ผู้ถูกดำเนินคดี
ข้อหา
หมายเลขคดี
  • อั้งยี่ (มาตรา 209)
  • ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนและระเบิด
  • ฆ่า / พยายามฆ่า
ดำ อ 1213/2557
แดง อ. 101/2559

ผู้กล่าวหา
  • ไม่ทราบชื่อ (ประชาชน)
  • อั้งยี่ (มาตรา 209)
  • ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนและระเบิด
  • ฆ่า / พยายามฆ่า
ดำ อ 1213/2557
แดง อ. 101/2559

ผู้กล่าวหา
  • ไม่ทราบชื่อ (ประชาชน)
  • อั้งยี่ (มาตรา 209)
  • ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนและระเบิด
  • ฆ่า / พยายามฆ่า
ดำ อ 1213/2557
แดง อ. 101/2559

ผู้กล่าวหา
  • ไม่ทราบชื่อ (ประชาชน)
ผู้ถูกดำเนินคดี

ข้อหา

  • ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนและระเบิด
  • ฆ่า / พยายามฆ่า
  • อั้งยี่ (มาตรา 209)

หมายเลขคดี

ดำ อ 1213/2557
แดง อ. 101/2559
ผู้กล่าวหา
  • 3

ข้อหา

  • ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนและระเบิด
  • ฆ่า / พยายามฆ่า
  • อั้งยี่ (มาตรา 209)

หมายเลขคดี

ดำ อ 1213/2557
แดง อ. 101/2559
ผู้กล่าวหา
  • 3

ข้อหา

  • ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนและระเบิด
  • ฆ่า / พยายามฆ่า
  • อั้งยี่ (มาตรา 209)

หมายเลขคดี

ดำ อ 1213/2557
แดง อ. 101/2559
ผู้กล่าวหา
  • 3

ความสำคัญของคดี

22 กุมภาพันธ์ 2557 กลุ่ม กปปส.ตราด ชุมนุม และเปิดเวทีปราศรัยที่ตลาดยิ่งเจริญ ต.แสนตุ้ง อ.เขาสมิง จ.ตราด มีกลุ่มคนร้ายใช้รถยนต์กระบะ 2 คัน พร้อมอาวุธสงคราม และระเบิดขว้างไปยังสถานที่ชุมนุมจนทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 คน เป็นเด็ก 2 คน สตรี 1 คน มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสและบาดเจ็บรวมจำนวน 33 คน คดีนี้เจ้าหน้าที่พยายามสอบถามจำเลยเพื่อเชื่อมโยงไปถึงขบวนการความรุนแรงทางการเมืองใต้ดิน และยังมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยถูกซ้อมทรมานด้วย

พฤติการณ์ของคดีตามเอกสารคดี

อัยการศาลจังหวัดตราดฟ้องนายวัชระหรือเอ้ กระจ่างกลาง สมศักดิ์ พูลสวัสดิ์ และสมศักดิ์ สุนันท์ ในฐานความผิดร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย, ร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระทำความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือชุมชน และร่วมกันเป็นซ่องโจร

(อ้างอิง : คำฟ้อง คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2557)

ความคืบหน้าของคดี

  • ฝากขังครั้งที่ 1 วัชระ กระจ่างกลาง และสมศักดิ์ พูลสวัสดิ์

    พนักงานสอบสวนขออำนาจศาลสั่งฝากขัง วัชระ กระจ่างกลาง และสมศักดิ์ พูลสวัสดิ์ เพื่อสอบสวนในข้อหาร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และข้อหาเกี่ยวกับอาวุธ

    ในชั้นจับกุมและสอบสวนวัชระให้การปฏิเสธข้อหาร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าฯ ร่วมกันพาอาวุธปืนฯ และร่วมกันยิงปืนโดยใช่เหตุ แต่ให้การรับสารภาพในข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนในครอบครอง ส่วนนายสมศักดิ์ให้การรับสารภพตลอดข้อกล่าวหาและทุกข้อหา และขอคัดค้านการประกันตัวเนื่องจากคดีนี้อัตราโทษสูง เกรงว่าจะหลบหนี
  • ฝากขังครั้งที่ 1 สมศักดิ์ สุนันท์

    พนักงานสอบสวนขออำนาจศาลสั่งฝากขัง สมศักดิ์ สุนันท์ ซึ่งให้การรับสารภาพในข้อหาซ่องโจร แต่ปฏิเสธข้อหาร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง เกรงว่าจะหลบหนี
  • พนักงานอัยการจังหวัดตราดส่งฟ้องวัชระ กระจ่างกลาง สมศักดิ์ พูลสวัสดิ์ และสมศักดิ์ สุนันท์ ในฐานความผิด ร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย, ร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระทำความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือชุมชน และร่วมกันเป็นซ่องโจร

    (อ้างอิง : คำฟ้อง คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2557)
  • เมื่อวันที่ 28-29 สิงหาคม 2557 จำเลยในคดีนี้ทั้งสามคนได้ตั้งทนายความเพื่อต่อสู้คดี โดยวัชระ กระจ่างกลาง จำเลยที่ 1 สมศักดิ์ พูลสวัสดิ์ จำเลยที่ 2 และ สมศักดิ์ สุนันท์ จำเลยที่ 3 ได้แต่งภาวิณี ชุมศรี และศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ เป็นทนายความในคดี

    (อ้างอิง : ใบแต่งทนายความ คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2557 และ ใบแต่งทนายความ คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2557 )
  • จำเลยแถลงขอปฏิเสธฟ้องโจทก์ โดยจะนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความผิดในชั้นพิจารณาต่อไป ศาลสั่งจำหน่ายคดีนี้ออกจากศูนย์สมานฉันท์

    (อ้างอิง : รายงานกระบวนพิจารณา คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2557)
  • โจทก์พนักงานอัยการจังหวัดตราด ส่งบัญชีพยานรวมทั้งสิ้น 122 อันดับ โดยเป็นพยานบุคคล 81 คนและพยานหลักฐาน 41 ชิ้น

    (อ้างอิง : บัญชีพยาน คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2557 )
  • ศาลถามคำให้การสมศักดิ์ สุนันท์ จำเลยที่ 3 จำเลยขอปฎิเสธว่ามิได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องแต่อย่างใด ประกอบกับการจับกุมและการสอบสวนในคดีนี้ กระทำโดยมิชอบด้วยประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา พนักงานอัยการโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง (รายละเอียดจำเลยที่ 1และ 2 ขอนำเสนอในชั้นพิจารณา) ขอศาลได้โปรดพิพากษายกฟ้องและปล่อยตัวจำเลยไป

    (อ้างอิง : ถามคำให้การจำเลย คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 วันที่ 6 ตุลาคม 2557)
  • ศาลถามคำให้การวัชระ กระจ่างกลาง จำเลยที่ 1 และ 2 ขอปฎิเสธว่ามิได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องแต่อย่างใด ประกอบกับการจับกุมและการสอบสวนในคดีนี้ กระทำโดยมิชอบด้วยประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา พนักงานอัยการโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง (รายละเอียดจำเลยที่ 1และ2 ขอนำเสนอในชั้นพิจารณา) ขอศาลได้โปรดพิพากษายกฟ้องและปล่อยตัวจำเลยไป

    (อ้างอิง : ถามคำให้การจำเลย คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 วันที่ 6 ตุลาคม 2557)
  • ตามนัดตรวจพยานหลักฐานในวันนี้ ทีมทนายของฝ่ายจำเลยได้ยื่นบัญชีพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสาม จำนวน 12 อันดับ โดยแบ่งเป็นพยานของวัชระ กระจ่างกลาง จำเลยที่ 1 จำนวน 2 อันดับ และของสมศักดิ์ สุนันท์ จำเลยที่ 3 จำนวน 10 อันดับ โดยพยานหลักฐานของสมศักดิ์ พูลสวัสดิ์ จำเลยที่ 2 นั้นทีมทนายความได้แถลงต่อศาลว่า จะเพิ่มเติมในส่วนของพยานบุคคลที่เป็นพนักงานโรงแรมที่จำเลยที่ 3 ไปพักขณะถูกจับกุมเข้ามาภายหลังเพื่อสอบในส่วนการจับกุมโดยมิชอบ

    โดยโจทก์แถลงว่ามีพยานเอกสารที่อ้างรวม 174 ฉบับ จำเลยได้แถลงยอมรับข้อเท็จจริง ผลการตรวจชันสูตรศพผู้ตายของแพทย์ รายงานการตรวจผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุคดีนี้ตามท้ายฟ้อง รวมถึงบรรดาคำให้การพยานบุคคลต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุคดีนี้ แต่มิได้เห็นว่าบุคคลใดเป็นผู้ก่อเหตุดังกล่าว

    จำเลยได้แถลงว่าจำเลยไม่เคยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธ ศาลตรวจพบว่าเป็นดังจำเลยแถลง จึงได้ตัดพยานในส่วนพีรพล ลือล่า ปลัดอำเภอออก

    ดังนั้นจึงเหลือในส่วนที่จำเลยยังไม่รับ โจทก์จึงแถลงว่าจะมีพยานเข้าสืบรวม 31 ปาก เป็นพยานหมาย โดยจะสืบไม่เกิน 8 นัด และในส่วนจำเลยมีพยานเข้าสืบรวม 12 ปาก โดยจำเลยจะนำมาสืบเองและสืบไม่เกิน 3 นัด

    ผลการดำเนินการ
    ศูนย์คู่ความลงวันนัดสืบพยานดังนี้
    กำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ ในวันที่ 20 – 23 , 27-30 มกราคม 2558 เวลา 9.00 – 16.30 น.
    กำหนดวันนัดสืบพยานจำเลย ในวันที่ 3-5 กุมพาพันธ์ 2558 เวลา 9.00 – 16.30 น.

    (รายงานกระบวนพิจารณา คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2557 )
  • ทนายจำเลยแถลงระบุพยานจำเลยเพิ่มเติมครั้งที่ 2 โดยประกอบด้วยพยานบุคคล 1 คนและพยานหลักฐาน 2 ลำดับ รวมทั้งสิ้น 3 ลำดับ

    (บัญชีพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 2 คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 วันที่ 29 ตุลาคม 2557 )
  • สืบพยานโจทก์ปากที่ 1 เศก จันทสาร ผู้รู้เห็นการวางแผนก่อเหตุ

    เศกเบิกความตอบคำถามอัยการโจทก์ว่า ตนได้รู้จักกับสมศักดิ์ พูลสวัสดิ์ จำเลยที่ 2 เพราะมีความเห็นทางการเมืองไปในทางคนเสื้อแดงเหมือนกัน ได้เคยไปร่วมชุมนุมที่ราชมังคลากีฬาสถานด้วยกัน และได้รู้จักกับนางซี ซึ่งนางซีเคยให้เงินพยานเพื่อหาซื้ออาวุธ แต่พยานหาไม่ได้ ตั้งแต่นั้นมาพยานยังคบหากับจำเลยที่ 2 และพูดคุยเรื่องการเมืองกันอยู่ตลอด โดยจำเลยที่ 2 บอกว่าเคยไปร่วมชุมนุมที่ราชประสงค์แล้วถูกสลายการชุมนุมและยังได้แสดงอาการโกรธแค้นและบอกว่าจะเอาคืนภายหลัง

    ต่อมา 22 กุมภาพันธ์ 2557 ได้รับการติดต่อจากนวม อำไพ ให้ไปที่บ้านนวม เมื่อไปถึงก็พบคนอื่นอีก 10 คน รวมถึงจำเลยทั้งสามคน มีอาวุธปืนและระเบิดแบบขว้างจำนวนหนึ่ง ทั้งหมดได้คุยกันว่าจะนำรถไปกี่คัน และใครจะขว้างระบิดบ้าง จากนั้นทุกคนได้แจกจ่ายอาวุธใส่ถุงปุ๋ยแยกย้ายออกไปขึ้นรถ โดยรถคันที่ 1 คือรถกระบะวีโก้สีดำ มีจำเลยที่ 2 และ 3 นั่งท้ายกระบะ และคันที่ 2 คือรถกระบะวีโก้สีทอง มีจำเลยที่ 1 และอีกสองคนนั่งท้ายกระบะ รถคันที่ 1 ได้ขับออกนำหน้าไปและตามด้วยคันที่ 2 ส่วนพยานขับรถตัวเองตามไปเป็นคันที่ 3 รถขับตามกันจนมาถึงแยกตลาดแสนตุ้ง ก็ได้ขับเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนสุขุมวิท มุ่งหน้าตลาดยิ่งเจริญ หลังจากเลี้ยวซ้ายไม่นาน พยานไม่กล้าตามไป จึงจอดรถรออยู่ก่อนถึงตลาดยิ่งเจริญประมาณ 300 เมตร ส่วนสองคันนั้นได้ตรงไปที่ตลาด ระหว่างรอพยานได้ลงจากรถไปสั่งอาหารรับประทาน และได้ยินเสียงระเบิดดังติดต่อกัน 2 ครั้ง และเสียงปืนอีกหลายนัด พยานอยู่ที่ร้านอาหารนานประมาณ 45 นาที แล้วจึงกลับบ้าน

    มีนาคม 2557 จำเลยที่ 2 ได้ชวนพยานไปเอาอาวุธที่บ้านนางเมย์ ที่บางแสน จ.ชลบุรี และทราบว่านางเมย์คือผู้ให้ความช่วยเหลือสนับสนุนบุคคลทีได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมปี 2553 เมื่อได้อาวุธแล้วก็เดินทางกลับบ้านจำเลยที่ 2 ที่อยู่ที่อำเภอแก่งหางแมวเพื่อนำอาวุธไปเก็บ โดยใช้รถยนต์ของพยาน ซึ่งอาวุธที่ได้รับมาดังกล่าวบางส่วนปรากฏตามภาพถ่ายในเอกสารที่พยานจำได้คือ เครื่องยิงลูกระเบิด M79 กับอาวุธปืนอาก้า

    ในปลายเดือนเดียวกันนี้เอง จำเลยที่ 2 ได้มาชวนพยานไปฝึกอาวุธที่สกลนคร โดยจะได้ค่าตอบแทนคนละ 5,000 บาท สถานที่ฝึกคืออ่างเก็บน้ำห้วยสมรทบ โดยมีครูฝึก 2 คนมาฝึกการใช้อาวุธปืนสั้นและยาว การถอดประกอบ และการใช้ระเบิด ฝึกอยู่ 2 วันก็กลับบ้านที่จ.ตราด หลังจากฝึกเสร็จ จำเลยที่ 2 ได้นำอาวุธปืนที่ฝึกไปเก็บไว้ที่บ้านตัวเอง พยานได้ให้การยืนยันรูปถ่ายที่โจทก์ให้ดูว่าเป็นภาพถ่ายการฝึกอาวุธซึ่งในภาพมีพยานกับจำเลยที่ 2 อยู่

    พฤษภาคม 2557 มีการชุมนุมคนเสื้อแดงที่ถนนอักษะ อ.ศาลายา จ.นครปฐม พยานได้ไปกลับพร้อมจำเลยที่ 2 เพื่อร่วมชุมนุมด้วย โดยไปกลับในวันเดียวกัน ในวันนั้นเองจำเลยที่ 2 ได้นำอาวุธดังกล่าวไปมอบให้นางซี เพื่อให้นางซีนำไปเก็บไว้ที่ จ.สมุทรสาคร ซึ่งหลังจากนั้น 3-4 วัน พยานทราบว่านางซีถูกตำรวจจับกุมพร้อมกับอาวุธที่จำเลยที่ 2 มอบให้

    หลังจากนั้นพยานถูกทหารควบคุมตัวจากโรงเรียนที่ทำงานอยู่ไปกักตัวไว้ 4 วัน เพื่อสอบถามถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งพยานก็ได้เล่าให้ทหารฟังเหมือนกับที่เบิกความต่อศาล โดยตลอดการควบคุมตัวพยานถูกผูกผ้าปิดตาไว้ตลอด พยานให้การตามความเป็นจริงและด้วยความสมัครใจ ไม่มีการบังคับขู่เข็ญใดๆ หลังจากนั้นพยานก็ถูกปล่อยตัวกลับบ้าน และต่อมาได้มีการติดต่อจากพนักงานสอบสวน สภ.เขาสมิงให้มาเป็นพยานในคดีนี้ พยานได้ไปพบพนักงานสอบสวนและให้การต่อตำรวจตรงกับที่เบิกความต่อศาลและที่ได้ให้ไว้กับเจ้าหน้าที่ทหาร โดยพยานได้วาดแผนที่ที่ใช้ก่อเหตุที่ตลาดยิ่งจริญ และยืนยันภาพถ่ายจากภาพวงจรปิดว่าเป็นภาพรถยนต์ที่ใช้ก่อเหตุ และได้ระบุตำแหน่งที่นั่งของผู้ร่วมก่อเหตุแต่ละคน และได้ยืนยันภาพถ่ายของบุคคลที่ร่วมก่อเหตุรวมถึงจำเลยทั้งสาม

    พยานตอบคำถามค้านของทนายความจำเลยว่า พยานรู้จักกับจำเลยที่ 2 จากการที่จำเลยที่ 2 มาเป็นลูกค้าในร้านอาหารของภรรยาของพยาน และเริ่มสนิทสนมจากการไปชุมนุมที่ราชมังคลากีฬาสถาน

    พยานเบิกความต่อว่าตอนที่ได้รับเงินจากนางซีนั้น ไม่ได้คิดว่าจะไปหาซื้อปืนให้อย่างจริงจัง พยานได้รู้จักกลุ่มที่ก่อเหตุที่ตลาดยิ่งเจริญมาก่อนซึ่งกลุ่มดังกล่าวไม่เคยไหว้วานให้พยานไปทำสิ่งผิดกฎหมายมาก่อนเกิดเหตุครั้งนี้เลย

    พยานรู้จักนายนวมมาก่อน โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้แนะนำและได้ให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ ซึ่งพยานก็ไม่เคยพูดกับนายนวมว่าเคยมีความสามารถหาอาวุธหรือลูกระเบิดให้ได้ ก่อนเกิดเหตุพยานก็เคยคุยกับนายนวมทางโทรศัพท์มาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่เคยคุยกันเรื่องการซื้อหาอาวุธสงคราม

