ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
ดำ 372/2564
แดง 869/2566

ผู้กล่าวหา
  • จักรพงศ์ กลิ่นแก้ว แกนนำกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) (ประชาชน)
  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
ดำ 372/2564
แดง 869/2566

ผู้กล่าวหา
  • จักรพงศ์ กลิ่นแก้ว แกนนำกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) (ประชาชน)
ผู้ถูกดำเนินคดี

ข้อหา

  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)

หมายเลขคดี

ดำ 372/2564
แดง 869/2566
ผู้กล่าวหา
  • จักรพงศ์ กลิ่นแก้ว แกนนำกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.)

ข้อหา

  • หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112)

หมายเลขคดี

ดำ 372/2564
แดง 869/2566
ผู้กล่าวหา
  • จักรพงศ์ กลิ่นแก้ว แกนนำกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.)

ความสำคัญของคดี

ชูเกียรติ แสงวงค์ และวรรณวลี ธรรมสัตยา ผู้ปราศรัยใน #ม็อบ6ธันวา บริเวณวงเวียนใหญ่ ถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากการปราศรัยวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล รวมถึงสถาบันกษัตริย์ โดยผู้ที่แจ้งความดำเนินคดีเป็นประชาชนทั่วไป คือ จักรพงศ์ กลิ่นแก้ว แกนนำกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) อันเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญของมาตรา 112 ซึ่งใครก็สามารถกล่าวหาให้ดำเนินคดีผู้อื่นได้

หลังอัยการยื่นฟ้องคดีต่อศาล ศาลมีคำสั่งไม่ให้ประกันวรรณวลีในระหว่างพิจารณาคดี ทำให้วรรณวลีถูกขังอยู่ที่ทัณฑสถานหญิงธนบุรีเป็นเวลา 11 วัน ก่อนศาลอนุญาตให้ประกันตัว โดยกำหนดเงื่อนไข ห้ามกระทำในลักษณะเดียวกับที่ถูกกล่าวหาอันจะทำให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันกษัตริย์ และห้ามชุมนุมก่อความวุ่นวาย

พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี

พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญาธนบุรี 3 บรรยายฟ้องโดยสรุปว่า

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คือพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 โดยในรัฐธรรมนูญปี 2560 ระบุในมาตราที่ 1 ว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกไม่ได้” มาตรา 2 บัญญัติว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” และมาตรา 3 บัญญัติว่า “อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขใช้อํานาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล” และมาตรา 6 บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดไม่ได้”

เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2563 จําเลยที่ 1 (ชูเกียรติ) ได้หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ โดยขึ้นกล่าวปราศรัยแก่ประชาชนซึ่งเป็นบุคคลผู้เข้าร่วมชุมนุม บริเวณวงเวียนใหญ่ มีเนื้อหาคำปราศรัย เช่น กล่าวถึงเหตุการณ์การยึดอำนาจจากพระเจ้าตากสินฯ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นต้นของราชวงศ์ในปัจจุบัน, การที่รัฐใช้มาตรา 112 เนื่องจากกลัวว่าประชาชนจะเอาความจริงมาพูด เลยต้องใช้กฎหมายดังกล่าวเพื่อปิดปาก ประเทศไทยแม้จะบอกว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่กลับมีการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ออกมาเรียกร้องความถูกต้อง มีการส่งมือที่ 3 เข้ามาลอบทำร้ายผู้ชุมนุม

คำปราศรัยของชูเกียรติยังกล่าวถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งกล่าวหาว่า การแต่งกายของเขานั้นเข้าข่ายหมิ่นฯ ทั้งๆ ที่เป็นการแต่งกายเลียนแบบนักร้องในต่างประเทศ และคำปราศรัยที่กล่าวถึงภาวะของสถาบันกษัตริย์ ที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ และพูดถึงความจำเป็นที่ผู้ชุมนุมต้องออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีการใช้อำนาจหลายอย่างที่เกินขอบเขต แตกต่างจากสถาบันกษัตริย์ของประเทศอื่นๆ

ในส่วนของวรรณวลี (จำเลยที่ 2) ได้ขึ้นปราศรัยโดยกล่าวถึงการที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นจอมทัพไทยซึ่งถูกบัญญัติอยู่ในรัฐธรรมนูญ ทำให้ทรงมีอำนาจที่จะชี้นำกองทัพและมีส่วนในการเซ็นรับรองการรัฐประหาร รวมไปถึงชี้นำการทำงานของคณะรัฐมนตรี

การกระทำของทั้งสองมิใช่เป็นการกระทําภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต แต่เป็นการจงใจใส่ร้าย จาบจ้วง ล่วงเกินดูหมิ่น ใส่ความ หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ โดยประการที่น่าจะทําให้เสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง มีเจตนาที่จะทําลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นเคารพบูชาของประชาชนชาวไทย ทําให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพต่อพระมหากษัตริย์ซึ่งอยู่ในฐานะที่ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้

(อ้างอิง: คำฟ้อง ศาลอาญาธนบุรี คดีหมายเลขดำที่ 372/2564 ลงวันที่ 27 เม.ย. 2564)

