ 7 จึงเป็นการกระทำที่เกินความจำเป็น และไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนตั้งข้อกล่าวหาเกินความเป็นจริง ทำให้พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวนคดีนี้แต่แรก หากศาลอนุญาตให้มีการฝากขังและสอบสวนต่อไป ย่อมกระทบกับกระบวนการยุติธรรม เป็นการเอื้อต่อการสอบสวนที่ล่าช้าเกินจำเป็น และกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวอยู่ระหว่างการสอบสวน อีกทั้งการจงใจตั้งข้อหาที่สูงเกินความจำเป็น เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของฝ่ายทหาร มิใช่การสอบสวนเพื่อยังประโยชน์แก่กระบวนการยุติธรรม อันจะทำให้เกิดบรรทัดฐานผิด ๆ ในชั้นสอบสวน และย่อมกระทบต่อความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม
อย่างไรก็ตาม ศาลทหารกรุงเทพมีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังครั้งที่ 7
(อ้างอิง: คำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 7 และคำร้องคัดค้านฝากขังผู้ต้องหาครั้งที่ 7 ศาลทหารกรุงเทพ ลงวันที่ 23 ก.พ. 2559) -
วันที่: 04-03-2016นัด: ยื่นฟ้องอัยการศาลทหารยื่นฟ้องนายฐนกรต่อศาลทหารกรุงเทพ ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ.2550 มาตรา 14 จากการกระทำรวม 3 กรรม คือ
1) จำเลยได้กดถูกใจแฟนเพจ “ยืนหยัด ปรัชญา” ที่โพสต์ข้อความและรูปภาพแสดงถึงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ และเป็นการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักร
2) จำเลยได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กของจำเลย เกี่ยวกับสุนัขทรงเลี้ยง ข้อความดังกล่าวเป็นไปในลักษณะประชดประชัน อันเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ฯ และเป็นการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักร
3) จำเลยได้โพสต์ภาพบุคคลที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ โดยมีข้อความประกอบภาพสรุปความได้ว่าบุคคลตามภาพมีความเกี่ยวข้องกับการทุจริตอุทยานราชภักดิ์ เป็นการลดทอนความน่าเชื่อถือของบุคคลเหล่านั้นต่อประชาชนทั่วไป ทำให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบในราชอาณาจักร และเป็นการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ
(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 54/2559 ลงวันที่ 4 มี.ค. 2559 และ https://tlhr2014.wordpress.com/2016/03/08/like112/)
-
วันที่: 08-03-2016นัด: ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างพิจารณาคดี โดยนายประกันได้ยื่นหลักทรัพย์ประกันตัวจำนวน 900,000 บาท แต่ศาลทหารกรุงเทพมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัว โดยกำหนดหลักทรัพย์ประกันจำนวน 500,000 บาท และมีเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ
ก่อนหน้านี้ในชั้นสอบสวน ทนายความได้เคยยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวมาแล้วสองครั้งโดยมีหลักประกันเป็นเงินสด 300,000 บาทและ 900,000 บาท ตามลำดับ แต่ศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวเนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี หรืออาจสร้างอุปสรรคหรือความเสียหายในการสอบสวน รวมถึงอาจก่อให้เกิดอันตรายประการอื่น
คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวในครั้งที่ 3 นี้ ผู้ร้องได้อ้างเหตุผล 3 ประการ คือ
1. กระบวนการกล่าวหาจำเลยว่าได้กระทำความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นการกล่าวหาที่เกินเลย และเหมารวมการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 อันเป็นการทำลายระบบนิติรัฐและกระบวนยุติธรรมของไทยในระยะยาว
2. การที่อัยการศาลทหารบรรยายฟ้องเกี่ยวกับการกดไลค์เฟซบุ๊กว่าผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้นไม่ถือเป็น “การกระทำ” ที่เป็นการเผยแพร่หรือเป็นตัวการร่วมหรือผู้สนับสนุนในทางอาญาแต่อย่างใด และกฎหมายอาญานั้นต้องตีความโดยเคร่งครัด ในด้านที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำ มิใช่ในด้านเป็นโทษแก่ผู้กระทำ ในส่วนประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 นั้นผู้กล่าวหาได้กล่าวหาเกินจริงและเกินไปกว่าการกระทำของจำเลย
3. จำเลยเป็นเสาหลักของบ้านเพียงคนเดียวของครอบครัวในการหาเลี้ยงดูบิดามารดา และส่งเสียน้องสาวที่กำลังศึกษาอยู่ หากจำเลยไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ครอบครัวของจำเลยย่อมได้รับความเดือดร้อนเพราะไม่มีเงินมาใช้จ่ายเยียวยาครอบครัว นอกจากนี้ คดีอาจต้องใช้เวลานานในการพิจารณาคดี ในระหว่างพิจารณาคดีของศาลทหาร จึงขออนุญาตให้ศาลปล่อยตัวชั่วคราวฐนกร เพื่อให้เขาได้มีโอกาสสู้คดีได้อย่างเต็มที่ และมีโอกาสทำหน้าที่ลูกชายที่ดีอันเป็นเสาหลักของครอบครัวต่อไป
(อ้างอิง: https://tlhr2014.wordpress.com/2016/03/08/like112/)
-
วันที่: 09-06-2016นัด: สอบคำให้การจำเลยขอเลื่อนนัดถามคำให้การ และได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำวินิจฉัยเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี ตามมาตรา 10 พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2552 เนื่องจากเห็นว่าคดีของตนอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาในศาลยุติธรรม โดยให้เหตุผลในประเด็นพฤติการณ์ของคดีดังนี้
1. การกดไลค์เพจ “ยืนหยัด ปรัชญา” ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เนื่องจากไม่ได้เป็นการกดแชร์ข้อความดังกล่าวโดยตรง
2. การโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กของจำเลย เกี่ยวกับสุนัขทรงเลี้ยงไม่ถือว่าเป็นการกระทำความผิดตาม มาตรา 112 เนื่องจากสุนัขทรงเลี้ยงไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายมาตรานี้
3. การโพสต์ภาพแผนผังการทุจริตโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ที่มีภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 เนื่องจากเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและติชมการบริหารราชแผ่นดินของรัฐบาลโดยสุจริต ซึ่งได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ที่ใช้อยู่ในขณะนี้ และได้รับการรับรองไว้ในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 19 และโพสต์ดังกล่าวก็ไม่มีข้อความปลุกปั่นให้ประชาชนออกมาชุมนุมเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล
คำร้องยังระบุอีกว่า ตามข้อเท็จจริงที่กล่าวไปข้างต้นนี้ คดีของฐนกรจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลทหาร เนื่องจากไม่เข้าองค์ประกอบความผิดทั้งมาตรา 112 และ 116 ซึ่งเป็นความผิดที่ระบุให้อยู่ในการพิจารณาของศาลทหารตามประกาศ คสช.ฉบับที่ 37/2557
นอกจากนี้ ฐนกรยังมีสถานะเป็นพลเรือน ประกาศ คสช.ฉบับที่ 37/2557 ขัดกับมาตรา 4 ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557ประกอบกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 14 (1) และ (5) ทำให้ไม่มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมาย และกฎอัยการศึกที่ให้อำนาจในการออกประกาศดังกล่าวได้ถูกประกาศยกเลิกไปแล้วเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2558 ประกาศดังกล่าวซึ่งเป็นกฎหมายระดับรองจึงสิ้นผลตามไปด้วย
โจทก์เห็นว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจศาลทหาร แต่ไม่คัดค้านการเลื่อนนัดสอบคำให้การ ศาลจึงสั่งให้เลื่อนนัดสอบคำให้การออกไป โดยให้โจทก์ทำคำชี้แจงยื่นต่อศาลภายใน 30 วัน เพื่อทำความเห็นส่งศาลจังหวัดสมุทรปราการ เมื่อศาลจังหวัดสมุทรปราการทำความเห็นส่งมาแล้ว ศาลจะได้นัดคู่ความมาฟังความเห็นหรือคำสั่งศาลต่อไป
(อ้างอิง: https://www.tlhr2014.com/?p=2009)
-
วันที่: 29-11-2016นัด: พร้อมเพื่อฟังคำสั่งศาลศาลทหารกรุงเทพมีนัดพร้อมเพื่อฟังความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ศาลได้อ่านความเห็นโดยสรุปได้ว่า ศาลทหารกรุงเทพได้ทำความเห็นส่งไปยังศาลจังหวัดสมุทรปราการโดยมีความเห็นว่า ความผิดตามฟ้องที่อยู่ในอำนาจพิพากษาของศาลทหารมี 2 กรรม ได้แก่ 1. จำเลยกดถูกใจแฟนเพจ “ยืนหยัด ปรัชญา” ที่โพสต์ข้อความและรูปภาพเข้าข่ายหมิ่นพระมหากษัตริย์ และ 2. จำเลยได้โพสต์ข้อความในลักษณะประชดประชันสุนัขทรงเลี้ยง ซึ่งทั้งสองกรรมโจทก์ฟ้องในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหาร ในส่วนความผิดตามฟ้องกรรมที่สาม จำเลยโพสต์ภาพแผนผังการทุจริตก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ซึ่งโจทก์ฟ้องในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ยุยุงปลุกปั่น และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ให้อยู่ในอำนาจพิพากษาของศาลยุติธรรม (ศาลจังหวัดสมุทราปราการ)
ทั้งนี้ ในความเห็นของศาลทหารไม่ได้ระบุถึงเหตุผลว่าทำไมข้อหาที่หนึ่งและสองอยู่ในการพิจารณาของศาลทหาร แต่ในข้อหาที่สามจึงอยู่ในการพิจารณาของศาลยุติธรรม
ต่อมา ศาลจังหวัดสมุทรปราการได้มีความเห็นส่งกลับมาว่า ระบุว่าคดีนี้ไม่ได้อยู่ในการบังคับของคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 55/2559 ที่ให้ความผิดตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 37/2557 และฉบับที่ 38/2557 ที่ให้อำนาจศาลทหารพิจารณาคดีที่เกี่ยวกับความมั่นคงและฝ่าฝืนประกาศและคำสั่ง คสช. กลับสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรม และเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมาตรา 116 ซึ่งเป็นความผิดตามประกาศ คสช.ฉบับที่ 37/2557 และเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ตามมาตรา 14 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ซึ่งเป็นการกระทำความผิดที่เกี่ยวโยงกันตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 38/2557 ความผิดตามฟ้องทั้ง 3 ข้อจึงอยู่ในเขตอำนาจพิพากษาของศาลทหาร
ดังนั้น ความเห็นของทั้งสองศาลจึงขัดแย้งกันในส่วนของข้อหาที่สาม ศาลทหารกรุงเทพจึงต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการวิจัยชี้ขาดเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลเพื่อพิจารณาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจพิพากษาของศาลใด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 มาตรา 10
(อ้างอิง: รายงานพิจารณา ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 54/2559 ลงวันที่ 29 พ.ย. 2559 และ https://www.tlhr2014.com/?p=2959)
-
วันที่: 26-06-2017นัด: พร้อมเพื่ออ่านคำวินิจฉัยศาลทหารกรุงเทพอ่านคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดเขตอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ลงวันที่ 27 เม.ย. 2560 พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องมาว่า จำเลยเป็นพลเรือนกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 116 และมีการกระทำหลายอย่างเกี่ยวโยงกัน
คำฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์จำนวน 2 กรรมนั้น ทั้งศาลทหารกรุงเทพและศาลจังหวัดสมุทรปราการเห็นตรงกันแล้วว่า เป็นความผิดที่อยู่ในเขตอำนาจศาลทหารกรุงเทพ คงมีปัญหาที่คณะกรรมการฯ ต้องพิจารณาตามข้อหายุยงปลุกปั่นเท่านั้น ว่าอยู่ในอำนาจของศาลใด
คณะกรรมการฯ เห็นว่า เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดฐานยุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ซึ่งเป็นความผิดที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทหาร คดีนี้จึงอยู่ในเขตอำนาจศาลทหาร
จากนั้น ศาลได้อ่านและอธิบายคำฟ้องของโจทก์ให้ฟัง และถามคำให้การของจำเลย จำเลยให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา คู่ความแถลงขอให้กำหนดวันนัดตรวจพยานหลักฐานก่อนกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 14 พ.ย. 2560
(อ้างอิง: https://www.tlhr2014.com/?p=4510) -
วันที่: 14-11-2017นัด: ตรวจพยานหลักฐานอัยการทหารซึ่งเป็นฝ่ายโจทก์แถลงนำพยานบุคคลเข้าสืบทั้งหมด 15 ปาก ส่วนทางด้านฝ่ายจำเลยแถลงจะนำพยานบุคคลเข้าสืบทั้งหมด 6 ปาก