    เมื่อพยานไปถึงบ้านนายนวม พบกับจำเลยที่ 1 และ 3 ซึ่งพยานไม่รู้จักมาก่อน และมีเพียงนายนวมคนเดียวที่พูดชวนให้พยานไปร่วมก่อเหตุ แต่คนอื่นไม่ได้พูดชักชวน พยานขับรถตามรถกระบะทั้งสองไปเพราะกลัวถูกทำร้าย พยานรู้สึกกลัวโดยไม่มีผู้ใดแสดงอาการว่าจะทำร้ายพยาน และไม่มีใครบังคับให้พยานขับรถตามไป จากบ้านนายนวมไปตลาดยิ่งเจริญระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร และระหว่างทางก็มีป้อมตำรวจ แต่พยานไม่ได้หยุดรถเพื่อแจ้งความ หลังเกิดเหตุจำเลยที่ 2 มาหาพยาน โดยไม่ได้ยืนยันว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนกระทำความผิด

    พยานยืนยันว่าภาพจากกล้องวงจรปิดที่พนักงานสอบสวนนำมาให้ดูเป็นรถของจำเลยทั้งสามกับพวก ส่วนภาพตรงท้ายรถกระบะทั้งสองคันมองแล้วเห็นเป็นคนนั่งอยู่หรือไม่ ไม่ทราบ

    การไปฝึกอาวุธ จุดประสงค์คือเพื่อป้องกันตนเองได้ หากบ้านเมืองมีเหตุคับขันก็จะสามารถจับอาวุธช่วยเหลือได้ ไม่มีจุดประสงค์เพื่อกระทำความผิด

    พยานถูกทหารควบคุมตัวหลังจากมีปฏิวัติ ถูกปิดตาตลอดเวลาจนไม่รู้ว่าเวลาไหนเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน ระหว่างถูกควบคุมตัว พยานรู้สึกกลัวและเกิดความเครียด โดยทหารใช้เวลาถามอยู่ 4 วัน โดยใช้คำถามเดิมๆ ให้พยานตอบ ทหารพูดกับพยานว่า หากให้ความร่วมมือด้วยดีก็จะเป็นสิ่งดี ไม่ได้พูดว่าหากไม่ให้ความร่วมมือจะดำเนินคดี

    ในช่วงอัยการถามติง พยานตอบคำถามของอัยการว่า พยานรู้จักกับกลุ่มบุคคลดังกล่าวจากการแนะนำของจำเลยที่ 1 ซึ่งขณะนั้นทุกคนมีความคิดเห็นทางการเมืองฝักใฝ่คนเสื้อแดง จากการชุมนุมที่ราชมังคลาฯ และมีการยิงกัน กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้พูดคุยกันว่าเป็นการกระทำของกลุ่มเสื้อเหลืองหรือ กปปส. และกลุ่มของจำเลยที่ 2 และนายนวมเกิดความเคียดแค้น จึงคิดจะไปทำการแก้แค้น

    หากดูตามภาพถ่ายรถกระบะ ผู้ที่นั่งอยู่ท้ายรถกระบะมีลักษณะรูปพรรณเป็นคนไม่ใช่สิ่งของ และรถกระบะในภาพถ่ายก็มีลักษณะเป็นรถกระบะคันเดียวกัน และการไปฝึกอาวุธที่สกลนคร มีวัตถุประสงค์เพื่อหากบ้านเมืองมีการปะทะกันระหว่างคนเสื้อแดงกับคนเสื้อเหลืองจะได้สามารถใช้อาวุธเป็น

    ขณะถูกควบคุมตัวที่ค่ายตากสิน จ.จันทบุรี จะใช้คำถามให้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาทุกวัน โดยไม่มีการยื่นข้อเสนอหรือให้สัญญาใดๆ

    (อ้างอิง : คำให้การพยานโจทก์ คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ลงวันที่ 20 มกราคม 2558 )
  • สืบพยานโจทก์ บุญมี กระจ่างกลาง อาของจำเลยที่ 1

    พยานเบิกความว่า สมรสกับกับณรงค์ กระจ่างกลาง มีรถยนต์กระบะโตโยต้าวีโก้ สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน บร 946 จันทบุรี อาชีพทำสวนเงาะ ซึ่งวัชระ กระจ่างกลาง จำเลยที่ 1 มักจะมาช่วยเก็บเงาะเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว วันที่ 26 พฤษภาคม 2557 นายณรงค์ไม่อยู่บ้าน ไม่ได้บอกว่าไปไหน จำเลยที่ 1 และเพื่อนมาช่วยเก็บเงาะ โดยที่นายณรงค์ไม่อยู่บ้าน ไม่นานหลังจากนั้น มีทหารมาถามหาณรงค์ ค้นบ้านค้นรถ ระหว่างนั้นได้ยินเสีนงปืนมาจากท้ายสวน เมื่อไปดูก็พบศพทหาร 1 นาย ทหารได้ควบคุมตัวพยานและจำเลยที่ 1 ไว้ พร้อมกับเรียกให้นายณรงค์ออกมาจากที่ซ่อน แต่ก็ไม่พบ จากนั้นก็ทหารก็นำตัวพยานและจำเลยที่ 1 และนายวิเชียรไปที่ค่ายตากสิน จ.จันทบุรี

    วันรุ่งขึ้น พยานถูกนำตัวไปส่งบ้าน แต่ยังควบคุมตัวจำเลยที่ 1 และวิเชียรไว้ ต่อมาพนักงานสอบสวนได้เรียกพยานไปสอบสวน โดยระหว่างการสอบสวนตำรวจได้นำภาพถ่าให้ดูและให้พยานระบุว่าใช่จำเลยที่ 1 หรือไม่ นอกจากนี้ตำรวจยังให้ยืนยันภาพถ่ายว่าเป็นนายณรงค์หรือไม่ด้วย ซึ่งพยานได้ยืนยันว่าใช่ ในวันนั้นเอง ทหารก็ไปยึดรถยนต์ของนายณรงค์ และรถจักรยานยนต์อีก 2 คัน

    พยานตอบถามค้านทนายจำเลยว่า ในวันเกิดเหตุ ทราบว่าจำเลยที่ 1 อยู่กับมารดาที่ จ.ระยอง จำเลยที่ 1 มาอยู่ที่บ้านของพยานเพื่อช่วยเก็บเงาะมา 2 วันแล้วก่อนที่จะถูกควบคุมตัว ทหารเข้ามาพร้อมกันประมาณ 30 คน ทุกคนมีอาวุธครบมือ ตอนที่เสียงปืนดัง ทหารใช้ปืนจี้พยานไว้ให้เป็นโล่บัง และให้เดินนำหน้าแตะโกนเรียกนายณรงค์ ทหารไม่ได้บอกว่าจับกุมกับจำเลยที่ 1 และวิเชียรไปด้วยเรื่องอะไร ขณะถูกควบคุมตัว พยานไม่ได้ถูกปิดตา พยานถูกแยกมาอีกห้องซึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ก่อนแล้วเป็นลูกสาวของนายนวม พยานรู้จักกันกับลูกสาวของนายนวมมาก่อน

    ในช่วงเย็น ประมาณ 19.00 น. ทหารได้ทำการสอบสวนโดยให้นั่งหันหลังไม่ให้เห็นผู้ถาม โดยพยานกลัวว่าจะถูกทำร้าย ระหว่างที่สอบสวน ทหารก็บันทึกด้วยการพิมพ์ แต่เสร็จแล้วก็ไม่ได้อ่านให้ฟัง พยานอ่านหนังสือไม่ออก แต่เซ็นชื่อได้ ส่วนรถยนต์ที่ปรากฏในภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิด พยานดูแล้วไม่ทราบว่าเป็นรถนายณรงค์หรือไม่

    พยานตอบอัยการโจทก์ถามติงว่า ในวันเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 อยู่ที่จ.ระยองจริงหรือไม่ พยานไม่ทราบ แต่เห็นว่าเป็นคนจ.ระยอง จึงคิดว่าน่าจะอยู่ที่นั่น และระหว่างถูกควบคุมตัว ทหารไม่ได้มีท่าทางว่าจะทำร้าย แต่พยานรู้สึกกลัวเอง

    (อ้างอิง : คำให้การพยานโจทก์ คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ลงวันที่ 21 มกราคม 2558 )
  • สืบพยานโจทก์ พิสิทธิ์ บุญชู ผู้ได้รับบาดเจ็บจากระเบิด

    พยานเบิกความว่า พยานขายบะหมี่เกี๊ยวบริเวณหน้าตลาดยิ่งเจริญ วันเกิดเหตุ 22 กุมภาพันธ์ 2557 พยานมาถึงจึงทราบว่ามีการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. โดยจัดบนลานของตลาดและอยู่หลังร้านบะหมี่ของพยาน โดยร้านอยู่ห่างจากจุดที่ชุมนุมประมาณ 50 เมตร พยานได้ขายบะหมี่เกี๊ยวไปจนถึงเวลา 21.00 น. ก็มีการ์ด กปปส. มานั่งรับประทานที่ร้าน ขณะที่กำลังคิดเงิน พยานก็ได้ยินเสียงคนตะโกนว่า ระเบิด ตอนนั้นพยานยืนหันหน้าไปทางถนนจึงเหลียวกลับมามองด้านขวามือ มีวัตถุกลมคล้ายลูกเหล็กตกลงมากระทบไหล่ขวาของพยานแล้วตกพื้น พยานเห็นว่าลูกเหล็กดังกล่าวคล้ายระเบิดเลยใช้เท้าเขี่ยไปใต้รถเข็น และกำลังจะวิ่งหนี ก็เห็นควันจากลูกเหล็กและไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลยเพราะหูดับ พยานล้มลงแล้วลุกขึ้นพยายามจะวิ่งหนี ขณะนั้นมองเห็นแสงไฟแลบออกมาหลายครั้งจากรถกระบะสองคันที่จอดอยู่ ด้านซ้ายมือของร้าน พยานลุกขึ้นจะวิ่งแต่วิ่งไม่ได้ จากนั้นพยานก็ถูกยิงที่สะโพกแล้วล้มลงอีกครั้ง และไม่ได้เห็นเหตุการณ์อีก กระทั่งมีคนมาช่วยเหลือ

    พยานตอบคำถามค้านของทนายความจำเลยว่า ตนมาทราบภายหลังว่ามีการขว้างระเบิด 2 ลูก โดยลูกหนึ่งมาตกที่พยาน นอกจากพยานแล้วก็ยังมีภรรยาของพยาน พี่สะใภ้ และพี่ชายยืนอยู่บริเวณนั้น ซึ่งภรรยาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ซึ่งพี่ชายของพยานให้การกับตำรวจว่าระเบิดตกลงที่ภรรยาของพยาน พยานไม่ทราบว่ามีการยิงต่อสู้กันหรือไม่ วันเกิดเหตุพยานขายบะหมี่โดยหันหลังให้กลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งมีคนชุมนุมเต็มไปหมด ถ้าจะเห็นการชุมนุมต้องหันไปทางขวา 45 องศา ขณะเกิดเหตุพยานพยายามจะวิ่งหนีไปทางขวามือ ซึ่งกระสุนปืนก็มาจากทางขวา ตอนนั้นชุลมุนจนไม่ได้สังเกตว่าทุกคนวิ่งไปทางใดบ้าง และพยานก็ล้มลงคว่ำหน้ากับพื้น ไม่ได้สังเกตว่ากลุ่มการ์ด กปปส.ยืนอยู่ทางใดบ้าง

    พยานตอบถามติงอัยการโจทก์ว่า เมื่อถูกลูกระเบิด พยานล้มลงหงายหน้า ศีรษะหันไปทางเวทีปราศรัย และพยายามตะแคงตัวลุกขึ้นด้านขวา ลุกขึ้นได้แต่ขยับตัวไม่ได้ แล้วถูกยิงที่สะโพกจึงล้มลงอีกครั้ง ขณะนั้นเห็นแสงไฟจากอาวุธปืนทางด้านซ้ายมือของพยานผ่านไปทางด้านขวา

    (อ้างอิง : คำให้การพยานโจทก์ คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ลงวันที่ 21 มกราคม 2558 )
  • สืบพยานโจทก์ นายมนัส อุ่นใจ สามีผู้เสียชีวิต

    มนัสเบิกความว่า มีอาชีพค้าขายเสื้อผ้ากับพิศตะวัน ภรรยาอยู่ที่ตลาดนัดแสนตุ้ง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับตลาดนัดยิ่งเจริญ ในวันเกิดเหตุหลังจากที่พยานเลิกขายของในเวลา 21.00 น. พยานกับภรรยาก็ไปรับประทานหอยทอดซึ่งเป็นร้านรถเข็นตั้งอยู่กับร้านบะหมี่เกี๊ยว หลังรับประทานเสร็จกำลังจะออกจากร้านเพื่อกลับบ้าน ก็ได้ยินเสียงคล้ายประทัดดังติดกันหลายครั้ง และได้ยินชาวบ้านตะโกนว่าหมอบลงๆ พยานจึงหมอบลงและดึงมือภรรยาให้หมอบลงด้วย ขณะที่หมอบก็ได้ยินเสียงปืนรัวดังขึ้นหลายนัด ติดต่อกันประมาณ 2-3 นาที โดยพยานก้มหน้าไม่ได้มองไปที่ใดเลย เมื่อเสียงปืนสิ้นสุด พยานได้ลุกขึ้นและดึงมือภรรยา แต่ภรรยานิ่งเงียบไป จึงคิดว่าภรรยาตกใจจนช็อก แต่พออุ้มภรรยาขึ้นมาจึงเห็นว่าภรรยาถูกยิงทีหลัง ที่ถูกยิงที่หลังเพราะหันหลังให้ถนนและหันหน้าเข้าหาเวทีปราศรัยจึงโดนกระสุนที่มาจากทางด้านหลัง พยานจึงตะโกนให้คนช่วย จึงมีคนช่วยพาภรรยาของตนไปส่งโรงพยาบาล แต่รักษาตัวอยู่ 6 วัน ก็เสียชีวิต โดยแพทย์ให้เหตุผลว่าแผลติดเชื้อในกระแสเลือดเนื่องจากลูกกระสุนปืน

    พยานตอบคำถามค้านทนายความจำเลยว่า ลักษณะการนั่งรับประทานอาหารคือพยานและภรรยานั่งหันหลังให้ถนน หันหน้าเข้าเวทีปราศรัย ซึ่งห่างจากโต๊ะที่นั่งไป 100 เมตร ตอนที่พยานหมอบลงได้ดึงมือภรรยาลงให้หมอบด้วย แต่ภรรยาไม่สามารถหมอบได้ทันทีเนื่องจากคาดกระเป๋าสะพายที่เอว ทำให้ล้มตัวหมอบไม่ได้ในทันที ภรรยาของพยานถูกยิงเข้าด้านหลังบริเวณเอว เมื่อกระสุนทะลุเข้าด้านหลังแล้วได้ระเบิดเข้าไปในร่างกายด้วย เพราะเป็นอาวุธสงคราม

    (อ้างอิง : คำให้การพยานโจทก์ คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ลงวันที่ 21 มกราคม 2558 )
  • สุภาภรณ์ พินชาย มารดาผู้เสียชีวิต

    พยานเบิกความว่า ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟร้านอาหารในตลาดแสนตุ้ง วันเกิดเหตุ พยานทำงานที่ร้านถึง 21.30 น.ได้ยินเสียงระเบิดดังมาจากทางตลาดยิ่งเจริญและได้ยินเสียงคล้ายปืนดังอยู่ประมาณ 3 นาที ต่อมามีคนบอกว่าสาคร ซึ่งเป็นย่าทวดของพยานกำลังขายบะหมี่เกี๊ยวอยู่ที่นั่น และด.ญ.ฬิฬาวัลย์ บุตรสาวของพยานก็อยู่ที่นั่นด้วยและถูกระเบิด พยานจึงโทรศัพท์หาสาครจึงทราบว่ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตราด และด.ญ.ฬิฬาวัลย์ก็อยู่ที่โรงพยาบาลด้วยเช่นกัน เมื่อพยานไปถึงโรงพยาบาลจึงทราบจากแพทย์ว่าบุตรสาวถูกลูกกระสุนปืนที่ศีรษะและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนสาครบาดเจ็บที่ขา

    นายวรวุฒิ บุตรเต ผู้เห็นเหตุการณ์

    นายวรวุฒิเบิกความว่า วันเกิดเหตุพยานกลับจากไปเที่ยวจ.จันทบุรีแล้วผ่านตลาดแสนตุ้งเพื่อแวะรับประทานก๋วยเตี๋ยว ซึ่งร้านที่แวะคือร้านบะหมี่เกี๊ยวที่ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท บนฟุตบาทหน้าตลาดยิ่งเจริญ พยานเห็นว่ามีการชุมนุมกันแต่ไม่ทราบว่าชุมนุมเรื่องอะไร มีประชาชนมาชุมนุมจำนวนมาก ประมาณ 500 คน หลังจอดรถซึ่งห่างจากร้านก๋วยเตี๋ยวประมาณ 30 เมตร ประมาณ 10 นาที ก็ได้ยินเสียงเหมือนประทัดดังติดต่อกัน 5-6 ครั้ง จากด้านร้านบะหมี่เกี๊ยว พยานจึงหมอบลงและหันไปมองทางร้านบะหมี่เกี๊ยว เห็นรถกระบะสีดำสี่ประตู ขับชะลอความเร็วลง เมื่อรถเลยร้านบะหมี่เกี๊ยวไปเล็กน้อย พยานเห็นคนในรถยิงปืนออกมาจากข้างในรถซึ่งเปิดกระจกรถไว้ทั้งประตูหน้าและประตูหลัง โดยเห็นว่ามีคนนั่งในรถ 3 คน ส่วนท้ายกระบะไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีคนอยู่หรือไม่ พยานเห็นคนในรถกระบะคันดังกล่าวยิงออกมาหลายนัด โดยยิงผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวซึ่งอยู่เยื้องเวทีการชุมนุม พยานเห็นรถกระบะสองประตูตามมาอีกคันซึ่งมีคนนั่งด้านหลังด้วย โดยมาจอดต่อรถกระบะสีดำ และเห็นคนที่นั่งท้ายกระบะคันที่สองในลักษณะกึ่งนั่งกึ่งหมอบยิงออกมาไปในทิศทางเดียวกัน โดยเอาปืนพาดกระบะและมีกระสอบคลุมอยู่ ซึ่งพยานเห็นว่ามีคนเดียว พยานไม่แน่ใจว่าคนนั่งท้ายกระบะมีกี่คน แต่เห็นคนเดียว และเห็นมีคนขว้างระเบิดมาจากข้างในรถคันที่สองด้วย โดยระเบิดไปถูกสายไฟฟ้าก่อนกระเด็นตกลงที่ร้านบะหมี่เกี๊ยว และได้ยินเสียงระเบิด หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนรัวยิงอีกหลายนัด พยานจึงหมอบลงกับพื้น ได้ยินเสียงปืนต่อเนื่อง จากนั้นก็ได้ยินเสียงระเบิดอีกครั้งหนึ่ง ระยะเวลาที่เกิดขึ้นติดต่อกันไม่เกิน 5 นาที