ความคืบหน้าของคดี

  • เวลา 11.00 น. ที่ สน.บุปผาราม “จัสติน” หรือ ชูเกียรติ แสงวงค์ นักกิจกรรมกลุ่มคณะราษฎร, วรรณวลี ธรรมสัตยา หรือ “ตี้” นิสิตมหาวิทยาลัยพะเยา เข้ารับทราบข้อกล่าวหา หลังชูเกียรติได้รับหมายเรียกจากพนักงานสอบสวน สน.บุปผาราม ลงวันที่ 30 ธ.ค. 2563 ส่วนวรรณวลีไม่ได้รับหมายเรียก แต่ได้รับแจ้งจากพนักงานสอบสวนว่าถูกออกหมายเรียกเช่นเดียวกัน

    พ.ต.ท.ปพนณัฏฐ์ สะอาดเอี่ยม พนักงานสอบสวน สน.บุปผาราม ได้บรรยายพฤติการณ์ข้อกล่าวหาว่า เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2563 เวลา 16.00-21.40 น. มีการชุมนุมของกลุ่มราษฎรฝั่งธน และฟันเฟืองธนบุรี ที่บริเวณวงเวียนใหญ่ ในระหว่างชุมนุม ชูเกียรติ, วรรณวลี และธนกร ต่างขึ้นปราศรัยมีข้อความหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

    ทั้งชูเกียรติและวรรณวลี ต่างให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ควบคุมตัวไว้เนื่องจากมาตามหมายเรียก โดยให้พิมพ์ลายนิ้วมือและลงบันทึกประจำวันไว้ ก่อนปล่อยตัวไป

    (อ้างอิง: บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา สน.บุปผาราม ลงวันที่ 11 ม.ค. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/24959)
  • เวลา 10.00 น. พนักงานสอบสวนนัดชูเกียรติและวรรณวลี ส่งตัวพร้อมสำนวนการสอบสวนให้อัยการ ที่สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญาธนบุรี 3 จากนั้น พนักงานอัยการนัดฟังคำสั่งในวันที่ 27 เม.ย. 2564 เวลา 09.30 น.
  • ที่สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญาธนบุรี 3 วรรณวลีเดินทางมาฟังคำสั่งอัยการตามนัดหมาย ขณะที่ชูเกียรติถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในอีกคดีหนึ่ง และอยู่ระหว่างรักษาตัวที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ หลังพบว่าติดเชื้อโควิด จึงไม่ได้เดินทางมาด้วย

    พนักงานอัยการแจ้งวรรณวลีว่า อัยการมีคำสั่งฟ้องคดีชูเกียรติและวรรณวลี ก่อนพาตัววรรณวลีไปที่ศาลอาญาธนบุรี และเจ้าหน้าที่นำตัวไปที่ห้องเวรชี้ ระหว่างที่ทนายความยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว โดยวางหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 200,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์ เป็นหลักประกัน

    ศาลอาญาธนบุรีได้รับฟ้องไว้ แต่ให้เลื่อนอ่านฟ้องและสอบคำให้การไปเป็นวันที่ 30 เมษายน 2564 เวลา 09.00 น. เนื่องจากจำเลยที่ 1 คือชูเกียรติ ยังไม่ได้ถูกนำตัวมาศาล

    ทั้งนี้ คำฟ้องของพนักงานอัยการระบุในตอนท้ายว่า หากจำเลยทั้งสองขอปล่อยตัวชั่วคราว โจทก์ขอคัดค้าน เนื่องจากเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง จำเลยที่ 1 ยังถูกฟ้องเป็นจำเลยของศาลอาญาในคดีที่มีความผิดฐานเดียวกันและมีคดีอาญาที่อยู่ระหว่างการสอบสวน ส่วนจำเลยที่ 2 ได้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานเดียวกันนี้โดยคดีอยู่ระหว่างการสอบสวน หากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว เกรงว่าจำเลยทั้ง 2 จะหลบหนี

    ต่อมาเวลา 16.30 น. ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราววรรณวลี โดยระบุว่า “พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดี ประกอบกับโจทก์คัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว และจำเลยที่ 2 ที่ถูกกล่าวหายังอยู่ระหว่างการสอบสวนในข้อหาความผิดเดียวกับคดีนี้อีก หากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว มีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยที่ 2 จะหลบหนี จึงไม่อนุญาต ให้ยกคำร้อง” ลงนามโดยนายวิระพล เทียนขก

    ภายหลังจากที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอประกันตัว วรรณวลีได้ถูกนำตัวไปยังทัณฑสถานหญิงธนบุรีเพื่อคุมขังระหว่างการพิจารณาคดีทันที

    ++คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว: จำเลยเป็นเพียงนักศึกษา ไม่คิดหลบหนี การคุมขังจำเลยอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสในเรือนจำ++