ทั้งนี้ ศาลได้ถามทนายความจำเลยว่าพยานจำเลยปากที่ 5 พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร และพยานปากที่ 6 พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา มีความเกี่ยวข้องกับคดีอย่างไร ทนายจำเลยตอบศาลว่าเนื่องจาก พล.อ.อุดมเดช เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการสร้างอุทยานราชภักดิ์ และ พล.อ.ไพบูลย์ก็เคยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่าโครงการดังกล่าวมีการทุจริต จึงจะของนำพยานทั้งสองปากเข้าสืบ เนื่องจากในฟ้องของอัยการทหารได้ฟ้องจำเลยในข้อหาตามมาตรา 116 จากการแชร์แผนผังผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตในโครงการสร้างอุทยานราชภักดิ์
ศาลกล่าวกับทนายจำเลยว่า พยานทั้งสองปากไม่มีความเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ให้งดการนำพยานทั้งสองปากนี้เข้าสืบในศาล แต่ทนายจำเลยแถลงค้านว่าฝ่ายจำเลยยังยืนยันว่าต้องการให้พยานมาเบิกความยืนยันว่าวัตถุพยานลำดับที่ 12-14 ที่เป็นวิดีโอการให้สัมภาษณ์ของพยานทั้งสองปากที่จำเลยอ้างมาในคดีนี้ พยานได้ให้สัมภาษณ์ตามที่ปรากฏในวิดีโอจริงหรือไม่เท่านั้น ทนายจำเลยยังแถลงต่อศาลเพิ่มเติมว่าคลิปดังกล่าวมีเนื้อหาเพียงส่วนเดียวเท่านั้น ต้องการให้พยานทั้งสองปากมาเบิกความ
ทนายความกล่าวต่ออีกว่า เคยมีคดีลักษณะเดียวกันนี้ที่อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีในข้อหาตามมาตรา 116 จากการที่เคยมีผู้ต้องหาโพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับการทุจริตในโครงการราชภักดิ์ด้วยเนื่องจากถือว่าเป็นการแสดงความเห็นติชมโดยสุจริต
ศาลได้ถามอัยการว่ามีความเห็นอย่างไร อัยการตอบศาลว่าวิดีโอการให้สัมภาษณ์ปรากฏเป็นข่าวจริง ทางฝ่ายอัยการเองก็รับในข้อเท็จจริงได้ว่า วิดีโอที่จำเลยอ้างมาในบัญชีพยานมีอยู่จริงตามที่ปรากฏเป็นข่าวได้
หลังทั้งสองฝ่ายตรวจพยานหลักฐานเสร็จสิ้น ศาลได้อ่านกระบวนพิจารณาคดีว่าฝ่ายโจทก์มีพยานบุคคลที่จะนำสืบทั้งหมด 15 ปาก และโจทก์รับวัตถุพยานลำดับที่ 12-14 ของจำเลย และเมื่อโจทก์รับในข้อเท็จจริงแล้วว่า วัตถุพยานได้ปรากฏเป็นข่าวจริง จำเลยก็ไม่ติดใจนำพยานปากที่ 5-6 เข้าสืบ ศาลจึงให้ตัดพยานทั้งสองปาก และโจทก์จะให้นำพยานปาก พล.ต.วิจารณ์ จดแตง เข้าสืบในวันที่ 23 ก.พ. 2561
ทั้งนี้ ศาลได้ถามจำเลยว่า จะขอให้จำเลยลาสิกขาบทออกมาในระหว่างพิจารณาคดีได้หรือไม่ เนื่องจากขณะนี้ได้ตกเป็นจำเลยแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องความไม่เหมาะสมหากจะให้พระสงฆ์ต้องมาศาล ขอให้จำเลยไปปรึกษากับพระผู้ใหญ่ว่าทางวัดขัดข้องเรื่องที่จำเลยต้องมาศาลทั้งที่เป็นพระสงฆ์อยู่หรือไม่ หากไม่ขัดข้องก็ไม่เป็นไร ศาลก็จะได้ชี้แจงได้หากปรากฏเป็นข่าว
(อ้างอิง: http://www.tlhr2014.com/th/?p=5667) -
วันที่: 23-02-2018นัด: สืบพยานโจทก์พยานที่อัยการทหารนำเข้าให้การต่อศาลทหารกรุงเทพเป็นปากแรก ได้แก่ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ฝ่ายกฎหมายของ คสช. ซึ่งเป็นผู้กล่าวหาให้ดำเนินคดีกับฐนกร คดีนี้ศาลอนุญาตให้ประชาชนทั่วไปเข้าฟังการพิจารณาคดีแต่ไม่อนุญาตให้จดบันทึก
พลตรี วิจารณ์ เบิกความว่า เมื่อปี 2558 รับราชการตำแหน่งผู้อำนวยการส่วนกฎหมายและสิทธิมนุษยชน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ได้รับมอบหมายจากหัวหน้า คสช. ให้เป็นหัวหน้าส่วนปฏิบัติการ คณะทำงานกฎหมาย มีหน้าที่รวบรวมข้อมูลพยานหลักฐาน และกล่าวโทษผู้กระทำความผิด ในคดีนี้ อาศัยอำนาจคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 เอาตัวจำเลยมาซักถามที่มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) หลังหน่วยข่าวกรอง คสช.พบว่า จำเลยได้โพสต์ข้อความและกดถูกใจในเฟซบุ๊ก ในลักษณะดูหมิ่นสถาบัน และใส่ร้ายนายกฯ, รองนายกฯ, รมต.กลาโหม และ รมช.กลาโหม จำเลยรับว่า โพสต์ข้อความและกดถูกใจตามที่ถูกกล่าวหาจริง ต่อมา พยานได้รับมอบหมายให้กล่าวหาดำเนินคดีต่อจำเลยในทั้งสามข้อหา
หลังอัยการถามพยานโจทก์เสร็จแล้ว ทนายจำเลยแจ้งว่า ติดภารกิจในคดีอื่น จึงขอเลื่อนการสืบพยานปากนี้ออกไปเป็นวันที่ 18 มิ.ย. 2561
(อ้างอิง: คำให้การพยาน และรายงานพิจารณา ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 54/2559 ลงวันที่ 23 ก.พ. 2561 และ https://www.tlhr2014.com/?p=8950) -
วันที่: 18-06-2018นัด: สืบพยานโจทก์อัยการทหารนำพยานโจทก์ปาก พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ผู้กล่าวหา เข้าเบิกความต่อศาล โดยให้ทนายจำเลยถามค้าน
พล.ต.วิจารณ์ ให้การตอบทนายจำเลยว่า ใช้เฟซบุ๊กไม่เป็น และไม่มีความรู้เกี่ยวกับเฟซบุ๊ก ทราบเหตุในคดีนี้เพราะมีฝ่ายข่าวของ คสช. นำภาพมาให้ แต่ไม่ทราบว่าฝ่ายข่าวคนนั้นชื่ออะไร พูดคุยกับฝ่ายข่าวโดยไม่ได้ทำบันทึกไว้เพราะเป็นเรื่องปิดลับ จำเลยไม่ใช่แกนนำทางการเมือง แต่มีประวัติเกี่ยวอะไรบางอย่างกับเสื้อแดง
พล.ต.วิจารณ์ เบิกความว่า ตอนที่ซักถามจำเลยและทำบันทึกถ้อยคำเอาไว้ ไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบก่อน ไม่ได้แจ้งสิทธิให้จำเลยทราบ ไม่ได้แจ้งกับจำเลยว่า คำให้การจะถูกนำไปยืนยันในชั้นศาลได้ เพราะขณะนั้นจำเลยยังไม่ใช่ผู้ต้องหา สถานที่ซักถาม คือ มทบ.11 แต่พยานไม่เคยเชิญบุคคลในภาพตามคำฟ้อง ได้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ, พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา และ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร มาซักถามและบันทึกถ้อยคำ
ในแผงผังที่ฟ้องว่าจำเลยเป็นคนเผยแพร่ ยังมีภาพของ พ.อ.คชาชาติ บุญดี อดีตผู้บัญชาการกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ และ พล.ต.สุชาติ พรมใหม่ อดีตผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ซึ่งปัจจุบันไม่ได้รับราชการแล้ว ไปอยู่ต่างประเทศ หลังจากมีหมายจับในข้อหามาตรา 112 จากการแอบอ้างในกิจกรรม Bike for Mom
พล.ต.วิจารณ์ รับว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องไม่ดี คสช. ต้องการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น ซึ่งประชาชนสามารถมีส่วนร่วมตรวจสอบการคอร์รัปชั่นได้ โดยการทำหนังสือแจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่การทำอะไรต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย เหตุของคดีนี้ พล.ต.วิจารณ์ เห็นว่าเป็นการใส่ร้าย ไม่อยู่ในกรอบของกฎหมาย
สำหรับกรณีการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์เป็นโครงการใหญ่ หากมีการทุจริตก็ให้ร้องเรียนไปที่ ป.ป.ช. ได้ ไม่ใช่มาเดินขบวน ถ้าหากมีการทุจริตก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย แต่กรณีนี้ ป.ป.ช. ตรวจสอบแล้วว่า ไม่พบหลักฐานการทุจริต ประชาชนสามารถเรียกร้องให้คนที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตออกมาชี้แจงได้ แต่ไม่ใช่หน้าที่ของคนเหล่านั้นต้องออกมาชี้แจงต่อประชาชน
ทนายจำเลยเปิดคลิปวีดีโอจากสำนักข่าวมติชน เป็นคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ที่กล่าวว่า โครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์มีการทุจริต แล้วถามว่า คำพูดของ พล.อ.ไพบูลย์ น่าเชื่อถือหรือไม่ พล.ต.วิจารณ์ ตอบว่า ท่านเป็นคนน่าเชื่อถือ เพราะเป็นองคมนตรี แต่คำพูดนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ซึ่งไม่ได้มีหน้าที่ตรวจสอบ จึงไม่น่าเชื่อถือ หลังจากนั้น พล.ต.วิจารณ์ ขออธิบาย เพิ่มเติมว่า พล.อ.ไพบูลย์ กับ พล.อ.อุดมเดช เคยเป็นคู่แข่งชิงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกด้วยกัน จึงอาจจะทำให้มีประเด็นนี้ด้วย แต่ศาลไม่บันทึกคำเบิกความส่วนนี้
ทนายจำเลยเปิดคลิปวีดีโอจากสำนักข่าวไทยพีบีเอส เป็นคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ยอมรับว่า มีความผิดปกติในโครงการ มีการแอบอ้างเรียกเงินส่วนเกิน แต่แก้ไขแล้ว พล.ต.วิจารณ์เบิกความรับว่า พล.อ.อุดมเดช กล่าวเช่นนั้นจริงตามคลิป และ พล.อ.อุดมเดชเป็นประธานโครงการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ ส่วนงบประมาณทั้งหมดในโครงการจะเป็นอย่างไร พล.ต.วิจารณ์ ไม่ทราบ
ทนายจำเลยเปิดคลิปวีดีโอจากสำนักข่าว Springnews เป็นสกู๊ปข่าวเกี่ยวกับการจัดซื้อต้นปาล์มในราคาสูงกว่าท้องตลาด ขณะที่เจ้าของสวนนงนุชบอกว่า บริจาคต้นปาล์มให้กับอุทยาน พล.ต.วิจารณ์ บอกว่า ข่าวนี้มีจริงแต่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์กันไปเอง ซึ่งตอนหลังตรวจสอบแล้วพบว่า ไม่เป็นความจริง การวิจารณ์สามารถทำได้แต่ถ้าหากวิจารณ์โดยไม่ตรวจสอบก็ผิดกฎหมาย
พล.ต.วิจารณ์ ตอบคำถามทนายจำเลยต่อว่า บุคคลที่มีภาพปรากฏในแผนผังที่จำเลยเผยแพร่ ไม่มีใครมาให้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติม และไม่มีใครมอบอำนาจมาให้ดำเนินคดี มีแต่การดำเนินคดีในนาม คสช. และทาง คสช. ไม่เคยดำเนินคดีกับสื่อมวลชนเหล่านี้ กองทัพบกตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบกรณีข่าวการทุจริต แต่ไม่เคยเห็นรายงานการตรวจสอบ เพราะเป็นความลับของกองทัพบก ทราบเพียงผลว่า ไม่พบการทุจริต
สำหรับแผนผังที่จำเลยถูกฟ้องว่าเป็นคนเผยแพร่นั้น พล.ต.วิจารณ์ ทราบว่า จำเลยไม่ได้เป็นคนทำขึ้นเอง แต่เอามาเผยแพร่ต่อ และในแผนผังเขียนไว้ว่า “เป็นเรื่องที่รอการพิสูจน์”
ทนายจำเลยถามค้านพยานโจทก์ปากนี้จนถึงเวลาประมาณ 11.00 น. จากนั้นแถลงต่อศาลว่า ยังเหลืออีกสองประเด็นที่จะต้องถามพยาน แต่ขณะนี้ถึงเวลาที่จำเลยซึ่งบวชเป็นพระอยู่ต้องฉันเพลแล้ว จึงขอพักการพิจารณาคดี ด้านตุลาการก็แจ้งว่าวันนี้มีประชุมต่อ จึงให้ยุติการสืบพยานวันนี้ไว้เพียงแค่นี้ และเลื่อนไปถามค้านพยานปากนี้ต่อในนัดหน้า อัยการไม่คัดค้านแต่ขอกำชับให้นัดหน้าทนายความมาถึงศาลเร็วขึ้น หลังจากนั้นทุกฝ่ายตกลงหาวันนัดกันได้เป็นวันที่ 17 ส.ค. 2561
(อ้างอิง: คำให้การพยาน และรายงานพิจารณา ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 54/2559 ลงวันที่ 18 มิ.ย. 2561 และ https://www.tlhr2014.com/?p=8950) -
วันที่: 17-08-2018นัด: สืบพยานโจทก์ทนายจำเลยถามค้าน พล.ต.วิจารณ์ จดแตง พยานโจทก์ผู้กล่าวหาต่อจากนัดที่ผ่านมา
พล.ต.วิจารณ์ เบิกความว่า ไม่ทราบว่าคุณทองแดงซึ่งเป็นสุนัขทรงเลี้ยงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ขณะที่จำเลยโพสต์เฟซบุ๊กถึงนั้น เสียชีวิตหรือยัง คุณทองแดงซึ่งเป็นสุนัขทรงเลี้ยงไม่เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ และประชาชนไม่จำเป็นต้องเคารพ ข้อความที่จำเลยโพสต์ถึงคุณทองแดงไม่มีส่วนใดกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง แต่อ่านแล้วเข้าใจได้ว่าเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 คำว่า “ซาบซึ้ง” ในโพสต์ของจำเลยนั้น พยานไม่ทราบว่า ซาบซึ้งจริง ๆ หรือประชด และความรู้สึกซาบซึ้งไม่ผิดกฎหมาย
สำหรับประเด็นที่จำเลยถูกกล่าวหาว่า กดไลค์เพจเฟซบุ๊กชื่อ “ยืนหยัด ปรัชญา” พยานให้การว่า ทราบว่าการกดไลค์เพจกับการกดไลค์ข้อความในเพจนั้นต่างกัน เมื่อทนายจำเลยถามว่า จำเลยในคดีนี้กดไลค์เพจแต่ไม่ได้กดไลค์ข้อความใด ๆ ในเพจใช่หรือไม่ พล.ต.วิจารณ์ชี้ที่รูปปก (cover) ของเพจและอธิบายว่า เนื่องจากเพจนี้มีข้อความต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ การกดไลค์เพจที่มีภาพนี้จึงเป็นการกดไลค์ข้อความในภาพนั้นด้วย
ทนายจำเลยเอาภาพถ่ายจากเฟซบุ๊กของจำเลยให้ดูและถามว่า จำเลยกดไลค์เพจเฟซบุ๊กบีบีซีไทย หมายความว่า จำเลยเห็นด้วยกับบีบีซีไทยใช่หรือไม่ พล.ต.วิจารณ์ตอบว่า ใช่ ทนายจำเลยถามอีกว่า การกดไลค์หรือติดตามเฟซบุ๊กชื่อ “สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล” ผิดกฎหมายหรือไม่ พล.ต.วิจารณ์ตอบว่า หากเพจนั้นมีข้อความหมิ่นสถาบันฯ ก็จะเป็นความผิด ทนายจำเลยจึงถามต่อว่า จำเลยกดไลค์เพจ “สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล” หรือไม่ พล.ต.วิจารณ์ ตอบว่า ไม่
พล.ต.วิจารณ์ เบิกความว่า การกดไลค์เท่ากับเห็นด้วย ทนายจำเลยจึงถามต่อว่า ถ้าหากมีคนกดไลค์เฟซบุ๊กศาลทหารแล้ว วันหนึ่งเพจศาลทหารโพสต์ข้อความที่ผิดกฎหมายคนที่กดไลค์เพจจะมีความผิดด้วยหรือไม่ พล.ต.วิจารณ์ตอบว่า มีความผิด แต่เพจของศาลทหารไม่โพสต์สิ่งที่ผิดกฎหมายอยู่แล้ว ทนายจำเลยถามต่อว่า พยานทราบหรือไม่ว่า ในทางเทคนิคการกดไลค์เพจหมายถึงการกดเพื่อติดตามข่าวสารจากเพจ พล.ต.วิจารณ์ตอบว่า ไม่ทราบ