    (อ้างอิง : คำให้การพยานโจทก์ คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ลงวันที่ 21 มกราคม 2558 )
  • สืบพยานโจทก์ สมศักดิ์ สิทธิผล ผู้รู้จักกับจำเลยที่ 2 และเคยถูกชักชวนไปฝึกอาวุธ

    สมศักดิ์เบิกความว่า รู้จักกับจำเลยที่ 2 เพราะเปิดร้านอยู่ใกล้กัน จากที่ได้พบปะพูดคุยกับจำเลยที่ 2 จึงรู้ว่าฝักใฝ่เสื้อแดง โดยได้ชวนพยานไปเข้าฟังการปราศรัยต่างๆ ของกลุ่มคนเสื้อแดงใน จ.จันทบุรี ต่อมาจำเลยที่ 2 ชวนไปเที่ยวสวนของจำเลยที่ 2 ที่ จ.ตราด มาถึงประมาณ 10.00 น. พบกับหญิงสาวชื่อ เอ โดยที่จำเลยที่ 2 ไม่ได้แนะนำให้รู้จัก นางเอ ปรากฏตามภาพถ่ายที่อัยการโจทก์นำให้พยานดู ต่อมามีรถยนต์วิ่งเข้าสวนมา 2-3 คัน คนที่ลงจากรถเป็นกลุ่มชายฉกรรจ์ที่แต่งชุดดำทั้งหมด สวมหมวกคลุมศีรษะ และหยิบอาวุธปืนออกมาจากรถ โดยพยานไม่ทราบมาก่อนว่าจะมีกลุ่มคนดังกล่าวเข้ามาในสวน พอถามจำเลยที่ 2 ตอบว่าคนกลุ่มนี้มาฝึกอาวุธ และได้ชักชวนพยานให้ฝึกอาวุธด้วย โดยจำเลยที่ 2 ได้นำชุดดำมาให้พยานแต่ง ซึ่งชุดดังกล่าวมีหมายเลขอยู่ที่เสื้อ และให้ทุกคนถ่ายรูปไว้ โดยอาวุธทั้งหมดที่นำมาจากรถก็ปรากฏตามภาพถ่าย รวมถึงชุดสีดำที่ใส่ในวันดังกล่าว บริเวณที่เกิดเหตุก็เป็นสวนเงาะที่จำเลยที่ 2 พาไป หลังจากถ่ายภาพ อีก 15-20 นาทีต่อมา พยานก็กลับออกมาจากสวนเงาะพร้อมจำเลยที่ 2 พยานไม่รู้ว่ามีการฝึกอาวุธมาก่อน และเหตุการณ์ยิงกันที่ตลาดแสนตุ้ง พยานทราบเหตุการณ์ แต่จำเลยที่ 2 ก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง

    พยานเคยถูกเรียกไปสอบสวน โดยในการสอบปากคำได้มีการบันทึก และพยานได้อ่านและพนักงานสอบสวนอ่านให้ฟังก่อนลงชื่อ ตามบันทึกคำให้การ พยานได้ให้ปากคำว่าวันดังกล่าวใส่ชุดดำหมายเลข 011 ซึ่งในภาพถ่ายก็ปรากฏชายคนหนึ่งใส่เสื้อ 011 ถือปืนกลมือทำท่ายิง ซึ่งวันดังกล่าวพยานก็ได้ถือปืนกลมือ

    พยานตอบถามค้านทนายจำเลยว่า พยานไม่เคยมีความรู้หรือเชี่ยวชาญด้านอาวุธปืนและไม่เคยยิงปืน เท่าที่รู้จำเลยที่ 2 ไม่เคยทำผิดกฎหมาย และไม่เคยพูดหมิ่นในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้ฟัง พยานไม่ทราบว่าการถ่ายภาพดังกล่าวมีวัตถุประสงค์อะไร และกลุ่มชายที่ร่วมถ่ายภาพก็ไม่ได้พูดว่ามีวัตถุประสงค์ในการทำผิดกฎหมาย และในวันดังกล่าวก็ไม่ได้มีการฝึกอาวุธกัน พยานแค่ใส่ชุดถืออาวุธปืนถ่ายรูปอยู่ 15 นาที โดยอาวุธที่ถือก็ไม่แน่ใจว่าเป็นปืนกลมือหรือไม่ แต่พยานเรียกว่าปืน M79 ซึ่งมีลำกล้องใหญ่กว่าปืนอื่นๆ พยานไปสวนของจำเลยที่ 2 เป็นครั้งแรก ซึ่งอยู่ห่างจากถนนลาดยางโดยต้องแล่นรถไปตามถนนลูกรังเข้าไป 300 เมตร

    (อ้างอิง : คำให้การพยานโจทก์ คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ลงวันที่ 21 มกราคม 2558 )
  • สืบพยานโจทก์ นางชวัลลักษณ์ ชาติไชยภูมิ ภรรยาจำเลยที่ 2

    นางชวัลลักษณ์เบิกความว่า ตัวเองสนใจกลุ่มคนเสื้อแดงตั้งแต่กลางปี 2550 และได้เข้าร่วมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงในช่วงปี 2553 รู้จักกับจำเลยที่ 2 จากการไปร่วมงานรำลึกผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 เมื่อปี 2556 และได้อยู่กินกันในปีนั้นเอง พยานและจำเลยที่ 2 รู้จักนายเศก จันทสาร และนายณรงค์ กระจ่างกลาง ในฐานะที่เป็นคนเสื้อแดงเหมือนกัน และจำเลยที่ 2 ยังได้เล่าว่ารู้จักกับนางเมย์ เจ้าของมูลนิธิฟ้าสีทองซึ่งตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมปี 2553 จำเลยที่ 2 เคยเล่าให้พยานฟังเกี่ยวกับการจัดหาซื้ออาวุธปืนแต่ไม่ทราบรายละเอียด เพราะนายเศกจะติดต่อกับนางเมย์เองมากกว่า

    จำเลยที่ 2 ไม่เคยเล่าให้ฟังว่าไปหานางเมย์ที่บางแสนกับนายเศก แต่พยานเคยเห็นจำเลยที่ 2 นำสิ่งที่คล้ายปืนมาทำความสะอาดที่บ้านในสวนของพยาน พยานเคยให้การกับพนักงานสอบสวนและพนักงานสอบสวนได้นำรูปถ่ายอาวุธปืนมาให้ดู ซึ่งพยานก็เคยเห็นจำเลยที่ 2 นำมาทำความสะอาด ซึ่งหลังจากนั้นพยานไม่ทราบว่าจำเลยที่ 2

    ในวันเกิดเหตุ พยานอยู่ที่บ้านที่บ่อไร่ ส่วนจำเลยที่ 2 อยู่ที่แก่งหางแมว พยานได้โทรไปหาเพื่อถามว่าจะกลับบ้านหรือไม่ และจำเลยที่ 2 ได้กลับบ้านมาตอนเวลา 01.00 น. หลังเกิดเหตุเวลา 21.00 น. โดยในวันดังกล่าวจำเลยที่ 2 ใช้รถกระบะอิซูซุสีแดง เมื่อกลับมาแล้วจำเลยที่ 2 ก็เข้านอน แต่บางครั้งก็มีอาการกระสับกระส่าย เนื่องจากมีเรื่องไม่สบายใจอยู่ที่แก่งหางแมว จำเลยที่ 2 เคยเล่าให้ฟังว่าในวันที่เกิดเหตุ นายเศกได้โทรมาหาให้ไปหา พยานเคยถามถึงเรื่องไม่สบายใจ แต่จำเลยที่ 2 ก็บ่ายเบี่ยงตอบที่ร้านมีปัญหา

    หลังเหตุการณ์ขว้างระเบิด นางเมย์เคยติดต่อมาหาจำเลยที่ 2 ในช่วง มีนาคม 2557 เรื่องหาคนไปฝึกเป็นกองกำลังเพื่อปกป้องคนเสื้อแดง โดยจะมีการฝึกที่ จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งจำเลยที่ 2 ก็ไปฝึกที่กาฬสินธุ์กับนางเศกอยู่หลายวัน หลังจากกลับมา จำเลยที่ 2 ได้มาพูดคุยกับพยานว่าอยากจะรวบรวมคนในจันทบุรีและตราดมาฝึก โดยอยากได้สวนผลไม้ของพยานเป็นสถานที่ฝึก แต่พยานปฏิเสธ

    เช้าวันที่ 25 เมษายน 2557 ขณะพยานทำสวนอยู่กับจำเลยที่ 2 มีคนเข้ามาในสวน 3 คน และพูดคุยกับจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 บอกให้พยานกลับบ้านไปก่อน พยานจึงกลับ แล้วรออยู่ประมาณ 12.00 น. จำเลยที่ 2 จึงกลับมาบ้านและบอกว่าเพื่อนที่มาหานั้นไปหมดแล้ว ต่อมาช่วงปลายเดือนเมษายนต่อต้นเดือนพฤษภาคม มีการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ถนนอักษะ ซึ่งบางครั้งจำเลยที่ 2 ก็ไปร่วมชุมนุมที่ถนนอักษะด้วย และพยานมาทราบภายหลังว่ามีการสลายการชุมนุมและมีการจับอาวุธสงครามที่ จ.สมุทรสาคร จากนางซี หลังจากนั้นนายเศกมาเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ไปชุมนุมที่ถนนอักษะ จำเลยที่ 2 ได้นำอาวุธสงครามไปด้วย พยานเคยเห็นนางซี 2 ครั้ง คือตอนที่มาหาจำเลยที่ 2 และมาหานายเศก

    22 พฤษภาคม 2557 ทหารเข้ายึดอำนาจและประกาศกฎอัยการศึกและมีเคอร์ฟิวห้ามออกจากบ้านหลัง 22.00 น. เมื่อจำเลยที่ 2 และพยานทราบว่ามีการยึดอำนาจ จำเลยที่ 2 ก็พาพยานไปหานายณรงค์ที่บ้าน ระหว่างทางมีเพื่อนของจำเลยที่ 2 โทรมานัดแนะให้ไปเจอกันที่ปั๊มน้ำมันปตท.แสนตุ้ง แต่การเดินทางล่าช้าเพราะติดเคอร์ฟิว พยานกับจำเลยที่ 2 จึงเข้าพักที่โรงแรมสวีทอินน์ ต.แสนตุ้ง ระหว่างที่นอนอยู่ พยานได้ยินเสียงดังคล้ายระเบิดและมีควันเต็มห้อง ประตูห้องถูกเปิดออก ทันใดนั้นพยานก็ถูกควบคุมตัวโดยใช้ผ้าผูกปิดตาออกมาจากห้อง โดยก่อนที่จะถูกปิดตา พยานเห็นจำเลยที่ 2 ถูกดึงตัวออกจากห้องแล้วจับกดก้มหน้าลงที่พื้น หลังจากนั้นพยานก็ถูกนำตัวขึ้นรถโดยมีเสียงพูดว่า จะไมได้เจอกันอีกแล้ว ตายแน่ รถพาพยานที่ถูกปิดตาขับไปประมาณ 5-6 ชั่วโมง โดยไม่รู้ว่าไปไหน และไม่รู้ว่าจำเลยที่ 2 ถูกควบคุมตัวมาด้วยหรือไม่ พอเช้าพยานถูกนำตัวมาสถานที่แห่งหนึ่งและถูกควบคุมตัวโดยถูกปิดตาและใส่กุญแจมือตลอดเวลา พยานถูกควบคุมตัวประมาณ 5 วัน โดยระหว่างนั้นมีการสอบถามว่าเป็นใครมาจากไหนโดยไม่ได้ถามเรื่องอื่น ทหารที่ควบคุมตัวบอกว่าอยู่ที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งใน จ.กาญจนบุรี ก่อนปล่อยตัวทหารได้พูดคุยปรับทัศนคติแล้วพาไปปล่อยที่ถนนพระราม 9 โดยให้ค่ารถกลับบ้านเอง

    หลังจากนั้น พยานก็ได้รับการติดต่อจากพนักงานสอบสวน สภ.เขาสมิงให้ไปสอบปากคำ โดยพนักงานสอบสวนบอกว่า หากให้ความร่วมมือก็จะกันไว้เป็นพยาน หากไม่ให้ก็กลับบ้านและเตรียมรับหมายจับ พยานจึงยอมให้ความร่วมมือ และพนักงานสอบสวนบอกว่าการให้การนี้ไม่มีผลกับจำเลยที่ 2 แต่จะมีผลกับนางเมย์ พยานจึงเล่าเรื่องให้พนักงานสอบสวนฟังเหมือนกับที่เบิกความต่อศาลวันนี้ พนักงานสอบสวนได้บอกว่ามีการยึดอาวุธจากบ้านที่เป็นสวนของพยาน และนำบันทึกการตรวจยึดมาให้ดู มีระเบิดไล่ช้าง 200 ลูก ซึ่งเป็นของพยานเองเนื่องจากสวนของพยานมีช้างมารบกวนบ่อยๆ ส่วนระเบิดแสวงเครื่องและระเบิดขว้างนั้น พยานไม่ทราบว่าเป็นของใคร

    พยานตอบคำถามค้านทนายความจำเลยที่ 1 และ 2 ว่า ตั้งแต่อยู่กินกับจำเลยที่ 2 ก็ไม่เคยได้ยินจำเลยที่ 2 พูดจาดูหมิ่นหรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน เคยไปบ้านจำเลยที่ 2 ที่แก่งหางแมวก็มีพระบรมฉายาลักษณ์ของท่าน พยานไม่เคยได้ยินจำเลยที่ 2 พูดว่าจะใช้ความรุนแรงจัดการกับกลุ่มเสื้อเหลือง

    วันที่ถูกจับกุม เจ้าของโรงแรมสวัทอินน์ได้ไปลงบันทึกประจำวันในวันรุ่งขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่เข้ามาจับกุมและใช้อาวุะปืนยิงทำให้ภายในห้องพักได้รับความเสียหาย ทนายได้นำภาพถ่ายให้พยานดูเพื่อยืนยันว่าเป็นห้องพักที่พยานและจำเลยที่ 2 พักในคืนดังกล่าว พยานดูแล้วตอบว่าใช่ ในภาพดังกล่าวมีร่องรอยกระสุนปืนและสิ่งของภายในห้องได้รับความเสียหายจากการใช้อาวุธ

    ระหว่างที่ถูกควบคุมตัว ทหารไม่ได้สอบคำให้การเกี่ยวกับเหตุการณ์ระเบิดเวทีกปปส.เลย แต่ให้บอกที่ซ่อนอาวุธและจะไม่ดำเนินคดี แต่พยานไม่ได้บอกเพราะไม่ทราบ เจ้าหน้าที่ทหารบอกว่า เหตุการณ์ระเบิดเวทีกปปส.เป็นฝีมือของจำเลยที่ 2 แล้วถามว่ารู้เรื่องหรือไม่ พยานตอบไปว่าไม่รู้ จากนั้นทหารก็นำตัวจำเลยที่ 2 มาพบพยาน ซึ่งเป็นช่วงหลังถูกจับกุมประมาณ 3 วัน จำเลยที่ 2 ไมได้พูดถึงเหตุระเบิด แต่บอกให้กลับบ้านไปดูลูก

    ตอนที่พบกันและระหว่างที่พูดคุยกัน พยานและจำเลยที่ 2 ถูกปิดตาทั้งคู่ แต่พยานสามารถเหลือบมองผ่านด้านล่างได้ ก็สังเกตเห็นว่าด้านล่างของจำเลยที่ 2 มีบาดแผลทั้งที่เป็นแผลตกสะเก็ดและแผลฟกช้ำ และพยานจับได้เพียงมือของจำเลยที่ 2 เพราะหากจับส่วนอื่นจำเลยที่ 2 ก็จะร้องออกมาว่าเจ็บ พยานคิดว่าจำเลยที่ 2 น่าจะถูกทำร้าย เพราะก่อนหน้านี้ได้ยินเสียงผู้ชายร้องโหยหวนประมาณ 2 ครั้ง

