สรุปความสำคัญ

นายบุรินทร์ (สงวนนามสกุล) ถูกควบคุมตัวพร้อมประชาชนอีก 15 คน ขณะร่วมกิจกรรม “ยืนเฉย ๆ” ร่วมกับกลุ่มพลเมืองโต้กลับ เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2559 ตำรวจนำตัวไป สน.พญาไท ก่อนที่ทหารจะใช้อำนาจตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 เข้าควบคุมตัวนายบุรินทร์ไปจาก สน.พญาไท โดยไม่แจ้งสาเหตุ หลังจากนั้นอีก 2 วัน ทหารได้ส่งตัวนายบุรินทร์ให้ ปอท. ดำเนินคดีในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 โดยกล่าวหาว่า เขาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวพาดพิงพระมหากษัตริย์จำนวน 2 ข้อความ ต่อมา ทหารได้เข้าแจ้งความเพิ่มเติมให้ดำเนินคดี น.ส.พัฒน์นรี โดยกล่าวหาว่า มีส่วนร่วมกับนายบุรินทร์ในการกระทำความผิด จากการตอบกลับการสนทนาทางช่องแชทของเฟซบุ๊กกับนายบุรินทร์ด้วยคำว่า "จ้า" ซึ่งถือว่าเป็นการยอมรับและเห็นด้วย

การดำเนินคดีนายบุรินทร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกทหารติดตามความเคลื่อนไหว เนื่องจากมีพฤติกรรมต่อต้าน คสช. และกรณีนี้เขาเพียงแต่ใช้เสรีภาพในการแสดงความเห็น รวมทั้งดำเนินคดีพัฒน์นรี ซึ่งเป็นแม่ของ "จ่านิว" นักกิจกรรมที่เคลื่อนไหวต่อต้าน คสช. ด้วยการกระทำที่ไม่เข้าองค์ประกอบความผิด จึงเป็นการใช้มาตรา 112 ดำเนินคดีเพื่อข่มขู่ประชาชนให้หวาดกลัว และหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้าน คสช. อย่างชัดเจน

ข้อมูลการละเมิด

  • ผู้ถูกละเมิด
    • นายบุรินทร์
  • ประเด็นการละเมิดสิทธิ
    • สิทธิในความมั่นคงปลอดภัย
  • รูปแบบการละเมิดสิทธิ
    • จับกุม / ควบคุมตัว
  • ผู้ละเมิด
    • ทหาร
 
  • ผู้ถูกละเมิด
    • นายบุรินทร์
  • ประเด็นการละเมิดสิทธิ
    • เสรีภาพการแสดงออก
    • สิทธิในกระบวนการยุติธรรม
  • รูปแบบการละเมิดสิทธิ
    • จับกุม / ควบคุมตัว
  • ผู้ละเมิด
    • ทหาร
    • ตำรวจ
 
  • ผู้ถูกละเมิด
    • นางสาวพัฒน์นรี
  • ประเด็นการละเมิดสิทธิ
    • เสรีภาพการแสดงออก
    • สิทธิในกระบวนการยุติธรรม
  • รูปแบบการละเมิดสิทธิ
    • จับกุม / ควบคุมตัว
  • ผู้ละเมิด
    • ทหาร
    • ตำรวจ

พฤติการณ์การละเมิด

27 เม.ย. 2559 เวลา 18.00 น. ประชาชนจำนวนหนึ่งทยอยเดินทางมาที่บริเวณวิคตอรี พอยต์ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อร่วมทำกิจกรรม "ยืนเฉยๆ" กับกลุ่มพลเมืองโต้กลับ แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับการจับกุมคุมขังตามอำเภอใจ และเรียกร้องให้ปล่อยตัวแอดมินเพจ "เรารัก พล.อ.ประยุทธ์" รวม 8 คน ที่ถูกนำไปควบคุมไว้ในค่ายทหาร ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดวันเดียวกันนี้ แต่หลังทำกิจกรรมได้ไม่นาน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าทำการจับกุมผู้ร่วมชุมนุมและนำตัวไปยัง สน.พญาไท รวมทั้งสิ้น 16 คน