พล.ต.วิจารณ์ ยอมรับว่า ขณะที่พยานควบคุมตัวจำเลยไปซักถามในค่ายทหารและทำบันทึกการซักถามที่ส่งต่อศาลแล้วนั้น จำเลยไม่มีทนายความและผู้ที่ไว้วางใจเข้าร่วมการซักถาม และพยานไม่ได้แจ้งสิทธิให้จำเลยทราบก่อนการซักถาม เพราะถือว่าจำเลยยังไม่ใช่ผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
หลังทนายจำเลยถามค้านเสร็จสิ้น พล.ต.วิจารณ์ ตอบคำถามติงของอัยการทหารว่า แม้พยานไม่ได้ให้ทนายความเข้าร่วมการสอบสวน แต่จำเลยก็ให้การด้วยความสมัครใจ และลงลายมือชื่อไว้
จากนั้น ทนายจำเลยแถลงต่อศาลว่า เดิมที่กำหนดวันสืบพยานนัดหน้าไว้เป็นวันที่ 7 ก.ย. 2561 จำเลยซึ่งบวชเป็นพระภิกษุอยู่ยังอยู่ในช่วงเข้าพรรษา ปรึกษาพระผู้ใหญ่ที่วัดแล้วเห็นว่า ยังไม่ควรออกจากวัดในช่วงนี้ จึงขอยกเลิกวันนัดที่กำหนดกันไว้เดิมและกำหนดวันนัดใหม่หลังออกพรรษาแล้ว อัยการทหารไม่คัดค้าน ศาลแจ้งว่า ให้กำหนดวันนัดต่อเนื่องกันไปเลยสามนัด แต่เว้นให้ศาลส่งหมายให้พยานได้ด้วย ทุกฝ่ายจึงตกลงกำหนดวันนัดสืบพยานเป็นวันที่ 8 และ 27 พ.ย. และ 20 ธ.ค. 2561 และในนัดหน้า โจทก์ขอนำ พล.ต.ต.สุรศักดิ์ ขุนณรงค์ เข้าสืบ
(อ้างอิง: คำให้การพยาน และรายงานพิจารณา ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 54/2559 ลงวันที่ 17 ส.ค. 2561 และ https://www.tlhr2014.com/?p=8950) -
วันที่: 03-10-2018นัด: ไต่สวนทนายศาลทหารกรุงเทพนัดไต่สวนทนายความ อานนท์ นำภา กรณีเผยแพร่คำเบิกความของ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง โดยอัยการทหารเป็นผู้ยื่นคำร้องขอไต่สวน พร้อมแนบข่าว “ทหารผู้กล่าวหาคดีแชร์ผังทุจริตราชภักดิ์-กดไลค์-หมิ่นหมา ใช้เฟซบุ๊กไม่เป็น แต่เห็นว่าแค่กดไลค์เพจหมิ่นฯ ก็ผิด 112” ที่เผยแพร่โดยศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ เนื่องจากอานนท์ นำภา ทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องคัดคำเบิกความของ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง พยานโจทก์ ที่เบิกความเมื่อวันที่ 23 ก.พ., 18 มิ.ย. และ 17 ส.ค. 2561 แล้วนำไปลงเผยแพร่เว็บไซต์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล
ในการไต่สวนศาลได้ให้ทนายอานนท์ชี้แจงเกี่ยวกับขั้นตอนการส่งมอบเอกสารให้กับศูนย์ทนายความฯ จากนั้นมีคำสั่งให้ทนายอานนท์แจ้งศูนย์ทนายฯ ให้ลบข้อมูลคำเบิกความและรายงานพิจารณาออกจากเว็บไซต์ภายใน 24 ชั่วโมง และห้ามนำคำเบิกความและรายงานพิจารณาในคดีฐนกรไปเผยแพร่ในสื่อทุกชนิด มิฉะนั้นจะถือว่าละเมิดอำนาจศาล โดยที่ก่อนการไต่สวนศาลแจ้งเพียงว่า เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ไม่ได้ระบุว่าเป็นการไต่สวนละเมิดอำนาจศาล แต่ภายหลังไต่สวนกลับมีการออกคำสั่งดังกล่าวมา
(อ้างอิง: รายงานพิจารณา ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 54/2559 ลงวันที่ 3 ต.ค. 2561, https://www.tlhr2014.com/?p=9162 และ https://www.tlhr2014.com/?p=9175) -
วันที่: 04-10-2018นัด: ยื่นคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาอานนท์ นำภา ยื่นคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ศาลทหารกรุงเทพสั่งให้อานนท์แจ้งให้ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนลบข่าวเกี่ยวกับการสืบพยานคดีฐนกร และห้ามนำคำเบิกความและรายงานพิจารณาในคดีฐนกรไปเผยแพร่ในสื่อทุกชนิด มิฉะนั้นจะถือว่าละเมิดอำนาจศาล เนื่องจากเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยให้เหตุผลดังนี้
1. ศาลทหารกรุงเทพแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งหลังจากที่อ่านรายงานการพิจารณา การแก้ไขดังกล่าวเป็นการแก้ไขในสาระสำคัญทั้งส่วนเหตุผลในการออกคำสั่ง และส่วนที่เป็นเนื้อหาคำสั่ง โดยไม่สอบถามข้อเท็จจริงในส่วนที่ถูกแก้ไข และทนายความไม่มีโอกาสโต้แย้งหรือชี้แจงข้อเท็จจริง รวมถึงไม่แจ้งคำสั่งที่แก้ไขใหม่ให้ทนายความทราบ
2. ทนายความไม่จำเป็นต้องขออนุญาตศาลก่อนนำคำเบิกความไปเผยแพร่ เพราะศาลทหารกรุงเทพไม่ได้สั่งพิจารณาคดีฐนกรเป็นการลับ การพิจารณาคดีจึงต้องทำโดยเปิดเผย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 ที่รับรองให้การพิจารณาและการสืบพยานทำโดยเปิดเผยเป็นหลักทั่วไป สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR)
เนื้อหาคดีของฐนกรไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่มีส่วนที่เป็นความลับเกี่ยวกับความปลอดภัยของประเทศ การพิจารณาโดยเปิดเผยจึงเป็นหลักประกันแก่จำเลยว่าจะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม เพื่อให้สาธารณชนได้ตรวจสอบความชอบธรรม และศาลได้แสดงให้ประชาชนเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมดำเนินไปโดยชอบด้วยกฎหมาย
3. ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนก่อตั้งขึ้นเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์เรียกรายงานตัว จับกุม คุมขัง และนำพลเรือนขึ้นศาลทหารหลังการรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 เพื่อบันทึกข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลังการรัฐประหาร ช่วยเหลือทางคดีแก่ผู้ได้รับผลกระทบ และเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้สอดคล้องกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
การรายงานข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนที่เป็นเหตุให้ศาลทหารกรุงเทพนัดไต่สวน เป็นการเผยแพร่ข้อเท็จจริงในคดี ไม่ได้นำเอกสารคำเบิกความ หรือรายงานพิจารณาของศาลทหารกรุงเทพมาเผยแพร่ และเนื้อหาดังกล่าวตรงกับที่พยานได้เบิกความต่อศาล ไม่ได้บิดเบือนอันจะก่อให้เกิดความเสียหาย หรือทำให้กระทบต่อความยุติธรรมในคดี ทั้งพยานที่ถูกกล่าวหาในข่าวก็ไม่เคยทำหนังสือร้องเรียนหรือแจ้งว่าได้รับความเสียหายต่อศาลแต่อย่างใด
4. การใช้ดุลพินิจของศาลต้องตั้งอยู่บนฐานของความชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่การใช้อำนาจตามอำเภอใจ หรือเกินขอบเขตความชอบด้วยกฎหมาย แต่ปรากฏว่าศาลได้ออกข้อกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 30 โดยให้เหตุผลเพียง “อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อรูปคดี” โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจะเกิดผลเสียต่อรูปคดีอย่างไร โจทก์เองก็ไม่ได้ยื่นคำร้องว่าจะเกิดผลเสียต่อรูปคดี พยานที่เกี่ยวข้องไม่ได้แจ้งต่อศาลว่าได้รับความเสียหาย คำสั่งศาลจึงไม่ได้ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงในคดี เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเลื่อนลอยของศาลเอง ไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