    ต้นเดือนมิถุนายน 2557 จำเลยที่ 2 ติดต่อมาบอกว่าถูกควบคุมตัวอยู่ที่สภ.เขาสมิง พยานจึงแจ้งมารดาและภรรยาอีกคนไปเยี่ยม หลังการสืบพยานก่อนฟ้องคดี พยานได้พบกับจำเลยที่ 2 ที่ศาลจังหวัดตราดและสังเกตเห็นว่า จำเลยที่ 2 มีบาดแผลฟกช้ำที่ขาและแผลรอยครูดและข้อมีมีรอยกดรัด ตามภาพถ่ายที่ทนายจำเลยให้ดูและขออ้างส่ง ในภาพมีชายสวมเสื้อขาวยืนข้างจำเลยที่ 2 คือจำเลยที่ 1 มีแผลกดรัดที่ข้อมือด้วย ซึ่งบาดแผลดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่จำเลยที่ 2 ถูกทหารควบคุมตัวไปแล้ว จำเลยที่ 2 ได้เล่าให้พยานฟังว่า ขณะที่ถูกควบคุมตัว ถูกใช้ถุงดำครอบศีริษะหลายชั้น และใช้อาวุธปืนกระทุ้งบริเวณลำตัวพร้อมทั้งเตะและทำร้ายร่างกาย ครั้งหนึ่งจำเลยที่ 2 ถูกพาตัวไปข้างนอก จำเลยที่ 2 คิดว่าจะถูกพาไปฆ่า จึงกระโดดลงจากรถและร้องให้คนช่วยแต่ไม่มีใครช่วย จำเลยที่ 2 จึงถูกพากลับมาที่ควบคุมตัวและทำร้ายร่างกายในลักษณะเดิมอีกครั้ง เนื่องจากต้องการให้จำเลยที่ 2 รับสารภาพว่าทำความผิด ซึ่งจำเลยที่ 2 ก็รับสารภาพเพราะบางครั้งถูกทำร้ายร่างกายจนปัสสาวะราด

    ภาพถ่ายอาวุธปืนที่พยานลงชื่อรับรองว่าเห็นจำเลยที่ 2 รับจากนางเมย์นั้น พยานเห็นว่าอาวุธดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกัน แต่จะเป็นกระบอกเดียวกันหรือไม่ ไม่ทราบ นอกจากนี้การตรวจยึดอาวุธที่บ้านของพยานไม้่ได้กระทำต่อหน้าพยาน ซึ่งเอกสารบันทึกการตรวจยึดนั้นระบุเลขที่บ้านไม่ตรงกับบ้านของพยาน บ้านที่ตำรวจยึดอาวุธได้ตามบันทึกการตรวจยึดนั้นไม่ใช่บ้านพยาน แต่เป็นบ้านใครไม่ทราบ

    พยานตอบถามค้านทนายจำเลยที่ 3 ว่า ไม่เคยเห็นหน้าจำเลยที่ 3 และไปร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงทุกครั้งก็ไม่เคยเห็นจำเลยที่ 3

    พยานตอบอัยการโจทก์ถามติงว่า รูปถ่ายห้องพักเป็นรูปที่ถ่ายขึ้นหลังจากพยานถูกจับกุมเพราะบันทึกประจำวันมีการระบุไว้ แต่ถ้าเห็นแค่รูปถ่ายอย่างเดียว พยานก็ไม่ทราบว่ารูปถ่ายเมื่อใด ส่วนภาพรูที่ประตูและผนังห้อง พยานไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุใด ส่วนภาพถ่ายจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ยืนข้างกัน ทนายความเป็นผู้ถ่ายในวันที่ถูกดำเนินคดี โดยถ่ายที่ศาลจังหวัดตราดในวันฝากขังครั้งแรก จำเลยที่ 2 ไม่ได้เล่าให้ฟังว่าบาดแผลที่ขาเกิดจากอะไร ส่วนรอยกดที่ข้อมือพยานทราบว่าเกิดจากสายรัดพลาสติกที่ข้อมือในขณะถูกควบคุมตัว เพราะตอนที่พยานถูกควบคุมตัวก็ถูกใช้สายรัดข้อมือเล่นกัน จึงมีรอยในลักษณะเดียวกัน สำหรับบ้านพักของพยานที่อ.บ่อไร่นั้นไม่มีเลขที่บ้านติดอยู่

    (อ้างอิง : คำให้การพยานโจทก์ คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ลงวันที่ 22 มกราคม 2558 )
  • สืบพยานโจทก์ ดาบตำรวจพีระ หนูตะเภา ผู้รู้เห็นการฝึกอาวุธ

    พยานเบิกความว่า รู้จักกับนายเศก จันทสาร มาตั้งแต่เป็นนักเรียน และรู้จักสนิทสนมกับนายสำเริง ประจำเรือ สมาชิกสภาจังหวัดจันทบุรี นายเศกเคยพูดคุยกับพยานเรื่องการฝึกกองกำลังประชาธิปไตยที่โคราช และบอกว่าอยากฝึกกองกำลังแบบนั้นแต่ไม่มีเงินทุน ให้พยานไปช่วยพูดกับนายสำเริงเพื่อปรึกษาว่าจะหาเงินทุนมาจัดกรฝึกกองกำลังในพื้นทบุรีและตราดได้หรือไม่ พยานจึงไปคุยกับนายสำเริง ซึ่งนายสำเริงบอกว่าจะไปพูดกับทางโคราช เหตุที่ไปคุยกับนายสำเริงเพราะขณะนั้นนายสำเริงเป็นแกนนำของบุคคลกลุ่มเสื้อแดงในพื้นที่จ.จันทบุรี หลังจากที่ได้พูดกับนายสำเริงก็ได้รับการติดต่อจากนายสำเริงว่าจะออกเงินให้ก่อน ให้นายเศกไปรับเงินที่นายสำเริงได้ ต่อมา 1 สัปดาห์ นายเศกกับจำเลยที่ 2 มาหาพยานเพื่อไปรับเงินทุน และได้รับเงินจากนายสำเริงจำนวน 50,000 บาท นายสำเริงเป็นแกนนำเสื้อแดง ถ้ามีคนเสื้อแดงมาขอความช่วยเหลือไม่ว่าเรื่องอะไรจะออกเงินช่วยเหลือให้

    ต่อมาวันที่ 25 เมษายน 2557 นายเศกได้โทรศัพท์มาให้พยานไปช่วยทำการฝึกท่าบุคคลมือเปล่าที่ ต.นนทรี อ.บ่อไร่ จ.ตราด วันรุ่งขึ้นพยานจึงไปตามนัด โดยที่ตลอดทางได้โทรถามนายเศกเพราะไม่รู้จักทาง เมื่อพบกับนายเศกก็พาพยานไปที่ทางเข้าสวน และได้พูดคุยกัน ขณะนั้นเห็นรถกระบะคันหนึ่งขับเข้าไปในสวนของจำเลยที่ 2 ประมาณ 30 นาทีต่อมา เจ้าของรถที่พยานยืมมาโทรมาบอกว่าต้องการใช้รถ พยานจึงต้องกลับเพื่อเอารถไปคืนเจ้าของ พยานไม่ทราบว่าภายในสวนของจำเลยที่ 2 จะมีการทำกิจกรรมใดบ้าง เพราะพยานยืนอยู่แค่ปากทางไม่ได้เข้าไป มองเข้าไปก็ไม่สามารถเห็นภายใน

    พยานตอบถามค้านทนายจำเลยว่า หากรู้ว่าเงินที่นายสำเริงให้นายเศกและจำเลยที่ 2 นั้นจะไปทำผิดกฎหมายก็จะไม่ให้ การฝึกดังกล่าวไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อกระทำผิดกฎหมาย เป็นเพียงการฝึกท่าบุคคลมือเปล่า การฝึกที่โคราชก็กระทำโดยเปิดเผย

    พยานตอบถามติงอัยการโจทก์ว่า นายเศกและจำเลยที่ 2 บอกว่าจะนำเงินไปใช้ในการฝึกท่าบุคคลมือเปล่า ไม่ได้บอกว่าจะนำไปใช้ฝึกอาวุธ

    (อ้างอิง : คำให้การพยานโจทก์ คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ลงวันที่ 22 มกราคม 2558 )
  • สืบพยานโจทก์ ร.ต.ต.เชิดพันธ์ บุญล้อม เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดตราด

    ร.ต.ต.เชิดพันธ์เบิกความว่า ตนมีหน้าที่เก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2557 เวลาประมาณ 10.00 น. ได้รับแจ้งจากวิทยุว่าตรวจพบวัตถุต้องสงสัยโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร พยานจึงเดินทางไปที่หมู่ 5 ต.บ่อพลอย อ.บ่อไร่ เมื่อไปถึงก็พบเจ้าหน้าที่ทหารจำนวนมาก ซึ่งทหารได้เก็บวัตถุระเบิดดังกล่าวออกจากบ้านและนำมาวางข้างบ้านแล้ว พยานจึงเข้าไปตรวจสอบพบว่าเป็นมีวัตถุระเบิดเป็นลูกระเบิดขว้างแบบสังหาร มีชื่อว่า RGD5 ที่ใช้ในสงคราม จำนวน 1 ลูก ระเบิดแสวงเครื่อง 2 ลูก นอกจากนี้มีประทัดยักษ์ 200 ลูก และยังพบวัตถุที่ใช้ทำระเบิดที่เป็นเหล็กและท่อพีวีซี รวมทั้งสายชนวน ไม่มีดินปืน แต่สามารถนำดินปืนจากประทัดยักษ์ 200 ลูก มาประกอบเป็นระเบิดได้ นอกจากนี้ยังมีเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายหลากสีรวมอยู่ด้วย สิ่งของที่ตรวจพบตรงกับบันทึกการตรวจยึด ซึ่งนำออกมาจากบ้านดังกล่าว

    ภานหลังทรายจากพนักงานสอบสวนว่าเป็นบ้านเลขที่ 5/3 แต่ขณะที่ทำบันทึก พยานเห็นมีการเขียนไว้ที่คานไม้หน้าบ้านว่า 1/1 จึงเขียนไปว่า 1/1แต่เมื่อตรวจสอบทีหลังที่ถูกต้องคือ 5/3 ซึ่งไม่มีเขียนติดที่บ้านหลังดังกล่าว

    จากนั้นประมาณ 3 วัน พยานไปตรวจสอบบ้านหลังดังกล่าวกับพนักงานสอบสวนอีกครั้ง โดยพาผู้ต้องหาไปด้วย ซึ่งก็คือชายที่นุ่งกางเกงขาสั้นในภาพถ่าย พยานจำไม่ได้แล้วว่าชายคนดังกล่าวอยู่ในห้องพิจารณาคดีนี้ด้วยหรือไม่ ซึ่งตอนที่ไปตรวจบ้าน พยานไม่ได้ถามว่าผู้ต้องหาชื่ออะไร

    พยานตอบถามค้านทนายจำเลยว่า พยานจบชั้นมัธยม 6 เมื่อรับราชการตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ส่งไปฝึกอบรมด้านวัตถุระเบิด เมื่อไปถึงบ้าน อาวุธหรือวัตถุระเบิดต่างๆ ได้มีการจัดวางไว้ที่นอกบ้านเรียบร้อยแล้วโดยเจ้าหน้าที่ทหาร พยานเพียงแต่ไปตรวจดูว่าเป็นระเบิดหรือไม่เท่านั้น ส่วนบ้านที่เขียนว่า 1/1 นั้นไม่ได้มีการถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน แต่ภาพถ่ายหมาย จ.12 ไม่มีปรากฏเลข 1/1 ซึ่งภาพถ่ายนี้ถ่ายเมื่อตอนไปตรวจบ้านครั้งที่ 2 ร่วมกับตำรวจ ไม่มีทหารอยู่ด้วย และตอนตรวจบ้านครั้งแรกก็ไม่มีชายคนที่นุ่งขาสั้นตามภาพถ่ายอยู่ด้วย

    เมื่อตรวจเสร็จ พยานไม่ได้ทำความเห็นไว้เป็นเอกสารหลักฐานว่า วัตถุที่ตรวจพบนั้นเป็ฯวัตถุระเบิด ส่วนบันทึกการตรวจยึด เจ้าหน้าที่ทหารเป็นผู้ทำขึ้น และพยานก็ไม่ได้ลงชื่อในเอกสารดังกล่าว ส่วนบ้านที่ไปตรวจนั้นเป็นบ้านติดถนนลาดยาง อยู่ห่างจากถนนประมาณ 4 เมตร จำไม่ได้ว่ามีบ้านหลังอื่นอยู่ติดกันหรือไม่

    พยานตอบถามติงอัยการโจทก์ว่า เหตุที่พยานมาทำหน้าที่เก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด เพราะพยานได้รับการส่งไปฝึกอบรมในหลักสูตรเห็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด หลังจากจบการอบรมก็ได้มาทำหน้าที่เก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิดมา 2 ปีก่อนเกิดเหตุ ในวันดังกล่าวพยานแค่ไปตรวจว่าเป็นวัตถุระเบิดหรือไม่ และทำให้วัตถุดังกล่าวปลอดภัย ไม่มีหน้าที่ในการถ่ายภาพ ส่วนเลข 1/1 นั้นเขียนด้วยปากกาเคมีที่คานใต้กระเบื้องหลังคา หากมองตามภาพถ่ายจะไม่สามารถมองเห็นได้ สำหรับหน้าที่ตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด ต้องส่งไปให้กรมสรรพาวุธตรวจพิสูจน์อีกครั้งโดยพยานไม่ได้มีหน้าที่ดังกล่าว

    ที่พยานเบิกความว่าไม่ได้ลงชื่อในบันทึกการตรวจยึดนั้นไม่เป็นความจริง บันทึกดังกล่าวมีชื่อของพยานและผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไปด้วยกันอีก 2 คน ซึ่งพยานได้ไปที่เกิดเหตุดังกล่าวจริง ตามบันทึกมีพนักงานตำรวจร่วมตรวจที่เกิดเหตุ 11 คน และมีการลงชื่อไว้ 11 คนที่ท้ายเอกสาร รวมถึงพยานด้วย

    (อ้างอิง : คำให้การพยานโจทก์ คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ลงวันที่ 23 มกราคม 2558 )
  • สืบพยานโจทก์ นางสาวกรรณิกา มณีจันสุข ผู้เห็นเหตุการณ์

    นางสาวกรรณิกาเบิกความว่า ตนเป็นหน่วยกู้ภัย วันเกิดเหตุไปปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกด้านการจราจรที่ตลาดยิ่งเจริญ ซึ่งมีการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. โดยปฏิบัติหน้าที่ตรงด้านหน้าทางเข้าตลาดตั้งแต่เวลา 19.00 น. ระหว่างทำหน้าที่ เวลา 21.09 น. พยานได้ไปซื้อขนมซึ่งขายอยู่ข้างร้านบะหมี่เกี๊ยวที่ตั้งอยู่ริมฟุตบาทใกล้ทางเข้าตลาดยิ่งเจริญ เห็นรถกระบะสีบรอนซ์คันหนึ่งจอดอยู่หน้าร้านบะหมี่เกี๊ยว เห็นคนนั่งในรถ 4 คน หลังจากนั้นมี 2 คนเดินลงมาจากรถ ชาย 2 คนที่ลงจากรถดังกล่าวสวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสีดำ ถือสิ่งที่มีลักษณะคล้ายหมวกผ้าสีดำในมือคนละใบ พยานรู้สึกเอะใจ จึงมองป้ายทะเบียนรถและจดจำเลขทะเบียนรถไว้ ซึ่งหลังเหตุการณ์พยานได้ไปบอกเลขทะเบียนรถกับตำรวจ แต่ตอนนี้จำไมได้แล้ว จากนั้น ชาย 2 คนทำท่าจะเดินเข้าไปในที่ชุมนุม แต่พยานไม่ได้สนใจ ยังรอซื้อขนมต่อ เมื่อซื้อเสร็จหันไปมองอีกครั้งก็ไม่มีทั้งรถทั้งคนแล้ว

    หลังจากที่รถดังกล่าวขับออกไปประมาณ 5-10 นาที พยานก็ยังรอซื้อขนมอยู่ที่เดิมเพราะยังไม่ได้รับขนม พยานได้ยินเสียงดังเหมือนจุดประทัดดังรัว ซึ่งขณะนั้นพยานยืนหันหลังให้ถนน จึงหันกลับไปมองถนนที่อยู่ด้านหลัง และเห็นแสงไฟกระจายขึ้น ตอนแรกไม่ทราบว่าเป็นอะไร ขณะนั้นมีคนร้องตะโกนว่าให้หมอบลงเป็นระเบิด พยานจึงหมอบลง และได้ยินเสียงคล้ายระเบิดอีกครั้ง และได้ยินเสียงปืนดังรัว พยานเห็นคนวิ่งหนีเข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุม พยานจึงตามไป เสียงปืนดังอยู่ 5 นาทีก็เงียบลง จึงออกมาบริเวณที่เกิดเหตุแล้วพาผู้บาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาล จากนั้นก็กลับบ้าน

    หลังเกิดเหตุ ได้มีตำรวจนอกเครื่องแบบมาถามว่าจำทะเบียนนรถได้หรือไม่ ตอนนั้นพยานจำได้เลยจดหมายเลขทะเบียนรถให้ หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน ตำรวจคนเดิมมาถามอีกแล้วบอกว่าตัวเลขผิดไป 1 ตัว แต่พยานจำไม่ได้แล้ว หลังจากนั้นตำรวจคนดังกล่าวได้พาพยานไปที่สภ.เขาสมิงและให้ดูรูปถ่ายหลายรูปพร้อมกับถามว่าจำบุคคลในรูปถ่ายได้หรือไม่ มีใครบ้างอยู่ในที่เกิดเหตุ พยานดูแล้วระบุว่ามีชาย 2 คนที่คล้ายกับบุคคลที่พยานเห็นลงจากรถ ซึ่งคนหนึ่งพยานชี้ตัวจำเลยที่ 1 จากนั้นอีกหลายเดือนหลังมีการจับกุมผู้ต้องหาแล้ว ตำรวจได้ให้พยานไปดูรถที่ยึดมา พยานดูแล้วยืนยันว่าเป็นรถที่เห็นในวันเกิดเหตุ และไปชี้จุดที่รถดังกล่าวจอดในวันเกิดเหตุ


    แต่พยานจำไม่ได้แล้ว หลังจากนั้นตำรวจคนดังกล่าวได้พาพยานไปที่สภ.เขาสมิงและให้ดูรูปถ่ายหลายรูปพร้อมกับถามว่าจำบุคคลในรูปถ่ายได้หรือไม่ มีใครบ้างอยู่ในที่เกิดเหตุ พยานดูแล้วระบุว่ามีชาย 2 คนที่คล้ายกับบุคคลที่พยานเห็นลงจากรถ ซึ่งคนหนึ่งพยานชี้ตัวจำเลยที่ 1 จากนั้นอีกหลายเดือนหลังมีการจับกุมผู้ต้องหาแล้ว ตำรวจได้ให้พยานไปดูรถที่ยึดมา พยานดูแล้วยืนยันว่าเป็นรถที่เห็นในวันเกิดเหตุ และไปชี้จุดที่รถดังกล่าวจอดในวันเกิดเหตุ ส่วนสาเหตุที่พยานจำได้เพราะรู้สึกผิดสังเกตจึงจำเลขทะเบียนรถไว้ก่อน