ระหว่างที่ทั้ง 16 คน ถูกสอบประวัติอยู่ที่ สน.พญาไท เจ้าหน้าที่ทหาร นำโดย พ.ท.พีรยุทธ เศวตเศรนี ได้เดินทางมาถึงและเข้าควบคุมตัวนายบุรินทร์ (สงวนนามสกุล) หนึ่งในผู้ชุมนุมที่ถูกควบคุมมาจากอนุสาวรีย์ชัยฯ ขึ้นรถตู้ของกองพันทหารสื่อสารที่ 2 รักษาพระองค์ ออกไปจาก สน.พญาไท โดยไม่มีการแจ้งว่า จะนำตัวไปที่ใด มีข้อมูลว่า การควบคุมตัวครั้งนี้เนื่องจากบุรินทร์เป็นผู้ต้องสงสัยว่าได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

29 เม.ย. 2559 พ.ต.ท.สัณห์เพ็ชร หนูทอง รอง ผกก. (สอบสวน) กก.3 บก.ปอท. เดินทางไปศาลทหารกรุงเทพเพื่อยื่นคำร้องขอออกหมายจับนายบุรินทร์ในข้อหา หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หลัง ร.ท.ชวิน ชยาวิวัฒนาวงศ์ นายทหารพระธรรมนูญ กรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน

เวลา 16.30 น. พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ คณะทำงานพิเศษฝ่ายกฎหมาย คสช. ได้นำตัวนายบุรินทร์ไปที่ บก.ปอท. ส่งให้ พ.ต.ท.สัณห์เพ็ชร หนูทอง ดำเนินคดี ตามหมายจับศาลทหารกรุงเทพที่ 33/2559 ลงวันที่ 29 เม.ย. 2559

พ.อ.บุรินทร์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า ทหารเฝ้าติดตามพฤติกรรมนายบุรินทร์ หลังจากสายข่าวพบการโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวในลักษณะต่อต้านการบริหารงานของรัฐบาลและ คสช. รวมทั้งมีการแชทพูดคุยกับบุคคลอื่นโดยมีข้อความเข้าข่ายผิดมาตรา 112 กระทั่งวันที่ 27 เม.ย. ที่ผ่านมา เวลา 12.13 น. นายบุรินทร์โพสต์คลิปวิดีโอความยาวประมาณ 40 นาที พร้อมข้อความ “นู๋อยากโดนอุ้ม#ปล่อยเพื่อนเราที่โดนอุ้ม” ก่อนจะมีบุคคลเข้ามาแสดงความคิดเห็นในคลิปดังกล่าว และนายบุรินทร์ตอบความคิดเห็นในลักษณะหมิ่นเบื้องสูง

พ.อ.บุรินทร์ กล่าวว่า หลังจากนายบุรินทร์เป็น 1 ใน 16 รายที่ถูกตำรวจ สน.พญาไท ควบคุมตัว ขณะทำกิจกรรม ”ยืนเฉยๆ” ทหารจึงเดินทางไปยัง สน.พญาไท เพื่อเชิญตัวนายบุรินทร์มาควบคุมตามคำสั่ง คสช.ที่ 3/2558 จากนั้นวันที่ 28 เม.ย. 2559 ทหารได้เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน บก.ปอท. เพื่อขอให้ดำเนินคดีกับนายบุรินทร์ และศาลทหารออกหมายจับในวันนี้ นอกจากนี้มีการขยายผลตรวจค้นที่พักของนายบุรินทร์ พบซีพียูคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเล่นเฟซบุ๊ก จำนวน 3 เครื่อง และขันแดง (ที่แจกในวันสงกรานต์) 1 ใบ ส่วนโทรศัพท์ นายบุรินทร์ฝากไว้กับเพื่อน อยู่ระหว่างติดตามตัวเพื่อนคนดังกล่าวเพื่อตรวจยึดโทรศัพท์

ด้าน พ.ต.ท.สัณห์เพ็ชร กล่าวว่า ได้รับตัวนายบุรินทร์จากทหาร ก่อนจะสอบปากคำ พร้อมตรวจสอบซีพียูคอมพิวเตอร์ที่ได้มาว่ามีข้อมูลใดบ้าง ทั้งนี้จะนำตัวนายบุรินทร์ฝากขังศาลทหารก่อนเวลา 09.00 น. ในวันที่ 30 เม.ย. 2559

ทนายเบญจรัตน์ มีเทียน ซึ่งเดินทางไปร่วมในระหว่างการสอบปากคำผู้ต้องหาในเวลาประมาณ 21.00 น. ระบุว่า พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากข้อความในเฟซบุ๊กจำนวน 2 ข้อความ โดยเบื้องต้น นายบุรินทร์ได้ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา ส่วนรายละเอียดอื่นๆ จะไปให้การในชั้นศาลต่อไป