    คำร้องประกอบขอปล่อยตัวชั่วคราวของวรรณวลี ระบุเหตุผลดังต่อไปนี้

    1. จำเลยที่ 2 ปัจจุบันเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยพะเยา มีภาระทางการศึกษาที่ต้องรับผิดชอบ หากจำเลยถูกฝากขัง จะกระทบกับการเรียนของจำเลยอย่างร้ายแรง
    2. จำเลยให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวนและอัยการเป็นอย่างดี เดินทางมาตามที่เจ้าพนักงานนัดหมายทุกครั้งที่ได้รับหมายเรียก ไม่เคยมีพฤติการณ์ที่จะหลบหนีมาตั้งแต่ต้น คดีนี้ จำเลยให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวนและมีความประสงค์ที่จะสู้คดีต่อไปอย่างเต็มที่
    3. จำเลยมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอน ปัจจุบันจำเลยมีอายุ 21 ปี เป็นนักศึกษา ไม่ได้มีอิทธิพลหรือความสามารถที่จะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ประกอบกับพยานเอกสาร พยานวัตถุและพยานบุคคลก็อยู่ในความครอบครองของโจทก์ทั้งหมดแล้ว
    4. จำเลยไม่มีพฤติการณ์ที่จะไปก่อเหตุอันตรายอื่นใด ทั้งจำเลยยังไม่เคยถูกดำเนินคดีมาก่อน ประกอบกับคดีนี้ยังมีการวางหลักประกันที่น่าเชื่อถือเป็นเงินสดตามเกณฑ์ของศาล ดังนั้น การปล่อยตัวชั่วคราวจึงไม่เป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการพิจารณาคดีของศาลแต่อย่างใด
    5. นอกจากนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าในสถานที่คุมขังหรือเรือนจํา การปล่อยชั่วคราวในระหว่างการพิจารณาคดี ตามคําแนะนําของประธานศาลฎีกาเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ฉบับที่ 3 ข้อ 7 กําหนดว่า เพื่อไม่ให้เป็นการเพิ่มความแออัดในเรือนจําอันอาจนําไปสู่การแพร่ระบาดของโรคติดต่อ ผู้ต้องหาหรือจําเลยซึ่งไม่เคยถูกคุมขังมาก่อน หรือจําเลยที่เคยได้รับการปล่อยชั่วคราวมาก่อน ศาลอาจพิจารณาอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยกําหนดเงื่อนไขก็ได้
    คดีนี้โจทก์เพียงยื่นฟ้องจําเลยต่อศาล ยังไม่ได้สืบพยานเพื่อพิสูจน์ความผิดและความบริสุทธิ์ของจําเลย หากขังจําเลยไว้ระหว่างพิจารณา จําเลยย่อมได้รับความเดือดร้อน

    (อ้างอิง: คำฟ้องและคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลอาญาธนบุรี คดีหมายเลขดำที่ 372/2564 ลงวันที่ 27 เม.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/28913)
  • ศาลอาญาธนบุรีนัดอ่านฟ้องและสอบคำให้การ ชูเกียรติและวรรณวลีผ่านวีดิโอคอนเฟอเรนซ์ไปที่เรือนจำ ทั้งสองให้การปฏิเสธ ศาลกำหนดวันนัดต่อไป เป็นนัดคุ้มครองสิทธิในวันที่ 25 พ.ค. 2564 และนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 12 ก.ค. 2564 เวลา 09.00 น.
  • ที่ศาลอาญาธนบุรี ทนายความเข้ายื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราววรรณวลีเป็นครั้งที่ 2

    เวลา 13.00 น. ศาลมีคำสั่งให้เบิกตัววรรณวลีมาไต่สวนคำร้องขอประกันตัวผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์จากทัณฑสถานหญิงธนบุรี โดยในระหว่างการไต่สวน วรรณวลีได้แถลงรับเงื่อนไขในลักษณะเดียวกันกับแกนนำกลุ่มราษฎร ในคดีมาตรา 112 จากการชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร คือ หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว จะไม่ทำกิจกรรมที่เสื่อมเสียต่อสถาบันกษัตริย์ พร้อมทั้งชี้แจงว่า ตนมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ทั้งนี้ อัยการโจทก์ไม่ได้แถลงคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว

    ต่อมาเวลา 16.05 น. ศาลมีคำสั่งให้ประกันตัว โดยให้วางหลักประกันเป็นเงินสดจำนวน 200,000 บาท กำหนดเงื่อนไขว่า ห้ามกระทำในลักษณะเดียวกับที่ถูกกล่าวหาอันจะทำให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันกษัตริย์ ห้ามชุมนุมก่อความวุ่นวาย ห้ามออกนอกราชอาณาจักร และต้องมาศาลทุกนัด

    จากคำสั่งดังกล่าว ทำให้วรรณวลีจะได้รับการปล่อยตัวจากทัณฑสถานหญิงธนบุรี หลังถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดีมาตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2564 รวมระยะเวลาทั้งหมด 11 วัน และได้ยื่นขอประกันตัวรวมทั้งหมด 2 ครั้ง รวมทั้งอดอาหารเรียกร้องสิทธิประกันตัวเป็นเวลา 5 วัน

    ทั้งนี้ เงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราววรรณวลีของศาลอาญาธนบุรีมีลักษณะเช่นเดียวกันกับเงื่อนไขที่ศาลอาญาให้ประกันตัว “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ในคดีมาตรา 112 กรณีชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร โดยกำหนดให้จำเลย “ห้ามชุมนุมก่อความวุ่นวาย” เพิ่มมาจากกรณีของ “ไผ่” จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา, “หมอลำแบงค์” ปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม และ สมยศ พฤกษาเกษมสุข ที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไปก่อนหน้านี้

    (อ้างอิง: คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลอาญาธนบุรี คดีหมายเลขดำที่ 372/2564 ลงวันที่ 7 พ.ค. 2564, https://tlhr2014.com/archives/29389 และ https://tlhr2014.com/archives/29173)
  • เจ้าหน้าที่ศาลแจ้งก่อนวันนัดว่า ศาลให้เลื่อนนัดคุ้มครองสิทธิไปเป็นวันที่ 6 ก.ค. 2564 เวลา 09.00 น. ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งชูเกียรติถูกขังอยู่ในคดีอื่น ทำให้เรือนจำงดการเบิกตัวผู้ต้องขังไปศาล
  • เวลา 10.00 น. ทนายความเข้ายื่นคำร้องขอประกันชูเกียรติต่อศาลอาญาธนบุรี โดยวางหลักทรัพย์เป็นเงินสด 200,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์ หลังวานนี้ ศาลอาญา รัชดาฯ มีคำสั่งให้ปล่อยตัวชั่วคราวในคดีตามมาตรา 112 ของศาลอาญา