    พยานตอบถามค้านทนายจำเลยว่า พยานมีโทรศัพท์มือถือซึ่งถ่ายรูปได้ติดตัว แต่ไม่ได้เอามาถ่ายรูปรถไว้ รถดังกล่าวขับออกจากจุดจอดไปประมาณ 5 นาที จึงเกิดเหตุขว้าวระเบิดและยิงขึ้น ขณะเกิดเหตุพยานหันหลังให้ถนน พอได้ยินเสียงคล้ายประทัดก็หันไปมองที่ถนนทันที แต่ตอนนั้นมีรถจอดริมถนนอยู่ 3 คัน พยานจึงไม่เห็นรถที่ก่อเหตุ และทุกวันนี้พยานก็ไม่ทราบว่ารถคันที่ก่อเหตุและคนที่มาก่อเหตุแต่งกายอย่างไร

    หลังเกิดเหตุ 1 วัน มีนายพะยอม สมาชิก อบต.มาถามเรื่องหมายเลขทะเบียนรถ ซึ่งพยานไม่ทราบว่าเหตุใดจึงมาถามตน เพราะคนในที่เกิดเหตุก็มีจำนวนมาก พยานได้ให้หมายเลขทะเบียนรถไป แต่ต่อมานายพะยอมบอกว่าทำหายไป และหลังจากนั้น 1 เดือน จึงมีตำรวจนอกเครื่องแบบมาถาม ซึ่งพยานได้ตอบไปว่าจำไม่ได้แล้ว เพราะเหตุการณืเกิดนานแล้ว และขณะนั้นพยานยังไม่ได้ไปให้ปากคำกับตำรวจ ซึ่งตำรวจติดต่อมาประมาณเเดือนเมษายน หลังจากที่มีการล้อมจับและทหารถูกยิงเสียชีวิต

    ส่วนภาพถ่ายที่ตำรวจให้ดูนั้น พยานยืนยันไปเพียง 2 ภาพ ที่พยานชี้ยืนยันว่าคนในภาพคล้ายกับจำเลยที่ 1 นั้น ไม่แน่ใจว่าใช่คนเดียวกันกับที่เห็นในที่เกิดเหตุหรือไม่ ส่วนรถยนต์ที่พยานยืนยันก็เป็นเพียงรถยนต์ที่คล้าบกับที่พยานเห็นเท่านั้น โดยขณะที่ชี้ก็มีแผ่นป้ายทะเบียนติดอยู่ด้วย

    พยานตอบถามติงอัยการโจทก์ว่า เหตุที่พยานไม่ถ่ายรูปรถคันดังกล่าวเพราะกลัวแสงแฟลชจากโทรศํพท์จะทำให้กลุ่มชายดังกล่าวรู้ตัวแล้วจะถามว่าถ่ายไปทำไม บริเวณที่เกิดเหตุเป็นถนนสุขุมวิท ซึ่งเป็นถนนใหญ่มีสามแยก มีช่องทางเข้าจ.ตราด 2 ช่องจราจร และถนนฝั่งตรงข้ามเป็นขาไปจ.จันทบุรี อีก 2 ช่องจราจร จุดที่พยานยืนสามารถเห็นถนนฝั่งตรงข้ามได้ เพราะมีแสงไฟจากเสาไฟฟ้าซึ่งอยู่ใกล้ และมีไฟจราจร

    (อ้างอิง : คำให้การพยานโจทก์ คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ลงวันที่ 27 มกราคม 2558 )
  • สืบพยานโจทก์ นายลือเกษ ยิสารคุณ ทนายความที่ร่วมเข้าฟังการสอบสวน

    นายลือเกษเบิกความว่า เป็นทนายความอยู่ที่จ.ตราด ขณะเกิดเหตุมีตำแหน่งเป็ฯประธานทนายความจ.ตราดด้วย ซึ่งมีหน้าที่ส่งทนายความไปฟังการสอบสวนของพนักงานสอบสวนในพื้นที่จ.ตราด

    วันที่ 2 มิถุนายน 2557 วันที่สอบสวนคดีนี้ พยานได้รับการติดต่อจาก พ.ต.ท.พฤทธิ์ บุญปรก พนักงานสอบสวนสภ.เขาสมิง ให้จัดส่งทนายไปร่วมฟังการสอบสวนคดีขว้างระเบิดใส่กลุ่มผู้ชุมนุมกปปส. ซึ่งพยานเห็นว่าเป็นคดีใหญ่ จึงไปด้วยตนเอง เมื่อเดินทางมาถึงสภ.เขาสมิง พ.ต.ท.พฤทธิ์แจ้งว่าจะมีการสอบสวนจำเลยที่ 1 และ 2 เบื้องต้นทราบว่ามีการแจ้วหลายข้อหาเกี่ยวกับอาวุธปืนและความผิดเกี่ยวกับชีวิต พยานทราบว่าจำเลยที่ 1 รับสารภาพเกี่ยวกับความผิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืน ส่วนความผิดเกี่ยวกับชีวิตให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 2 รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา พยานได้ขอให้พนักงานสอบสวนถ่ายภาพขณะสอบสวน เพราะเห็นว่าคดีนี้อัตราโทษสูงและมีหลายข้อหา แต่ภาพถ่ายดังกล่าวจะปรากฏในสำนวนหรือไม่ พยานไม่ทราบ

    พยานได้สอบถามจำเลยที่ 2 ว่าให้การรับสารภาพหรือปฏิเสธข้อกล่าวหา จำเลยที่ 2 ตอบว่า รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ขณะนั้นพยานไม่เห็นว่ามีการบังคับขู่เข็ญ และจำเลยที่ 2 สามารถยืมโทรศัพท์จากพนักงานสอบสวนไปติดต่อผู้อื่นได้ และบรรยากาศการสอบสวนก็เป็นไปอย่างกันเอง เมื่อพยานเห็นว่าการสอบสวนเป็นไปโดยชอบ และพนักงานสอบสวนอาจมีคำถามซึ่งเป็นความลับทางราชการ จึงสอบถามพนักงานสอบสวนว่า หากพยานจะไม่นั่งอยู่ในห้องสอบสวน แต่จะอยู่บริเวณนี้จะได้หรือไม่ และสอบถามจำเลยทั้งสองว่าหากไม่ได้นั่งฟังโดยตลอดจะขัดข้องหรือไม่ ซึ่งจำเลยทั้งสองไม่ขัดข้อง หลังจากการสอบสวนเสร็จ พยานได้เข้ามาอ่านบันทึกการสอบสวนและได้ฟังการสอบสวนอยู่ช่วงหนึ่ง ระหว่างที่ทำบันทึกการสอบสวน พนักงานสอบสวนถามจำเลยที่ 2 ว่า ก่อเหตุเพราะอะไร จำเลยที่ 2 ตอบว่า โกรธแค้นมือปืนป๊อบคอร์น ซึ่งพยานเข้าใจว่าจำเลยที่ 2 ฝักใฝ่เสื้อแดง หรือ นปช. พยานได้อ่านสำนวนการสอบสวนแล้ว จำเลยที่ 2 ให้การว่าเป็นผู้โยนระเบิดไปในที่ชุมนุม แต่ตอนที่จำเลยให้การนั้น พยานไม่ได้นั่งฟังอยู่ด้วย แต่ก็ได้สอบถามจำเลยที่ 2 ว่าจะคัดค้านข้อเท็จจริงหรือไม่ จำเลยที่ 2 ไม่คัดค้าน จากนั้นพนักงานสอบสวนอ่านข้อความในเอกสารดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ฟัง และจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวต่อหน้าพยาน


    ระหว่างที่สอบสวน พยานเห็นสภาพร่างกายของจำเลยทั้งสองจากภายนอก ไม่เห็นร่องรอยหรือบาดแผลใดๆ พยานเห็นว่าคำให้การของจำเลยทั้งสองมีรายละเอียดเยอะ และได้สอบถามจำเลยทั้งสองว่าจะคัดค้านอย่างไร หรือไม่ ซึ่งจำเลยทั้งสองไม่คัดค้าน พยานได้อธิบายสิทธิทางกฎหมายและผลของการให้การต่อพนักงานสอบสวนให้จำเลยทั้งสองทราบและยืนยันคำให้การด้วยความสมัครใจ โดยคำให้การของจำเลยทั้งสอง พยานได้ลงชื่อ ยกเว้นแผ่นสุดท้ายที่เป็นการสอบสวนเพิ่มเติม หลังจากการสอบสวนในวันนั้นก็มีการสอบสวนอีกหลายครั้ง และพนักงานสอบสวนได้ขอทนายไปฟังการสอบสวนด้วยทุกครั้ง

    พยานตอบถามค้านทนายจำเลยว่า พยานรู้จักกับพ.ต.ท.พฤทธิ์ พนักงานสอบสวนในคดีจากหน้าที่การงาน ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว พยานไม่ได้ฝักใฝ่กลุ่ม กปปส. ซึ่งเป็นกลุ่มขัดแย้งกับกลุ่มของจำเลยทั้งสาม พยานทราบจากพนักงานสอบสวนว่า การจับกุมคดีนี้เกิดจากการตรวจสอบภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ และทราบว่าก่อนมีการสอบสวน จำเลยทั้งสองถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวอยู่หลายวันจากข่าวหนังสือพิมพ์ ทั้งนี้จำเลยทั้งสองไม่ได้แจ้งกับพยานว่าถูกเจ้าหน้าที่ทหารทำร้าย

    พยานจำไมได้ว่าวันที่ไปฟังการสอบสวน จำเลยทั้งสองแต่งตัวอย่างไร ทนายจำเลยให้ดูภาพถ่าย พยานดูแล้วตอบว่า วันที่ไปฟังการสอบสวน จำเลยทั้งสองแต่งตัวตามภ่ายถ่ายนี้ ทนายจำเลยให้พยานดูบาดแผลแล้วถามพยานว่าได้เห็นบาดแผลดังกล่าวหรือไม่ พยานตอบว่าไม่ได้สังเหต แต่จากการดูภาพถ่ายน่าจะเป็นบาดแผลของจำเลยทั้งสอง เมื่อเทียบกับภาพถ่าย

    พยานไม่ทราบว่าระหว่างที่จำเลยทั้งสองอยู่ในการควบคุมของทหาร ได้ถูกบังคับขู่เข็ญหรือไม่ แต่ตอนที่ถูกควบคุมอยู่กับพนักงานอสอบสวน พยานเห็นว่าไม่มีการบังคับขู่เข็ญและบรรยากาศการสอบสวนก็เป็นไปด้วยดี

    พยานได้ไปฟังการสอบสวนเพิ่มเติมในวันที่ 4 มิถุนายน 2557 ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการฝึกอาวุธในสถานที่ต่างๆ ซึงมีรายละเอียดจำนวนมาก แต่พนักงานสอบสวนลงรายละเอียดตามที่ปรากฏในบันทึก

    (อ้างอิง : คำให้การพยานโจทก์ คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ลงวันที่ 27 มกราคม 2558 )
  • ทนายจำเลยร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 10 อีก 3 รายการ ได้แก่
    1. รายการจดทะเบียนรถยนต์เก๋งยี่ห้อมิตซูบิชิ หมายเลขทะเบียน 9203 ตราด
    2. ภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิดที่พนักงานสอบสวนรวบรวม และนายเศกอ้างว่า ตำรวจแจ้งแก่นายเศกว่ามีภาพรถยนต์ทะเบียน 9203 ตราด วิ่งผ่านที่เกิดเหตุไม่เกิน 1 ชั่วโมง
    3. นายนิรันดร์ พิทักษ์วัชระ

    (อ้างอิง : คำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 10 คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ลงวันที่ 7 สิงหาคม 2558 )
  • สืบพยานจำเลย นายสมศักดิ์ พูลสวัสดิ์ จำเลยที่ 2 เบิกความเป็นพยานให้ตัวเอง

    ประเด็นแรกของการถามเบิกความ : การจับกุมและการสอบสวนมิชอบด้วยกฎหมาย

    คำถามที่ 1 รายละเอียดารจับกุม : ระหว่างที่ข้าฯเดินทางไปโรงแรมสวีตอินที่ตำบลแวงตุ้ง เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 ข้าฯได้เดินทางไปเจอด่านที่เจ้าหน้าที่ทหารตั้งแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ทหารได้สั่งห้ามข้าฯเดินทางต่อเพราะอยู่ในช่วงเคอร์ฟิวส์ ข้าฯจึงตัดสินใจเข้าพักที่โรงแรมดังกล่าว ที่โรงแรมสวีตอินกับภรรยา ประมาณ 1.00 น. ของวันที่ 24 พฤษภาคม 2557 ข้าฯได้ยินเสียงระเบิดคล้ายเสียงปืน ข้าฯจึงตกใจตื่นและเมื่ออกไปรอบตัวพบควันเต็มห้องและพบแสงเลเซอร์สีแดงสาดเข้ามาจากทางประตู จากนั้นข้าฯไปหลบอยู่ที่มุมห้องโดยได้ยินเสียงผู้ชายตะโกนว่า “อย่าต่อสู้ ขัดขืนให้มอบตัและคลานออกมา” ข้าจึงคลานออกมานอกห้องแต่ ภรรยาของข้าไม่ได้คลานออกมาด้วย เมื่อข้าคลานออกมาบริเวณหน้าประตูห้อง ข้าพบทหารใส่ชุดปกปิดใบหน้าถือปืนยาว จากนั้นข้าก็ถูกเท้าของทหารเหยียบตรึงไว้ตามส่วนต่างๆในร่างกาย เช่น หลัง แขน ขา จากนั้นข้าถูกจับถอดเสื้อผ้าให้เปลือยเปล่า จับปิดตาด้วยผ้า จากนั้นก็จับมือมือข้าไขว้หลังแล้วรัดด้วยสายรัดพลาสติกจากนั้นก้คร้องด้วยกุญแจมือ จากนั้นก็จับข้าถูกจับลุกขึ้นและมีทหารพูดกับข้าว่า “คราวนี้มึงตาย ไม่ได้พบลูกเมียมึงแน่” จากนั้นข้าก็ถูกจับขึ้นรถ ส่วนภรรยานั้นข้าไม่ทราบว่ามาดว้ยหรือไม่เพราะไม่มีโอกาสพบ เมื่อขึ้นรถข้าถูกสั่งให้นอนคว้ำหน้าราวเกือบชั่วโมง

    คำถามที่ 2 ในการจับกุมมีการแสดงตนและหมายจับหรือไม่ : ไม่มีการแสดงตัวและแสดงหมายจับเลย
    ทนายความจำเลยให้พยนดูภาพโรงแรมที่ถูจักบุม ตามเอกสารหมาย ล. 2 โดยพยานยืนยันว่าใช่โรงแรมที่ตนเข้าพัก

    คำถามที่ 3 เวลาของการแจ้งความของเจ้าของโรงแรมกับคำเบิกความของจำเลยไม่ตรงกัน พยานน่าจะจำวันผิดหรือไม่ : ใช่ ข้าจำผิด เป็นวันที่ 22-23 พฤษภาคม 2557

    คำถามที่ 4 เหตุการณ์ต่อเนื่องจากคำถามที่ 1 : ข้าถูกนำตัวไปที่สถานที่กักตัวโดยรถตู้ โดยระหว่างการนำตัวข้าไป ข้าถูกทำร้ายจากผุ้ถูกจับกุมตลอดทาง โดยระยะเวลานับตั้งแต่โรงแรมถึงสถานที่กักตัวใช้เวลา 3 ชั่วโมง สถานที่กักตัวข้า คือ ค่ายทหาร ข้าไม่รู้ว่าที่ไหน แค่คาดว่าจะเป็นที่ชลบุรี มีการนำตัวข้าไปสอบสวนเกี่ยวกับการก่อเหตุระเบิดและมีการซ้อมทรมานข้าเมื่อเจ้าหน้าที่ทหารไม่ได้รับคำตอบที่ถูกใจจากข้า

    คำถามที่ 5 พยานอยู่ที่ค่ายทหารกี่วันจึงถูกนำตัวมาที่สถานีตำรวจเขาสมิง : 7-8 วัน ก่อนที่จะมาโรงพัก ทหารบอกว่าจะกันตัวข้าเป็นพยาน และนำตัวข้าไม่กักที่ค่ายตากสินอีก 2 วัน ยังไม่ได้นำตัวไปโรงพัก พอทหารนำข้ามาถึงโรงพักมีเจ้าหน้าตำรวจนำตัวข้าไปไว้ที่ชั้นบนของโรงพัก เมื่อมาถึงโรงพัก ข้าไม่เจอพนักงานสอบสวนคนที่อ้างว่าเป็นเจ้าของคดีนี้เลย มีแต่การสอบสวนโดยถามที่อยู่และถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ในคดี (ทนายความให้ดูเอกสาร จ.178 คำให้การของจำเลยที่ 2 ในชั้นสอบสวน) โดยวันนั้นข้าถูกขังที่โรงพักและวันต่อมาข้าจึงได้พบกับพ.ต.ทพฤทธิ์ พนักงานสอบคดีนี้ และเริ่มการสอบสวนโดยไม่มีทนายความร่วมรับฟังและคำให้การมีการจัดเตรียมไว้แล้วและให้ข้ามาเซ็นรับรอง ข้าเซ็นในเอกสารคำให้การดังกล่าวเพราะถูกบอกว่าให้เซ็นเป็นพยานเท่านั้น หลังเซ็นต์ทนายความที่ปรากกฎชือเป็นทนายความร่วมรับก็เข้ามาเซ็นเป็นทนายความเข้าร่วมการฟังสอบสวน และมีการจับข้าถ่ายรูปคู่ทนายความกับตำรวจ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่า มีทนายความรับฟังการสอบสวนด้วย