5. การออกข้อกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 30 ให้อำนาจศาลออกข้อกำหนดเฉพาะเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาล หรือเพื่อให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปโดยเที่ยงธรรมและรวดเร็วเท่านั้น แต่จะเห็นได้ว่าคำสั่งศาลดังกล่าวออกมาเพื่อปกป้องศาลและพยานจากการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตจากบุคคลอื่น ไม่มีสภาพเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาล หรือเพื่อให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปโดยเที่ยงธรรมและรวดเร็ว หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะอื่นใด และเป็นการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความเห็นของบุคคลเกินความเหมาะสม
ดังนั้น การสั่งให้ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนลบข่าว และห้ามเผยแพร่คำเบิกความหรือรายงานพิจารณา เป็นคำสั่งที่เกินเลยจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 30
นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 30 ยังกำหนดให้ศาลสามารถออกข้อกำหนดเฉพาะคู่ความในคดีและบุคคลอื่นที่ปรากฏต่อหน้าศาลเท่านั้น ไม่มีอำนาจออกข้อกำหนดให้มีผลผูกพันบุคคลทั่วไปในลักษณะเดียวกับการตรากฎหมายโดยฝ่ายนิติบัญญัติ คำสั่งดังกล่าวของศาลทหารกรุงเทพจึงเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตและไม่สอดคล้องต่อวัตถุประสงค์ของกฎหมาย
6. หากศาลทหารกรุงเทพออกคำสั่งไม่ให้เปิดเผยข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 36 (2) คำสั่งดังกล่าวก็ไม่ใช่การออกข้อกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 30 หากผู้ใดฝ่าฝืนก็ไม่ถือเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31
7. การออกข้อกำหนดดังกล่าวของศาลกระทบต่อสิทธิในการพิจารณาคดีโดยเปิดเผยของจำเลย อันเป็นหลักประกันขั้นพื้นฐานในกระบวนพิจารณาคดีทางอาญา ทำให้สาธารณชนไม่อาจตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมได้ ศาลซึ่งเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชนจึงต้องยึดโยงกับประชาชน ในรูปแบบหนึ่งคือให้ประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ศาลได้
นอกจากให้เหตุผลดังกล่าวแล้ว อานนท์ นำภา ยังได้คัดค้านไม่ให้องค์คณะตุลาการที่ออกคำสั่งเมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2561 เป็นผู้ไต่สวนและออกคำสั่งในคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนี้ เพราะถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับกรณีนี้ และขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งในรายงานพิจารณาเมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2561 ไว้ก่อน จนกว่าจะมีคำสั่งถึงที่สุดเกี่ยวกับการขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ
(อ้างอิง: คำร้องเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ และคำร้องขอทุเลาการบังคับตามคำสั่ง ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 54/2559 ลงวันที่ 4 ต.ค. 2561 และ https://www.tlhr2014.com/?p=9175)
-
วันที่: 05-10-2018นัด: ยกคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาน.อ.สุรชัย สลามเต๊ะ ตุลาการศาลทหารกรุงเทพ ที่สั่งห้ามเผยแพร่เนื้อหาคดี มีคำสั่งยกคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ และคำร้องขอทุเลาการบังคับตามคำสั่ง ของอานนท์ นำภา โดยให้เหตุผลว่า คดียังอยู่ระหว่างพิจารณา การนำคำเบิกความของพยานไม่ว่าฝ่ายใดไปเผยแพร่ให้บุคคลทั่วไปทราบ ย่อมมีผลต่อการชี้นำสังคมให้รูปคดีเป็นไปตามที่ฝ่ายตนต้องการ และส่งผลกระทบต่อการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 36 (2) ที่ห้ามไม่ให้เปิดเผยข้อเท็จจริงทั้งหมดหรือบางส่วนแห่งคดี
ส่วนกรณีที่ศาลแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งเมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2561 ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ น.อ.สุรชัย เห็นว่า ภายหลังการไต่สวน ศาลอนุญาตคัดถ่ายรายงานพิจารณา อานนท์ นำภา ย่อมต้องทราบคำสั่งศาลแล้ว จึงไม่ใช่การดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ
ทั้งนี้ น.อ.สุรชัย ไม่อนุญาตกรณีที่อานนท์คัดค้านไม่ให้องค์คณะตุลาการที่ออกคำสั่งเมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2561 เป็นผู้ไต่สวนและออกคำสั่งในคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ
อย่างไรก็ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 190 ระบุว่า ห้ามมิให้แก้ไขคำพิพากษาหรือคำสั่งซึ่งอ่านแล้ว นอกจากแก้ถ้อยคำที่เขียนหรือพิมพ์ผิดพลาด
ส่วนกรณีคัดค้านองค์คณะตุลาการ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 13 ระบุให้ผู้พิพากษาที่ถูกคัดค้านถอนตัวจากการพิจารณา หรือให้ศาลงดกระบวนพิจารณาทั้งปวงไว้ก่อนจนกว่าจะได้มีคำชี้ขาดในเรื่องที่คัดค้าน โดยให้ศาลซึ่งมีอำนาจสูงกว่าศาลนั้นตามลำดับเป็นผู้ชี้ขาดคำคัดค้าน
ต่อมา วันที่ 8 ต.ค. 2561 อานนท์ นำภา ได้ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งศาลทหารกรุงเทพที่ให้ยกคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ และคำร้องขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่า เป็นการลิดรอนสิทธิของการต่อสู้คดีและกระทบต่อการทำหน้าที่ทนาย รวมทั้งเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวขัดต่อบทกฎหมาย จึงได้แถลงไว้เพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาต่อไป
(อ้างอิง: https://www.tlhr2014.com/?p=9203) -