บุรินทร์เล่าในภายหลังว่า ในคืนวันที่เขาถูกคุมตัวอยู่ที่ มทบ. 11 เจ้าหน้าที่ทหารพยายามที่จะให้เขามอบรหัสผ่านเฟซบุ๊กของเขาให้ แต่เขาไม่ยอมและใช้วิธีเงียบและไม่โต้เถียง ไม่ให้ข้อมูลแล้วก็ไม่ต่อปากต่อคำ นั่นอาจทำให้ผู้ควบคุมตัวไม่พอใจ ชายร่างใหญ่ในชุดปกติ สวมหมวกไหมพรมคลุมศีรษะตบเขาที่บริเวณศีรษะอย่างแรงถึง 4 ครั้ง ขณะที่เจ้าหน้าที่ในห้องสอบสวนข่มขู่เขาว่า “มึงไม่รอดหรอก ไม่ได้ออกไปแน่ ถ้ามึงไม่บอกกู มึงจะโดนพาไปที่ๆ หนักกว่านี้”

เขายืนยันว่าเขาไม่ได้มอบรหัสผ่านเฟซบุ๊กให้เจ้าหน้าที่แต่อย่างใด แต่เจ้าหน้าที่กลับนำสำเนาเอกสารการพูดคุยในกล่องข้อความที่ถูกระบุว่าเป็นของเขา ออกมาประกอบการสอบสวน ที่สำคัญ เอกสารดังกล่าวปรากฏก่อนที่จะมีการไปยึดคอมพิวเตอร์ที่บ้านเขาเสียอีก อย่างไรก็ตาม ทนายความระบุว่า บุรินทร์เป็นชาวบ้านธรรมดาที่เพิ่งออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่มีความรู้เรื่องเทคโนโลยีมากนัก เขาเริ่มเล่นเฟซบุ๊กมาได้สักพักใหญ่และตั้งรหัสแบบจำง่ายที่ชาวบ้านร้านตลาดมักทำกัน นั่นคือ หมายเลขโทรศัพท์มือถือของตัวเอง

(อ้างอิง: https://www.tlhr2014.com/?p=401, https://www.tlhr2014.com/?p=2492, https://www.matichon.co.th/politics/news_121559 และ https://prachatai.com/journal/2016/05/65976)

6 พ.ค. 2559 พ.ต.ท.สัณห์เพ็ชร หนูทอง ยื่นคำร้องต่อศาลทหารกรุงเทพ ขอออกหมายจับ น.ส.พัฒน์นรี (สงวนนามสกุล) มารดาของ “จ่านิว” หรือนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ แกนนำนักศึกษาที่มีบทบาทในการเคลื่อนไหวคัดค้าน คสช. ในข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หลังเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2559 ร.ท.ชวิน ชยาวิวัฒนาวงศ์ นายทหารพระธรรมนูญ เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน โดยศาลทหารกรุงเทพอนุมัติออกหมายจับที่ 36/2559

เวลา 16.00 น. มารดาจ่านิวพร้อมทนายความเข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ปอท. ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ตามหมายจับศาลทหารกรุงเทพ ลงวันที่วันเดียวกันนี้ นายธีรพันธุ์ พันธุ์คีรี ทนายความให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนก่อนเข้าพบพนักงานสอบสวนว่า ที่มาวันนี้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ มามอบตัวเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา แม่ยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดแต่อย่างใด

พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) โดยบรรยายพฤติกรรมที่กระทำความผิดว่า นายบุรินทร์ซึ่งถูกแจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 ไปก่อนหน้านี้ได้ลงข้อความผ่านเฟซบุ๊กที่มีเนื้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่มารดาจ่านิวไม่ได้ห้ามปราม ตำหนิ หรือต่อว่าให้หยุดการกระทำดังกล่าว จึงถือว่ามีส่วนร่วมกับนายบุรินทร์ในการกระทำความผิด

หลังรับทราบข้อกล่าวหาทนายความได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว โดยใช้หลักประกันเงินสด 5 แสนบาท พนักงานสอบสวนได้ปรึกษากับผู้บังคับบัญชาแล้วมีความเห็นว่า ไม่อนุญาตให้ประกันตัวในชั้นสอบสวน เนื่องจากเป็นคดีสำคัญ และมีอัตราโทษสูง เกรงว่าหากได้รับการประกันตัว ผู้ต้องหาอาจหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน

จากนั้นมารดาจ่านิวถูกนำตัวไปควบคุมที่ สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อรอพนักงานสอบสวนนำตัวไปขออนุญาตฝากขังต่อศาลทหารกรุงเทพในวันอาทิตย์ที่ 8 พ.ค. 2559 เวลา 9.00 น.