    คำถามที่ 6 หลังจากการสอบสวนแล้วตำรวจดำเนินการอะไรต่อ : ตำรวจนำข้าไปที่สวนที่ บ่อไร่ เพื่อทำหลักฐานที่เกิดเหตุพร้อมกับจำเลยที่ 1 โดยให้ชี้ตามโค่นต้นไม้ 2 จุด เพื่อถ่ายรูปที่มีการพบอาวุธปรากฎตามภาพในหมาย จ.12 หลังจากนั้นก็พาข้าไปแถลงข่าวและพาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพโดยไม่มีการแจ้งกับข้าว่าเป็นการทำแผนอะไรนอกจากบอกให้ปาอย่างเดียว และที่ข้าทำเพราะเป็นห่วงอิสรภาพของภรรยาข้า พอดำเนินารเสร็จก็นำตัวมาที่ศาลเพื่อสืบพยานล่วงหน้า

    คำถามที่ 7 รายละเอียดการสืบพยานล่วงหน้า : มีการถ่ายภาพยาดแผลจากการซ้อมทรมานของข้าไว้ ปรากฎตามหมาย ล.3 เป็นภาพของจำเลยที่ 2 และข้าฯ เสร็จแล้วก็นำตัวไปขังที่สถานีตำรวจเช่นเดิมแล้วนำไปขังที่เรือนจำ
    ประเด็นที่ 2 ของการถามเบิกความ ทำลายน้ำหนักของพยานปากเอกของโจกท์ นายเศก จันทรสาร

    คำถามที่ 8 พยานรู้จักนายเศก จันทรสารหรือไม่ : ข้ารู้จักเพราะไปทานข้าวที่ร้านอาหารของภรรยานายเศก ตั้งแต่เดือนพฤศจิการยน 2556 (ส่วนต่อไปผู้พิพากษาช่วยถาม) ข้าเคยร่วมชุมกับเสื้อแดง แต่คำเบิกความของนายเศก จันทรสารไม่เป็นความจริง การเบิกความว่า นายเศกมีรถมิตซูบิชิ ที่อ้างว่าขับรถตามจำเลยไปก่อเหตุและมาเบิกความเป็นพยานปากเอกของอัยการไม่เป็นความจริง

    ทนายความได้เรียกเอกสารไปตรวจสอบที่ขนส่งจังหวัดตราด รถและทะเบียนรถที่นายเศกอ้างว่าเป็นของตนไม่มีอยู่จริง ทนายความอ้างเอกสารดังกล่าวส่งศาล

    การเบิกความของนายเศก จันทรสาร ที่ตำรวจอ้างว่ามีรถของเสกไปร่วมก่อเหตุด้วย แต่ปรากฎว่าทนายความตรวจสอบกับทางการแล้วไม่มีหลักฐานดังกล่าว

    คำถามที่ 9 พยานคิดว่าทำไมนายเศก จันทรสารจึงเบิกความปรักปรำพยาน : ทหารบังคับให้นายเศกซัดทอดข้า เพื่อให้ตัวเองพ้นผิดและถูกกันตัวเป็นพยาน แต่ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกัน

    คำถามที่ 10 ศาลถามว่า สรุปว่าข้อเท็จจริงของนายเสกไม่เป้นความจริงใช่หรือไม่ : ใช่

    คำถามที่ 11 แล้วคำเบิกความของภรรยาที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพยานเพราะอะไร : เนื่องจากถูกเจ้าหน้าข่มขู่จากเจ้าหน้าที่

    คำถามที่ 12 ตำรวยมีการเก็บดีเอ็นเอจากตัวพยานหรือไม่ : ไม่มี

    คำถามที่ 13 คดีนี้มีเจ้าหน้าที่ dsi มาสอบสวยหรือไม่ : ไม่มี

    ประเด็นที่ 3 ของการถามเบิกความ อั้งยี่
    คำถามที่ 14 เคยรู้จักกับจำเลยที่ 1 กับ 3 หรือไม่ : ไม่เคยและไม่เคยไปฝึกอาวุธด้วยกันเลย
    คำถามที่ 15 รู้จักสถานที่เกิดเหตุ (ศาลที่ไม่ให้ถาม เพราะเป็นพฤติการณ์ในคดี)

    11.30 น. หมดคำถาม อัยการเลื่อนการถามค้าไปช่วงบ่าย ศาลอนุญาตให้เริ่มตอน 13.30 น.

    อัยการถามค้าน

    ประเด็นที่ 1 ตีกลับน้ำหนักของพยานเอกของโจทก์ เรื่องสาเหตุโกรธเคือง

    คำถามที่ 1 ภูมิลำเนาของพยานอยู่ที่แก่งหางแมวใช่หรือไม่ : ใช่ มีภรรยาอยู่ที่นั่นด้วย และประกอบอาชีพเปิดร้านอาหาร รวมถึงทำสวน
    คำถามที่ 2 นางเชาวลักษณ์เป็นภรรยาอีกคนที่มาได้ในขณะที่มาเช่าที่ที่บ่อไร่ใช่หรือไม่ : ใช่
    คำถามที่ 3 นางเชาวลักษณ์เป็นข้าราชการอยู่ อบต. บ่อพลอย ใช่หรือไม่ : ใช่
    คำถามที่ 4 ภรรยาและพยานรู้จักกับนายเสกช่วงมาเช่าที่ใช่หรือไม่ : ใช่
    คำถามที่ 5 ร้านอาหารภรรยานายเสก พยานรู้ที่ตั้งใช่หรือไม่ : ใช่
    คำถามที่ 6 ก่อนเกิดเหตุมีสาเหตุโกรธเคืองกับนายเสกมาก่อนใช่หรือไม่ : ใช่
    คำถามที่ 7 บ้านพักในสวนที่เช่ามีหรือไม่ : ไม่มี ข้าพเจ้าจะไปพักที่บ้านเชาวลักษณ์

    อัยการชี้ภาพให้พยานดูที่เป็นเพิงสวนให้พยานดู จ.12แผ่น7 และพยานตอบว่ามีเพิงใว้กินข้าวอยู่ในสวนจริง

    คำถามที่ 8 พยานเริ่มไปพักที่บ้านดังกล่าวเมื่อไร : ประมาณสิงหาคมหรือกันยายน 2556
    คำถามที่ 9 ในวันที่พยานและภรรยาถูกเจ้าหน้าที่จับกุม มีการนัดพบเจอคนอื่นหรือไม่ : ไม่ได้นัดพบ
    คำถามที่ 10 วันถูกควบคุมตัวคือวันหลังรัฐประหารใช่หรือไม่ : ใช่
    คำถามที่ 11 มีการประกาศให้ใช้กฎอัยการศึกและเคอร์ฟิวทั่วประเทศ : รู้ แต่ไม่ทราบว่ามีการประกาศเรื่องเคอร์ฟิวและกฎอัยการศึก แต่มาทราบเรื่องพวกนี้กับเจ้าหน้าที่ทหารที่ตั้งด่าน
    คำถามที่ 12 ตอนถูกทหารสอบถามในชั้นกฎอัยการศึก พยานให้รายละเอียดเกี่ยวกับคดีว่าอย่างไร : ไม่เกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น แต่เพียงบอกว่าจะให้ความร่วมมือกับทหารเท่านั้น

    อัยการให้พยานดูเอกสารคำให้การในชั้นสอบสวน หมาย จ.178 และถามว่านั่นเป็นลายเซ็นต์ของพยานหรือไม่ : พยานยืนยัน ไม่แน่ใจ

    คำถามที่ 13 พนักงานสอบสวน พ.ตท พฤทธิ์ และทนาย พยานเคยมีสาเหตุโกรธเคืองมาก่อนหรือไม่ : ไม่เคย
    คำถามที่ 14 อัยการเอาเอกสาร หมาย จ.10 ให้พยานดู และถามว่าใช่ลายเซ็นต์พยานหรือไม่ : ไม่ยืนยัน
    คำถามที่ 15 อัยการให้ดูคำเบิกความของจำเลยที 1 และมีลายเซ็นต์ของพยานหรือไม่ : มี ใช่ลายเซ็นต์ของข้าพเจ้า
    คำถามที่ 16 วันทำแผนรับสารภาพ นอกจากตำรวจทหาร มีสื่อมวลชนไปร่วมด้วยใช่หรือไม่ : ไม่แน่ใจ
    คำถามที่ 17 อัยการให้ดูภาพวันทำแผนประกอบ จ.12 และถามว่าเป็นภาพจำเลยและมีสื่อมวลชนด้วยใช่หรือไม่ : ใช่
    คำถามที่ 18 เอาเอกสาร จ.13 พยานเคยเห็นมาก่อนหรือไม่ : ใช่ อัยการให้พยานดูเอกสาร
    คำถามที่ 19 เอกสารยืนยันเพราะไม่ทราบหมด ตัวอักษร แต่ไม่ยืนยันว่าไม่มีใช่หรือไม่ : ใช่
    คำถามที่ 20 นางชวัลลักษณ์อยู่กันกับพยานถึง 1 ปี หรือไม่ : ไม่ถึงปี
    คำถามที่ 21 ก่อนถูกจับกุมอยู่กันมากี่เดือน : ประมาณเก้าเดือนกว่า
    คำถามที่ 22 ที่ภรรยาพยานเบิกความในศาลว่า ต้องเบิกความเป็นปฏิปักษ์ต่อพยาน เพราะต้อให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ไม่เช่นนั้นจะถูกออกหมายจับ พยานได้ยินตอนภรรยาเบิกความต่อศาลใช่หรือไม่ : ใช่
    คำถามที่ 23 เรื่อซ้อมทรมานพยานเคยเล่าให้พนักงานสอบสวน และทนายความที่มาร่วมรับฟังการสอบสวนทราบหรือไม่ : ไม่เคยเล่า
    คำถามที่ 24 บาดแผลที่ปรากฎตาม หมาย ล13 ทำไมไม่บอกตำรวจและทนายความ : ไม่เคยบอกเลย
    คำถามที่ 25 ภาพนี้ ถ่ายในวันสืบพยานล่วงหน้าใช่หรือไม่ : ใช่

    อัยการหมดคำถาม

    ทนายแถลงไม่ถามติง แต่ทนายความขออนุญาตถามเบิกความเพิ่มเติม 1 คำถาม ผู้พิพากษาอนุญาต

    ทนายความถามเบิกความ
    คำถามที่ 1 วันเกิดเหตุพยานอยู่ที่ไหน : วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2557 ข้าอยู่ที่สวนของข้าที่จังหวัดจันทบุรี จนถึงเย็น และออกจากที่นั่นมาถึงบางบอนบ่อไร่ เวลาสามทุ่ม เส้นทางที่ขับรถผ่านผ่านจุดเกิดเหตุเลย

    ทนายความหมดคำถาม อัยการแถลงไม่ถามค้าน เสร็จสิ้นการเบิกความพยานปากนี้ เวลา 14.20 น.

    (อ้างอิง : คำให้การพยานจำเลย คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2558 )
  • สืบพยานจำเลย นายสมศักดิ์ สุนันท์ จำเลยที่ 3 เบิกความเป็นพยานให้ตัวเอง

    ประเด็นที่ 1 ความสามารถในการอ่านหนังสือ และถิ่นที่อยู่ในขณะเกิดเหตุ

    คำถามที่ 1 พยานเรียนจบชั้นไหน : ป.3

    ผู้พิพากษ์ษาถาม พยานอ่านหนังสือ เขียนหนังสือได้หรือไม่ : อ่านไม่ออก เขียนได้เฉพาะชื่อ

    คำถามที่ 2 บ้านที่อยู่ อยู่กับใคร : ข้าอยู่กับลูกเมีย

    คำถามที่ 3 วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พยานอยู่ที่ไหน : ออกจากรีดยางที่ไร่ 7.00 น. แล้วไปส่งลูกไปเรียน จากนั้นก็ไปที่บ้านแม่ จากนั้นประมาณ 10.30 น. ก็มีคนตามให้ไปดับไฟไหม้ที่อยู่ห่างออกไป 15 กิโลเมตร (ด่านขุนทด) ไปกับเพื่อนบ้าน นายบุญและนายทิด ไปถึงสวนยางประมาณเที่ยง และแยกย้ายช่วยกันดับไฟจนกระทั่ง 5 โมงเย็น จากนั้นก็มีอดีต อบต. ที่ข้าโทรไปบอกส่งข้าวน้ำ มาส่งเสบียง คนนั้นคือ อบต. หม่อง มาถึงประมาณ 6 โมงเย็น และหลังจากกินข้าวเสร็จก็แยกย้าย ออกจากการดับไฟประมาณ 19.30 น. ออกมาทั้งหมดพร้อมกับ อบต. พอมาถึงบ้านก็ประมาณ 2 ทุ่มเศษ หลังจากนั้นอาบน้ำเสร็จก็เข้านอน ประมาณเกือบสามทุ่ม ปกติก็นอนตั้งแต่หัวค่ำอยู่แล้วเพราะใช้ชีวิตกรีดยาง คืนนั้นไม่ได้ออกไป

    วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2558 ก็ตื่นนอน 05.30 น. เตรียมกับข้าวไห้ลูกและเดินทางไปรับแม่ไปทำบุญ ไม่มีช่วงเวลาไหนเลยที่จะไปก่อเหตุ


    ประเด็นที่ 2 จับและสอบสวนมิชอบ

    คำถามที่ 4 พยานรู้ว่าจะถูกจับในคดีได้อย่างไร (วันถูกจับ) : ได้รับแจ้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าจะมามอบตัวที่ศาลจังหวัดตราด ที่มามอบตัวเพราะแม่บอกว่ามีหมายศาลมาที่บ้านช่วงมิถุนายน 2557 อยู่ที่อำเภอเขาเฉมา จังหวัดระยอง ไปรับจ้างกรีดยางให้พี่สาว โดยคืนนั้น ข้าพเจ้ามีคดีป่าไม้อยู่ที่ศาลอยู่แล้ว ตามเอกสารหมาย ล.7 หลังจากฟังคำพิจารณา ตำรวจก็คุมตัวข้าไป

    คำถามที่ 5 ตอนจับมีการแสดงหมายจับหรือไม่ : ไม่มี วันนั้นตำรวจก็คุมตัวไปสอบสวน
    คำถามที่ 6 จากนั้นตำรวจก็คุมตัวไปที่เขาสมิง และเกิดอะไรขึ้น : ถึง สภ. เขาสมิง ข้าเจอ พ.ตท. พฤทธิ์ จากนั้นก็มีการสอบสวน มีการแจ้งข้อกล่าวหาโดยถูกขังอยู่ที่เขาสมิง โดยการสอบสวนมีการปฏิเสธ พ.ต.ท. พฤทธิ์ ได้แจ้งว่าถ้าไม่ใช้การอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อเขา เขาจะส่งตัวข้าไปให้ทหาร เช้าวันนั้นจึงมีการส่งตัวข้าไปที่กองปราบปราม โดยถึงประมาณ 10 โมงเศษ ก่อนไปกองปราบปราม ตำรวจได้มีการเอาตัวมาที่ฝากขังที่ศาล ตำรวจที่พามาจากเขาสมิงมาแจ้งข้าว่ามีนายประกันมาประกันตัวข้าแล้ว 2 คน โดย 2 คนนั้นไม่ได้เป็นญาติของข้า เมื่อลงจากกองปราบ จานั้นทหาร สห. ก็เข้ามาควบคุมตัวและมีการเอาถุงมาครอบหัว และข้าไม่รู้ว่าข้าถูกนำตัวไปไหนต่อ เกือบ 20 นาที ถึงไปถึงที่หมาย มีคนถามข้าว่า ข้าโดนคดีอะไร ข้าตอบว่า ข้าถูกกล่าวหาว่าก่อเหตุที่แสนตุ้ง และข้าไม่ได้ทำ จากนั้นก็ถูกถามว่ารู้ไหมใครใหญ่ ข้าไม่ตอบจึงโดนตบ จากนั้นข้าก็ถูกขังอยู่ในห้อง 2 วัน และหลังจากนั้นจึงถูกส่งมาสอบ ต่อมาข้าถูกสอบในขณะที่ถูกใส่กุญแจมือไขว้หลัง และเอาถุงครอบหน้าไว้ โดยถามว่าข้าเกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่ ข้าปฏิเสธจึงถูกซ้อมทรมานเสมอ วันนั้นก็ถูกไฟช็อต และถามเช่นเดิม ข้ายืนยันปฏิเสธจึงมีการขู่ฆ่าด้วย ในช่วง 7 วัน รายละเอียดปรากฎในสำนวนเอกสารศาล ศาลจดหมด

    ประมาณ 11 สิงหาคม ทหารแจ้งว่ามีคนมาขอพบ สามารถจับได้ และก่อนกลับรอพนักงานสอวบสวน

    ประมาณ 12 สิงหาคม ประมาณ 1 ทุ่ม มีตำรวจทหาร และนอกเครื่องแบบปิดตาและใส่กุญแจมือ นำตัวขึ้นรถและนำมาที่กองปราบปราม พอถึงกองปราบปรามก็ไม่มีการสอบสวนใดๆ เช้าวันที่ 13 สิงหาคม จึงมีการนำตัวข้ามาส่งที่ สภ.เขาสมิง

    คำถามที่ 7 ช่วงทหารเอาตัวไป ที่กองปราบปรามมีการจัดทำเอกสารอะไรขึ้น พยานทราบหรือไม่ : ไม่ทราบครับ

    คำถามที่ 8 พยานรู้จักนายประกันหรือไม่ และได้มีญาติได้อนุญาตให้นายคนนี้มาประกันหรือไม่ : ไม่รู้จัก และญาติไม่ได้แจ้งนายคนนี้เลย (ทนายนำเอกสารประกันและรูปหน้าของนายประกันมาให้พยานดู)

    คำถามที่ 9 พนักงานสอบแจ้งข้อกล่าวหาหรือไม่ : แจ้ง

    คำถามที่ 10 คำให้การที่ปรากฎในนชั้นสอบสวน พยานได้ให้การดังกล่าวหรือไม่ : พยานไม่ได้ให้การเช่นนี้

    คำถามที่ 11 มีทนายความอยู่ด้วยหรือไม่ในการสอบสวน : ไม่มีทนายความอยู่ด้วย ขนาดปฏิเสธไม่ให้ภรรยา มาเข้าร่วมรับฟังด้วย

    คำถามที่ 12 หลังจากสอบสวนเสร็จ พาไปไหน : พาข้าไปทำแผนที่บ่อไร่ ชี้จุดที่สวนเงาะ จากนั้นก็บังคับ ให้ข้าเซ็นต์รับรองรูปที่ชี้ที่เกิดเหตุ โดยอ้างว่าถ้าไม่ชี้ก็จะไม่ได้รับการปล่อยตัว ข้าจึงยอม

    คำถามที่ 13 พยานรู้จักจำเลยที่ 1,2 และนายเสก หรือไม่ : ไม่รู้จัก เพิ่งมารู้จักตอนมาถึง มาเบิกความที่ศาล

    คำถามที่ 14 พยานคล้ายกับนายอ้วนหรือไม่ : ไม่

    อัยการถามค้าน

    คำถามที่ 1 นายโอ่ง ชื่อจริงชื่ออะไร : ชื่อ พิทักษ์ สุนันท์

    อัยการเอาภาพนายโอ่งให้ดู

    คำถามที่ 2 นายอ้วน ชื่อจริงชื่ออะไร : บุญจิต สุขนำภา

    อัยการเอาภาพนายอ้วนให้ดู

    อัยการเอาหมาย จ.179 ให้ดู

    คำถามที่ 3 ถามว่าลายมือชื่อที่ปรากฎในเอกสารนี้คือลายมือชื่อตนเองใช่หรือไม่ : ใช่

    คำถามที่ 4 ลายเซ็นต์รับรองภาพชี้จุดเกิดเหตุ เป็นลายเซ็นต์ของพยานใช่หรือไม่ : ใช่

    คำถามที่ 5 นายยังยุทธ พงษ์ชัย นายประกัน ไม่เคยรู้จักและมีสาเหตุโกรธเคืองกับพยานมาก่อนใช่หรือไม่ : ใช่

    คำถามที่ 6 นายเสก กับ พ.ตท. ภฤทธิ์ ไม่เคยรู้จักและมีสาเหตุโกรธเคืองกับพยานมาก่อนใช่หรือไม่ : ไม่เคยรู้จัก

    ทนายความไม่ถามติง เสร็จสิ้นการเบิกความพยานปากนี้ เวลา 15.52 น.

    (อ้างอิง : คำให้การพยานจำเลย คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2558 )
  • สืบพยานจำเลยที่ 2 นายศิลา พูลสวัสดิ์ ลูกชายของสมศักดิ์ พูลสวัสดิ์

    บ่ายวันที่ 21ต.ค. นายศิลา พูลสวัสดิ์ ลูกชายของสมศักดิ์ พูลสวัสดิ์ เบิกความว่า เขาอาศัยอยู่กับสมศักดิ์และแม่ใหม่มีธุรกิจร้านข้าวต้มที่แก่งหางแมว, บ้านที่ทำสวนกล้วยอยู่ห่างจากร้านไป 5 กม.และสวนผลไม้ที่ตำบลบ่อไร่ โดยครอบครัวจะอาศัยอยู่ที่ร้านอาหารที่แก่งหางแมว ส่วนตัวเขาเองอาศัยอยู่ที่ร้านอาหารและบ้านสวนกล้วยแต่ไม่ค่อยได้ไปสวนผลไม้ที่บ่อไร่

    ศิลาเล่าถึงในช่วงเวลาที่เกิดเหตุเมื่อวันที่ 22 ก.พ.2557 ว่าช่วง 6 โมงเช้า สมศักดิ์ขับรถจากจังหวัดตราดเอาอุปกรณ์สำหรับทำอาหารที่ร้านข้าวต้มมาให้ จากนั้นไปที่บ้านสวนกล้วย จนกระทั้ง 10 โมงเช้าจึงกลับมากินข้าวและอาบน้ำที่ร้านอาหาร หลังจากนั้นสมศักดิ์ก็กลับไปที่บ้านสวนกล้วยอีก พอประมาณ 2 ทุ่มก็กลับมาอาบน้ำกินข้าวที่ร้านประมาณ 3 ทุ่ม สมศักดิ์ก็เดินทางไปจังหวัดตราด

    เวลาประมาณหลังเที่ยงคืนถึงตี1ก็มีเหตุการณ์แขกที่มาร้านข้าวต้มทะเลาะกับพนักงานของร้าน เขาจึงแจ้งให้แม่ใหม่ติดต่อสมศักดิ์เพื่อให้ทราบถึงเหตุการณ์ดังกล่าวตอนประมาณตี 1 จึงทราบว่าพ่ออยู่ที่ตำบลบ่อไร่ เวลาที่ใช้เดินทางจากบ้านที่เป็นร้านอาหารถึงสถานที่เกิดเหตุประมาณชั่วโมงกว่าๆถึงสองชั่วโมง รถของสมศักดิ์เป็นรถแคป 4 ประตู

    ศิลาไม่เคยรู้จักกับเศก จันทรสาร ไม่เคยเห็นสมศักดิ์พาคนแปลกหน้ามาที่ร้านข้าวต้ม


    สืบพยานจำเลยที่ 3 นายสมศักดิ์ บุญมั่น รู้จักกับจำเลยที่ 3 (นายสมศักดิ์ สุนันท์) เพียงคนเดียว โดยมีบ้านสวนยางพาราอยู่ใกล้ๆกัน
    รู้จักกันมา 10 ปีเศษ จำเลยเห็นไฟไหม้สวนยางของจำเลยที่ 3 จึงโทรแจ้งจำเลยที่ 3 ต่อมาได้ช่วยกันกับญาติของพยานไปดับไฟในสวนยางของจำเลยที่ 3 พยานช่วยจำเลยที่ 3 ดับไฟด้วยกันราว 2 ทุ่มจึงกลับ โดยวันรุ่งขึ้นทราบว่ามีข่าวขว้างระเบิดจากโทรทัศน์ แต่สถานที่เกิดเหตุกับสวนยางของจำเลยที่ 3 มีระยะทางห่างกันเป็นชั่วโมงและมีสภาพถนนไม่ดี

    สืบพยานจำเลยที่ 3 นายสุพิศ สารทอง รู้จักกับจำเลยที่ 3 เพียงคนเดียว โดยเป็นหนึ่งในคนที่จำเลยที่สามโทรมาช่วยให้ไปดับไฟที่สวนยางพารา โดยที่นั่นมีคนช่วยกันดับไฟระมาณ 7-8 คน ช่วงที่ช่วยกันดับไฟ ก็ยังมองเห็นจำเลยที่ 3 อยู่ และพยานเป็นผู้อยู่กับจำเลยที่ 3
    จนเวลา 2 ทุ่ม เพราะจำเลยที่สามขับรถมาส่งที่บ้านในเวลาดังกล่าว

    สืบพยานจำเลยที่ 3 นางบุญตา สุนันท์ เป็นผู้ไปช่วยจำเลยที่ 3 ดับไฟและอยู่ด้วยในวันที่จำเลยที่ 3 ถูกนำตัวไปที่ตำรวจกองปราบ
    หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน จำเลยกลับมาโดยมีคนประกันตัวให้แต่พยานไม่ทราบว่าเป็นใคร จำเลยบอกว่าถูกซ้อมและไม่ทราบสถานที่ที่ถูกคุมขัง พยานไม่ได้ดำเนินการร้องทุกข์เนื่องจากไม่กล้าดำเนินการ โดยตอนที่จำเลยถูกส่งตัวกลับมาที่สภ.เขาสมิง พยานได้พบจำเลย บริเวณลำตัวและหัวไหล่ของจำเลยที่ 3 มีรอยช้ำ แต่พยานไม่ทราบว่ารอช้ำดังกล่าวเกิดจากอะไร ทั้งนี้หลังจากกลับจากดับไฟแล้ว พยานไม่ได้ยินเสียงรถออกไปจากบ้านแต่อย่างใด

    (อ้างอิง : คำให้การพยานจำเลยที่ 3 คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2558 )
  • สืบพยานจำเลยที่ 1 นายจำรัส นาคษี เป็นช่างตัดผมและรับจ้างสักยันต์และครูบาอาจารย์ทางจิตวิญญาณของนายวัชระ กระจ่างกลาง จำเลยที่ 1

    พยานรู้จักกับวัชระเพราะเป็นลูกชายของช่างที่ร้าน ซึ่งวัชระก็ให้เขาสักยันต์ให้และให้เคารพ

    นายจำรัสเบิกความว่าสำนักสักยันต์ของเขาจัดพิธีไหว้ครูปีละหนึ่งครั้งช่วงปลายเดือนกุมพาพันธ์ เนื่องจากเป็นช่วงที่อาจารย์ของเขากำหนดไว้จะเป็นวันเสาร์-อาทิตย์เพราะคนสามารถมาร่วมได้ โดยในปี 2557 จัดในวันเสาร์และวันอาทิตย์ที่ 22-23 ก.พ.

    โดยวันที่ 22 ในตอนเช้าจะถวายเพลและปลุกเสกของวัตถุมงคลในตอนเย็น พิธีของวันนี้เสร็จตอนเวลาประมาณ 2 ทุ่ม วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ตอนเช้าไหว้ศาลเมตตาและสักบรรจุให้กับคนที่มาร่วมงาน และจากนั้นก็ครอบเศียร โดยจบพิธีการตอน 4-5 โมงเย็น นี่คือกำหนดการของพิธีการ

    ซึ่งวัชระก็ทราบถึงวันจัดงานและมาถึงงานในวันที่ 22 ก.พ.ตอนประมาณบ่าย 2 โมง แต่ไม่ได้บอกว่าเดินทางมาจากที่ใด โดยอยู่ที่สำนักสักยันต์เป็นเวลา 2วันและนอนพักที่บ้านศิลาทั้ง 2คืน วัชระออกไปในวันที่ 24 ทนายความได้เอาภาพถ่ายในงานให้เขาดูซึ่งมีแต่ภาพของวันที่ 23 ที่มีวัชระ เพราะวันที่ 22 วัชระมาไม่ทันช่วงถวายเพล

    นายศิลาเบิกความต่อว่าเขาเคยถูกพนักงานสอบสวนสอบปากคำแล้วที่สภ.เขาสมิงและที่จังหวัดชลบุรี แต่จำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่คาดว่าประมาณต้นปี 2558 เขาถูกควบคุมตัวก่อนการสอบสวนประมาณ 1 วัน โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจนอกเครื่องแบบจำนวน 8 นาย ก็มาจับตัวที่ร้านตัดผมและนำไปที่ชลบุรี

    ที่ชลบุรีเขาถูกสอบสวนเรื่องเหตุระเบิดที่จังหวัดตราดการสอบสวนเสร็จประมาณบ่าย 3 โมง จากนั้นก็ถูกส่งไปถึงที่เขาสมิง 4 ทุ่ม รายละเอียดปรากฎตามเอกสารคำให้การของพยานในชั้นสอบสวน แต่ในคำให้การที่ระบุว่าวันที่ 22 ก.พ.เขาไปรับลูกนั้น ตอนที่เขาถูกถามถึงวันที่ 22 พ.ค.ทำอะไร แต่ในบันทึกกลับปรากฎว่าเป็นวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ส่วนวันที่ 22 พฤษภาคมเขาพาลูกไปเข้าเรียนที่โรงเรียนดุริยางคศิลป์ ทหารเรือ จากนั้นทนายความนำส่งเอกสารการชำระเงินค่าเทอมและค่าธรรมเนียมให้แก่ศาล

    นายศิลาเบิกความว่าระหว่างถูกสอบสวนเขารู้สึกกลัว และเขายืนยันว่าการเบิกความในศาลวันนี้เป็นความจริง

    ช่วงอัยการถามค้านอัยการถามนายศิลาเรื่องสวนยางของเขา ศิลาตอบว่าเคยมีสวนยางอยู่ข้างหลังบ้านแต่โค่นไปแล้วเมื่อช่วงต้นปี 2558

    เขาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญตัวไปขณะกำลังตัดผมอยู่ที่ร้าน และเขาให้การกับตำรวจในฐานะพยานส่วนรูปถ่ายตอนไปพิธีไหว้ครูที่ตำรวจนำมาให้เขาดูรูปที่ถ่ายของเมื่อราว 3ปีก่อน ซึ่งถ่ายที่สวนยางของเขาในจังหวัดจันทบุรี อัยการได้ถามศิลาในประเด็นบันทึกคำให้การเขาตอบว่าลายมือในบันทึกเป็นของเขาแต่เขาไม่ยืนยันข้อความในบันทึกนั้น

    อัยการได้ถามจำรัสประเด็นที่เขาพาลูกไปสมัครเรียนโดยเขาตอบว่า ขณะลูกชายนี้เรียนอยู่ที่โรงเรียนดุริยางคศิลป์ ทหารเรือ โดยสอบเข้าเรียนตั้งแต่วันที่18 เม.ย.2557 และชำระค่าใช้จ่ายกับทางโรเงนรรียนเมื่อวันที่ 28 เม.ย. และพาลูกชายเข้าเรียนในวันที่ 22พ.ค. แต่มีเพียงแค่ใบเสร็จยืนยันเท่านั้น ซึ่งทนายได้ถามติงในประเด็นนี้โดยศิลาได้ตอบว่ายืนยัน มีการส่งมอบตัวจริง แต่ทางโรงเรียนไม่มีการทำหลักฐานยืนยันให้

    ส่วนในประเด็นภาพถ่ายที่ศิลาให้การถึงในชั้นสอบสวน ภาพถ่ายที่ตำรวจให้เขาดูเป็นภาพที่ถ่ายตอนที่เขาไปไหว้ครูที่จันทบุรีและมีวัชระอยู่ในภาพด้วย และเขายืนยันว่าคำให้การในส่วนนี้ที่อยู่ในบันทึกคำให้การนั้นถูกต้องแล้ว

    (อ้างอิง : คำให้การพยานจำเลยที่ 1 คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2558 )
  • สืบพยานจำเลยที่ 1 นายแพง ทันชม
    เขาเล่าว่าเคยรู้จักกับวัชระตั้งแต่สมัยเด็กตอนเรียนชั้นประถมศึกษา เนื่องจากบ้านอยู่ใกล้กัน 1 กิโลเมตร และรู้จักกับพ่อแม่ของวัชระแต่รู้แค่ชื่อเล่นไม่รู้จักชื่อจริง แต่วัชระก็ไม่ได้อยู่บ้านหลังเก่านี้ตั้งแต่จบชั้นประถมและวัชระก็ได้ขายบ้านของพ่อแม่ไปแล้ว

    ในวันที่ 26 พฤษภาคม 2557 แพรได้รับโทรศัพท์จากนางบุญมีจ้างให้เขามาเก็บเงาะ พอมาถึงสวนเวลา 7 โมงเช้า เขาก็เข้าไปในสวนไม่ได้เพราะทหารกั้นไม่ให้เข้าสวน เขารออยู่จนประมาณ 8 โมงเช้าก็ยังไม่ได้เข้า และไม่ได้เจอนางบุญมีเลย เขาจึงกลับบ้าน แต่ในวันรุ่งขึ้นเขาก็กลับมาอีกครั้งแต่เขาก็ไม่รับอนุญาตจากทหารให้เข้าไปได้และทหารได้ยึดสวนเอาไว้ 60 วัน ระหว่างนี้นายก อบจ.ได้เข้ามาเก็บเงาะในสวน

    นางบุญมีโทรศัพท์หาให้ไปช่วยดูแลสุนัขที่บ้าน แต่เขาไม่เคยเจอวัชระที่บ้านของนางบุญมี


    สืบพยานจำเลยที่ 1 นางสาวสนิสา กระจ่างกลาง
    เธอเป็นผู้ที่อาศัยอยู่กับวัชระที่จังหวัดระยองในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เธอเล่าว่าเมื่อวันที่ 22ก.พ.2557 ประมาณช่วงเย็นไปแล้วขณะเธอเลี้ยงลูกสาวที่กำลังไม่สบายอยู่ที่บ้าน วัชระก็เข้ามาที่บ้านไม่ได้บอกว่ามาจากไหน วัชระแค่เข้ามาที่บ้านอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงถามหาชุดขาวเพราะจะเอาไปไหว้ครูเท่านั้น ที่จำได้ก็เพราะว่ารุ่งขึ้นเธอพาลูกสาวไปรักษาที่โรงพยาบาล แต่หลังจากวันที่ 24 กุมภาพันธ์ก็ไม่ได้เจอวัชระ

    ภายหลังสืบพยานปากสุดท้ายเสร็สิ้นศาลได้กระบวนพิจารณาว่าศาลอนุญาตให้ทนายความจำเลยทำแถลงการณ์ปิดคดีเป็นลายลักษณ์อักษรส่งต่อศาลภายใน 20 วัน และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 26 มกราคม 2559 เวลา 9.00 น. โดยศาลให้เหตุผลที่ทำคำพิพากษาล่าช้าเพราะมีคดีที่ต้องพิพากษาติดพันหลายคดีและต้องส่งร่างคำพิพากษาไปให้สำนักงานศาลอุทธรณ์ ภาค 2 ตรวจ ตามระเบียบ ทางทนายจำเลยได้ขอคัดถ่ายคำเบิกความพยาน แต่ศาลอ้างว่าไม่สามารถให้ได้เนื่องจากศาลต้องใช้ในการทำคำพิพากษา

    (อ้างอิง : คำให้การพยานจำเลยที่ 1 คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2558 )
  • ศาลนัดอ่านคำพิพากษา สรุปใจความได้ดังนี้

    คดีมีปัญหาที่ต้องวินิฉัยว่า จำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายที่ร่วมกับพวกกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่