วันที่: 08-11-2018นัด: สืบพยานโจทก์พ.อ.ธนะรัช สระเงิน, พ.อ.ชุมนุมชาติ บานพับทอง และ น.อ.สุรชัย สลามเต๊ะ ตุลาการศาลทหารกรุงเทพออกนั่งพิจารณาคดี มีผู้สังเกตการณ์จากสหประชาชาติ คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ICJ) และสมาคมนักกฏหมายสิทธิมนุษยชนมาร่วมฟังการพิจารณาคดีด้วย อย่างไรก็ตาม ศาลขอความร่วมมือผู้มาฟังการพิจารณาอย่าจดบันทึก แต่อนุญาตให้เสมียนทนายมานั่งข้างทนายความจำเลยเพื่อจดบันทึกได้
พล.ต.ต.สุรศักดิ์ ขุนณรงค์ พยานโจทก์มาศาล เบิกความว่า ปัจจุบันรับราชการเป็นผู้บังคับการกองปราบปรามยาเสพติด ขณะเกิดเหตุเป็นฝ่ายสืบสวนของ คสช. ในคดีนี้เป็นผู้ร่วมซักถามจำเลยระหว่างถูกควบคุมตัวที่มณฑลทหารบกที่ 11 ร่วมกับ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง
พล.ต.ต.สุรศักดิ์ ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ไม่แน่ใจว่าตนเองมีอำนาจในการสอบสวนจำเลยหรือไม่ ส่วน พล.ต.วิจารณ์มีอำนาจสอบสวน
บันทึกการซักถามภายใน มทบ.11 ทำโดยเจ้าพนักงานตำรวจ เป็นการบันทึกแบบสรุปให้เข้าประเด็น ไม่ได้บันทึกตามทุกคำที่จำเลยตอบ ขณะซักถามไม่มีทนายความหรือผู้ไว้วางใจของจำเลยอยู่ร่วม พยานไม่ได้แจ้งสิทธิแก่จำเลย แต่แจ้งว่าบันทึกการซักถามจะถูกใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาล ซึ่งการแจ้งให้ทราบนี้ไม่ได้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเนื่องจากเห็นว่า จำเลยจะต้องลงชื่อโดยความสมัครใจอยู่แล้ว
สำหรับประเด็นการโพสต์ภาพแผนผังเกี่ยวกับการทุจริตในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ พล.ต.ต.สุรศักดิ์ ตอบคำถามทนายจำเลยว่า ในการซักถามจำเลยครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2558 จำเลยยังไม่ยอมรับว่า ข้อความในโพสต์เป็นความเท็จ โดยให้การว่าทำไปเพื่อต่อต้านและต้องการให้เปลี่ยนรัฐบาลที่บ่ายเบี่ยงปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทุจริตในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ แต่ในการซักถามเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2558 จำเลยกลับยอมรับว่าข้อความในภาพไม่เป็นความจริง ซึ่งระหว่างการควบคุมตัวในคืนวันที่ 8 ธ.ค. 2558 จะเกิดอะไรขึ้นกับจำเลยนั้น ไม่ทราบ แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่า ไม่เกิด เพราะจำเลยไม่ได้แจ้ง
พล.ต.ต.สุรศักดิ์ พยายามหลีกเลี่ยงการตอบคำถามเกี่ยวกับข้อสงสัยในข้อกล่าวหาการทุจริต แต่เห็นว่า หากมีข้อกล่าวหาที่มีมูลต่อรัฐบาล ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นได้ แต่ต้องไม่ผิดกฎหมาย หรือละเมิดสิทธิของผู้อื่น ต้องไม่ยุยงปลุกปั่นให้ประชาชนคนอื่นออกมาเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งกรณีของจำเลยที่ต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
สำหรับประเด็นการกดไลค์เพจ “ยืนหยัด ปรัชญา” พล.ต.ต.สุรศักดิ์ ตอบคำถามทนายจำเลยว่า ใช้เฟซบุ๊กส่วนตัวอยู่บ้าง แต่ไม่เคยกดไลค์อะไร ไม่เคยทำเพจเฟซบุ๊กของตัวเอง ทราบว่า คดีนี้จำเลยถูกฟ้องว่ากดไลค์เพจ ในการซักถามไม่ปรากฏว่า จำเลยกดไลค์ข้อความใดในเพจ ซึ่ง พล.ต.ต.สุรศักดิ์ เห็นว่า สำหรับเพจที่มีข้อความหมิ่นพระมหากษัตริย์ฯ แม้เพียงประชาชนไปกดติดตามหรือกดไลค์ก็มีความผิดแล้ว
สำหรับประเด็นการกล่าวถึงคุณทองแดงว่าซาบซึ้งนั้น พล.ต.ต.สุรศักดิ์ ยอมรับว่าคุณทองแดงไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ขอออกความเห็นว่าประชาชนจะต้องเคารพหรือปฏิบัติต่อคุณทองแดงอย่างไร แต่จากการอ่านข้อความในภาพรวมเข้าใจได้ว่าเป็นการหมิ่นสถาบันฯ ทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ทนายจำเลยพยายามจะถามให้ได้ความว่า ข้อความใดที่เป็นการดูหมิ่น และเป็นการดูหมิ่นอย่างไร ขณะที่ พล.ต.ต.สุรศักดิ์ พยายามไม่ตอบคำถามและอธิบายเช่นเดิมว่า เข้าใจได้จากข้อความทั้งหมด ทำให้มีการใช้เสียงดังใส่กัน จนศาลต้องเตือนว่า ขอให้ทนายจำเลยใช้กริยาให้ดีเพราะพยานเป็นถึงนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ขณะที่เรียกพยานว่า “ท่านนายพล”
ด้านอัยการทหารถามติงว่า เหตุใดจึงเชื่อว่า ในคืนวันที่ 8 ธ.ค. 2558 ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับจำเลย พล.ต.ต.สุรศักดิ์ตอบว่า เนื่องจากไม่เห็นว่าจำเลยมีบาดแผล และจำเลยไม่ได้แจ้งอะไรให้ทราบ อัยการยังถามด้วยว่า เพจที่จำเลยกดไลค์มีข้อความอย่างไร พล.ต.ต.สุรศักดิ์ ชี้ไปที่ภาพปก (cover) ของเพจและอธิบายว่า มีข้อความลักษณะหมิ่นสถาบันฯ
เสร็จการเบิกความของ พล.ต.ต.สุรศักดิ์ นัดสืบพยานโจทก์ปากต่อไปวันที่ 20 ธ.ค. 2561
(อ้างอิง: คำให้การพยาน และรายงานพิจารณา ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 54/2559 ลงวันที่ 8 พ.ย. 2561 และ https://www.tlhr2014.com/?p=9575) -
วันที่: 20-12-2018นัด: สืบพยานโจทก์พยานโจทก์ที่อัยการทหารนำเข้าสืบ คือ พ.ต.อ.โสภณ มงคลโสภณรัตน์ ตำรวจผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลย โดยศาลไม่อนุญาตให้ผู้เข้าฟังจดบันทึก เนื่องจากเกรงว่าการเผยแพร่ข่าวในเว็บไซต์จะสร้างความเสื่อมเสียแก่พยาน แต่อนุญาตให้เสมียนทนายซึ่งนั่งอยู่ข้างทนายความจำเลยจดบันทึกได้
พ.ต.อ.โสภณ มงคลโสภณรัตน์ เบิกความว่า ปัจจุบันรับราชการที่ สภ.บางพลี ตำแหน่งผู้กำกับการ ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งรองผู้กำกับการสืบสวน สภ.เมืองสมุทรปราการ มีอำนาจหน้าที่สืบสวนปราบปรามจับกุมผู้กระทำผิด คดีนี้ตนเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษในความผิดฐานนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน โดยพยานได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้สืบสวนหาบุคคลที่โพสต์ข้อมูลอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการทุจริตโครงการอุทยานราชภักดิ์ในเพจ “สถาบันคนเสื้อแดง”
จากการสืบสวนพบว่าเป็นเฟซบุ๊กบัญชีเป็นชื่อของนายฐนกร จึงร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหารชุดรักษาความสงบในพื้นที่เชิญตัวนายฐนกรมาสอบถาม โดยนายฐนกรรับว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความและภาพดังกล่าวลงในเฟซบุ๊กจริง พยานจึงได้ร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อดำเนินคดีจำเลย ต่อมา ทหารเห็นว่า เรื่องดังกล่าวกระทบต่อความมั่นคงจึงเชิญตัวจำเลยไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