7 พ.ค. 2559 พัฒน์นรีถูกนำตัวไปที่ บก.ปอท. เพื่อทำเรื่องย้ายสถานที่ควบคุมตัวจาก สน.ทุ่งสองห้อง ไปยังกองบังคับการปราบปราม โดยนายสิรวิชญ์ได้เดินทางเข้ามาเยี่ยมมารดา ต่อมา เวลา 13.00 น. พ.ต.อ.โอฬาร สุขเกษม ผกก.3 บก.ปอท.หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีนี้ และ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ ได้ร่วมกันแถลงข่าว ขณะที่มารดาจ่านิวปฏิเสธที่จะเข้าร่วม ด้านทนายความและจ่านิวไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าในห้องแถลงข่าวแต่อย่างใด

ในขณะที่การแถลงข่าวยังไม่เสร็จสิ้น นายสิรวิชญ์ได้รับการติดต่อจากน้องสาวซึ่งอยู่กับยายที่บ้านว่า ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 นาย จาก บก.ปอท. นำหมายค้นไปที่บ้าน จากนั้น ได้เข้าตรวจค้นบ้านและยึดเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีจำนวน 1 เครื่อง และเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ร่วมกันในบ้านอีก 1 เครื่อง โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาเข้าค้นบ้านประมาณ 1 ชั่วโมง และก่อนหน้าที่จะเข้าค้นบ้าน เจ้าหน้าที่ได้เฝ้าอยู่นอกบ้านประมาณครึ่งชั่วโมง โดยแม้นายสิรวิชญ์จะแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าให้รอตนและทนายความกลับไปก่อนค่อยดำเนินการ เพราะที่บ้านมีแต่เด็กและคนชรา แต่สุดท้ายเจ้าหน้าที่ก็ตรวจยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ไปโดยที่ไม่รอนายสิรวิชญ์กลับมา และเจ้าหน้าที่จะมีความพยายามจะให้ยายของนายสิรวิชญ์ลงชื่อในเอกสาร แต่ยายไม่ยินยอมเซ็น

(อ้างอิง: https://tlhr2014.wordpress.com/2016/05/07/janew_mom_112/ และ https://tlhr2014.wordpress.com/2016/05/06/janew_mom_chat_fb_112/)

สถานะของเรื่อง

วันที่ : 06-05-2016
ฮิวแมน ไรท์ วอทช์ องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ออกแถลงการณ์ต่อเหตุการณ์การจับกุม น.ส. พัฒน์นรี ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มีใจความว่า ขอประณามการกระทำดังกล่าวที่เป็นการบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในเรื่องการหมิ่นสถาบัน ตามอำเภอใจ อีกทั้งถือเป็นความตกต่ำครั้งใหม่ของ คสช. ซึ่งมีผลสร้างบรรยากาศแห่งความกลัวในสังคมไทย และไม่เป็นผลดีต่อการปกป้องสถาบัน

ทั้งนี้ นายแบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการองค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชน ประจำภูมิภาคเอเชีย ระบุในแถลงการณ์นี้ว่าการตั้งข้อหา น.ส.พัฒน์นรี เป็นการปิดปากกลุ่มผู้วิพากษ์วิจารณ์ และการดำเนินคดีบุคคลจากข้อความตอบรับแบบไม่เฉพาะเจาะจงในเฟซบุ๊กนั้น ถือเป็นการบิดเบือนกฎหมายอย่างร้ายกาจ  อีกทั้ง น.ส.พัฒน์นรีไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว เพราะถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดในคดีร้ายแรง  อย่างไรก็ตาม ผู้แทนพิเศษสหประชาชาติว่าด้วยเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นได้เคยกล่าวไว้เมื่อปี 2554 ว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทยมีความคลุมเครือ และเปิดให้ตีความกว้างเกินไป รวมถึงบทลงโทษมีความร้ายแรงเกินจำเป็น อีกทั้งไม่ได้ช่วยปกป้องสถาบันหรือความมั่นคงแห่งชาติ

นายอดัมส์ ระบุอีกว่า รัฐบาลทหารเข้าควบคุมเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างเบ็ดเสร็จ และสร้างบรรยากาศแห่งความกลัว โดยอ้างว่าเป็นการปกป้องสถาบัน และการจับกุมพร้อมตั้งข้อหาตามอำเภอใจแก่มารดาของนักกิจกรรมซึ่งเคลื่อนไหวต่อต้าน คสช. ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าประเทศไทยไม่ได้ให้คุณค่ากับหลักการสิทธิมนุษยชน