    คำร้องขอปล่อยชั่วคราวได้ระบุเหตุผลว่า ชูเกียรตินั้นมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หากได้รับการปล่อยตัว จะไม่หลบหนี หรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จำเลยยังถือว่าเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา และยังไม่ถูกพิพากษาว่ามีความผิด

    อีกทั้งวานนี้ ศาลอาญา รัชดาได้มีคำสั่งไต่สวนคำร้องขอประกันในคดีมาตรา 112 และมีคำสั่งให้ปล่อยตัวชั่วคราวพร้อมกำหนดเงื่อนไข และแต่งตั้งให้ ผศ.ดร.ชลิตา บัณฑุวงศ์ ให้เป็นผู้กำกับดูแล หากศาลจะกำหนดเงื่อนไข ขอให้ถือเอาคำให้การของชูเกียรติในคดีดังกล่าวเป็นการยืนยันว่า จำเลยจะยินยอมปฏิบัติตามคำสั่งของศาลนี้เช่นกัน

    นอกจากนี้ คำร้องยังยกเหตุผลขอปล่อยชั่วคราวเพื่อลดความเสี่ยงในการกลับมาติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของชูเกียรติ และเพื่อลดความแออัดในเรือนจำ เนื่องจากก่อนหน้านี้ชูเกียรติ เคยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จนต้องเข้าทำการรักษาตัวที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์มาแล้ว

    ต่อมา เวลา 13.00 น. ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ชูเกียรติ โดยให้วางหลักทรัพย์เป็นเงินสด จํานวน 200,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขในลักษณะเดียวกับในคดีของศาลอาญา ได้แก่ ห้ามกระทำการหรือเข้าร่วมกิจกรรมที่มีลักษณะเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือกระทำลักษณะเดียวกับที่ถูกฟ้องร้อง ไม่เข้าร่วมชุมนุมที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร และต้องมาศาลตามนัดที่กำหนดโดยเคร่งครัด

    ศาลยังมีคำสั่งแต่งตั้งให้ ผศ.ดร.ชลิตา บัณฑุวงศ์ เป็นผู้กำกับดูแล โดยให้มีหน้าที่สอดส่องดูแลให้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลอย่างเคร่งครัด หากพบพฤติกรรมอันควรสงสัยว่าเป็นการผิดเงื่อนไขให้รายงานศาลโดยเร็ว

    ศาลนัดคุ้มครองสิทธิ ในวันที่ 6 ก.ค. 2564 เวลา 09.00 น.

    คำสั่งดังกล่าวมีผลให้ ภายในเย็นนี้ ชูเกียรติจะได้รับปล่อยตัวชั่วคราวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หลังถูกขังเป็นระยะเวลารวมทั้งสิ้น 72 วัน หากนับการถูกขังระหว่างพิจารณาของคดีนี้นับตั้งแต่ศาลรับฟ้อง เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2564 จะนับเป็นเวลารวม 37 วัน

    หลังจากการปล่อยตัวของชูเกียรติ ยังคงมีผู้ต้องขังในคดีการเมืองระหว่างต่อสู้คดีอีก 2 รายที่ยังคงไม่ได้รับสิทธิประกันตัว ได้แก่ แซม สาแมท และศุภากร (สงวนนามสกุล) ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ล่าสุด รายงานของกรมราชทัณฑ์สถานการณ์ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 64 พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดสะสมรวมกว่า 1,802 คน จากจำนวนผู้ต้องขังทั้งหมด 2,964 คน

    จนถึงปัจจุบัน ชูเกียรติถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกทางการเมืองแล้ว รวมทั้งสิ้น 12 คดี โดยเป็นคดีตามมาตรา 112 ถึง 4 คดี

    (อ้างอิง: คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลอาญาธนบุรี คดีหมายเลขดำที่ 372/2564 ลงวันที่ 2 มิ.ย. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/30443)
  • ชูเกียรติพร้อมทนายความเดินทางมาศาล ขณะที่วรรณวลีไม่ได้เดินทางมาศาล เนื่องจากมีอาการป่วย โดยศาลได้อ่านคำฟ้องให้จำเลยฟัง ชูเกียรติยืนยันให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา และจะยื่นคำให้การเป็นหนังสือเพิ่มเติมในนัดหน้า คือในนัดพร้อมเพื่อตรวจพยานหลักฐาน ซึ่งศาลกำหนดนัดไว้ในวันที่ 12 ก.ค. 2564 เวลา 9.00 น.