    เห็นว่า เหตุคดีนี้เกิดเวลากลางคืน ขณะก่อเหตุคนร้ายทุกคนอำพรางใบหน้าโดยสวมหมวกไหมพรมไว้ จึงไม่มีพยานโจทก์ปากใดเห็นหน้าคนร้าย คดีนี้จึงเป็ฯคดีอุกฉกรรจ์ มีอัตราโทษสูงถึงประหารชีวิต โจทก์ต้องมีพยานมานำสืบให้มั่นคงว่าจำเลยทั้งสามเป้ฯผู้ร่วมกระทำผิดตามฟ้อง ทั้งวัตถุพยานที่ตรวจยึดได้ก็ไม่อาจเชื่อมโยงให้เห็นว่า จำเลยทั้งสามเกี่ยวข้องในการก่อเหตุครั้งนี้หรือไม่อย่างไร แม้โจทก์จะมีนายเศก จันทสาร เป็นพยานเบิกความยืนยันว่าจำเลยทั้งสามเป็นคนร้าย แต่นายเศกก็เป็นผู้ร่วมกระทำความผิดที่ถูกกันไว้เป็นพยาน ข้อเท็จจริงที่ได้จึงเป็นคำซัดทอดระหว่างผู้กระทำความผิดด้วยกัน ถือว่าเป็นพยานบอกเล่า มีน้ำหนักน้อย ต้องฟังด้วยความระมัดระวัง ดังนั้น โจทก์ต้องมีหลักฐานอื่นมาประกอบ ซึ่งต้องรับฟังได้และมีแหล่งที่มาเป็นอิสระ ซึ่งคำรับในชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสามตลอดจนบันทึกการนำชี้จุดเกิดเหตุที่จำเลยทั้งสามอ้างว่าไม่ไดเกิดจากความสมัครใจ จำเป็นพยานหลักฐานที่มีข้อบกพร่อง ไม่อาจมารับฟังประกอบได้ ลำพังแต่คำเบิกความของนายเศกจึงไม่อาจนำมารับฟังเพื่อลงโทษจำเลยทั้งสามได้

    และถึงแม้รายงานการตรวจพิสูจน์จะตรวจพบดีเอ็นเอของจำเลยที่ 1 ที่ก้นบุหรี่ แปรงสีฟัน ผ้าขนหนู เป้ผ้าใบ ที่สร้อยพระและตะกรุด และดีเอ็นเอของจำเลยที่ 2 ที่แว่นตา แต่ของกลางเหล่านี้ไม่ได้ยึดจากที่เกิดเหตุ และโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าของกลางเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุในคดีนี้อย่างไร จึงไม่อาจนำมารับฟังให้เป็นโทษต่อจำเลยที่ 1 และ 2 ได้

    แม้โจทก์จะนำสืบว่าจำเลยทั้งสามมีแนวคิดและอุดมการณ์เดียวกันในการสนับสนุนคนเสื้อแดงและเคยไปร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง ก็ไม่อาจนำมาเป็นข้อสันนิษฐานให้เป็นผลร้ายต่อจำเลยทั้งสาม

    ในการเข้าตรวจค้นเพื่อให้ได้มาซึ่งตัวคนร้ายและของกลางของเจ้าหน้าที่ทหาร ไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ถึงสาเหตุที่เข้าไปตรวจค้นจับกุม เพื่อให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของพยานหลักฐานที่จะบ่งชี้ได้ว่าเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุคดีนี้อย่างไร และในการตรวจค้นแต่ละครั้ง เจ้าหน้าที่ทหารจะเป็นผุ้นำเข้าไปตรวจค้นเกือบทุกครั้ง ซึ่งถือได้ว่าเจ้าหน้าที่ทหารเป็นพยานสำคัญ แต่พนักงานสอบสวนก็ไมได้สอบปากคำเจ้าหน้าที่ทหารไว้เป็นพยาน ทำให้พยานหลักฐานดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนัก ขาดความน่าเชือ่ถือ

    ด้วยเหตุดังกล่าว พยานหลักฐานเท่าที่โจทก์นำสืบมาจึงยังมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจะเลยทั้งสามเป็นคนร้ายที่ร่วมกับพวกกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยทั้งสาม

    แต่อย่างไรก็ตาม ในส่วนของจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่พบที่สวนผลไม้ของนายณรงค์ จากการนำสืบของโจทก์ได้ความจาก พ.ต.ท.คำพันธ์ รุณพัฒน์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สภ.เขาสมิงว่า จากการสอบปากคำจำเลยที่ 1 ได้ความว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้นำอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายณรงค์จัดหามาไปซุกซ่อนไว้ที่ริมแดนสวนผลไม้ของนายณรงค์ ต่อมามีการค้นพบอาวุธอีก จากข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ดังกล่าวเชื่อว่า จำเลยที่ 1 เกี่ยวข้องกับอาวุธปืนและกระสุนปืนที่พบ โดยเป็นผู้นำไปซุกซ่อนไว้ ที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่าไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องนั้นเป็นข้อกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีพยานหลักฐานอย่างใดมาสนับสนุน จึงไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ในส่วนนี้ได้

    ในส่วนแพ่ง จำเลยทั้งสามต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ร้องหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายที่ร่วมกระทำผิดตามฟ้อง ดังนั้นจำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ร้อง

    พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 55, 78 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุก 5 ปี ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ของจำเลยที่ 1 ให้ยก และให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 และ 3 แต่ให้ขังจำเลยที่ 2 และ 3 ในระหว่างอุทธรณ์ และให้ริบของกลาง

    (อ้างอิง : คำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 คดีหมายเลขแดงที่ 101/2559 ลงวันที่ 26 มกราคม 2559 )
  • ทนายจำเลยยื่นขอแก้อุทธรณ์ของโจทก์ สรุปได้ดังนี้

    จำเลยทั้งสามเห็นว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นชอบด้วยเหตุและผลแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ไม่สามารถจะหักล้างคำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้ กล่าวคือ

    1. พยานโจทก์ปาก พ.ต.ท.คำพันธ์ รุณพัฒน์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน และโจทก์อ้างว่าพบจำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายนั้น พยานปากนี้ไม่ใช่ประจักษ์พยาน และที่อ้างรถคนร้ายพยานปากนี้ก็สืบทราบ แต่จำเลยทั้งสามเห็นว่าพยานเอกสารโจทก์ที่เป็นรูปภาพรถนั้นเป็นรถธรรมดาที่มีอยู่ทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษให้จดจำ

    2. พยานโจทก์ปากนายเศก จันทสาร หากจะรับฟังเป็ประจักษ์พยานตามคำกล่าวอ้างของโจทก์ พยานปากนี้เป็นพยานซัดทอดระหว่างผู้กระทำความผิดด้วยกัน เป็นการซัดทอดให้ตัวเองพ้นผิดและปรักปรำผู้อื่น พยานปากนี้จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ นอกจากนี้พยานปากนี้ยังถูกทหารควบคุมตัวไปและต่อมาจึงเป็นพยานให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

    3. พยานโจทก์ปากนางชวัลลักษณ์ ชาติชัยภูมิ พยานปากนี้ไมได้เห็นเหตุการณ์ และพยานปากนี้ก็ถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวไป และมาเป็นพยานโจทก์ ดังนั้นจึงไม่มีความน่าเชื่อถือ

    4. อาวุธที่โจทก์อ้างว่าพบที่บ้านจำเลยทั้งสาม ในชั้นไปตรวจค้นไม่มีหมายค้น และขณะค้นจำเลยทั้งสามก็ไม่ได้อยู่ด้วยและไม่มีผู้นำค้นอาวุธ โจทก์ก็ไม่มีพยานผู้ตรวจค้นมายืนยันต่อศาล พยานหลักฐานในเรื่องอาวุธจึงไม่มีน้ำหนักรับฟังได้

    5. โจทก์อ้างดีเอ็นเอของจำเลยที่ 1 และ 2 ซึ่งจำเลยทั้งสองก็ยืนยันว่าไม่เคยมีการมาขอเก็บตัวอย่างใดๆ จากจำเลยทั้งสามเพื่อนำไปตรวจอีเอ็นเอ โจทก์มีเพียงผลตรวจที่อ้างว่าเป็นของจำเลยที่ 1 และ 2 แต่บุคคลที่มาขอเก็บตัวอย่างเป็นใคร ขอเก็บไปเมื่อไหร่ โจทก์ไม่มีพยานมาพิสูจน์

    6. พยานหลักฐานอื่นๆ ของโจทก์ที่นำสืบมายังไม่สามารถรับฟังเพื่อลงโทษจำเลยทั้งสามได้ ที่โจทก์อ้างว่าพยานหลักฐานอขงโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงและสามารถลงโทษจำเลยทั้งสามได้ตามอุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่เป็นความจริง

    อาศัยเหตุและผลดังที่จำเลยทั้งสามได้กล่าวมา ขอศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้โปรดมีคำพิพากษายกฟ้องอุทธรณของโจทก์เสียทั้งหมด และปล่อยจำเลยทั้งสามพ้นข้อกล่าวหาทั้งหมดต่อไป

    (อ้างอิง : คำแก้อุทธณ์ของจำเลยทั้งสาม ดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 คดีหมายเลขแดงที่ 101/2559 ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2559 )
  • ศาลจังหวัดตราดมีนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดียิงและระเบิดเวทีการชุมนุมของ กปปส. ที่จังหวัดตราด เมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2557 จำเลยในคดีนี้ได้แก่ นายวัชระ กระจ่างกลาง จำเลยที่ 1 นายสมศักดิ์ พูลสวัสดิ์ จำเลยที่ 2 และนายสมศักดิ์ สุนันท์ จำเลยที่ 3 คดีนี้อัยการฟ้องทั้ง3คนในข้อหาร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้, พาอาวุธไปในที่สาธารณะ, ร่วมกันใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ในการทำความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นและร่วมกันยิงปืนในที่สาธารณะ

    ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแก้ในส่วนของนายวัชระ จำเลยที่ 1 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 5 ปี ในข้อหาครอบครองอาวุธที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ เนื่องจากศาลเห็นว่าคำให้การของพยานโจทก์ขัดแย้งกันจึงไม่สามารถรับฟังได้และการที่โจทก์นำสืบว่าอาวุธที่ตรวจยึดมาได้จากห้องพักของน.ส.จันทนา วรากรณ์สกุลกิจน์(อ่านเพิ่มเติม ที่นี่) เป็นอาวุธที่ใช้ในการก่อเหตุ แต่ก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าจำเลยทั้ง 3 คน ได้ครอบครองอาวุธเหล่านี้มาก่อน

    ในส่วนข้อหาร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง3ตามศาลชั้นต้น โดยศาลได้พิจารณาจากการที่จำเลยได้ต่อสู้ว่าคำรับสารภาพของจำเลยไม่ได้มาโดยสมัครใจอีกทั้ง พยานเศก จันทสารก็ได้ให้การมีพิรุธจากการจูงใจ มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวงหรือโดยมิชอบประการอื่น ซึ่งเป็นลักษณะต้องห้ามตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 อีกทั้งพยานหลักฐานแวดล้อมที่มีการตรวจพิสูจน์ DNA ก็ไม่ได้ถูกตรวจยึดจากที่เกิดเหตุและโจทก์ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าพยานหลักฐานเหล่านี้เกี่ยวกับการก่อเหตุอย่างไร

    ตามเหตุผลข้างต้นศาลอุทธรณ์จึงได้พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 3 ในทุกข้อหา ภายหลังอ่านคำพิพากษาศาลได้มีคำสั่งไม่ให้ขังจำเลยทั้ง 3 คนระหว่างรอการฎีกาคดี

    (ข้อมูลจาก 'ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องคดีระเบิดเวที กปปส.ตราด เหตุพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนัก' เว็บไซต์ http://www.tlhr2014.com/th/?p=3882)
  • อัยการจังหวัดตราดยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธณ์

    (อ้างอิง : ฎีกา คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 คดีหมายเลขแดงที่ 101/2559 ลงวันที่ 7 สิงหาคม 2560 )
  • จำเลยที่ 3 ยื่นแก้ฎีกาโจทก์

    (อ้างอิง : คำแก้ฎีกา คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 คดีหมายเลขแดงที่ 101/2559 ลงวันที่ 4 กันยายน 2560 )
  • พนักงานอัยการจังหวัดตราด ยื่นคำร้องแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องโจทก์ โดยมีการเพิ่มข้อความในแผ่นที่ 3 หน้า 1
    บรรทัดที่ 2 จาก 18 เป็น 21 คน และเพิ่มบัญชีรายชื่อผู้เสียหายท้ายฟ้องจาก 30 เป็น 33 คน

    (อ้างอิง : คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้อง คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 วันที่ 15 กันยายน 2557)
  • จำเลยที่ 1-2 ยื่นแก้ฎีกาโจทก์

    (อ้างอิง : คำแก้ฎีกา คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 คดีหมายเลขแดงที่ 101/2559 ลงวันที่ 18 กันยายน 2560 )
  • 22 พ.ค.2562 ศาลจังหวัดตราดได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีเหตุยิงและปาระเบิดเวที กปปส.ตราด โดยศาลยังคงพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 3 คนในข้อหาร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่า แต่ศาลได้กลับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ในข้อหาครอบครองอาวุธเช่นเดียวกับศาลชั้นต้นแต่เพิ่มโทษจำคุกเป็น 8ปี จากเดิมที่ศาลชั้นต้นเคยพิพากษาให้จำคุก 5 ปี

    คดีนี้อัยการได้ฟ้องนายวัชระ กระจ่างกลาง จำเลยที่ 1 นายสมศักดิ์ พูลสวัสดิ์ จำเลยที่ 2 และนายสมศักดิ์ สุนันท์ จำเลยที่ 3 ในข้อหาร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้, พาอาวุธไปในที่สาธารณะ, ร่วมกันใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ในการทำความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นและร่วมกันยิงปืนในที่สาธารณะ คดียิงและระเบิดเวทีการชุมนุมของ กปปส. ที่จังหวัดตราด เมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2557

    ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 3 คน ข้อหาร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าและข้อหาพกพาอาวุธไปที่สาธารณะ เนื่องจากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่น่าเชื่อถือมากพอให้ลงโทษจำเลยทั้ง 3 คน เพราะคำให้การของเศก จันทสาร พยานฝ่ายโจทก์นั้น ตามคำเบิกความเศกก็อยู่ในฐานะผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยแต่ไม่ปรากฏว่ามีการดำเนินคดีกับเศกในคดีนี้

    อีกทั้งหลังเกิดเหตุทหารได้คุมตัวเศกไปที่ชุดควบคุมทหารพรานที่ 1 เป็นเวลา 4 วัน โดยเขาได้เบิกความว่าทหารที่คุมตัวได้บอกกับเขาว่าหากให้ความร่วมมือด้วยดี ก็จะเป็นสิ่งดี และระหว่างที่เศกถูกควบคุมตัวอยู่ยังถูกเจ้าหน้าที่ทหารซักถามให้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ จึงมีเหตุให้สงสัยว่าคำเบิกความของเศกนั้นเป็นไปตามความจริงหรือเบิกความเพื่อให้ตนพ้นผิดหรือไม่ ทำให้น้ำหนักของคำเบิกความของเศกมีน้ำหนักน้อย

    อีกทั้งอาวุธของกลางที่พิสูจน์ได้ว่าใช้ในการก่อเหตุที่ตรวจยึดได้จากบ้านของจันทนา วรากรสกุลกิจในจังหวัดสมุทรสาครนั้น โจทก์ก็ไม่ได้มีพยานหลักฐานใดที่จะพิสูจน์ว่าจำเลยทั้ง 3 คนเป็นผู้ครอบครองปืนที่ใช้ก่อเหตุ

    แต่ศาลฎีกาได้พิพากษากลับในส่วนข้อหาครอบครองอาวุธของวัชระ ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 โดยให้เหตุผลว่าอาวุธที่ตรวจยึดได้ที่บ้านของณรงค์ กระจ่างกลางนั้น เจ้าหน้าที่ทหารได้นำตัวจำเลยที่ 1 ไปที่บ้านขงณรงค์เพื่อตรวจยึดอาวุธปืน เครื่องกระสุนและอุปกรณ์สำหรับประกอบระเบิด ตามบันทึกการตรวจยึดจำเลยที่ 1 เป็นผู้พาเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจไปตรวจยึดของกลางดังกล่าว ศาลเห็นว่าหากจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้พาเจ้าหน้าที่ไปตรวจยึดก็เป็นการยากที่เจ้าหน้าที่จะตรวจค้นเจอได้โดยง่าย และจำเลยที่ 1 ก็ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนด้วย

    นอกจากนั้นตำรวจและทหารต่างก็เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับวัชระมาก่อนจึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าได้นำของกลางดังกล่าวจากที่อื่นมากล่าวหาจำเลยให้ได้รับโทษ พยานหลักฐานในส่วนนี้จึงมีน้ำหนักเพียงพอให้ศาลรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองอาวุธและเครื่องกระสุนปืน และอุปกรณ์ระเบิดตามบันทึกตรวจยึดของกลาง

    ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำคุกวัชระ 8 ปี ในข้อหาตามพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 55 และ 78 วรรคหนึ่ง ประกอบกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 และยกฟ้องข้อหาอื่นของจำเลยที่ 1ส่วนจำเลยที่ 2 และ 3 ศาลให้ยกฟ้องทุกข้อหาตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์

    ทั้งนี้ในชั้นอุทธรณ์ ศาลพิจารณายกฟ้องวัชระในประเด็นการครอบครองอาวุธที่ตรวจพบที่บ้านของณรงค์ กระจ่างกลางเอาไว้ว่าพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์ไม่สอดคล้องต้องกันเพราะเอกสารตรวจยึดของกลางดังกล่าวนั้นเป็นการจัดทำขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายเดียวและข้อเท็จจริงจากพยานโจทก์เองก็ให้การว่าไม่เคยพบเห็นอาวุธตามที่ปรากฏในบันทึกตรวจยึดแต่อย่างใด พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่สามารถรับฟังข้อเท็จจริงให้เป็นที่ยุติดได้แน่นอนพยานหลักฐานตามทางนำสืบของโจทก์จึงปราศจากสาระสำคัญที่จะเรียงลำดับเหตุการณ์ได้อย่างมีเหตุผลสอดคล้องจนมีน้ำหนักมากพอแก่การรับฟัง

    (อ้างอิง : https://www.tlhr2014.com/?p=12543)

แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์