(อ้างอิง: https://www.dailynews.co.th/politics/396130)
 
วันที่ : 08-05-2016
พนักงานสอบสวน ปอท. ได้ยื่นคำร้องฝากขัง น.ส.พัฒน์นรี ต่อศาลทหารกรุงเทพ โดยคัดค้านการให้ประกันตัวผู้ต้องหา เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง เกรงว่าหากได้รับการประกันตัว ผู้ต้องหาอาจหลบหนี หรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ทนายความได้ยื่นคัดค้านการฝากขังของพนักงานสอบสวน แต่ศาลทหารอนุญาตให้ฝากขัง น.ส.พัฒน์นรี ไว้ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง ระหว่างวันที่ 8-19 พ.ค. 2559 ทนายความจึงยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว โดยใช้หลักประกันเงินสด 500,000 บาท จากการระดมทุนเพื่อประกันตัวเพื่อนของกลุ่มพลเมืองโต้กลับ ศาลมีคำสั่งอนุญาต โดยมีเงื่อนไขห้ามไม่ให้ผู้ต้องหากระทำการใดๆ ในลักษณะยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
 
วันที่ : 12-07-2016
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีนี้ มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง น.ส.พัฒน์นรี ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา14(3)
 
วันที่ : 22-07-2016
ครบฝากขังผัดที่ 7 ของนายบุรินทร์ อัยการศาลทหารกรุงเทพได้มีคำสั่งฟ้องนายบุรินทร์ ผู้ต้องหาที่ 1 และ น.ส.พัฒน์นรี ผู้ต้องหาที่ 2 ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14(3) แม้ว่าก่อนหน้านี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องพัฒน์นรีในคดีนี้

แต่เนื่องจากพนักงานสอบสวนเพิ่งโทรศัพท์แจ้งทนายความของพัฒน์นรีในตอนเช้าวันเดียวกันนี้ ทำให้พัฒน์นรีไม่สามารถมาศาลได้ และยังไม่ได้เตรียมเงินประกันตัว ทนายความจึงได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนนัดการเข้ารายงานตัวของพัฒน์นรี เป็นวันที่ 1 ส.ค. 2559 ในส่วนของบุรินทร์ ซึ่งไม่ได้ถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำ อัยการศาลทหารกรุงเทพได้ยื่นฟ้องต่อศาลทหารกรุงเทพแล้วในวันนี้ โดยศาลยังไม่ได้กำหนดวันนัดสอบคำให้การ
 
วันที่ : 01-08-2016
อัยการศาลทหารกรุงเทพยื่นฟ้อง น.ส.พัฒน์นรี ต่อศาลทหารกรุงเทพ ในความผิดฐานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (3) โดยกล่าวหาว่า พัฒน์นรีร่วมกับบุรินทร์ พิมพ์ข้อความสนทนาโต้ตอบกันผ่านเฟซบุ๊ก โดยมีเนื้อหาเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 หลังศาลรับฟ้อง จำเลยได้ยื่นขอประกันตัวด้วยวงเงินจำนวน 500,000 บาท ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ประกันตัว โดยมีเงื่อนไข ห้ามเดินทางออกนอกประเทศก่อนได้รับอนุญาตและห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง
 
วันที่ : 27-01-2017
ศาลทหารกรุงเทพอ่านคำพิพากษาโดยเปิดเผย พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดรวม 2 กระทง

1. ฐานร่วมกันหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงฯ (จากการแชทในเฟซบุ๊ก) เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 112 อันมีโทษหนักที่สุด จำคุก 7 ปี เพิ่มโทษ 1 ใน 3 เป็นจำคุก 9 ปี 4 เดือน จำเลยรับสารภาพ ลดโทษลงกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 4 ปี 8 เดือน

2. ฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จและเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงฯ (จากการพิมพ์ข้อความในเฟซบุ๊ก) เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 112 อันมีโทษหนักที่สุด จำคุก 10 ปี เพิ่มโทษ 1 ใน 3 เป็นจำคุก 13 ปี 4 เดือน จำเลยรับสารภาพ ลดโทษลงกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 6 ปี 8 เดือน

รวมโทษ 2 กระทง คงให้จำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 10 ปี 16 เดือน