    ทนายจำเลยยังได้รับแจ้งว่า พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญาธนบุรี 3 ได้ยื่นคำร้องลงวันที่ 2 ก.ค. 64 ขอเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราววรรณวลี ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในคดี

    พนักงานอัยการระบุว่า ในการประกันตัว ศาลได้กำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยที่ 2 กระทำในลักษณะเดียวกับที่ถูกกล่าวหาตามฟ้อง อันเป็นที่เสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือเข้าร่วมกิจกรรมใดที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล

    แต่อัยการได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บุปผาราม ว่าเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2564 เวลาประมาณ 17.00 - 20.30 น. จำเลยที่ 2 ได้เข้าร่วมในกิจกรรมชุมนุม “ราษฎรยืนยันดันเพดาน” ซึ่งเป็นการชุมนุมโดยไม่ได้ขออนุญาตจากสำนักงานเขตพื้นที่ มีการใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต มีผู้เข้าร่วมชุมนุมประมาณ 700 คน การบริหารจัดการผู้ร่วมชุมนุมแออัดใกล้ชิด ทำให้เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค โดยวรรณวลีได้ปราศรัยเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และกฎหมายมาตรา 112 อันเป็นการผิดเงื่อนไขการประกันตัว อัยการจึงได้ยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้เพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยที่ 2

    ทั้งนี้ อัยการยังได้ส่งบันทึกการถอดเทปคำปราศรัยในการชุมนุมวันดังกล่าว ซึ่งถอดโดย พ.ต.ท.ธนพล ติ้นหนู สารวัตรสอบสวน สน.ปทุมวัน ประกอบการพิจารณาของศาลด้วย

    แต่เนื่องจากวรรณวลีไม่ได้มาศาลในวันนี้ ศาลจึงเลื่อนไปไต่สวนคำร้องขอเพิกถอนการประกันตัวของอัยการดังกล่าว ในวันเดียวกับวันนัดตรวจพยานหลักฐาน คือ วันที่ 12 ก.ค. 2564

    อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ศาลได้แจ้งเลื่อนนัดพร้อมและไต่สวนถอนประกันวรรณวลีไปเป็นวันที่ 21 ก.ย. 2564 เวลา 09.00 น.

    (อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญาธนบุรี คดีหมายเลขดำที่ 372/2564 ลงวันที่ 6 ก.ค. 2564, คำร้องขอเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยที่ 2 ศาลอาญาธนบุรี คดีหมายเลขดำที่ 372/2564 ลงวันที่ 2 ก.ค. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/31795)

  • เวลา 10.00 น. ศาลนัดตรวจพยานหลักฐาน พร้อมทั้งนัดไต่สวนคำร้องที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญาธนบุรี 3 ขอให้ศาลเพิกถอนประกันวรรณวลี โดยอ้างเหตุว่า วรรณวลีได้ปราศรัยเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในการชุมนุม “ราษฎรยืนยันดันเพดาน”

    ที่ห้องพิจารณาคดี 6 ชูเกียรติ พร้อมกับพี่สาว วรรณวลีและเพื่อน ผู้ร่วมมาให้กำลังใจ เดินทางมาถึง ขณะที่ในวันนี้มีตัวแทนจากสถานทูตสวีเดนเดินทางมาสังเกตการณ์การไต่สวนด้วย แต่เจ้าหน้าที่หน้าศาลอนุญาตให้เพียงคู่ความเข้าห้องพิจารณาคดีเท่านั้น ทำให้ตัวแทนสถานทูตไม่สามารถเข้าร่วมสังเกตการณ์คดีได้

    ทนายความได้ยื่นคำให้การของ ชูเกียรติ (จำเลยที่ 1) และวรรณวลี (จำเลยที่ 2) โดยทั้งสองให้การปฏิเสธ และแถลงแนวทางการต่อสู้คดีว่า สิ่งที่ทั้งสองปราศรัยนั้นไม่ถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ ด้านโจทก์ได้ยื่นบัญชีพยาน และแถลงขอสืบพยานบุคคลทั้งหมด 11 ปาก ขณะที่ทนายจำเลยแถลงขอนำสืบพยานบุคคลทั้งหมด 6 ปาก โดยศาลได้กำหนดให้สืบพยานโจทก์ทั้งหมด 3 นัด และสืบพยานจำเลย 2 นัด ในวันที่ 8-10 ก.พ. และ 18, 22 ก.พ. 2565 เวลา 09.00 น.

    หลังเสร็จกระบวนการสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐาน ศาลได้เริ่มไต่สวนคำร้องขอเพิกถอนประกันวรรณวลี ทนายจำเลยแถลงว่า วรรณวลีได้ปราศรัยในการชุมนุม “ราษฎรยืนยันดันเพดาน” ที่สกายวอล์คแยกปทุมวัน เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2564 จริง แต่คำถอดเทปคำปราศรัยของวรรณวลีที่พนักงานสอบสวนได้นำมายื่นประกอบคำร้องนั้นมีข้อความบางส่วนไม่ถูกต้อง เช่น “ที่มึงเย็ดเด็กอายุสิบสี่” แต่ความเป็นจริงแล้ววรรณวลีพูดว่า “ยัดเด็กอายุสิบสี่” เท่านั้น นอกจากนี้ วรรณวลียังเผยอีกว่า ไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เป็นการแสดงความคิดเห็นเท่านั้น

    ด้านโจทก์ได้แถลงว่าที่ยื่นคำร้องขอเพิกถอนประกันตัววรรณวลีต่อศาลนั้น เป็นเพราะพนักงานสอบสวน สน.บุปผาราม ได้มีหนังสือถึงพนักงานอัยการ โดยในวันนี้ ร.ต.อ. วสันต์ดิลก คำโสภา รองสารวัตร (สอบสวน) สน.บุปผาราม ได้เดินทางมาศาลเพื่อให้ปากคำด้วย

    ร.ต.อ.วสันต์ดิลก เบิกความว่า ตนได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้มีหนังสือถึงอัยการขอให้ยื่นคำร้องขอถอนประกันวรรณวลีต่อศาล สำหรับบันทึกการถอดเทปคำปราศรัยของวรรณวลีนั้นผู้บังคับบัญชาเป็นผู้ถอดเทป และ ร.ต.อ.วสันต์ดิลก ไม่ได้ไปสังเกตการณ์การชุมนุมในวันดังกล่าว และหลังจากการชุมนุมวันที่ 24 มิ.ย. 2564 ก็ไม่ทราบว่า วรรณวลีได้เข้าร่วมการชุมนุมที่ใดอีก

    ด้านวรรณวลีเบิกความตอบศาลว่า ตนได้ปราศรัยตามข้อความในบันทึกถอดเทปว่า “แล้วหนูใส่เสื้อเหลืองแล้วเดินไปถวายตัวเองกับกษัตริย์ หนูก็จะไม่โดนคดี” จริง แต่ไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกลุ่มคนเสื้อเหลืองเท่านั้น

    ทั้งนี้ วรรณวลีได้รับต่อศาลว่า ตั้งแต่วันนี้ไปจะไม่กล่าวถ้อยคำหรือกระทำการใด อันเป็นลักษณะดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์อีก

    ต่อมา เวลาประมาณ 14.00 น. ศาลมีคำสั่งไม่เพิกถอนประกัน ใจความว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ไม่ปรากฏว่าวรรณวลีได้กระทำผิดเงื่อนไขของสัญญาประกันซ้ำอีก เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม และให้โอกาสวรรณวลีต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ ศาลจึงได้กล่าวตักเตือนให้วรรณวลีปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลอย่างเคร่งครัด

    จากคำสั่งไม่เพิกถอนประกัน ทำให้วรรณวลียังคงได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างพิจารณาคดี หลังเสร็จการไต่สวน วรรณวลีเผยความรู้สึกว่า ก่อนศาลมีคำสั่งไม่ถอนประกัน ตนได้เผื่อใจไว้แล้วอาจต้องเข้าเรือนจำ แม้จะคาดหวังลึกๆ ว่าจะได้รับการปล่อยตัว

    “พอศาลมีคำสั่งไม่ถอนประกัน รู้สึกดีใจมากเลย เหมือนพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ตอนไต่สวน ศาลได้ยกประโยคที่ว่า ‘แล้วหนูใส่เสื้อเหลืองแล้วเดินไปถวายตัวเองกับกษัตริย์ หนูก็จะไม่โดนคดี’ มาแล้วบอกว่า ประโยคนี้เข้าข่ายหมิ่นประมาทนะ แล้วบอกให้ทนายคุยกับลูกความ ก่อนท่านเดินลงจากบัลลังก์ไป และกำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจศาลว่า ไม่ให้เราออกจากห้องพิจารณา"

    “เราคุยกับทนาย เราบอกว่า เราไม่ได้หมิ่น เราพูดถึงกลุ่มเสื้อเหลือง ทนายเลยบอกให้เราอธิบายให้ศาลฟัง พอเราอธิบายศาลว่า จริงๆ แล้วมันไม่หมิ่นกษัตริย์เลย ประโยคนี้เราพูดถึงกลุ่มคนเสื้อเหลือง เรากำลังเปรียบเทียบถึงกลุ่มคนเสื้อเหลืองที่เขารักสถาบันกษัตริย์ หรือโหนสถาบันกษัตริย์ ทำให้สถาบันดูแย่ลง ไม่ได้บอกว่ากษัตริย์ใส่เสื้อเหลือง ศาลเขาก็รับฟังและพิจารณา”

    “จริงๆ แล้วคำปราศรัยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจถอดเทปมามีส่วนที่ผิดเยอะมาก บางส่วนที่ถอดผิดเหมือนทำให้เราถูกกล่าวหาว่า นอกจากหมิ่นกษัตริย์แล้ว ยังไปกล่าวหาว่าไปว่าคนอื่นด้วย เช่น ตอนปราศรัยเราพูดถึง แน่งน้อย อัศวกิตติกร ที่แจ้งความเด็กอายุ 14 ปี แต่เจ้าหน้าที่ถอดเทปเป็นคำที่แปลว่ามีเพศสัมพันธ์ ซึ่งเราไม่พูดคำนี้ในชีวิตประจำวันด้วยซ้ำ”

    (อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญาธนบุรี คดีหมายเลขดำที่ อ.372/2564 ลงวันที่ 21 ก.ค. 2564 และ https://tlhr2014.com/archives/35447)
  • สืบพยานโจทก์วันที่ 3 lวรรณวลีมาศาล แต่ชูเกียรติ จำเลยที่ 1 ไม่ได้มา ทนายจําเลยที่ 1 แถลงประกอบคําร้องขอเลื่อนคดีพร้อมใบรับรองแพทย์ที่แนบว่า ภายหลังจากที่ชูเกียรติท้องเสียเนื่องจากอาหารเป็นพิษเมื่อวานนี้ ช่วงเช้าวันนี้ก็ยังคงมีอาการอ่อนเพลียไม่สามารถมาศาลได้ จึงขอให้ศาลเลื่อนการพิจารณาไปก่อน

    ทนายจําเลยที่ 2 แถลงว่า เนื่องจากเพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทนายแทนทนายจําเลยทั้งสอง และในวันนัดสืบพยานจําเลยในวันที่ 18 และ 22 ก.พ. 2565 ติดว่าความที่ศาลอื่นซึ่งได้นัดไว้ก่อนแล้ว จึงขอให้ศาลยกเลิกนัดสืบพยานทั้งสองวันดังกล่าวด้วย

    โจทก์แถลงว่า โจทก์ยังเหลือพยานที่จะต้องสืบอีก 9 ปาก ขอให้ศาลกําหนดวันนัดใหม่ 3 นัด เนื่องจากฝ่ายจําเลยทั้งสองมีคําถามค้านพยานโจทก์ค่อนข้างมาก ส่วนทนายจําเลยทั้งสองยังคงติดใจสืบพยานจําเลยรวม 2 นัดเช่นเดิม

    ศาลอนุญาตให้เลื่อนคดี และยกเลิกวันนัดสืบพยานที่เหลือ กําหนดนัดสืบพยานโจทก์อีกในวันที่ 19, 20 และ 26 ก.ค. 2565 สืบพยานจำเลยในวันที่ 27 ก.ค. และ 2 ส.ค. 2565

    (อ้างอิง: รายงานกระบวนพิจารณา ศาลอาญาธนบุรี คดีหมายเลขดำที่ อ.372/2564 ลงวันที่ 10 ก.พ. 2565)
  • ทนายความได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ศาลอาญาธนบุรีว่า ในวันนัดฟังคำพิพากษา ศาลจะประกาศเขตควบคุมบริเวณศาล โดยให้แจ้งรายชื่อบุคคลทุกคนที่จะเข้าฟังคำพิพากษาในคดีนี้ล่วงหน้า
  • เวลา 9.00 น. ที่หน้าห้องพิจารณาคดีที่ 17 จำเลยทั้งสองได้ทยอยเดินทางมาฟังคำพิพากษา โดยมีเพื่อนและครอบครัวเดินทางมาให้กำลังใจด้วย ก่อนเข้าห้องพิจารณาคดี เจ้าหน้าที่ศาลได้ขอตรวจบัตรประชาชนของทุกคนเทียบกับรายชื่อที่ทนายความแจ้งไว้

    ต่อมาเวลา 10.30 น. เมื่อจำเลยเดินทางมาครบทั้งสองคน ผู้พิพากษาได้ขอให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องทุกคนออกจากห้องพิจารณาคดี รวมทั้งอัยการ ทนายความ และประชาชนที่มาในคดีอื่นด้วย โดยแจ้งว่าคดีนี้มีคำพูดที่อ่อนไหว ต่อมาผู้พิพากษาได้เรียกชื่อของชูเกียรติและวรรณวลีให้ลุกขึ้นรายงานตัวต่อศาล และให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เข้าไปใส่กุญแจมือของจำเลย

    เวลา 11.00 น. ผู้พิพากษาได้เริ่มอ่านคำพิพากษา โดยเริ่มจากบรรยายคำฟ้องของอัยการโจทก์ ศาลอ่านฟ้องให้จำเลยฟัง ก่อนอ่านคำวินิจฉัยในคดีนี้ สามารถสรุปได้ดังนี้

    พิเคราะห์พยานหลักฐาน ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า วันที่ 6 ธ.ค. 2563 มีการปราศรัยในประเด็น “ใครฆ่าพระเจ้าตากฯ” มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.บุปผาราม สังเกตการณ์ตลอดการชุมนุม จำเลยที่ 1 ปราศรัยในหัวข้อ “ใครฆ่าพระเจ้าตากฯ”, การที่รัฐใช้มาตรา 112 ปิดปากประชาชน, การทำร้ายผู้ชุมนุม และเรื่องการค้ายาเสพติดในประเทศไทย ส่วนจำเลยที่ 2 กล่าวปราศรัยเรื่องงบประมาณของสถาบันกษัตริย์ อำนาจที่จะชี้นำกองทัพและการทำงานของคณะรัฐมนตรี และการเซ็นรับรองรัฐประหาร มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่

    ศาลได้บรรยายไล่เรียงความเห็นของพยานฝ่ายโจทก์ ทั้ง พล.ร.ต.ทองย้อย แสงสินชัย พยานผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์, วิฆนาย ดีสุวรรณ อาจารย์สอนภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรี วิไลวรรณ วงศ์วิสุทธิศิลป์ และ มะลิวัลย์ สุวรรณาพิสิทธิ์ พยานผู้ให้ความเห็น, ยุทธศักดิ์ ดีอร่าม อาจารย์สอนนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรี รวมทั้ง ว่าที่ พ.ต.ต.ชนิสรณ์ ก๊วยสินทรัพย์ และ ร.ต.อ.จักรพงศ์ วงศ์งามใส ที่ให้ความเห็นไปในลักษณะเดียวกันว่าข้อความปราศรัยของจำเลยเป็นการกล่าวถึงพระมหากษัตริย์และราชวงศ์จักรีในทางเสียหาย

    เห็นว่า บุคคลหลายอาชีพมีความเห็นตรงกันว่าจำเลยปราศรัยดูหมิ่น หมิ่นประมาท และอาฆาตมาดร้าย รัชกาลที่ 1, รัชกาลที่ 9, รัชกาลที่ 10, สถาบันกษัตริย์ฯ และราชวงศ์จักรี พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องกัน พยานไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย เห็นว่าพยานโจทก์เบิกความโดยสุจริต สามารถรับฟังได้

    จำเลยที่ 1 เจตนาพาดพิง โจมตี และให้ร้ายพระมหากษัตริย์ แม้ไม่ได้กล่าวโดยตรงว่ากล่าวถึงพระมหากษัตริย์องค์ใดบ้าง แต่เมื่อฟังแล้ว เข้าใจได้ว่า หมายถึง รัชกาลที่ 1, รัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่ามาตรา 112 คุ้มครองแค่กษัตริย์ที่ครองราชย์อยู่หรือไม่

    เห็นว่า แม้การกระทำกระทบกษัตริย์พระองค์เดียว ย่อมส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ เป็นจอมทัพไทย การขึ้นครองราชย์สืบทอดทางสายโลหิต ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลปัจจุบัน รัฐธรรมนูญไทยบัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ดังนั้นเมื่อมาตรา 112 มิได้บัญญัติว่าต้องเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์อยู่ การกระทำต่ออดีตพระมหากษัตริย์ก็เป็นความผิดตามกฎหมาย

    การกระทำของจำเลยที่ 1 ต้องพิจารณาความรู้สึกของประชาชนชาวไทยที่มีต่อสถาบันกษัตริย์ฯ จำเลยที่ 1 ปราศรัยต่อประชาชนจำนวนมาก ให้ร้าย และยืนยันความจริง อันเป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์ จำเลยที่ 1 แสดงความดูหมิ่นเกลียดชังพระมหากษัตริย์

    เห็นว่า คำเบิกความของจำเลยที่ 1 เป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่สามารถรับฟังได้ ขัดแย้งกับคำปราศรัย พยานไม่มีน้ำหนัก เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการใส่ความ ดูหมิ่น หมิ่นประมาท และอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ครบองค์ประกอบมาตรา 112

    จำเลยที่ 2 ปราศรัยถึง จอมทัพไทย และเอ่ยพระนามว่า “วชิรา” หมายถึง รัชกาลที่ 10 พิจารณาถ้อยคำจำเลยที่ 2 เห็นว่า จำเลยมีเจตนากล่าวหาพระมหากษัตริย์ว่าใช้อำนาจโดยมิชอบ มุ่งโจมตีใส่ร้ายรัชกาลที่ 10 ทำให้ผู้อื่นที่ได้ฟังดูหมิ่นเกลียดชังรัชกาลที่ 10

    จำเลยที่ 2 เบิกความว่า ตนกล่าวถึงรัชกาลที่ 10 เพื่อให้ท่านทราบว่ามีผู้แอบอ้างใช้พระนามในทางที่มิชอบ โดยจำเลยที่ 2 พูดถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

    เห็นว่า เมื่ออ่านคำปราศรัยของจำเลยที่ 2 แล้ว วิญญูชนทั่วไปเข้าใจว่าจำเลยกล่าวให้ร้ายรัชกาลที่ 10 ไม่ใช่เหตุผลอย่างที่จำเลยกล่าวอ้าง ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างขึ้นลอยๆ ไม่มีน้ำหนัก ไม่สามารถรับฟังได้ การกระทำของจำเลยทำให้พระมหากษัตริย์ถูกดูหมิ่น หมิ่นประมาท และอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ครบองค์ประกอบมาตรา 112

    พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุกคนละ 4 ปี ทางนำสืบจำเลยให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษลงหนึ่งในสาม คงเหลือโทษจำคุกคนละ 2 ปี 8 เดือน เนื่องจากคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อยังไม่พิพากษา ไม่สามารถนับโทษต่อได้ คำขอส่วนนี้ให้ยก

    ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน ได้แก่ ไตรรัตน์ เกื้อสกุล

    หลังศาลมีคำพิพากษา ชูเกียรติและวรรณวลีถูกเจ้าหน้าที่ศาลเข้ามาควบคุมตัวลงไปที่ห้องขังใต้ถุนศาลในทันที ก่อนที่ทนายความจะยื่นขอประกันตัวระหว่างอุทธรณ์

    เวลา 13.40 น. ศาลอาญาธนบุรีมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวจำเลยในระหว่างอุทธรณ์ โดยให้วางหลักประกันจำนวนคนละ 300,000 บาท หลังจากก่อนหน้านี้เคยวางหลักทรัพย์ในชั้นสั่งฟ้องคดีไว้คนละ 200,000 บาท ทำให้ต้องวางเพิ่มอีกคนละ 100,000 บาท โดยหลักทรัพย์ดังกล่าวได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์

ชั้นสอบสวน

ผู้ถูกดำเนินคดี :
ชูเกียรติ แสงวงค์

การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
-
ผู้ถูกดำเนินคดี :
วรรณวลี ธรรมสัตยา

การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
-

ศาลชั้นต้น

ผู้ถูกดำเนินคดี :
ชูเกียรติ แสงวงค์

ผลการพิพากษา
ลงโทษ
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ : 27-06-2023
ผู้ถูกดำเนินคดี :
วรรณวลี ธรรมสัตยา

ผลการพิพากษา
ลงโทษ
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
พิพากษาวันที่ : 27-06-2023

ศาลอุทธรณ์

ผู้ถูกดำเนินคดี :
ชูเกียรติ แสงวงค์

ผลการพิพากษา
-
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต
ผู้ถูกดำเนินคดี :
วรรณวลี ธรรมสัตยา

ผลการพิพากษา
-
การอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว
อนุญาต

แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์