พ.ต.อ.โสภณ ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ฝ่ายสืบสวนที่พยานมอบหมายให้ไปตรวจสอบเฟซบุ๊กไม่ได้จัดทำรายงานการสืบสวนเรื่องการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ขณะเดียวกันแม้พยานได้ขอให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เข้ามาร่วมตรวจสอบแต่ก็ไม่ได้ทำรายงานไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับ ip address และการจราจรทางคอมพิวเตอร์ของฐนกร เพราะคดีนี้เป็นกรณีเร่งด่วน
นอกจากนี้ พยานรับว่า ไม่ได้เป็นผู้เสียหายจากการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ เนื่องจากไม่มีชื่อของพยานปรากฏอยู่ในภาพหลักฐาน และพยานไม่ได้ตรวจสอบกับบุคคลที่มีชื่อปรากฏตามข้อความในเฟซบุ๊กนั้น ๆ ว่าได้รับความเดือดร้อนเสื่อมเสียจากการโพสต์หรือไม่ ก่อนจะร้องทุกข์กล่าวโทษ และขณะร้องทุกข์กล่าวโทษ พยานไม่ทราบว่าเรื่องที่จำเลยโพสต์ในเฟซบุ๊กนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ
ทั้งนี้ พ.ต.อ.โสภณ หลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามทนายจำเลยหลายคำถาม โดยตอบว่าไม่ทราบหรือไม่ขอตอบในคำถาม อาทิ การคอรัปชั่นเป็นเรื่องที่มีมาในรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยหรือไม่ ทราบหรือไม่ว่าในขณะที่มีการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้ให้สัมภาษณ์ว่ามีการทุจริตในโครงการอุทยานราชภักดิ์ หรือบุคคลที่ถูกพาดพิงถึงในข้อความนั้นคือ พล.อ.ประยุทธ์, พล.อ.ประวิตร, และ พล.อ.อุดมเดช เป็นผู้ดำรงตำแหน่งใน คสช. และ คสช. มี มาตรา 44 ที่มีอำนาจจะให้คุณหรือโทษได้
ก่อนจบการถามค้าน ทนายจำเลยได้ถามว่า ในสภาวะปกติการที่ประชาชนเรียกร้องให้มีการตรวจสอบการใช้งบประมาณของรัฐบาลเป็นสิทธิที่พึงกระทำได้หรือไม่ พ.ต.อ.โสภณ ตอบว่า "ไม่ทราบ"
เสร็จสิ้นการสืบพยานโจทก์ปาก พ.ต.อ.โสภณ นัดสืบพยานครั้งต่อไปในวันที่ 9, 29 เม.ย. และ 7 พ.ค. 2562
(อ้างอิง: คำให้การพยาน และรายงานพิจารณา ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 54/2559 ลงวันที่ 20 ธ.ค. 2561 และ
https://www.tlhr2014.com/?p=10223) -
วันที่: 09-04-2019นัด: สืบพยานโจทก์พยานโจทก์ลำดับที่ 4 คือ ร.ต.อ.นเรศร์ ปลื้มญาติ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ปอท. ผู้ตรวจหน้าเฟซบุ๊กของจำเลย โจทก์ถามและทนายจำเลยถามค้านแล้วเสร็จ ทนายความจำเลยแถลงขอยกเลิกนัดในวันที่ 29 เม.ย. 2562 เนื่องจากจำเลยติดภารกิจเป็นพระพี่เลี้ยงอบรมสามเณรภาคฤดูร้อน ศาลพิจารณาแล้วมีเหตุอันสมควรจึงให้ยกเลิกนัดดังกล่าว นัดสืบพยานโจทก์ปากต่อไป (ลำดับที่ 5) ในวันที่ 27 พ.ค. 2562
(อ้างอิง: รายงานพิจารณา ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 54/2559 ลงวันที่ 9 เม.ย. 2562) -
วันที่: 27-05-2019นัด: สืบพยานโจทก์สืบพยานโจทก์ พ.ต.อ.นิพนธ์ ทองแสวงบุญญา ตำรวจ ปอท.ผู้บังคับบัญชาของตำรวจผู้ตรวจเฟซบุ๊กแล้วเสร็จ ศาลทหารได้นัดสืบพยานโจทก์ พ.ต.อ.ธวัชชัย สายกระสุน ต่อไปในวันที่ 22 ต.ค. 2562 ทั้งนี้ ที่ต้องนัดห่างออกไปเนื่องจากช่วงเดือนกรกฎาคมจนถึงตุลาคม จำเลยต้องจำพรรษาช่วงเข้าพรรษาในวัด
(อ้างอิง: รายงานพิจารณา ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 54/2559 ลงวันที่ 27 พ.ค. 2562) -
วันที่: 09-08-2019นัด: พร้อมศาลทหารกรุงเทพแจ้งให้คู่ความทราบว่า ตามที่ได้มีคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 9/2562 เรื่องการยกเลิกประกาศ คสช., คำสั่ง คสช. และคำสั่งหัวหน้า คสช. บางฉบับที่หมดความจำเป็น ลงวันที่ 9 ก.ค. 2562 โดยในข้อที่ 2 กำหนดให้การกระทำความผิดตามประกาศ คสช. และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดีของศาลทหารในวันก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับ ให้โอนคดีนั้นๆ ไปยังศาลยุติธรรม
ศาลทหารกรุงเทพเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวมีผลทำให้คดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหารอีกต่อไป แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม จึงให้ยกเลิกนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 22 ต.ค. 2562 และงดการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราว กับให้โอนคดีไปยังศาลยุติธรรม และจำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลนี้ โดยให้มีหนังสือแจ้งไปยังสำนักงานศาลยุติธรรม ก่อนส่งสำนวนให้จ่าศาลถ่ายสำเนาสำนวน และเอกสารประกอบคดีต่างๆ ทั้งหมดเก็บไว้ที่ศาลนี้ด้วย และให้สัญญาประกันยังมีผลต่อไป
(อ้างอิง: รายงานพิจารณา ศาลทหารกรุงเทพ คดีหมายเลขดำที่ 54/2559 ลงวันที่ 9 ส.ค. 2562) -
วันที่: 20-01-2020นัด: พร้อมศาลจังหวัดสมุทรปราการนัดพร้อมเพื่อกำหนดนัดวันสำหรับสืบพยานต่อ หลังโอนย้ายคดีมาจากศาลทหารกรุงเทพ โดยเหลือพยานโจทก์ที่ยังไม่ได้สืบทั้งหมด 10 ปาก และพยานจำเลยอีก 6 ปาก ศาลให้วันนัดสืบพยานโจทก์ 2 นัด พยานจำเลย 1 นัด และกำหนดวันนัดสืบพยานในเดือนมิถุนายน ระหว่างวันที่ 24 – 26 มิ.ย. 2563
ทั้งนี้ ก่อนการที่จะมีการโอนย้ายคดีมายังศาลจังหวัดสมุทรปราการนั้น ศาลทหารกรุงเทพทำการสืบพยานโจทก์ไปได้ทั้งหมด 5 ปาก โดยใช้เวลาเกือบ 4 ปี นับตั้งแต่มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลทหารกรุงเทพเมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2559
(อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลจังหวัดสมุทรปราการ คดีหมายเลขดำที่ อ.1541/2562 ลงวันที่ 20 ม.ค. 2563)
สถานะ การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว หรือ ผลการพิพากษา
ชั้นสอบสวน
ผู้ถูกดำเนินคดี :
นายฐนกร
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
ไม่อนุญาต
ศาลชั้นต้น
ผู้ถูกดำเนินคดี :
นายฐนกร
ชื่อองค์คณะผู้พิพากษา :
- พ.อ.ธนะรัช สระเงิน
- พ.อ.ชุมนุมชาติ บานพับทอง
- น.อ.สุรชัย สลามเต๊ะ
ผลการพิพากษา
-
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์