สาเหตุที่มีการเพิ่มโทษเนื่องจากนายบุรินทร์เคยถูกพิพากษามีโทษจำคุกมาก่อนและเพิ่งพ้นโทษเมื่อปี 2554 ซึ่งเป็นการกระทำความผิดซ้ำภายใน 5 ปี หลังฟังคำพิพากษาบุรินทร์ได้แจ้งทนายความว่าไม่ประสงค์จะอุทธรณ์ในคดีนี้แล้ว
 
วันที่ : 06-08-2019
ศาลทหารกรุงเทพแจ้งให้คู่ความทราบว่า คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 9/2562 ทำให้คดีของพัฒน์นรีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหารอีกต่อไป แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม จึงให้ยกเลิกนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 28 ส.ค. 2562 และงดการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราว กับให้โอนคดีไปยังศาลยุติธรรม และจำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลนี้ ให้สัญญาประกันยังมีผลต่อไป

ตั้งแต่อัยการทหารยื่นฟ้องพัฒน์นรีจนถึงวันนี้ซึ่งศาลทหารมีคำสั่งให้โอนคดีไปยังศาลยุติธรรมเป็นเวลา 3 ปีเศษ ศาลทหารกรุงเทพสืบพยานโจทก์ไปได้ทั้งหมด 6 ปาก จากทั้งหมด 17 ปาก และยังมีพยานจำเลยที่ต้องสืบอีก 5 ปาก
 
วันที่ : 29-01-2020
ศาลอาญา รัชดาฯ นัดพร้อมเพื่อกำหนดวันสืบพยาน หลังคดีโอนย้ายมาจากศาลทหารกรุงเทพ ศาลให้คู่ความตกลงเรื่องการยอมรับหรือตัดพยานในสำนวนคดีที่เหลือ ทำให้เหลือพยานโจทก์ที่ต้องสืบเพียง 1 ปาก คือ พ.ต.ท.สัณห์เพ็ชร หนูทอง พนักงานสอบสวน

ส่วนพยานจำเลยยังคงติดใจสืบพยานบุคคลตามบัญชีระบุพยานที่เคยยื่นต่อศาลทหารกรุงเทพ จำนวน 5 ปาก รวมจ่านิวซึ่งถูกคุกคามจากการเป็นนักศึกษาเรียกร้องประชาธิปไตย โดยคู่ความได้ตกลงกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์และจำเลยระหว่างวันที่ 3 – 4 พ.ย. 2563 เวลา 9.00 น.

จากนั้นในเวลา 14.00 น. พัฒน์นรีได้ถูกควบคุมตัวในห้องใต้ถุนศาลอาญา เพื่อรอให้นายประกันทำเรื่องประกันตัวต่อจากศาลทหารโดยใช้หลักทรัพย์เดิมที่เคยวางไว้เป็นเงินสด 500,000 บาท หลังการทำเรื่องประกันตัวเสร็จสิ้น ศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัวพัฒน์นรีชั่วคราว แต่มีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาต

ภูมิหลัง

  • นายบุรินทร์
    ช่างเชื่อมเหล็ก สนใจการเมืองตั้งแต่อายุ 12 ขวบ ปฏิเสธที่จะเรียกตนเองว่า คนเสื้อแดง เขานิยามตนเองว่า เป็นคนที่เห็นใจคนเสื้อแดงและคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เข้าร่วมกิจกรรมการเมืองครั้งแรกในเหตุการณ์ที่นักศึกษาโดนจับไป สน.ปทุมวัน ในวันที่ 22 พ.ค. 2558

    อ่านเพิ่มเติมที่ https://prachatai.com/journal/2016/05/65976 และ https://www.tlhr2014.com/?p=2492
  • นางสาวพัฒน์นรี
    มารดาของสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ นักกิจกรรมที่เคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยและคัดค้านการรัฐประหาร พัฒน์นรีมีอาชีพรับจ้างทำความสะอาดบ้าน ไม่เคยเคลื่อนไหวทางการเมืองมาก่อน เพียงแต่ไปติดตามสิรวิชญ์เมื่อสิรวิชญ์ไปทำกิจกรรมต่างๆ ภายหลังจากถูกดำเนินคดีมาตรา 112 นี้ เธอยังถูกดำเนินคดีร่วมกับกลุ่มคนอยากเลือกตั้งอีก 2 คดี ได้แก่ คดีการชุมนุมที่สกายวอล์กบริเวณห้างมาบุญครอง หรือ MBK39 และคดีการชุมนุมที่ถนนราชดำเนิน หรือคดี RDN50

แหล่งที่มา : กรณีที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามสัมภาษณ์